วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Burnish

 

"Burnish"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




หากเขาถามว่าผมคิดยังไง ผมตอบไม่ได้ และคิดว่าเขาก็คงไม่สนใจเหมือนกัน


"เสี่ยวเกอ นายคิดว่าไง?" ผมหันไปถามความเห็นคนข้างตัว เพราะไม่ได้เจอกันนาน พวกเรานั่งคุยกันจนเพลินอีกแล้ว

ไม่ เสี่ยวเกอไม่ได้เปลี่ยนไปหรือจากผมไปไหน คนที่นั่งคุยกับผมมาตลอดชั่วโมงคือนายอ้วนที่อ้วนแค่ชื่อคนนั้น ส่วนเสี่ยวเกอยังคงทำตัวปกติ นั่งนิ่งเงียบเป็นศิลาก้อนยักษ์บนโซฟาเดียวกับผม

"ฉันอยากไป" เขาตอบเสร็จก็กลับไปทำหน้านิ่ง จ้องรอยเปื้อนในอากาศเหมือนเดิม แต่แค่นั้นก็เพียงพอ หากเขาไม่มีข้อแย้ง เป็นอันว่าอีกสามวันพวกเราจะมีทริปไปเที่ยวเกาะทางใต้กัน

พักนี้ไม่รู้ว่าแก่แล้วหรือยังไง ผมรู้สึกโหยหาอากาศอบอุ่นจนรู้สึกอยากหนีจากปักกิ่งช่วงปลายปีสักพัก คิดถึงสมัยก่อน พอสักเดือนสิบ อากาศเย็นขึ้น ผมเอนตัวบนเก้าอี้หวายนั่งมองวิวบนทะเลสาบซีหู ต้นไม้ทั้งเมืองกลายเป็นสีเหลืองทอง สูดลมหายใจเข้าออกโชยกลิ่นดอกกุ้ย กลางคืนมีจันทร์กระจ่างสองดวง หนึ่งบนผืนฟ้า หนึ่งบนผืนน้ำ ตอนนั้นหังโจวจะสวยที่สุดในรอบปี

ทว่าสวยแค่ไหน ผมก็อยู่กับวิวนั้นเป็นสิบๆ ปีแล้ว หนาวนี้ผมเลยโทรไปชวนนายอ้วน ลากเขาไปทริปกินดื่มเที่ยวที่ทะเลทางใต้ ตอนแรกนายอ้วนทำเป็นอิดออดเล่นตัว แต่ผมรู้ดีว่าเขาทำไปอย่างนั้น คุยไม่กี่ประโยคเขาก็รีบเก็บของจับรถมาบ้านผมทันที

ผมโทรไปถามนายอ้วน จากนั้นค่อยถามคนที่กินดื่มหลับนอนในบ้านเดียวกัน เพราะทุกทีก็เป็นเช่นนี้ หากผมถามเมินโหยวผิงแต่แรก นอกจากเรื่องเกี่ยวพันถึงอดีตของเขา ทุกอย่างเขาล้วนปล่อยเป็นการตัดสินใจของผมกับนายอ้วน ดังนั้นสู้ผมถามนายอ้วนแต่แรก แล้วค่อยดูว่าเขามีอะไรขัดข้องตรงไหนหรือไม่ก็พอ

ผ่านไปสิบกว่าปี นายอ้วนภายนอกไม่อ้วนแต่ก็ยังเป็นนายอ้วน เมินโหยวผิงกลายเป็นจางฉี่หลิงแต่ก็ยังเป็นเมินโหยวผิง ขวดน้ำมันปิดตายไม่ยอมเปิดปากคนนั้น



ใช้เวลาเพียงพริบตาก็ถึงตอนเดินทาง ผมกำลังยืนดูฟองคลื่นสีขาวจากดาดฟ้าเรือ ทะเลด้านล่างเป็นสีน้ำเงินสด อยู่ๆ ก็อยากกินหัวปลาหม้อไฟเสียอย่างนั้น สักพักนายอ้วนเดินมาหา เขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน แสงแดด สายลม เสียงคลื่น ทั้งหมดล้วนส่งเสริมใจคนให้ผ่อนคลายแจ่มใส พวกเราวางแผนกันใหญ่ว่าจะตระเวนกินหรือซื้อของสดมาทำอาหารกันวิธีไหนบ้าง

ก่อนมานี่ผมจองบ้านพักริมหาดไว้ หมายมั่นว่ามีอาหารทะเลสดๆ ตรงหน้า มีนายอ้วนพร้อมเครื่องครัวด้านหลัง ทริปเที่ยวหนนี้ต้องประหนึ่งสวรรค์บนเกาะร้างแน่นอน

ระหว่างนั้นผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป ข้อมูลสำคัญมากที่นึกไม่ออก สร้างความรู้สึกยุบยิบน่ารำคาญเหมือนมีเสี้ยนในรองเท้า

เมินโหยวผิงยืนเหม่ออยู่ใกล้ๆ ผมจำได้ว่าแม้เขาจะทำหน้าแบบเดียวแทบตลอดวัน ความจริงยังมีบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าได้ เช่นเรื่องอันตรายตอนลงดินคว่ำกรวย หรือของกินที่อร่อยมากบางอย่างซึ่งเขาไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าชอบ

ดังนั้นผมจึงหมายมั่นปั้นมือ ตั้งเป้าหมายว่าอย่างน้อยหนึ่งมื้อของแต่ละวัน จะต้องทำให้เขากินข้าวด้วยท่าทีเจริญอาหารให้ได้ มีพ่อครัวชั้นยอดแบบนายอ้วน มีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากทะเล ความสำเร็จอยู่ในมือผมแน่นอน

ระหว่างนั้นเมินโหยวผิงไม่ได้ขยับเขยื้อนสักนิด เขาดูจริงจังกับการยืนเหม่อมองท้องฟ้าสายลมแสงแดดเป็นที่สุด ผมไม่อยากกวน เลยลากนายอ้วนมานั่งเก้าอี้บนดาดฟ้าเรือ หยิบสมุดจดออกมาวางแผนชีวิตของพวกเรา กะว่าทุกมื้อจนกว่าจะกลับ บนโต๊ะต้องมีอาหารไม่ซ้ำเมนู จากนั้นจะได้บันทึกไว้ว่าจานไหนทำศิลายักษ์ก้อนนั้นเปลี่ยนสีหน้าได้บ้าง ตอนกลับบ้านจะได้ทำกินบ่อยๆ ...ไม่สิ ฝีมือผมทำคงไม่ดี สงสัยต้องลากนายอ้วนมาทำ ไม่ก็จับลูกน้องสักคนไปเทรนฝีมือกับเขา

ขณะที่ค่อยๆ ร่างแผนการของตัวเองตรงนั้น ผมยังไม่เอะใจสักนิดว่า เขาก็กำลังร่างแผนการของตัวเองเช่นกัน



พวกเราไปถึงบ้านพักก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมกับนายอ้วนหิวจนแทบไม่มีแรงทำอะไร มื้อนี้เลยเปลี่ยนแผนไปกินอะไรง่ายๆ ที่มีขายแถวนั้นแทนก่อน วางข้าวของชิ้นใหญ่ทิ้งไว้แล้วหยิบติดตัวแค่กระเป๋าเงิน ตอนเดินออกไปถึงประตูบ้านพักแล้วผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า พวกเราสามคน มีคนหนึ่งหายไป

เมินโหยวผิง...เสี่ยวเกอหายตัวไปอีกแล้ว

ผิด นี่ผิดปกติอย่างมาก จะว่าที่นี่มีอาถรรพ์ก็ไม่ใช่แน่นอน ก่อนเลือกที่พัก ผมสืบประวัติสถานที่และผู้คนที่เกี่ยวข้องหมดแล้ว ที่นี่ "สะอาด" เท่าที่บ้านพักริมทะเลบนเกาะจะสะอาดได้ หลังภูเขา หน้าแม่น้ำ ฮวงจุ้ยสถานที่แม้ไม่ดีเยี่ยมแต่ก็ถูกต้องตามหลัก ข้าวของชิ้นใหญ่เล็กจัดวางแบบปกติธรรมดาที่สุด ตำแหน่งประตูหน้าต่างไร้ปัญหา ผมเช็กทุกอย่างด้วยตัวเองหมดแล้ว ไม่มีปัจจัยทำให้เกิดอาเพศแน่นอน

เขาหายไปได้ยังไง?

เสี่ยวเกอไม่หายตัวไปเงียบๆ แบบนี้นานแล้ว ผมเดินกลับไปตรงข้าวของที่กองไว้เมื่อครู่ ทุกอย่างอยู่ครบ...เว้นแต่เป้ประจำตัวเขา

"เสี่ยวเกอ นายอยู่ข้างในรึเปล่า?" ผมจับลูกบิดประตูห้องนอนเดียวที่ถูกงับปิดไว้ มันล็อก "เสี่ยวเกอ? ...จางฉี่หลิง? "

"ฉันไม่หิว พวกนายไปก่อน จะตามไปทีหลัง" นั่นคือเสียงของเขาแน่นอน เสียงนั้นตอบมาอย่างราบเรียบที่สุด แต่ไม่อธิบายสักนิดว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็เดินหายเข้าห้องไม่บอกไม่กล่าว หรือว่าจะปวดขี้มาก?

ฉับพลันนั้นเอง ผมจึงนึกได้ว่าเดินทางค้างแรมด้วยกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยเห็นตอนเสี่ยวเกอร้อนรนเพราะปวดห้องน้ำเลย เกรงว่าวิชาหน้านิ่งปากหนักของเขาจะส่งผลร้ายเสียแล้ว เขาไม่แสดงออกมา ใครจะรู้ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าปลงสังเวช นายปวดขี้ก็หัดบอกสิวะ ฉันจะได้บอกนายว่าไม่ต้องเดินรอ ให้รีบล่วงหน้ามาบ้านพักก่อนเลย ผ่านไปสิบปี ไอ้หมอนี่น่าเป็นห่วงยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

ผมยืนคุยกับลูกบิดประตู บอกเมินโหยวผิงว่าไม่ต้องรีบ ใช้เวลาในนั้นตามสบายได้เลย ผมกับนายอ้วนจะเดินตลาดจับจ่ายของกินแวะดูสาวไปพลางๆ ระหว่างรอเขา นายอ้วนเดินตามผมมาตั้งแต่แรกแล้วเลยไม่ต้องอัพเดทข่าวอะไรอีก เดินออกมาด้วยกันอย่างสบายใจ

ผมวางแผนอาหารเย็นอย่างหมายมาด มาถึงทะเลทางใต้ทั้งที วันนี้ต้องกินปลาเก๋าตัวเท่าหมาให้ได้ นายอ้วนแย้งว่าปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น ขายหมดตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ต่อให้สั่งจองกับเรือประมงก็ยังไม่แน่ว่าจะได้กินพรุ่งนี้ ทะเลไม่เหมือนตลาดสด อยากกินก็ใช่ว่าจะเดินจิ้มเลือกได้ทันที ยกเว้นผมจะไปซื้อต่อจากตู้ที่เขาเลี้ยงหน้าร้านอาหารทะเล

ไอ๊หยะ ลืมคิดไปจริงๆ ปัญหามากนักเดี๋ยวพ่อเหมาเรือประมงสักลำแล้วไปจับเองเลยดีมั้ย พอผมคำนวนดูก็พบว่าสังขารผมไม่ได้ถูกฝึกมาเหมือนลูกทะเลเลือดแท้ บนดินผมเดินคล่อง แต่ให้วิ่งไปมาบนเรือที่น้ำเจิ่งนอง มีหวังอู๋เสียได้กลับไปเทียนเจินให้ขายขี้หน้าฟ้าดิน

พวกเราเดินตลาดวนอยู่สามสี่รอบกว่าจะปลงใจเลือกร้านอาหารได้ ไม่ใช่ว่าเรื่องมาก แต่เพราะเวลาเที่ยงแบบนี้ ไม่ว่าร้านไหนก็คนเยอะจนทะลักล้น หลังลองทั้งเบียดทั้งต่อคิว สุดท้ายก็ยอมแพ้ต่อเทพเจ้าในกระเพาะที่ส่งเสียงคำราม มายืนกินปลาหมึกปิ้งที่ร้านแผงลอย

เมินโหยวผิงยังไม่มาสักที

เวลาผ่านไปขนาดนี้ ผมถึงเริ่มกังวล เพิ่งเอะใจว่าเสี่ยวเกอทำตัวแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บอกไม่ถูกว่าตรงไหน ความจริงแล้วเขาไม่อยากมาทะเลรึเปล่านะ เพราะหลายสิบปีก่อนเขาเกิดเรื่องที่กรวยใต้น้ำตรงซีซา สิบกว่าปีก่อน มีโอกาสลงทะเลอีกรอบก็เกิดเรื่องอีก บางทีเขาอาจมีความรู้สึกไม่ดีต่อทะเลไปแล้ว อย่างอาสามของผม เห็นทะเลทีไรก็ทำหน้าหดหู่ นึกถึงแต่ความทรงจำรสชาติขมขื่น

ผมได้แต่ด่าทอตัวเองในใจว่าควรเอาใจใส่เขามากกว่านี้ ปกติเขาทำหน้านิ่งเฉย ไม่พูดอะไร ความจริงเขาเป็นคนคิดมาก เป็นไอ้บ้าหน้ามึนที่เสียสละตัวเองเพื่อผมมาโดยตลอด การมาทะเลครั้งนี้เป็นผมที่อยากมา เขาก็แค่ตามใจผมเหมือนทุกครั้ง

"ฉิบหายแล้วเสี่ยอ้วน ฉันจะกลับไปตาม..." ผมตั้งใจจะหันไปบอกนายอ้วนว่าจะกลับบ้านพักไปหาเสี่ยวเกอ แต่พบว่ามีคนอื่นมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นายอ้วนก็ทำสีหน้าแบบ 'งงจนพูดไม่ออกเลยว่ะเสี่ยวอู๋' มองมาจากอีกฟาก

คนที่ยืนแทรกระหว่างผมกับนายอ้วน ไม่ใช่เสี่ยวเกอ คนผู้นี้พวกเราไม่ได้เห็นเขามานานแล้ว แต่ผมจำหน้าเขาได้ คาดว่านายอ้วนเองก็เช่นกัน

"นาย...ศาสตราจารย์จาง!?" ตาเหม่งจางยิ้มกว้างให้ผมทั้งๆ ที่มีปลาหมึกยัดเต็มปาก

พ่อนายเป็นบ๊ะจ่าง! บัดซบที่สุด! ผมไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเลือกสำลักปลาหมึกที่กำลังเคี้ยวแทน

"สหายอู๋ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณสบายดีนะ มา มา วันนี้วันดี ท้องฟ้าแจ่มใส เรามาเดินชื่นชมธรรมชาติไปพร้อมๆ กับวิเคราะห์แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจครัวเรือนของประชากรพื้นเมืองบนเกาะกันเถอะ" ตาเหม่งจางที่ข้างในคือจางฉี่หลิงช่วยลูบหลังผมที่กำลังสำลักจนน้ำจิ้มปลาหมึกขึ้นจมูกอยู่

จากหางตา ผมเห็นเสี่ยอ้วนยืนเกาคอเกาพุง ครู่หนึ่งเขาก็พ่นคำนั้นออกมาจนได้ "เสี่ยว่าเดี๋ยวเสี่ยไปเดินตลาดก่อนดีกว่า ไม่รีบซื้อรีบเลือก ของสดๆ สวยๆ จะขายหมดก่อน เจอกันตอนเย็นที่บ้านแล้วกันเทียนเจิน" จากนั้นก็เปิดตูดเผ่นแน่บ เชี่ยแม่ง ทิ้งกูไว้กับตาเหม่งจางนอตหลวม!

"นาย...นาย..." ผมคว้าขวดน้ำเทใส่ปากเพื่อล้างคอให้โล่ง

"วันนี้พวกเราทิ้งงานการไว้ในเมือง ออกมาท่องเที่ยว สหายอู๋ผู้สูงส่งก็ควรทำใจให้สบาย กระผมศึกษาเรื่องราวของเกาะนี้มาบ้าง ประวัติไม่เลวเลยจริงๆ! คาดว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว ถ้ายังไงพวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพความรู้ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น!"

เจ้าหมอนี่.....บ้าบอคอแตกที่สุด

"ศาสตราจารย์จาง...ฉี่หลิง นายแคะขี้หูแล้วฟังฉัน!!" ขอบคุณฟ้าดินที่เขาหยุดพูดจ้อแล้วฟังผมเงียบๆ ได้เสียที น่าตายนัก ตอนนั้นผมงี่เง่ามากจริงด้วย ถ้ามองนายเหม่งจางบ้าบอนี่ให้ดี ดวงตานั่นยังเป็นดวงตาเดียวกับของจางฉี่หลิงชัดๆ แต่ก็โทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่สังเกต ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเป็นเขา ผมก็ไม่อยากยืนจ้องตาผู้ชายที่ไหนเหมือนกัน

"เสี่ยวเกอ ฉัน...ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ไม่เอาใจใส่นายให้ดี นายไม่จำเป็นต้องพูดมากกว่าที่นายอยาก นายไม่จำเป็นต้องขี้โม้เหมือนเสี่ยอ้วน นายแค่ยังมีชีวิตอยู่กับฉันไปตลอดจนกว่าฉันจะตาย ห้ามตายก่อนฉัน ที่เหลือนายอยากหรือไม่อยากทำอะไรก็สุดแท้แต่นาย" ผมลงทุนพูดถึงขนาดนี้กลางตลาด ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจผู้ชายจีนสองคนหน้าร้านปลาหมึกปิ้งหรอก แต่กระนั้น...ผมแม่งก็โคตรอายอยู่ดี

"ฉันเป็นเพื่อนคุยให้นายไม่ได้ ...แต่ฉันอยากเป็น" เขาพูดจากบุคลิกของจางฉี่หลิงแล้ว...ด้วยใบหน้าของตาเหม่งจาง ทำใจชินได้ยากจริงๆ

"นี่ ซุป'ตาร์จาง ไหนๆ นายก็แสดงเก่งจนสมควรส่งไปชิงออสการ์แล้ว นายแสดงด้วยหน้าตาปกตินายไม่ได้รึไง ฉันซาบซึ้งกับการลงทุนของนายนะ แต่ฉันอยากคุยกับจางฉี่หลิงมากกว่าศาสตราจารย์จาง"

เห็นตาเหม่... ศาสตราจารย์จางขมวดคิ้วหน้าเคร่ง ผมไม่รู้จะขำหรือจะเครียดหรือจะร้องไห้ดี

"ฉันไม่ชิน"

"ฉันก็ไม่ชินว้อยยย!!!!!"

"..."

"...แม่งเอ๊ย!"

ผมคว้าข้อมือเขาเดินออกจากตลาด ขอบคุณที่เขายอมเดินตามผมต้อยๆ เหมือนลูกเจี๊ยบ จางฉี่หลิงบ้าอะไร นายเหมาะกับชื่อเมินโหยวผิงมากกว่าชัดๆ

เรือพ่วงตัวถ่วง ผมเคยเปรียบเขาเป็นเรือที่พ่วงท้ายเรืออื่น สุดท้ายกลายเป็นผมเองที่โดนพ่วง เป็นแม่ไก่ที่มีเรือลูกเจี๊ยบพ่วงเป็นขบวนห้อยท้ายตลอดเวลา

กว่าจะถึงบริเวณที่ปลอดคนก็เกือบถึงบ้านพักเราแล้ว ผมเลยลากเขากลับเข้าห้องนอนที่เขาขังตัวเองก่อนหน้านี้ พอปิดประตูห้อง ผมก็คลำนิ้วไปหลังใบหูแล้วดึงหน้ากากมนุษย์ของเขาออกมา...ไม่ออก!!

"แบบนั้นไม่ได้" ไม่ปล่อยให้ผมพูดอะไร เขาจับมือผมออกแล้วค่อยๆ ลอกผิวหน้าตัวเองออกมา ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวตอนนั้นว่าชอบใบหน้าของเขาแค่ไหน

ค่อยยังชั่ว เจริญตากว่าตาเหม่งจางเยอะเลย

ปกติใบหน้าของเมินโหยวผิงจะราบเรียบเย็นชา ปราศจากริ้วอารมณ์ ทว่าตอนนี้ใบหน้าที่นิ่งเฉยดุจหน้ากากนั่น กลับเห็นร่องรอยของความกังวลพาดผ่าน

งานเข้า งานเข้าเต็มๆ ไม่รู้ว่าเขาเสียเวลาแต่งหน้าไปแค่ไหน แล้วอยู่ๆ ผมก็ดันไปสั่งดึงออก ผมมันคนบาป ทำให้เสี่ยวเกอผู้แสนดีต้องลำบากอีกแล้ว

เมินโหยวผิงละความสนใจต่อผมไปสนใจเทคนิคเคลื่อนข้อต่อกลับร่างเดิมของเขา วิชาหดกระดูกนี่เห็นกี่ทีก็รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนตัวเองโดนแทน

...อุตริที่สุด! นายปลอมหน้าเฉยๆ ไม่พอ ทำไมยังต้องปรับเปลี่ยนส่วนสูงร่างกายอีก!

ยืนคิดอะไรแปบเดียว เขาก็กลับเป็นเมินโหยวผิงคนเดิมทั้งตัวแล้ว เว้นแค่สีหน้าที่ยังไม่กลับไปมึนชาไร้อารมณ์ เห็นดังนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ปัญหาดอกท้อแบบนี้ เพิ่งเคยเจอครั้งแรกจริงๆ

คิดไปคิดมา ผมก็เดินไปหาเขา ตัดสินใจว่าจะช่วยเขาดู ไม่รู้ได้ผลแค่ไหน

"...อู๋เสีย ฉันไม่ใช่เฮยเสียจื่อ"

"นายใส่แว่นดำก็เหมือนสวมหน้ากาก โอเคมั้ย"

"....."

"เฮ้! ซุป'ตาร์จาง แว่นกันแดดนี่หนากว่าหน้ากากนายเยอะนะ นายแว่นดำนั่นถึงได้หน้าหนาผิดมนุษย์มนาหน้าตาเฉยไง นึกดูให้ดี" เมินโหยวผิงที่สวมแว่นกันแดด ยืนทำหน้าตาไม่มั่นใจ น่ารักจนผมทนไม่ได้ต้องหยิกแก้มเขา

ไอ๊หยะ อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาแก่กว่าผมตั้งเยอะ...ช่างมัน ฝ่ายเขาที่ควรคิดมากยังไม่เห็นคิดเลย ผมจะร้อนตัวไปทำไม

เมินโหยวผิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ใบหน้ากลับไปราบเรียบไร้อารมณ์ พลันพูดกับผมว่า

"สหายอู๋ วันนี้อากาศดี แต่บรรยากาศมืดไปนิด เพื่อเพิ่มพลังหยางลดทอนพลังหยิน เราไปเดินรับไอหยางจากแดดที่หาดกันเถอะ"

"ใต้เท้าพูดถึงขนาดนั้น ข้ายอมเห็นด้วยก็ได้"


ไม่ง่ายเลยกว่าจะเข้าใจถ่องแท้ว่า ความคิดของผมล้วนอยู่ในหัวผม ความคิดของเขาย่อมอยู่เพียงในหัวเขา ไม่เพียงต้องคิดถึงอีกฝ่ายให้มาก แต่ต้องพูดกับอีกฝ่ายให้มากด้วย การใช้ชีวิตคู่ก็เป็นเช่นนี้เอง



+++

END
21/09/2014






Talk Time:

ค่ะ...เหม่งจางค่ะ... ที่แต่งมาทั้งหมด แค่อยากแต่งฟิคที่มีเหม่งจางค่ะ!! 5555555555555555555555555555555555555 แง ทั้งที่เป็นหนึ่งในคอสเพลย์จากจางฉี่หลิงแท้ๆ แต่เหม่งจางก็ยังถูกแฟนเกิร์ลด้วงจงใจลืมทิ้ง โธ่ ( Y v Y )

ขนาดแฟนดอมที่จีนกับในวิกิบันทึกโจรฯ ยังเลี่ยงไม่ใช้คำว่าตาเหม่งเลย แต่ใช้คำว่าซุป'ตาร์จางแทน

(影帝张 ← ไม่รู้จะแปลว่ายังไงดี มันคือคำที่แปลว่า นักแสดงเก่งมากถึงขนาดถูกส่งชิงรางวัลออสการ์/ตุ๊กตาทอง + จาง ยาวอะ แง เลยย่อเหลือ "ซุป'ตาร์จาง" แอร๊ พอจะแถได้ใกล้สุดๆแล้ว...มั้ง)

และ...ใช่แล้วค่ะ เสี่ยอ้วนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาอ้วนค่ะ 55555 พยายามจะยัดความอ้วนกลับให้เสี่ย เลยพากันมาทัวร์บริโภค แอร๊

จริงๆ ตอนแรกอยากพากันไปขุดสุสานบ้าง แต่ไปๆ มาๆ ...ขุดสุสานแล้วยัดโมเม้งโมเอะยากอะ!! ← สาววายนี่มันสาววายจริงๆ

ฮือออออ เอาเป็นว่าเป็นฟิคที่มโนต่อเนื่องจาก "Kiln" อันโน้น แต่เนื้อหาไม่ต่อกันเว้นแค่เรื่องที่พุงเสี่ยหายไป *แค่ก*

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][花黑] Urgent Call

 

"Urgent Call"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 花黑 ฮัวเฮย (เสี่ยวฮัวxเฮยเสียจื่อ)




เสียงโทรศัพท์ดัง เซี่ยอวี่เฉินกดรับสายภายในครึ่งวินาที เขากำลังเล่นมือถืออยู่พอดี

"สวัสดีครับ"

"หวัดดีเสี่ยวฮัว"

"..."

ปลายสายหัวเราะแหะๆ เซี่ยอวี่เฉินจึงถามด้วยน้ำเสียงเรียบว่ามีธุระอะไร

"มีสิ มีสิ คือ...แบบว่า กำลังแย่น่ะ แย่มากด้วย ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครดี ก็เลยโทร.สุ่มๆ หาเบอร์คนที่เมมฯ ไว้ มาติดที่นายอีกแล้วเหรอ ว้า แย่จัง" อีกฝ่ายหัวเราะเสียงแห้ง แต่ก็ยังแฝงอารมณ์รื่นเริงผิดกับสถานการณ์ นายเชิ้ตชมพูเลิกคิ้ว เขาชินแล้วกับน้ำเสียงแบบนี้ แรกๆ ยังรู้สึกเหมือนถูกกวนที่ส้นเท้า แต่หลังๆ คือถูกกวนบ่อยจนแม้แต่ส้นเท้ายังรู้สึกชิน

"อ้อ ได้ ได้ ถ้านายโกหกฉันอีกแค่คำเดียว ฉันจะโทร.เรียกอริเก่านายทุกคนให้ไปรุมกินโต๊ะนาย...อธิบายสถานการณ์มา" นายเชิ้ตชมพูออกคำสั่งเสียงนุ่ม เหล่สายตามองนาฬิกา นึกถึงตารางงานที่ต้องสะสางวันนี้แล้วก็รู้สึกว่าตนเสียเวลากับการฟังเสียงหัวเราะคิกคักมากเกินไปหน่อยแล้ว

"ตอนนี้กำลังติดแหง็กอยู่แถวสุสานน่ะ หนีตายออกมาได้แล้ว แต่ว่าไปต่อไม่ได้ กำลังนอนผึ่งแดดอย่างย่ำแย่สุดๆ เลย" เสียงปลายสายตอบกลับมา

ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก เขาเดาะลิ้น เผลอเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง "...หรือว่าแว่นแตก?"

"ถูกต้องนะคร้าบ!" อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงใส แต่ไม่ช่วยให้คนฟังรู้สึกอยากเพิ่มระดับความมีเมตตาขึ้นมาเลยสักนิด

'ไอ้เฮงซวย...' เซี่ยอวี่เฉินคิด

คนแบบนายบอดดำไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนหรืออยู่ตัวคนเดียวก็ถนัดเดินตัวปลิวไม่สนใจใครอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเขาควรจะรู้ว่ามีของสำคัญอะไรต้องเตรียมเผื่อสำรองเอาไว้บ้าง อันตรายในกรวยมีได้หลายรูปแบบเกินจินตนาการ ตัวนายบอดรู้ข้อนี้ดี หากจะโทษก็สมควรโทษความไม่รอบคอบของตัวเองไปเสีย

ชายหนุ่มเผลอกระตุกยิ้มดูหมิ่นเหยียดหยามขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ตอบกลับไปด้วยเสียงสุภาพ "บอกที่อยู่ของนายตอนนี้มา เดี๋ยวจะส่งลูกน้องไป"

"เอาแว่นดำมาให้ยืมด้วยน้า นายน่าจะมีนี่"

"มี..." เขาตอบ ลุกจากที่นั่งไปยังห้องแต่งตัวของตน เดินผ่านแนวทางเดินยาวในเรือนหรูหรา เปิดประตูไปยังห้องที่มีแว่นกันแดดเรียงรายมากมาย พลันก็นึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ "นายบอด...ถ้าให้เลือกดอกไม้อย่างหนึ่งนายชอบอะไร?"

"เฮ้ เฮ้ นี่ฉันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ เลือดออกด้วยนะ เศษแว่นทิ่มเข้าไปในลูกตาอยู่ด้วยนะ คิดจะซื้อดอกไม้มาแสดงความยินดีรึไง จะใจดีเกินไปแล้ว"

"ฉันคิดเผื่ออนาคตของเราสองคน เผื่อไปเยี่ยมศพนาย...ทิวลิปกับทานตะวัน ชอบแบบไหน?"

ชายหนุ่มถามย้ำ น้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่าลงท้ายเฉียบขาด บีบบังให้อีกฝ่ายต้องตอบคำถาม เป็นการตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต่อรองได้ ผู้ถือครองกำลังและความช่วยเหลือคือเขา และเขามีสิทธิ์จะล้อเล่นถ่วงเวลามากเท่าที่อยากทำก็ย่อมได้

"ถ้าว่ากันเรื่องดอกไม้ ฉันอยากได้เสี่ยวฮัว" อีกฝ่ายตอบสวนกลับมา

เซี่ยอวี่เฉินแทบจะจินตนาการใบหน้ายิ้มขี้เล่นลอยมาได้ ไอ้หมอนี่สมองไว ไม่เคยจะกินกันลงสักที

"ต้องขออภัย ถึงนายจะเรียกร้อง แต่ฉันไม่เชือดหมู"

"ถ้านายจะมาเชือด ฉันยอมเป็นยิ่งกว่าหมู"

เซี่ยอวี่เฉินส่ายหน้า เขาเผยอยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ฟังคำอธิบายตำแหน่งของนายบอดดำอีกนิดหน่อย เขากล่าวคำลาก่อนจะพับมือถือเก็บไป

"รับทราบครับ...ที่รัก"


×××


รถหรูจอดที่ริมถนน แพทย์ส่วนตัวของเซี่ยอวี่เฉินค้นหาพิกัดของนายแว่นดำผ่านตำแหน่งโทรศัพท์มือถือตามที่เจ้านายได้ให้รหัสสำหรับติดตามเครื่องเอาไว้ ไม่นานก็พบร่างที่นอนพิงหินอยู่ในป่าตามตำแหน่งที่เจ้านายระบุ

ชายหนุ่มชุดดำนอนนิ่งเหมือนงูจำศีล สภาพไม่ถึงกับเลือดอาบ แต่ก็บาดเจ็บไม่น่าดู โดยเฉพาะส่วนใบหน้า ตาข้างหนึ่งโดนกระจกแว่นดำแตกบาดเป็นแผลลึกเข้าไปถึงลูกตาเหมือนถูกอะไรอัดเข้าหน้ามา มีเลือดไหลเป็นทาง เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นดิน จนแม้แต่เสื้อหนังสีดำทะมัดทะแมงยังดูขะมุกขะมอมมอซอ

นายบอดดำใช้เวลาอยู่นานกว่าจะมีปฏิกิริยาต่อกลุ่มคนที่เดินมาหา อ่อนไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังฝืนแค่นยิ้มออกมา "เจ้านายพวกคุณไม่ได้มาด้วยหรือ?"

ทีมแพทย์ส่ายหน้า "แต่เขามีของมาให้คุณ"

นายแว่นดำขยับดันตัวลุกขึ้น แต่แพทย์รีบห้ามเขา บอกว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ อย่างไรก็ขอปฐมพยาบาลให้ปลอดภัยก่อน บาดแผลที่ตาร้ายแรง หากไม่รีบตาอาจบอดได้ นี่คือเรื่องสำคัญกว่า

ฟังถึงตรงนี้ นายบอดดำหลุดขำคิกคักออกมา แต่ก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใด ทว่าด้วยท่าทางเช่นนั้นของเขานั่นเอง กลับทำให้ทีมแพทย์ชะงักงันและประหม่ายิ่งกว่าเดิม

แพทย์ตรวจบาดแผลของเขา มีสีหน้าไม่สู้ดี "ขออนุญาตเสียมารยาท... 'เรื่องนั้น' ที่คุณชายกล่าวถึงคุณ เป็นเรื่องจริงหรือครับ" แพทย์คนหนึ่งกระซิบถามเขา

นายบอดดำผงกหัวขึ้น "หืม? เรื่องอะไร? เสี่ยวฮัวพูดอะไรถึงผมหรือ"

นายแพทย์คนนั้นก้มตัวลงกระซิบเสียงเบากว่าเดิม นายแว่นดำฟังแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะ พยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า ทั้งไม่ตอบรับ ทั้งไม่ปฏิเสธ

ท่าทีเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ ประกอบกับเสียงหัวเราะฮะฮะผิดกับสถานการณ์ตึงเครียด ทำเอาพวกที่กำลังปฐมพยาบาลรู้สึกอึดอัด แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป พวกเขาคีบเอาเศษกระจกที่แตกกระจายเสียบเต็มหน้าของชายหนุ่มออก ใช้ผ้าก็อซปิดตาของเขาข้างที่มีปัญหา แล้วรีบเร่งหามเขาขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาล

"นี่ พวกคุณ ตกลงว่าของที่คุณชายฝากมาให้ผมคืออะไรหรือ?" นายแว่นดำถามขึ้นระหว่างทาง สีหน้ายังคงประดับยิ้มแม้จะมีผ้าพันแผลปิดไปครึ่งหน้า

คนบนรถอ้ำอึ้ง คนข้างหน้าโบกมือให้คนข้างหลังหยิบของออกมาอย่างจนใจ มันเป็นถุงกระดาษห่อหนึ่ง ของข้างในเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก

"จะว่าอย่างไรดี...คุณชายบอกว่าคุณจะต้องคิดว่ามันสลักสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเราเปิดดู พวกเราก็ไม่อยากหลอกคุณ คุณดูเองเถอะ"

นายบอดดำคลำดูของข้างใน พอรู้ว่าเป็นอะไรก็ผิวปากหวือ มันคือแว่นตาดำพลาสติกสีสันสดใสสองอัน อันหนึ่งกรอบแว่นลายดอกทานตะวันบานแฉ่ง อีกอันลายทิวลิปทรงแบนๆ ชวนให้นึกถึงหน้าร้อน

"โอ้โหเฮะ คุณชายน้อยช่างใจดีและมากมายอารมณ์ขัน" เขาหยิบแว่นอันที่เป็นกรอบทานตะวันขึ้นส่องดู นอกจากนี้ยังมีกระดาษอีกแผ่นทิ้งข้อความเอาไว้

เมื่อเห็นข้อความนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มค้าง


หากนายต้องการเสี่ยวฮัว นายจะไม่ได้เสี่ยวฮัว จากเสี่ยวฮัว


เขาเพียงหัวเราะ "หมอนั่นเนี่ย...ใจดีจริงๆ ด้วยนะ"




+++

END
19/09/2014






Talk Time:

ฮัวเฮย แพริ่งตำหนักกระจกเงาของเฮยฮัวซึ่งเป็นคู่ฮอตอันดับสองของแฟนด้อมเต้ามู่ แต่ดันมีขนาดแปรผันผกผันกันซะงั้น ถามว่าแจวยากมั้ย ตอบเลยว่ามากกกกก OTL แค่เฮยฮัวก็แทบไม่มีเนต้าแล้ว นี่ดันสติกลับ อยากชิพฮัวเฮยที่ทรัพยากรฟิคกับแฟนอาร์ตน้อยมาก เข้าขั้นเรือล่องหน (รู้ว่ามี แต่หาไม่เจอ *สาดน้ำตา*)

ค่ะ... เพราะฉะนั้นจึงเข้าคอนเซปต์เดียวกับที่เปิดทวีตเปิดบลอคนี้มา "ไม่มีให้เสพก็ผลิตเองจ้า" *แปลงร่างเป็นด้วงโฮมเมด ชวิ้งๆๆๆ* อนึ่ง แต่ฮัวเฮยเฮยฮัวคงไม่มีลงในรวมเล่มนะคะ เพราะตั้งใจจะเขียนเล่นๆ ช่วงพักมือจากผิงเสีย อาจได้เห็นสองคนนี้ส่งข้อความตบมุกกันไปวันๆ มากกว่า คงไม่สามารถคาดหวังสาระกิ๊วก๊าวอันใดได้เท่าฟิคเรือหลักผิงเสีย (ฮา)

คนที่ตามบลอคนี้มาตั้งแต่แรกๆ อาจจะเห็นแดรบเบิ้ลที่เป็นเฮยฮัวมาก่อน ขอสารภาพตรงนี้ว่าสำหรับสองคนนี้ จริงๆ แล้วเราเป็น "ฮัวเฮยฮัว" ค่ะ คือชิพแบบไหนก็ได้ แต่เอนเอียงไปทางฮัวเฮยเล็กน้อย เพราะชอบเสี่ยวฮัวเป็นเสะเมะ และชอบนายแว่นดำเป็นอุเคะ ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่นอกจากรู้สึกว่ามันก๊าวอ่ะ ก๊าว ( /w\) (← เหตุผลไม่ใช่เหตุผลเอาซะเลย!)

และอย่างที่เพื่อนด้วงหลายคนทราบกันแล้ว ว่าคู่นี้ (ไม่ว่าจะเรียงหน้าหลังยังไง) เป็นคู่ฟีลเตอร์แผ่นเปลือกโลกของด้วงจีน คือเนต้าในเรื่องออฟิเชียลน้อยยังกับวิญญาณปูในแท่งปูอัด แต่เขาก็แจวของเขาไปได้นะ ส่วนทางนี้...ให้เขียนขำๆ แบบแดรบเบิ้ลเก่าน่ะพอได้นะคะ แต่เรื่องลงเรือแจวเต็มพิกัดนี่ไม่เค้ยไม่เคยคิ้ดดด...จนอ่านถึงเล่ม 8 ไทยเท่านั้นแหละ *ทรุดล้มแปะกับพื้น* บ้าจริง! นะ นี่มัน...ผู้ชายที่รักใครไม่ได้ กับผู้ชายไม่คิดจะรักใคร โคจรก็ไม่เห็นจะโคจรมาเจอกัน ...มิน่าล่ะถึงไม่มีเนต้า!

ถูกต้องแล้ว! ไม่มีเนต้า ก็เขาไม่ได้รักกันแหงๆ! ...ก็เลยลงเรือ "แบบนี้" มาซะแล้วล่ะค่ะ แหะๆ นี่คิดเล่นๆ ว่าที่เสี่ยวฮัวติดมือถือ อาจจะกำลังมัวตบมุกป้อคำหวานกับนายแว่นดำอยู่ ヾ(*´∀`*)ノ (ห้ามถามว่าสติอยู่ตรงไหน มีก้อนมโนลอยตุ๊บป่องอยู่ครึ่งนึงของพื้นที่สมองค่ะ เบียดสติตกหายไปแล้ว แอ๊)

ส่วนถ้าให้ถามนายแว่นดำ แว่นดำก็คงตอบแบบเดียวกับที่ตอบเสี่ยวเหมิงเหมิงใน "[AU Daomu-High] ไม่ชัดเจน" นั่นละค่ะ สองคนนี้เขาเป็นแค่เพื่อนเล่นกัน แบบไม่ชัดเจน *แค่กๆ* นั่นแหละน้า~

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] ไม่ชัดเจน

 

"005. ไม่ชัดเจน"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (คู่หลัก) , 黑盟 เฮยเหมิง  + รวมมิตรตัวละคร

ตอนก่อนหน้า:
ภาคชมรมคัดอักษร ชมรมของผม || หัวหน้าห้องแซ่จาง || ลูกน้องหกร้อยหยวน
ภาคตำนานเรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด ปฐมบท
ภาคการฝึกตนของท่านประธาน นายแว่นดำ || นายแว่นดำ VS ลูกพี่อู๋


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



นายบอดดำได้รับเมล็ดทานตะวันมาถุงใหญ่จากนักเรียนที่เขาช่วยทำแผลให้เมื่อหลายวันก่อน

เป็นอาจารย์ห้องพยาบาลจะว่าสบายก็สบาย จะว่าลำบากก็ลำบาก วันดีคืนดีนักเรียนเกิดไปแตะถูกกลไกประหลาดในโรงเรียน เกิดมีขนขาวงอกทั่วตัวจนต้องโร่มาให้เขารักษาก็บ่อยไป แต่โชคดีวันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันอันเงียบสงบ

นายบอดดำคว้าถุงเมล็ดทานตะวันขึ้นมา พลางยิ้มน้อยๆ

...เมล็ดทานตะวันก็ต้องให้หนูแฮมสเตอร์

ว่าแล้วเขาก็พาตัวเองออกจากห้องพยาบาล เดินสาวเท้าฮัมเพลงตรงไปยังห้องของชมรมคัดอักษร ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เขาก็เห็นอู๋เสียยกสองมือขึ้นตั้งการ์ดทันที จางฉี่หลิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งเหม่อต่อ

...แต่ไม่เห็นวี่แววของสมาชิกคนที่สาม

"อ้าว หนูน้อยไปไหนเสียแล้วล่ะ?" เขาเอ่ยถามเมื่อไม่เจอคนที่ต้องการ

"หนูไหน" อู๋เสียถามกลับ สายตาจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง

"เสี่ยวเหมิงเหมิง (เหมิงเหมิงน้อย) ไง" นายบอดดำพูดพลางยิ้มกว้าง ชื่อนี้เขาเพิ่งคิดได้เมื่อครู่ อันที่จริงคือนึกแซ่ของคนที่เอ่ยถึงไม่ออก จำได้ว่าค่อนข้างโหล หวัง? หลี่? หรือหลิว? ที่แน่ๆ ไม่ใช่จาง อันที่จริงเหมิงใช้อักษรตัวไหนเขาก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ

ฟัง 'เสี่ยวเหมิงเหมิง' แล้วท่านประธานอู๋ทำหน้าเหมือนอยากสำรอกอาหารกลางวันออกมา ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเห็นแล้วตลกดีจึงจำไว้ว่าคราวหน้าต้องเรียกแบบนี้อีก

"หมอนั่นไม่รู้หายไปไหน" ท่านประธานชมรมตอบ ขณะไม่ละสายตาไปจากสองมือของนายบอดดำ ซึ่งในฐานะอาจารย์แล้ว เขาค่อนข้างพอใจที่ลูกศิษย์รู้จักระมัดระวังตัว ไม่เสียแรงที่ฟาดเอาๆ จริงๆ ระหว่างท่านอาจารย์กำลังชื่นชมศิษย์อยู่นั้น เจ้าตัวก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงขุ่นๆ "นายมีอะไร"

"ก็ว่าจะมาให้อาหารเสียหน่อยน้า แต่ไม่อยู่ก็ช่างเถอะ" นายบอดดำเทเมล็ดทานตะวันกองหนึ่งไว้บนโต๊ะข้างๆ ที่นั่งของจางฉี่หลิงที่ปรายตามองเขาเล็กน้อย "แบ่งให้พวกนายก็แล้วกัน"

พูดจบเขาก็ซัดขว้างเมล็ดทานตะวันเมล็ดหนึ่งใส่ท่านประธานอู๋ที่เผลอวางใจว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มารังแกตัวเอง ร่างของอู๋เสียกระเด็นไปด้านหลังพร้อมเสียงโหยหวน "จ๊ากกกกกกกกกกกกกก"

นายบอดดำจุ๊ปาก "บอกแล้วไงว่าอย่าประมาทศัตรูน่ะ นายนี่เผลอไม่ได้เลย"

อู๋เสียกุมศีรษะบวมปูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า "โว้ยยยย ต่อไปนายห้ามเข้าใกล้ชมรมคัดอักษรในรัศมีสิบ ไม่สิ ร้อยเมตร...ฉี่หลิง ถ้าหมอนี่ยังมาอีกก็จัดการซะ"

จางฉี่หลิงที่นั่งเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับการถูกเรียกเช่นนั้น เขาเหม่อแบบนั้นสักพัก จากนั้นก็หันมามองนายบอดดำ...จิตสังหารพวยพุ่งชัดเจนจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลางเอ่ยอย่างเชื่องช้า "จะให้จัดการเขาตอนนี้เลยไหม"

ไม่รอให้ท่านประธานอู๋เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ นายบอดดำก็เผ่นแผล็วไปจากห้องชมรมคัดอักษรเรียบร้อย กับจางฉี่หลิง หากสู้กันจริงจัง ทางเดียวที่จะชนะคือยอมตายตกไปตามกันเท่านั้น ซึ่งนายบอดดำไม่ขอตายร่วมกับคนน่ากลัวแบบนี้เป็นอันขาด


xxx


หลังเดินวนเวียนรอบโรงเรียน ในที่สุดเขาก็เจอหวังเหมิง

ที่แท้แล้วเจ้าหนูแฮมสเตอร์กำลังนอนอาบแดดอยู่ ช่วงนี้เข้าหน้าหนาว หวังเหมิงสวมเสื้อหนาวเก่าๆ ตัวหนึ่ง นอนขดตัวนิ่งๆ หลับเป็นตาย เห็นแล้วชวนให้ผู้คนรู้สึกขบขัน นายบอดดำเดินตรงเข้าไปใกล้ ทีแรกคิดว่าหวังเหมิงจะไม่ตื่น แต่กลับคิดผิด ดวงตาปรอยปรือลืมขึ้นมองเขา "เสียจื่อ?"

พอเห็นว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้จัก หวังเหมิงก็กลับไปนอนต่อ ก่อนนี้หวังเหมิงโดนกลั่นแกล้งใช้เป็นกระเป๋าน้ำร้อนเสียจนจากที่เขากลัว 'ลูกพี่ใหญ่' คนนี้แทบเป็นแทบตาย ลดเหลือแค่ระดับ 'พวกชอบกลั่นแกล้ง' เท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนเขาก็โดนเป็นประจำ วิธีรับมือคือหนีได้ก็หนี หนีไม่ได้ก็ยอมอยู่นิ่งๆ โดนรังแกไป พอเขาไม่ร้องไห้คร่ำครวญ เดี๋ยวพวกนั้นก็เบื่อเอง

นายบอดดำนั่งลงข้างๆ จากนั้นก็ส่งถุงเมล็ดทานตะวันให้ "ฉันเอามาฝาก"

หวังเหมิงกะพริบตาสองสามที ก่อนยันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นก็รับถุงของกินมา ก่อนหน้านี้นายบอดดำเคยบังคับลูกพี่เขากินขนมชุดใหญ่มากชนิดที่เจ้าตัวบ่น "แม่ง เบาหวานแดกแหง" โดยบอกว่าเป็นหนึ่งในการฝึก ช่วงนั้นหวังเหมิงเลยได้รับอานิสงส์เรื่องของกินมาด้วย แรกๆ เขากลัวแบบเพ้อเจ้อไปเองในระดับที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะใส่ยาพิษในขนม แต่ผ่านไปได้สักพัก เขาก็พบว่ามันเป็นแค่ความคิดไร้สาระสิ้นดีของตัวเอง

หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งเงียบๆ หวังเหมิงค่อยๆ แกะเปลือก พลางส่งเมล็ดทานตะวันเข้าปาก

อากาศในวันนี้กำลังสบาย แสงแดดสาดส่องทำให้รู้สึกอบอุ่น ไม่ถึงขั้นต้องขดตัวด้วยความหนาว เขาสองคนนั่งเงียบๆ มองผู้คนเดินผ่านไปมา หวังเหมิงไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ คนที่หวังเหมิงพอจะรู้ว่าเป็นใครก็มีแค่รุ่นพี่แซ่หวังหรือพี่อ้วนหวัง เพื่อนสนิทของลูกพี่ที่เดินลิ่วๆ ตามรุ่นน้องสาวชาวเย้าลูกสาวลุงร้านขายข้าวที่โรงอาหารไปโดยไม่สนใจพวกเขา กับรุ่นพี่อาหนิงที่มาพร้อมกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติที่เขาจำชื่อไม่ได้สักคน แต่เคยติดตามลูกพี่ไปนั่งดื่มด้วยกัน รุ่นพี่แซ่ซุ่นที่เป็นลูกครึ่งเกาหลีที่เดินก้มหน้าก้มตาไม่ทักไม่ทายใคร อ้อ...มีลุงภารโรงหน้าบูดที่ลูกพี่เขาชอบล้อเป็น "เมินตัวพ่อ" อีกคน

แต่คนข้างตัวดูเหมือนจะมีคนรู้จักเต็มไปหมด สองในสามของนักเรียนที่เดินผ่านต้องโบกมือทักทายเขา

"เจ้าหนุ่มนั่นเคยโดนหน้ากากจิ้งจอกเกาะหลัง แงะตั้งนานกว่าจะออก"

"ส่วนแม่หนูคนนั้นเคยถูกวานรสมุทรกัดจนขาเป็นแผลเหวอะไปหมด"

"หมอนั่นโดนหนอนกู่"

"คนนั้นสู้กับผีแม่ย่า"

"แล้วก็..."

ฯลฯ

ระหว่างยิ้มรับให้นักเรียน อาจารย์พยาบาลผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสก็เล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้จักแต่ละคนไปด้วย หวังเหมิงฟังแล้วรู้สึกว่าแค่เป็นหวัดสมควรนอนให้หายเองมากกว่าไปห้องพยาบาลจริงๆ

นั่งฟังคนบรรยายไปพลางแทะเมล็ดทานตะวันไปเรื่อยก็เพลินดี หวังเหมิงคิด เขามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา...นึกไม่ออกสักคน จนกระทั่งเห็นอาจารย์อู๋ซันเสิ่งและอาจารย์พานจื่อที่แทบจะเดินตามกางร่มให้พร้อมหิ้วกระติกน้ำร้อนและสารพัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเต็มอ้อมแขน เขาจึงค่อยรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่แดนสนธยาที่ตัวเองหลุดมา

"อาจารย์สาม เมล็ดทานตะวันไหม" นายบอดดำร้องทักฝ่ายนั้น อู๋ซันเสิ่งมองเขาพลางโบกมือ "ไม่มีเวลามาคุยกับนายแล้ว" จากนั้นก็รีบจ้ำไม่หยุด แต่แล้วกลับคิดอะไรได้ เดินย้อนกลับมายัดของบางอย่างใส่มืออีกฝ่าย "ถ้าใครถามถึงฉัน บอกว่าไปอีกทางหนึ่ง โอเคนะ"

จากนั้นก็รีบวิ่งหายไปทางสวนหลังโรงเรียน

สักพักก็มีอาจารย์อู๋...หวังเหมิงกะพริบตา ไม่สิ โรงเรียนนี้มีอาจารย์หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว คนหนึ่งอู๋ คนหนึ่งเซี่ย วิธีเดียวที่พวกนักเรียนจะแยกออกคือมองหาอาจารย์พานจื่อแฟนพันธุ์แท้อู๋ซันเสิ่งที่คอยติดสอยห้อยตามเท่านั้น คนคนนี้เดินมาตัวเปล่า แปลว่าคืออาจารย์เซี่ยเหลียนหวน ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาหาพวกเขา จากนั้นก็ถามนายบอดดำ "เห็นอู๋ซันเสิ่งไหม"

นายบอดดำยิ้มๆ พลางชี้ไปทิศทางตรงข้ามกับที่อาจารย์อู๋ซันเสิ่งเดินไป แต่อาจารย์เซี่ยเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย เดินตรงไปอีกทาง นายบอดดำร้องถาม "ทำไมถึงรู้ล่ะครับ"

"ในมือนายมีหนังสือโป๊รสนิยมหมอนั่นอยู่...ยังต้องถามอีกเหรอ" อาจารย์เซี่ยตอบ พลางเดินดุ่มๆ ไปยังสวนหลังโรงเรียน ผ่านไปเกือบชั่วน้ำร้อนเดือด พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าอนาถดังกึกก้อง

ภายหลังว่ากันว่านักเรียนบางคนเห็นก้อนหินที่สวนหลังโรงเรียนสลักอักษรเลือดสี่แถว

ตาย  อู๋     ทำ     เซี่ย
ตา    ซัน   ร้าย   เหลียน
ไม่    เสิ่ง   ฉัน    หวน
หลับ

ชนรุ่นหลังได้แต่งุนงง...ข้อความกำกวมไม่ชัดเจน ไม่รู้ควรอ่านซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย แล้วใครมันทำร้ายใครกันแน่

ครั้นลับหลังอาจารย์เซี่ย โลกก็กลับคืนสู่ความสงบสุขได้เพียงชั่วครู่ เพราะไม่นานนักอาจารย์อู๋หมายเลขสองหรืออู๋เอ้อร์ไป๋ก็เดินมาหาพวกเขา หวังเหมิงเกร็งตัว พลางเขยิบไปหลบหลังเฮยเสียจื่อโดยไม่รู้ตัว ในบรรดาสามอาจารย์สกุลอู๋ เขากลัวอาจารย์รองอู๋มากที่สุด อาจารย์รองสอนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเขากับลูกพี่ต่างก็ไม่ได้เรื่องด้วยกันทั้งคู่ โดนดุเป็นประจำ

อาจารย์รองเดินเข้ามาขอหนังสือโป๊ในมือของนายบอดดำ แลกกับซาลาเปาร้านดังที่เขาถือติดมือมาด้วย นายบอดดำยินยอมส่งให้แต่โดยดี จากนั้นก็หยิบเอาไฟแช็คขึ้นมาจุดเผาหนังสือโป๊เล่มดังกล่าวในทันที จวบจนหนังสือมอดไหวหมดจึงดันแว่น พลางถามเขาด้วยเสียงเย็นๆ "เหล่าซานกับเสี่ยวหวนล่ะ?"

คราวนี้นายบอดดำชี้ไปทางที่ถูกต้องโดยไม่มีอิดออก ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ ก่อนสาวเท้าตรงไปทางสวนหลังโรงเรียนด้วยท่าทางมั่นคง

หวังเหมิงค่อยๆ ชะโงกผ่านไหล่อีกฝ่าย มองอาจารย์รองอู๋เดินจากไป ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมรับซาลาเปาที่นายบอดดำแบ่งให้มากัด...อื้ม อร่อยสมเป็นเจ้าดัง

แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจหายคอดี อาจารย์อู๋คนที่สามแต่เป็นอู๋หมายเลขหนึ่งก็เดินตรงมาทางพวกเขา อาจารย์อู๋หมายเลขหนึ่งสอนวิชาสังคม เน้นพวกธรณีวิทยา ในบรรดาสามพี่น้อง แม้จะขี้บ่นจุกจิกไปบ้างแต่อาจารย์อู๋หมายเลขหนึ่งถือว่าอยู่ด้วยแล้วปลอดภัยต่อชีวิตมากที่สุด

ฝ่ายนั้นเดินดุ่มๆ มา ทีแรกคิดว่ามาหานายบอดดำ แต่ฝ่ายนั้นกลับเบือนหน้ามาทางหวังเหมิง จากนั้นก็ส่งกล่องข้าวให้ "ฝากให้ไอ้ลูกไม่รักดีหน่อย บอกมันมีเวลาก็หันไสหัวมาดูหน้าพ่อบ้าง"

จากนั้นอาจารย์อู๋หมายเลขหนึ่งก็เดินจากไป...หวังเหมิงกอดกล่องข้าวเอาไว้ อาจารย์อู๋หมายเลขหนึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของลูกพี่อู๋ของเขา สองคนนี้ถึงจะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นห่วงกันและกันอยู่ดี

"แหม วันนี้ได้ครบหนึ่ง สอง สาม เลยนะ" นายบอดดำหัวเราะ "โอ๊ะ ได้หมายเลขห้าด้วย"

ที่แท้อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพร้อมภรรยาพาสุนัขออกมาเดินเล่นเป็นพรวน อาจารย์ใหญ่ถูกเรียกว่าอู๋เหลาโก่ว ในเก้าตระกูลบอร์ดบริหารโรงเรียนถือเป็นตระกูลลำดับที่ห้า หลายคนจึงเรียกท่านว่าอาจารย์ใหญ่ห้า

โชคดีที่อาจารย์ใหญ่ไม่ได้ตรงมาหาพวกเขาแบบลูกๆ แต่มือหนึ่งจูงภรรยา อีกมือกวักเป็นสัญญาต้อนสุนัขเดินไปเรื่อยๆ เจอนักเรียนก็ยิ้มทักทาย บรรยากาศดูชื่นมื่นไปหมด

ทว่านายบอดดำกลับยิ้มเมื่อเห็นว่าทิศทางที่อาจารย์ใหญ่เดินไปมีขบวนของอาจารย์ย่าฮั่วกำลังเดินสวนมา เขาผิวปากหวือ "งิ้วมาแล้ว"

"?" หวังเหมิงที่สายตาไม่ดีเท่าอีกฝ่ายได้แต่สงสัย ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าระงมไปหมด ทำเอาสะดุ้งโหยง คนข้างตัวโอบไหล่พลางตบแปะๆ ปลอบใจ แต่หวังเหมิงดันตัวออก

ถัดจากอาจารย์ใหญ่อู๋ อาจารย์อื่นๆ ที่เป็นหัวหน้าของเก้าตระกูลทั้งหลายต่างก็ปรากฏตัวกันให้ว่อน แม้แต่อาจารย์เฉินที่ไม่ค่อยชอบออกมาเดินปะปนกับนักเรียนยังมาในชุดบุผ้านวมกันหนาว ทำเอาหวังเหมิงสงสัยว่าวันนี้มันวันอะไรกันแน่ ครั้นมองไปที่คนข้างตัว ฝ่ายนั้นก็ยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกัน

ครั้นเมื่อคิดว่าโลกคงสงบสุขแล้ว คุณชายเชิ้ตชมพูที่สวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีขาวก็เดินผ่านพวกเขาไป เมื่อสังเกตเห็นพวกเขาก็หันมายิ้มจางๆ ให้ คนข้างตัวของหวังเหมิงยกมือขึ้นโบกพร้อมรอยยิ้มกว้าง

หวังเหมิงเหลือบมองอีกฝ่าย หลังจากที่รู้ว่าเป็นอาจารย์ห้องพยาบาล เขาจึงค่อยนึกออกว่าก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนี้มีข่าวลือในเชิง 'อย่างว่า' กับคุณชายเชิ้ตชมพูคนงามประจำโรงเรียน ซึ่งไอ้ 'อย่างว่า' ที่ว่าเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เพราะเท่าที่หวังเหมิงสังเกต เขาพบว่าสายตาของคุณชายเก้าคนงามมักมองมาทางลูกพี่ของตนเสมอ...แต่ดูเหมือนลูกพี่จะไม่ทันสังเกต

ลับร่างของเซี่ยอวี่เฉิน หวังเหมิงก็เอ่ยถามขึ้นมา "ตกลงข่าวลือนั่นจริงไหม"

"ข่าวลือ? อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ" นายบอดดำหัวเราะร่วน "เอ...ว่ายังไงดีน้า...ก็...นายคิดว่าไงก็แบบนั้นแหละ"

"แล้วคุณชอบเขาหรือเปล่า" หวังเหมิงถามต่อ ก่อนจะปรับคำพูด "แบบรักน่ะ"

"เห เปล่านี่...พวกเราอย่างมากก็แค่เล่นสนุกกันตามประสา" เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะแสร้งหยอก "สนใจเหรอ เหมิงเหมิง...น่าดีใจน้า~"

หวังเหมิงมองใบหน้ายิ้มๆ ของเขา จากนั้นก็ส่ายศีรษะ "น่าสงสาร"

"เอ๋"

"คุณเนี่ย น่าสงสารนะ ผมนึกว่าอย่างน้อยคุณกับคุณชายเก้าจะมีความสัมพันธ์ต่อกันบ้าง แต่ท้ายที่สุด...คุณก็ไม่รักใครเลยสักคน"

ดวงตาของคนพูดทำให้เขารู้สึกจุกอย่างน่าประหลาด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเช่นอู๋เสีย หมอนั่นจะมองเขาด้วยสายตา 'หมอนี่มันเพี้ยน' ถ้าเป็นจางฉี่หลิง...นั่นยิ่งมองเขาแบบอากาศธาตุ แม้แต่อาจารย์คนอื่นๆ ด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็แค่มองด้วยสายตาสมเพชบ้าง เอือมระอาบ้าง หรือต่อให้เซี่ยอวี่เฉินคนนั้นก็เถอะ...ดวงตาคู่นั้นยามมองเขา ไม่เคยสะท้อนความรู้สึกแบบนี้ อันที่จริงมันไม่เคยสะท้อนความรู้สึกอะไร

หากจะมี เขาก็มองเห็นเพียงเงาเลือนๆ ของประธานแซ่อู๋แห่งชมรมคัดอักษรซ้อนทับอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ภาพนั้นแม้ไม่ชัดเจน แต่เขาก็มองเห็นมันอยู่ตลอดเวลา

แต่คนตรงหน้าเขาไม่เหมือนกัน ดวงตาคู่นั้นส่งผ่านความสงสารออกมาอย่างชัดเจน

เขาคล้ายรู้สึกขมขื่นกว่าปกติ บางทีอาจเพราะคล้ายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงพลังอำนาจที่ถูกสัตว์เล็กตัวกระจ้อยร่อยมองด้วยความสงสาร

น่าสงสาร...เขาน่ะหรือ

"เฮ้ ถ้าฉันน่าสงสาร แล้วพ่อหนุ่มใบ้จาง ไม่สิ จางฉี่หลิงนั่นล่ะ?" เขาถามกลับ อันที่จริงปกติแล้วเขาควรจะยิ้มรับ แต่ครั้งนี้เขากลับยิงคำถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

"หัวหน้าห้องจาง? คนคนนั้นมีอะไร" คนถูกถามไม่เข้าใจ

"หมอนั่นน่ะไม่รู้จักความเจ็บปวดด้วยซ้ำ" นายบอดดำเอ่ย เมื่อนานมาแล้วเขาเคยเทียบตัวเองกับคนในตระกูลจาง จากนั้นก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาอยางประหลาดว่าอย่างน้อยคนแบบเขาก็ไม่ใช่ปีศาจไม่เจ็บไม่ปวดราวกับหินผาแบบนั้น

"แต่เขารู้จักที่จะรัก" หวังเหมิงตอบเสียงเรียบขณะส่งเมล็ดทานตะวันเข้าปากตัวเอง "หัวหน้าจางแค่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ไม่พูดออกมาด้วยคำพูด แต่ผมว่าเขารู้จักนะ...ความรักน่ะ"

"ฉันก็รู้จักนะ" ใบหน้าของนายบอดดำกลับมามีรอยยิ้มเลื่อนเปื้อนอีกครั้งหนึ่ง

"แต่คุณกลัวที่จะรัก"

"กลัว...ฉันเนี่ยนะ" ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคลายลงเล็กน้อย

"อื้อ" หวังเหมิงพยักหน้า อากาศหนาวทำเขาห่อไหล่ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยชอบขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวให้เปลืองพลังงานเท่าไหร่ แค่พูดเยอะๆ ก็รู้สึกง่วงแล้ว เขาว่าพลางหาววอดออกมา "เพราะงั้นถึงน่าสงสารไง...ฮ้าว"

ยังไม่ทันพูดจบ หวังเหมิงก็ชะงักด้วยสิ่งที่คล้ายกับจิตสังหารพวยพุ่งออกมาจากร่างของฝ่ายตรงข้าม เขาสะดุ้งโหยงจนเกือบทำเมล็ดทานตะวันหล่น ทว่านายบอดดำไม่ได้ทำอะไรเขา เพียงแค่มองมา ใบหน้านั้นปราศจากรอยยิ้มเหมือนทุกที

เดิมทีคนขี้ขลาดอย่างหวังเหมิงเตรียมทิ้งของแล้วหนีไป แต่ครั้งนี้เขากลับเปลี่ยนใจ เลือกที่จะรวบรวมความกล้า เอื้อมมือเข้าไปหาอีกฝ่ายที่เกร็งตัวจนเขาถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ถึงกระนั้นหวังเหมิงก็เลือกที่จะแตะมือของตนเองลงบนหลังมือของอีกฝ่าย

"เสียจื่อ" หวังเหมิงทอดเสียงขณะคว้ามือนายบอดดำขึ้นมาให้แบมือค้างไว้ จากนั้นก็แกะเมล็ดทานตะวันวางบนฝ่ามือเขาทีละเมล็ด "...กินเถอะ เอาไว้อิ่มท้อง คุณค่อยคิดเรื่องความรักก็ได้"

นายบอดดำมองคนที่นั่งแกะเมล็ดทานตะวันวางให้เขาทีละเมล็ดอย่างตั้งอกตั้งใจ เมล็ดทานตะวันแสนอร่อย วันนี้กลับฝืดคอ

ระหว่างที่พวกเขานั่งกินกันเงียบๆ จู่ๆ หวังเหมิงก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงยานคาง "ว่าแต่ ทำไมคุณถึงใส่แว่นดำนะ?"

"เพราะแบบนี้ฉันมองเห็นได้ชัดกว่า" เขาเอ่ยตอบตามความเคยชิน ก่อนจะเตรียมตั้งรับทันทีที่รู้สึกว่ามีคนยื่นมือพุ่งใส่ใบหน้า ทว่าฝ่ายตรงข้ามคือหวังเหมิงที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน เขาจึงหยุดและรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

หวังเหมิงค่อยๆ ดึงแว่นตากันแดดของเขาออก พับเสียบในกระเป๋าเสื้อให้เขา จากนั้นก็หันกลับไปแทะเมล็ดทานตะวันต่อ

"มองโลกไม่ชัดบ้างก็ได้" เขาเอ่ย "บางทีเพราะคุณมองชัดเกินไป ถึงได้กลัว"

คำพูดนั้นคล้ายแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง นายบอดดำหัวเราะออกมาเบาๆ "นั่นสินะ...ไม่ชัดบ้างก็ดี"


xxx


ฝ่ายท่านประธานอู๋ หลังลับร่างของนายบอดดำ เขาก็คลำหัวปูดๆ ของตนเองด้วยความแค้นใจ รอยปูดก่อนนี้ที่หมอนั่นฝึกวิชาให้เขายังไม่ทันยุบดีก็โดนฟาดอีกแล้ว นี่เขาคิดว่าสมองเขาป่านนี้คงเละเป็นน้ำไหลออกทางจมูกหมดแล้ว

"อู๋เสีย" เสียงเรียกของจางฉี่หลิงทำให้เขาหลุดจากภวังค์ ที่แท้แล้วเมล็ดทานตะวันเกือบทั้งหมดถูกแกะเปลือกเรียบร้อยพร้อมกิน อู๋เสียมองสองนิ้วที่ยาวกว่าปกติของจางฉี่หลิงขยับอย่างรวดเร็วด้วยความทึ่ง

ที่แท้แล้วนิ้วยาวๆ นั่นไว้แกะเมล็ดทานตะวัน...น่าทึ่งจริงๆ อู๋เสียกะพริบตาปริบๆ ขณะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ จางฉี่หลิง แทะเมล็ดทานตะวันที่มีคนแกะให้แล้วอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมมองคนแกะไปพลางๆ "ฉี่หลิง นายนี่มันเป็นเซียนแกะเมล็ดทานตะวันจริงๆ"

ทันทีที่เขาเรียกอีกฝ่าย มือที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วของจางฉี่หลิงก็ชะงัก เมล็ดทานตะวันกระเด้งหลุดจากมือ ฟาดเข้าที่หน้าผากของอู๋เสียตรงจุดเดิมที่นายบอดดำทำไว้ "โอ๊ยยยย!"

ท่านประธานอู๋กลิ้งโคโล่ พลางตะเบ็งเสียง "จางฉี่หลิง! นายไม่พอใจฉันก็บอกมาดีๆ ก็ได้โว้ย ไม่ต้องลอบทำร้ายกันแบบนี้"

จางฉี่หลิงลุกจากที่นั่ง ก่อนขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่กุมศีรษะที่มีรอยแดงแจ๋ จากนั้นก็...เป่าเบาๆ

"..." ประธานอู๋ชะงักค้าง คำด่าทอบรรพบุรุษตระกูลจางทั้งหมดกระเด็นหายไปพร้อมแรงเป่า อันที่จริงสติสัมปชัญญะของเขาก็กระเด็นตามไปด้วยเป็นที่เรียบร้อย

"ยังเจ็บอยู่ไหม" เสียงทุ้มต่ำถามเขา สีหน้าของคนถามยังคงเหมือนเดินคือนิ่งเฉยราวกับปลาตาย อู๋เสียไม่แน่ใจว่าคำถามนี้ควรจะแปลความว่าอย่างไร แต่เขาก็เผลอพยักหน้าไป

ทันทีที่พยักหน้า เขาก็สัมผัสได้ถึงลมร้อนๆ อีกครั้ง จางฉี่หลิงเอื้อมมือมาจับรวบผมหน้าของเขาขึ้น จากนั้นก็เป่าฟู่ๆ หากเป็นปกติอู๋เสียคงด่าไปแล้วว่าเห็นเขาเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร แต่เพราะตอนนี้เขาไม่ปกติ ไม่ปกติมากๆ บางทีสมองคงเป็นน้ำไหลออกทางจมูกไปหมดตั้งแต่ฝึกวิชากับนายบอดดำนั่นแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้เขาได้แต่นั่งบื้อ ดูคนที่เป่ารอยปูดบวมให้เขา

หลังจากนั้นเมื่อมีโอกาส เขาจึงลองถามอีกฝ่าย "นายไปเรียนมาจากไหน"

จางฉี่หลิงยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ทำเอาอู๋เสียอยากควักโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายเก็บไว้ หลังยิ้มค้างสักพัก เขาจึงตอบ "แม่ฉัน"

อู๋เสียกะพริบตา ตกเย็นกลับหอ ระหว่างอาบน้ำเขาลองจินตนาการ 'แม่' ของหัวหน้าห้องแซ่จาง จะเป็นสาวงามแบบไหนกันหนอ...ถึงครุ่นคิดเช่นนั้น แต่สุดท้ายเขาก็นึกออกเพียงใบหน้าของนายเมินโหยวผิงเรือพ่วงในชุดกี่เพ้า

แม่ม่ายเรือพ่วง...ลูกชายเป็นเรือพ่วง (ลูกติด)... อู๋เสียคิดซ้ำๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะ ไร้สาระ!

แต่กี่เพ้าไม่เลว...ไม่เลวเลยจริงๆ เอาไว้งานวัฒนธรรมโรงเรียน สมาชิกชมรมคัดอักษรใส่ชุดกี่เพ้าก็ไม่เลว คราวนี้ต่อให้ต้องคุกเข่าของบประมาณจากอาสาม ท่านประธานอู๋ก็ยินยอม หรืออย่างแย่เขาจะโทรไปขอร้องยัยหนูฮั่วซิ่วซิ่ว เชื่อว่าแม่หนูนั่นคงพอมีทางช่วยเหลือ

จางฉี่หลิงกี่เพ้าเป็นเรื่องหลัก ส่วนไอ้สมาชิกที่เหลือนั่นก็ถือว่าของแถมก็แล้วกัน

พูดไปแล้ว งานวัฒนธรรมโรงเรียน? เหมือนมีอะไรสักอย่างที่เขานึกไม่ออก...คลับคล้ายคลับคลาว่าใครสักคนบอกจะกลับมาวันนั้น แต่ใครกันนะ...ช่างเถอะ ท่านประธานอู๋กลับไปคิดถึงแผนกี่เพ้าของตัวเองต่อ

ช่วยไม่ได้ จินตนาการอย่างเดียวมันเห็นภาพไม่ชัดเจน อย่างไรเสียก็ต้องใส่จริงถึงจะดี

สีแดงไม่น่าเหมาะ...สีน้ำเงินน่าจะดีกว่า

ท่านประธานอู๋วาดแผนในใจอย่างมั่นเหมาะ พลางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังในห้องน้ำ ลูกน้องหกร้อยหยวนที่กำลังหลับฟุบคาการบ้านถึงกับสะดุ้งโหยง พลางมองไปทางห้องน้ำที่พวกเขาใช้ร่วมกันอย่างหวาดๆ

...ลูกพี่หัวเราะแบบนี้ทีไร ไม่รู้ทำไม เขาซวยด้วยทุกงาน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของท่านประธานอู๋แห่งชมรมคัดอักษร...เซี่ยอวี่เฉินกำลังคุยโทรศัพท์กับฮั่วซิ่วซิ่วเรื่องคอสตูมงานโรงเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ในฐานะประธานจัดงานวัฒนธรรม...สั่งหัวหน้าแต่ละชมรมใส่ชุดอะไรดีนะ?


+++

TBC
15/09/2014






Talk Time:

ขอต่อ แฮ่กๆ

ไม่ได้เขียนถึงท่านประธานเหมา เอ๊ย ประธานอู๋เสียคู่กับหัวหน้าห้องแซ่จางเสียนานเลย อิ คิดมานานแล้วว่าอยากให้เปลี่ยนชื่อเรียกบ้าง เรียกเล่นๆ ว่าเมินโหยวผิงในใจนี่โอเคนะ แต่อยากให้เรียกอย่างอื่นบ้างนี่นา *บอกแล้วว่าไหนๆ เขียนฟิคเป็น AU ทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม*

อนึ่ง เสียจื่อ (=นายบอด) มาจาก เฮยเสียจื่อ แต่ทับศัพท์ไทยแล้วไม่น่ารักนี่นา *งอแง* อันนี้เห็นคนจีนเขาเรียกกันในฟิคเฮยเหมิงทางโน้น ตอนอ่านว่าเสียจื่อแล้วรู้สึกน่ารักขึ้นมา *ตาบอดแล้ว ฉันตาบอดแล้ว*

เป็นเรือไม้จิ้มฟันตาบอด โปรดอย่าสนใจ แถมแอบโปรยฮัวเสียอีก *เอาเข้าไป*

เราชอบ ฮัว → เสีย ← ซิ่วซิ่ว นะคะ แต่เรือหลักเรายังเป็น ผิง ↔ เสีย น้า~ แค่ชอบแบบเสี่ยวฮัวรักคุด *แค่ก*

ตอนนี้ถือว่าข้ามภาคการฝึกฯ ไป คิดว่าคงได้กลับมาย้อนแหละค่ะ นอกจากนี้ยังอยากเขียนภาคงานโรงเรียน แล้วยังต้องย้อนเจ็ดเรื่องหวีดๆ หยองๆ อีก อุ เยอะไปโม้ดดดด

ว่าไปก็ยอดวิวของบล็อคนี้ก็ครบ 10k แล้ว ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนนะคะ โดยเฉพาะคอมเม้นต์และแฟนอาร์ต รู้สึกมีกำลังใจมากๆ เลยค่ะ ฮึบ

สำหรับของตอบแทน ไม่มีอะไรจะให้ แต่เชิญโหวตชุดออกงานท่านประธานอู๋ตามสบายนะคะ คนละหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงโปรดใช้ให้เต็มที่ ←



(เบื้องหลัง)

"เธอจะฉลองหมื่นวิวด้วยเฮยเหมิงเหรอ"

"ฉันกลับไปใส่ผิงเสียเพิ่มก็ได้ ฮือ"

"ไม่ต้องคิดมาก เฮยเหมิงเธอยอดวิวรวมกันสู้ผิงเสียไม่ได้สักอัน"

"ฉันกลับไปเขียนผิงเสียก็ได้้้้ แงงงงง" #แจวเรือเล็กก็ต้องดูแลตัวเอง

สุดท้าย เพื่อเห็นแก่ 10k เราเลยใส่ตัวละครเท่าที่นึกออกมาเสียเลย ฮ่า ซวยไปนะคะอาสาม /โดนตี

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Groove

 

"Groove"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**





ก่อนหน้านี้นานพอดู ผมเคยนึกอุตริถามอารอง ทำไมเขาถึงไม่แต่งงาน อันที่จริงอย่าว่าแต่ภรรยาเลย ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่ข่าวซุบซิบเรื่องแฟนสาวของอารอง ผมยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ อาสามเสียอีกที่ดูเกกมะเหรกเลอะเทอะจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีรักแท้หวานเลี่ยนกับผู้หญิงดีๆ แบบน้าเหวินจิ่นได้

คำตอบของอารองวันนั้น ประทับใจจนลืมไม่ลงแบบแปลกๆ เขาบอกว่ามีแต่สิ่งมีชีวิตระดับล่างที่คิดแต่เรื่องแพร่พันธุ์ ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับสูงจะคิดเรื่องพัฒนาตัวเอง ตัวเขาในทุกวันนี้ไม่มีสิ่งใดขาดเหลือ เพราะต้องดูแลน้องชายบ้าๆ บอๆ มาตั้งแต่เด็ก พอน้องชายโตก็มีหลานชายมาให้ช่วยเลี้ยงอีกเป็นสิบปี สุดท้ายกลายเป็นว่าเรื่องงานบ้านเขาทำเองได้ทุกอย่าง อย่างไหนทำไม่ได้ก็มีปัญญาจ่ายเงินจ้าง แต่งเมียมาก็เสียค่าจ้างแพงกว่าเงินเดือนคนงาน การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้เขาไม่ทำ เว้นแต่เจอคนที่ทำให้เขายอมละเมิดกฎของตนเองได้ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้ยากกว่าสู้กับศพโลหิตอีก

หลังจากนั้นจนถึงวันนี้ ผมเหมือนโดนคำพูดของอารองตามหลอกหลอน ผู้หญิงที่ทำให้ผมละเมิดกฎของตัวเองได้ถึงควรค่าแก่การแต่งงานงั้นเรอะ แล้วกฎของผมคืออะไรล่ะ แม้แต่ตัวเองยังไม่แน่ใจเลย เอาแค่ผู้หญิงที่ไม่หลอกใช้ผม ไม่หาผลประโยชน์จากผม ไม่โกหกผม ผมยังไม่เคยเจอ

ขืนถกประเด็นนี้กับนายอ้วน ไม่แคล้วโดนเรียกเทียนเจินอู๋เสียอีกแน่ แต่จะให้ผมใช้ชีวิตจนตายร่วมกับคนที่ทั้งหลอกใช้ ทั้งหาผลประโยชน์และโกหกผม ผมว่าอยู่เป็นโสดจนตายยังดีกว่า

ดังนั้นผมจึงแปลกใจมาก ตอนที่รู้ว่าตัวเอง "ถูกจองตัวไว้ให้คนผู้หนึ่ง" ตั้งแต่ผมยังเป็นแค่ทารกไม่ครบเดือนดี

ครั้งหนึ่งตอนผมนั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านอาสาม ระหว่างเขาออกจากห้องไปทำธุระยิบย่อย ทิ้งผมทำการบ้านอยู่ในห้อง ผมเสียสมาธิเลยอยากแอบอู้สักนิด คุ้ยโน่นนี่เล่น จนเจอซองจดหมายเสียบแทรกอยู่ในกองหนังสือที่อาสามให้ผมเป็นต้นแบบคัดลายมือ บนหน้าซองเขียนชื่อของผม ก่อนจะได้แกะอ่านก็ได้ยินเสียงเดิน ผมเลยซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบหยิบพู่กันมาคัดอักษรต่อ หลังจากนั้นก็ลืมไปสนิท

ผมมาเห็นมันอีกทีตอนหลายสิบปีให้หลัง จดหมายสีขาวกลายเป็นสีอมเหลืองแล้ว มันวางปนรวมอยู่กับสารพัดซองเอกสารสำคัญบนโต๊ะหนังสือของผม จำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าเก็บมันไว้ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร กาวผนึกซองกรอบแห้งไปนานแล้ว ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรก็แกะเปิดได้ ในนั้นสอดกระดาษที่ถูกพับไว้อยู่สองแผ่น



อู๋เสีย เก็บกระดาษสองแผ่นในจดหมายนี้ไว้ให้ดี นี่คือหลักฐานรับประกันอนาคตของแก ลงชื่อ อู๋ซันเสิ่ง อาสามของแก



ห้วน สั้น ไม่มีรายละเอียดแถมไม่ลงวันที่ ผมดูไม่ออกจริงๆ ว่าเขาเขียนเมื่อไหร่ ที่แน่ๆ คือไม่ต่ำกว่าสามสิบปี ผมจึงเปิดกระดาษแผ่นที่สองขึ้นดูเผื่อจะได้ข้อมูลมากขึ้น สิ่งที่เขียนไว้ทำให้ผมตะลึงอึ้งค้าง เผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว



อู๋เสีย ลูกชายอู๋อีฉยง หลานชายอู๋เหลาโก่ว ทายาทรุ่นสามสกุลอู๋แห่งเก้าสกุล เมื่ออายุครบยี่สิบเป็นต้นไป จะเป็นความรับผิดชอบของจางฉี่หลิงแห่งสกุลจาง ลงชื่อพยาน อู๋เหลาโก่ว เฉินผีอาซื่อ จางฉี่หลิง



ไอ้กระดาษแผ่นนี้สิที่เรียกว่าเงิบของจริง หลังอ่านจบไปสิบวินาที หัวสมองผมถึงเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ในใจมีแต่คำว่า 'นี่แม่งคือเชี่ยอะไรวะ!?' ลอยวนในหัว แผ่นนี้มีเขียนวันที่ไว้ ผมรู้สึกว่าตัวเลขดูคุ้นตามาก ก่อนพบว่ามันคือวันครบรอบเดือนของผมนี่เอง ตอนนั้นผมมีแต่คำด่าทอกราดเกรี้ยวในใจ พวกปู่แม่งสุมหัวทำอะไรกันในวันครบรอบเดือนของผมวะ!?

ผมอ่านทวนอยู่หลายรอบเผื่อเจอจุดสังเกตอื่น สุดท้ายต้องยอมรับว่านี่คือเอกสารของจริง ลายเซ็นแต่ละคนก็น่าจะของจริง ผมเคยเห็นแต่ลายมือของปู่กับเสี่ยวเกอ ของเฉินผีอาซื่อที่ตาบอดนานแล้ว มีแค่ตราปั้มแปะโป้ง ใครต้นคิดให้คนตาบอดมาเซ็นชื่อในเอกสารทางกฎหมายวะเนี่ย

เนื้อหาในเอกสารแผ่นนี้ จะคิดในแง่ไหนก็ไม่พ้นคำว่า ...ผมโดนยกให้จางฉี่หลิง...กรรมสิทธิ์ในตัวผมเป็นของเสี่ยวเกอ!? ไม่สิ แบบนั้นเหมือนค้าทาส แต่ในสัญญาระบุว่าผมเป็นความรับผิดชอบของเขา...ถ้าไม่ใช่โดนยกให้เป็นลูกบุญธรรม ก็เหมือนผมโดนคลุมถุงชน ยกให้เป็นคู่หมั้นเขาเลยนี่หว่า...

ผมถือจดหมายสองฉบับนี้ไปหาเสี่ยวเกอ เขากำลังนั่งดูสารคดีช้างในทีวีอย่างตั้งใจ ดีที่เขาว่าง่าย พอผมทิ้งตัวลงโซฟาข้างเขา สะกิดบ่าแล้วยื่นกระดาษในมือให้ เขาก็ละสายตาจดจ่อนั่นมาบนกระดาษที่ผมถือทันที

จางฉี่หลิงกวาดตาดูจดหมายที่อาสามเขียน ขมวดคิ้ว แล้วหยิบอีกแผ่นมาอ่าน จากมุมที่ผมนั่ง สามารถเห็นปฏิกริยาของเขาได้ละเอียดชัดเจน สายตาของเขาจ่อนิ่งไปที่กระดาษ ขมวดคิ้ว ขมวดคิ้ว และขมวดคิ้วจนถึงบรรทัดสุดท้าย

"ลายเซ็นนั่นลายมือฉันเอง แต่เนื้อหาทั้งหมด...ฉันไม่รู้ คง...ลืมไปแล้ว" เขาตอบผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ก้ำกึ่งระหว่างสงสัยกับว้าวุ่นใจ

"......นายแม่งได้ฉันแล้วทิ้ง ถึงกับปฏิเสธความรับผิดชอบกันหน้าตาเฉย" ผมดึงจดหมายออกจากมือเขา เลือกเอาแผ่นที่มีข้อความของอาสามไปโบกสะบัดตรงหน้าเขา

"อู๋เสีย...ฉัน...จำไม่ได้จริงๆ"

"โหดเหี้ยมยิ่งนักใต้เท้า"

"ฉันขอโทษ"

"ใต้เท้าโปรดรับผิดชอบสัญญาด้วย"

"...... "

"ใต้เท้าโปรดรับผิดชอบสัญญาด้วย"

"...อู๋เสีย"

"นายจะรับผิดชอบดูแลฉันไปตลอดชีวิต พูดมา จางฉี่หลิง"

"...อู๋เสีย......ฉัน...จะรับผิดชอบดูแลนายไปตลอดชีวิต...แบบนี้ดีมั้ย?"

"ดี! ตกลงตามนี้"

เขายังทำหน้างงปนวิตกอยู่ตอนที่เห็นรอยยิ้มของผม จากนั้นเขาก็หยุดหน้านิ่วคิ้วขมวด ค่อยๆ อมยิ้มตามเหมือนติดโรคระบาด พวกเรานั่งดูช่องสารคดีกันถึงเย็นโดยไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย

ในที่สุดก็เจอคนที่ไม่หลอกใช้ ไม่หาผลประโยชน์ ไม่โกหกผมแล้ว เพียงแค่คนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง ...ผมจะยอมละเมิดกฎเรื่องนี้ให้เขาเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน




+++

END
14/09/2014







Talk Time:

มโนค่ะมโน หลุดออกมาจากต่อมมโนแทบทั้งกระบิเลยค่ะ ヾ(*´∀`*)ノ *แค่ก*

จริงๆ จิ้นไว้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มุดอุโมงค์โจรไปเจอบางอย่าง อ่านแล้วก็เผลอฟรุ๊งฟริ๊ง จิ้นต่อเป็นล๊อตใหญ่อยู่หลายวันเลย แง


วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Kiln

 

"Kiln"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




มีคนเคยพูดว่าก้อนหินทั้งแข็งแกร่งและเย็นชา เขาเองก็เคยเชื่อแบบนั้น


ช่วงนี้อู๋เสียรู้สึกว่าจางฉี่หลิงแปลกไป ในสายตาคนนอก จางฉี่หลิงผู้ลึกลับยังเป็นคนหนุ่มแสนเย็นชาเหมือนเดิม ราวกับกาลเวลาไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เขาได้ อู๋เสียคอยสังเกตเขามานานกว่าสิบปีแล้ว แม้ไม่ถึงขั้นพยาธิในท้องแต่ก็กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจเขามากกว่าทุกคน ...แน่ล่ะ คนปกติที่ไหนจะว่างมานั่งสังเกตก้อนหินทุกอิริยาบถและสภาวะอากาศ

อันที่จริงอู๋เสียก็ไม่ว่าง แค่ทำจนติดเป็นนิสัยแล้ว ยากจะเลิกง่ายๆ ดังนั้นจึงแปลกใจไม่น้อยตอนพบโดยบังเอิญ ดวงตานิ่งสงบลึกซึ้ง ใสกระจ่างดุจผิวทะเลสาบซีหูที่ตนเองนั่งมองบ่อยๆ บัดนี้กลับปรากฏระลอกคลื่นสั่นไหวเสียแล้ว

อู๋เสียคิดจะถามความเห็นนายอ้วนหลายที แต่นายอ้วนก็ยังคงเป็นนายอ้วน พูดจามีสาระได้ครู่เดียวก็พาบทสนทนาเตลิดเปิดเปิง ยากจะคุยเรื่องละเอียดอ่อนประเภทจิตใจบอบบางของจางฉี่หลิง

สุดท้ายในวันหนึ่ง อู๋เสียทนคาใจไม่ไหวจึงถามเขาออกไปตรงๆ ทื่อมะลื่อจนอยากดึงคำพูดกลับมาทีหลังก็สายเสียแล้ว จางฉี่หลิงแผ่บรรยากาศหนาวเย็นออกมาเฉียบพลันขนาดที่อู๋เสียยังรู้สึกได้ทันที

"นายไม่อยากตอบก็เงียบไว้ ทำไมต้องทำตัวเลียนแบบอากาศบนยอดเขาฉางไป๋ซานด้วย" อู๋เสียบ่นอุบอิบ ลูบขนแขนตัวเองให้ลู่ลง

"เพราะนาย" สั้น ง่าย ตรงไปตรงมา คำตอบของจางฉี่หลิงเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้อู๋เสียไม่กล้าบอกว่าตัวเองเข้าใจเขาอีกต่อไปแล้ว

"ฉัน? ฉันไปทำไมนาย? นายไม่พอใจฉัน? อือ ถ้าแบบนั้นก็โทษที ฉันไม่ใช่เทียนเจินอู๋เสียคนเดิมจริงๆ ช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าทนๆ ไปแล้วกัน เดี๋ยวนายก็ชินเอง" อู๋เสียยักไหล่ ตอบเหมือนขอไปที แต่ความหมายจริงก็เป็นตามนั้นทุกถ้อยคำ หน้ากากที่สวมไว้นาน ยากจะถอดได้อีก

จางฉี่หลิงส่ายหน้า ดวงตาปรากฏคลื่นลมวุ่นวาย อู๋เสียสังเกตเห็นเช่นกัน ไม่รู้จะพูดอะไรกับคนปากหนักตรงหน้า จึงเลี่ยงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแทน ไม่คาดคิดว่าจะโดนอีกฝ่ายคว้ามือไว้ กลายเป็นท่ายึดยื้อแปลกๆ ชนิดมีสาวที่ไหนมาเห็นคงตราหน้าว่าพวกเขากำลังเล่นบทคนรักงอนง้อใส่กันอยู่เป็นแน่

"...ฉี่หลิง อะไรอยู่ในใจของนาย ฉันไม่กล้ารับรองว่าจะเข้าใจ แต่พูดออกมาเถอะ" อู๋เสียถอนหายใจ พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันหาได้ยากในช่วงหลายปีนี้ แบบที่หากลูกน้องคนไหนมาได้ยิน หมอนั่นจะโดนยิงทิ้งทันทีแบบไม่ต้องคิด

"สิบปีมานี้...นายสบายดีมั้ย?"

"หา?? ป่านนี้เพิ่งมาถาม?"

"ลำบากมากรึเปล่า?"

"...สิบปีนี้...นายเองก็ป่วยบ่อยสินะ ไอ๊หยา! จริงๆ เป็นไข้ตัวเย็นอยู่ใช่มั้ย หรือกินเห็ดพิษเข้าไปเยอะ ถึงขั้นเห็นภาพหลอนแล้วนี่ เดี๋ยวฉันเรียกหมอมาให้ ต้องตามนายอ้วนมาด้วย เผื่อเหตุฉุกเฉิน นายคงไม่ได้จะกลายสภาพใช่มั้ยเสี่ยวเกอ?"

"นายกับเขา..."

"...ออ............ใช่ ฉันกับเขา"

"สิบปีมานี้...พวกนายสองคน"

"อือ สิบปีมานี้ เพราะไม่มีนายอยู่ เลยมีแต่ฉันกับเขา"

"เขาผอมลงนะ...นายด้วย"

"ช่ายยย ตอนนี้เสี่ยอ้วนเหลือความอ้วนแค่ชื่อแล้ว เพราะเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา หมอนั่นเลยผอมลงมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดีพอๆ กับฉันได้ เสียดายที่เขารักมั่นคงกับหยุนไฉ่ ไม่สนใจผู้หญิงอื่นแล้ว ไม่งั้นคงเนื้อหอมน่าดู"

"อืม..."

"เพราะหมอนั่นไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนแล้ว เลยมีคนบอกว่าเขาเปลี่ยนไปสนใจผู้ชายแทน"

"......"

"ฉันเองก็มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของใครบางคนอยู่ แฟนสาวสักคนก็มีไม่ได้ กลายเป็นสองหนุ่มโสดหัวใจว้าวุ่น คลุกคลีอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน"

"......"

"ข่าวลือไม่น้อยบอกว่าฉันกับเขาเปลี่ยนรสนิยมไปแล้วด้วย"

"...นายเปลี่ยนรึเปล่า?"

"เปลี่ยน"

"......"

"......"

"......"


อู๋เสียเริ่มจากการกระแอมไอออกมาเบาๆ แล้วกลายเป็นสำลักเหมือนมีขนมจ้างติดคอ จากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะลั่นห้องนอน ดีที่บ้านหลังนี้กำแพงหนา ไม่มีคนอื่นในบ้าน ไม่งั้นคงมีคนวิ่งมามุงดูเพราะนึกว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นแล้ว

เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังมองอู๋เสียด้วยสายตาว้าวุ่นใจแค่ไหน แต่อีกฝ่ายเห็นทั้งหมดนั่น เพียงแต่ทนกลั้นขำมาครู่ใหญ่จนไม่สามารถหยุดตัวเองได้ง่ายๆ ตลอดมาจางฉี่หลิงไม่ถนัดในการคาดเดาความคิดคนอื่น เขาไม่เข้าใจผู้คน เห็นอู๋เสียหัวเราะยกใหญ่ก็ไม่แน่ใจว่าหัวเราะเยาะเขาอยู่หรือเพราะอะไรกันแน่ สุดท้ายจึงคิดเดินออกไป เขาไม่ชินที่ตัวเองรู้สึกว้าวุ่น ต้องการหาที่สงบเพื่อดึงความเยือกเย็นกลับคืนมา แต่เพียงแค่คิด อู๋เสียก็จับมือเขาไว้แน่น จางฉี่หลิงไม่รู้ตัวว่าสายตาของตนสื่อความรู้สึกออกมาหรืออีกฝ่ายรู้จักเขาดีเกินไปกันแน่

"นายแม่งโคตรเพ้อเจ้อ" อู๋เสียพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ใบหน้านี้คล้ายกับเทียนเจินอู๋เสียคนเดิมที่เขารู้จัก เพียงแต่อ่อนโยนกว่า อบอุ่นราวกับไฟกองใหญ่ สายตาเขาเหมือนจะพร่ามัวเช่นเดียวกับตอนจ้องดวงอาทิตย์ตรงๆ  "ถ้าฉันชอบใครเพราะหน้าตา ป่านนี้ฉันก็แต่งงานกับเสี่ยวฮัวไปแล้ว ไม่หมกมุ่นกับเรื่องของนายเป็นสิบปีหรอก"

จางฉี่หลิงจึงนึกขึ้นได้ ก้อนหินเย็นยะเยียบแข็งแกร่งแค่ไหน อยู่ๆ โดนความร้อนของไฟเข้าไป ถ้าไม่แตกร้าวก็ต้องร้อนระอุอยู่ดี และหินก้อนหนึ่งก็ถูกโยนลงกลางกองไฟมานานแล้ว ตั้งแต่คืนอันหนาวเหน็บของสิบกว่าปีก่อน




+++

END
13/09/2014







Talk Time:

เอ๋... ฟิคนี้มันอะไร? เสี่ยอ้วนผอมได้ยังไง?

...ก็แค่จู่ๆ ก็โดนยุให้แต่งขึ้นมากลางวันแสกๆ น่ะค่ะ *กระแอม* ส่วนเสี่ยอ้วนที่ผอมไป ก็ถือว่าผอมไปซะแล้ว เป็นแค่ความผอมในมโนแล้วกันค่ะ แอร๊


[Daomu Drabble][花黑] Merry won't go round

 

"ของขวัญปีใหม่"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 花黑 ฮัวเฮย (เสี่ยวฮัวxเฮยเสียจื่อ)
Note: ไม่สปอยล์ เพราะเป็นรูทมโน แต่อาจมีจุดสะเทือนใจเล็กน้อยค่ะ




ของขวัญปีใหม่ปีแรกของการคบกัน ผมได้ช่อดอกไม้สีชมพูช่อใหญ่พร้อมการ์ดอวยพร

ของขวัญปีใหม่ปีที่สอง เขาส่งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดมาให้ จะได้ใช้ติดต่อหากันได้ทุกเวลา

ของขวัญปีใหม่ปีที่สาม เขาส่งตุ๊กตาหมีสีดำตัวมหึมา เล่นเอาลูกน้องของเขาเหงื่อตกขณะหาทางยัดตุ๊กตาหมีที่ขนาดใหญ่กว่าประตูบ้านมาส่งให้ถึงมือ ...ส่วนตอนนั้นผมนั่งจิบเบียร์มองพวกเขา พลางคิดในใจว่าพวกเขาตลกดี

ปีที่สี่ ผมบอกเขาว่าอยากเจอหน้า คงจะดีไม่น้อยถ้าได้ใช้เวลาปีใหม่ร่วมกัน เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน

ปีที่ห้า เขายังคงไม่มา แต่ของขวัญยังส่งมาสม่ำเสมอ

...
...

ปีใหม่หนสุดท้าย ผมบอกเขาอีกครั้งว่าอยากเจอ เขาตอบรับเป็นคำสัญญา

วันปีใหม่เวียนมา ของขวัญที่ได้รับเป็นกระดาษสีเงินและทอง




+++

END
13/09/2014






Talk Time:

พยายามจะให้คล้องจอง แต่ล้มเลิกกลางคันไปแล้ว แอ๊ววว เลยออกมาเป็นบทร่ายที่สัมผัสประหลาดๆ แทน ฮือ

ไม่สปอยล์ เพราะในเรื่องจริงตัวละครนี้ยังอยู่ดีมีสุข...ถึงปากจะชอบปักธง (ที่ไม่ใช่ธงรัก) ใส่ตัวเองบ่อยๆ ก็ตาม

และไม่ได้ใส่ Character Death Warning เพราะเป็นจุดหลักของฟิค...แง่ะ ไม่เอานะ ด้วงขอโทษ อย่าตีด้วง เดี๋ยวชดเชยให้ด้วยผิงเสียหวานๆ น้า *วิ่งหนีไป*

เก๊าแค่อยากลองเขียน Character Death ดูบ้างงงง แอร๊ พอดีช่วงวันไหว้พระจันทร์ทำให้นึกถึงตรุษจีน/ปีใหม่ นึกถึงธรรมเนียมส่งของขวัญ แล้วก็ดันไพล่ไปนึกถึงตอนเผากระดาษเงินกระดาษทองซะได้! _:(´ཀ`」 ∠):_ เป็นมโนค่ะ เป็นมโน หาได้ต้องตกใจไม่ ชีวิตจริงอีตานี่ยังอยู่ดีค่ะ 5555+

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] นายแว่นดำ VS ลูกพี่อู๋

 

"004.5 นายแว่นดำ VS ลูกพี่อู๋"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)

ตอนก่อนหน้า:
ภาคชมรมคัดอักษร ชมรมของผม || หัวหน้าห้องแซ่จาง || ลูกน้องหกร้อยหยวน
ภาคตำนานเรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด ปฐมบท
ภาคการฝึกตนของท่านประธาน นายแว่นดำ (เฮยเสียจื่อ x หวังเหมิง) ← *ตอนก่อนหน้า*


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
 **Warning2: ย้ำอีกรอบ เฮยเหมิงนะคะ ←**



"เฮ้ย นั่นนายทำอะไรวะ" เป็นคำถามแรกที่ผมเอ่ยปากหลังผลักประตูห้องชมรมของตัวเองเข้าไป

วันนี้นายอ้วนชวนผมโดดเรียนคาบบ่ายไปร้านเกมเปิดใหม่ ผมกับเขาแล้วก็นายเมินโหยวผิง (ชื่อเล่นของหัวหน้าห้องแซ่จาง) พากันไปยกแก๊ง แต่เมื่อครู่เจอซื่ออากง...เอ๊ย อาจารย์เฉินเดินตรวจตรานักเรียนที่แอบหนีออกมานอกสถาบัน พวกผมเลยหนีป่าราบกลับมากันเกือบไม่ทัน โชคดีที่เมินโหยวผิงมีฝีมือ ไม่อย่างนั้นพวกผมคงเป็นบ๊ะจ่างกันไปเรียบร้อยโรงเรียนลูกเหล็ก

เมื่อกลับมาถึงห้องชมรม กลับมีแขกชุดดำไม่ได้รับเชิญนั่งรออยู่ หมอนี่คือนายบอดดำ (เฮยเสียจื่อ) อาสามเคยบอกผมว่าไม่ใช่ชื่อแซ่จริง แต่เป็นแค่สมญานาม ด้วยเอกลักษณ์ที่ชอบใส่แว่นตากันแดด ผมจึงเรียกเขาว่านายแว่นดำ

"คุณชายน้อยเพื่อนของนายบอกว่านายอยากให้ฉันช่วยฝึกให้ ก็เลยแวะมาสักหน่อย"

"เรื่องนั้นรู้แล้ว แต่ที่ถามคือนั่น" ผมชี้ไปที่ลูกน้องจอมขี้เกียจที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอดของชาวบ้าน

"หืม" นายแว่นดำครางฮือขณะก้มลงมองตามที่ผมชี้ ก่อนยิ้มยียวน "อ้อ กระเป๋าน้ำร้อนน่ะ"

"กระเป๋าน้ำร้อนพ่อง จ๊าก!" ผมสบถ ก่อนจะกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด เจ้าหมอนั่นเล่นดีดอะไรไม่รู้มาฟาดเข้าเต็มๆ หน้าผากผม

นายแว่นดำทำเสียงจุ๊ปาก "แย่ ทักษะการป้องกันตัวแย่เกินไปแล้ว"

ผมนึกอยากด่าโคตรเหง้าศักราชของนายแว่นดำแต่จำใจต้องหุบปากไว้ เสี่ยวฮัวบอกผมว่าเรื่องไปขอให้เขามาสอนผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาจัดการให้ได้ แต่ปัญหาคือถ้านายบอดดำปฏิเสธที่จะสอนผม เสี่ยวฮัวก็ช่วยอะไรผมไม่ได้มาก

เฮยเสียจื่อคนนี้ถือคติว่าพอใจจึงลงมือ หากเขาพูดว่าไม่ เข็นให้ตายอย่างไรก็คือไม่...เพราะฉะนั้นถึงอยากด่าเขาแค่ไหน ผมก็ได้แต่ระงับใจ

ผมถูหน้าผากตัวเอง พลางถาม "ตกลงนายจะช่วยสอนฉันไหม"

"ไว้ถ้านายยอมให้ยืม 'นี่' ละก็ จะยอมสอนนายก็ได้" เขาชี้ที่หวังเหมิง

"หา..."

"ฮื่อ...เดี๋ยวก็หน้าหนาวแล้วน้า ฉันไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็นๆ เสียด้วย" เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง "มีกระเป๋าน้ำร้อนน่ะดีออก"

"..." อันที่จริงถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หมอนี่ผมอยากจะพูดหรอกนะว่า 'เอาไปเลย ไม่คิดเงิน' แต่พอเป็นไอ้หมอนี่ ทำเอาอยากเล่นตัวสักนิดขึ้นมา ถึงคิดอย่างนั้นก็เถอะ สุดท้ายผมกลับถามออกไปว่า "...นายจะไม่ทำอันตรายหมอนั่นใช่ไหม"

"เป็นอันว่าตกลงนะ" นายนั่นเมินคำถามผม เขาคลี่ยิ้มขณะล้วงกระเป๋า ผมมองตามด้วยสายตาระแวดระวัง ทีแรกนึกว่าเขาจะหยิบอาวุธลับขึ้นมาขว้างใส่ แต่ที่ไหนได้ เขากลับหยิบปากกากันน้ำขึ้นมาแท่งหนึ่ง

ขณะที่ผมกำลังงุนงงเขาก็... "ห่าเอ๊ย ทำอะไรของนาย แอ๊ก!" ยังไม่ทันขาดคำผมก็โดนวัตถุลึกลับสอยเข้าที่กลางหน้าผากตรงจุดเดิม

"ไม่ไหว..." นายแว่นดำพึมพำ ไม่ไหวอะไรของแม่ง...ผมได้แต่สบถในใจขณะนอนกุมศีรษะที่เจ็บจี๊ด 

เมื่อครู่หมอนั่นเล่นแหวกคอเสื้อลูกน้องผมทำเอาตกใจหมด นึกว่าจะเกิดคดีอนาจารต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว โชคดีที่เขาแค่แหวกเสื้อค้างไว้ จากนั้นก็จัดแจงเขียนคำว่า 'อุปกรณ์ทำความร้อนของเฮยเสียจื่อ' ตรงผิวเนื้อบริเวณใต้ไหปลาร้าของหวังเหมิง...แม่ง ตกใจหมด

แต่ที่น่าด่าที่สุดคือไอ้คนที่ถึงจะโดนถลกเสื้อ เขียนอักษรลงบนตัว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

เสร็จแล้วนายแว่นดำก็ลุกขึ้น ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะหอบเอาหวังเหมิงไปด้วย แต่เขากลับจับวางคืนบนเก้าอี้ เจ้านั่นก็ไหลตัวยวบไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย เขาหันมาทางผม ดึงแว่นกันแดดลงมาเล็กน้อยพลางมองด้วยดวงตาชวนขนลุก "ไว้เอาละ...เจอกัน บาย"

จากนั้นเขาก็เดินฮัมเพลงออกไป ทิ้งผมที่นั่งกุมศีรษะบนพื้น และลูกน้องที่ยังนอนกรนคร่อกๆ ไว้ภายในห้องชมรมคัดอักษรอันแสนเงียบสงัด

ผมลุกขึ้น ขณะก้มมองมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับสบายแล้วรู้สึกหัวคิ้วกระตุกขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนแม่ที่ลูกสาวกำลังโดนผู้ชายอันตรายมาพัวพันขึ้นมาเสียได้ แถมลูกสาวแม่งก็ไม่รักดี ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชาย...น่าโมโหที่สุด

หลังจ้องอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายผมก็เข้าไปเรียกเขาให้ตื่นเพื่อกลับหอพักด้วยกัน

ตอนลากหวังเหมิงออกจากห้องชมรม เจ้าหมอนั่นยังคงงงๆ งวยๆ เห็นแล้วพาลให้อยากตบกะโหลกสั่งสอนอีกสักหลายที ทำอีท่าไหนถึงโดนชาวบ้านลากไปมาเป็นตุ๊กตาแบบนี้กันนะ อย่างน้อยก็หัดต่อสู้ดิ้นรนเสียบ้าง ผมจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้

"ลูกพี่" หวังเหมิงเอ่ย "ทำไมหัวโนล่ะ"

"...ก็เพราะแกนั่นแหละ" ผมได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอื้อมมือไปลากคอลูกน้องหมายเลขหนึ่งให้เดินให้เร็วขึ้น

"อื๋อ?" หวังเหมิงมีท่าทางงุนงงสับสน ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ออกแรงลากเขา ระหว่างเดินเห็นรอยปากกาใต้เสื้อแวบๆ ยิ่งรู้สึกถึงอารมณ์ครุกรุ่น

คิดแล้วก็น่าเจ็บใจ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าเจ้าลูกน้องคนนี้จะทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พอถึงคราวถูกชาวบ้านขี้ตู่แสดงความเป็นเจ้าของขึ้นมากลับรู้สึกโมโหเสียอย่างนั้น

'ของเฮยเสียจื่อ' อะไรกัน...

ไอ้เจ้าอาจารย์ห้องพยาบาลเวรตะไลเอ๊ย!







(แถมท้าย)

"หวังเหมิง"

"?"

"ถ้าคราวหน้าเห็นอาจารย์ห้องพยาบาล นายรีบหนีให้เร็วที่สุดเลยนะ" ลูกพี่ของเขาสั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หวังเหมิงรับคำพลางนึกสงสัย อาจารย์ห้องพยาบาลหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ ที่ผ่านมาเขาป่วยก็อาศัยนอนเอาก็หาย ไม่เคยได้ใช้บริการห้องพยาบาลเลยสักครั้ง

...คงเป็นคุณตาแก่ๆ ละมั้ง ลูกน้องหกร้อยหยวนนึกในใจ



+++

TBC
08/09/2014






Talk Time:

*กรีดร้องระเบิดใส่ภาพ* *เต้นแร้งเต้นกา* ← อาการน่าเป็นห่วง

แค่ก...สวัสดีวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ Mid-Autumn Festival ค่ะ คุณกระต่ายยยยย คุณกระต่ายยยย อ๊าาาา หม่ำๆ *สติเตลิดไปแล้ว*

*แฮ่ม* เอาใหม่ *ตบตัวเองเรียกสติ*

อุตส่าห์มาขอต่ออีกนิด แฮ่กๆ แงงงง โดนแซวว่าแสดงความเอ็นดูนายหกร้อยหยวนชัดเจนมาก เราเสียใจ ก็...ก็...เราก็แค่คิดว่าหวังเหมิงเหมือนแฮมสเตอร์อะค่ะ เอ็นดู ยิ่งเจองูแล้วยิ่งน่าเอ็นดู เหมือนโดนเลี้ยงไว้เป็นอาหารสำรอง (ฮา)

เรือนี้ในบรรดากองเรือเต้ามู่ถือเป็นไม้จิ้มฟันของแท้ กรุณาปล่อยเบลอจินตนาการฝังฝุ้งเฟ้อของเราไปนะคะ *กราบ* ในเรื่องเหมือนหวังเหมิงจะมีแฟนสาวนะ แต่ก็ไม่ค่อยมีดีเทล เอาเถอะๆ ผู้หญิงเรื่องบันทึกจอมโจรแห่งสุสานล้วนอาภัพทั้งนั้น *ไปแช่งเขาอีก!*

ช่วงนี้คิดว่าทุกคนคงสนใจเล่ม 8 เราก็ปล่อยพลังไม้จิ้มฟันของเราไป ฮว่าๆๆๆ /โดนตบ

เรือนี้มันมุ้งมิ้งปาจิงโกะจริงๆ นะคะ ฮือ เชื่อสิคะ เชื่อสิ!

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] นายแว่นดำ

 

"004. นายแว่นดำ"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)

ตอนก่อนหน้า:
ภาคชมรมคัดอักษร ชมรมของผม || หัวหน้าห้องแซ่จาง || ลูกน้องหกร้อยหยวน
ภาคตำนานเรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด ปฐมบท


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
 **Warning2: ย้ำอีกรอบ เฮยเหมิงนะคะ ←**


วันนี้บรรยากาศภายในห้องชมรมคัดอักษรเงียบสงบ ประธานอู๋หนีเรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าไปไหน แต่ฝ่ายนั้นกำชับเขาเสียงหนักว่าห้ามบอกใครเป็นอันขาด ทว่าในขณะที่ลูกน้องหมายเลขหนึ่งของท่านประธานกำลังเปิดเกมขึ้นมาเล่น ประตูห้องชมรมก็เปิดออก พร้อมร่างหนึ่งที่ก้าวเข้ามา

"โฮ่ อู๋เสียล่ะ?"

หวังเหมิงมองคนที่มาใหม่ เขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม สวมแว่นตากันแดด เสื้อผ้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเป็นสีดำ

...น่ากลัว ผู้ชายคนนี้น่ากลัว หวังเหมิงสรุปภายในวินาทีแรกที่เห็น ถึงดวงตาคู่นั้นจะหลบอยู่หลังแว่นกันแดด แต่เขาก็รู้สึกคล้ายตัวเองเป็นหนูแฮมสเตอร์ที่ถูกงูจ้อง

"ละ ลูกพี่ไม่อยู่" เขาพยายามเค้นเสียงตอบ

"เขาไปไหน นายพอจะบอกให้ฉันรู้ได้ไหม?" อีกฝ่ายยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า พลางถามด้วยเสียงนุ่มนวลราวกับหลอกเด็ก ถึงกระนั้นหวังเหมิงก็ยังรู้สึกขนลุกซู่ อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบ จึงถามย้ำอีกครั้ง เขาจึงรีบส่ายหัวดิก...ลูกพี่สั่งไว้ว่าห้ามบอก

"หืม..." ฝ่ายนั้นครางในลำคอ ก่อนจะเดินตรงเข้ามา ทีแรกหวังเหมิงเตรียมยกมือป้องกันตัวพลางร้องไห้คร่ำครวญ แต่ที่ไหนได้นายแว่นดำเพียงแค่ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดของท่านประธานอู๋ จากนั้นก็หยิบบุหรี่ขึ้นมา

"นะ ในห้อง...ห้องชมรม....ห้าม....สูบ" หวังเหมิงเอ่ยเสียงแผ่วหวิว อันที่จริงลูกพี่อู๋ของเขาเองก็สูบ วันไหนว่างๆ เบื่อๆ ก็มักจะไปแอบสูบตามมุมต่างๆ ของโรงเรียน แต่กับห้องชมรม เจ้าตัวประกาศห้ามเด็ดขาด

อีกฝ่ายผงกศีรษะขึ้นมามองเขา หวังเหมิงสะดุ้งโหยง หากตกใจอีกนิดเขาคงน้ำตาคลอเบ้า...น่ากลัวเกินไปแล้ว...น่ากลัวเกินไปแล้ว ทว่าฝ่ายนั้นเพียงคลี่ยิ้มกว้าง

"โอ๋ ขอโทษทีๆ" นายแว่นดำเก็บซองบุหรี่ลงกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็กอดอกนั่งนิ่งๆ หวังเหมิงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ถึงอีกฝ่ายจะทำตามแต่โดยดี เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองปลอดภัยขึ้นสักนิด

แค่รอยยิ้ม สายตาที่ส่งผ่านมาหลังแว่นกันแดดนั่น เขารู้สึกว่าในหัวมีสัญญาณเตือนดังลั่น

หวังเหมิงรู้สึกอยากจะวิ่งหนีออกจากห้องชมรมให้เร็วที่สุด แต่จากจุดที่เขาอยู่ การจะออกไปต้องผ่านผู้ชายคนนั้น ...หน้าต่าง...ไม่ได้อีก ข้างชมรมของเขาเป็นสระว่ายน้ำ หน้าต่างตรงนั้นก็เลยถูกปิดตายเพื่อไม่ให้คนปีนผ่านไปมา

...ทำยังไงดี ทำยังไงดี หวังเหมิงหมุนตัวไปมา ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งกอดอกอีกครั้ง ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะหลับไปแล้ว

คนประหลาด...หวังเหมิงมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับคอมพิวเตอร์ต่อ...เพื่อนของลูกพี่มีแต่พวกประหลาดๆ ทั้งนั้น

อย่างเพื่อนสมัยเด็กคนที่โดนพักการเรียนไปคนนั้น คุณชายแหล่งข่าวกรองที่เห็นหน้าเขาแล้วยิ้มเยิ้มๆ ให้ หรือคนร่วมแซ่กับเขาที่ชอบโผล่มาหิ้วลูกพี่ไปทำอะไรแปลกๆ ล่าสุดนี่ก็เพิ่มหัวหน้าห้องแซ่จางคนนั้นมาอีกคน

คิดมาคิดไป สุดท้ายเขาก็สลัดภาพรบกวนไม่หลุด จนต้องเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ขึ้นมอง...ฝ่ายนั้นยังคงนั่งท่าเดิมเป๊ะ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นอกจากรอยยิ้มบนใบหน้า ท่านอนของเขาเห็นแล้วคิดถึงหัวหน้าแซ่จางคนนั้นอยู่นิดๆ

มองมามองไป เขาก็พาลนึกสงสัยว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังแว่นตาดำของอีกฝ่าย อันที่จริงหวังเหมิงไม่ใช่คนขี้สงสัย...เมื่อเทียบกับลูกพี่อู๋ของเขา สำหรับนายหกร้อยหยวนคนนี้เรื่องสงสัยทั้งหลายถ้าเรื่องไหนไม่จำเป็นเขาปัดทิ้งหมดเพื่อไม่เป็นการเปลืองพลังงานในการใช้ชีวิต

แต่ว่า...เรื่องนี้เขาอดติดใจไม่ได้ ถึงอย่างไรก็อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมคนเราถึงใส่แว่นกันแดดในที่ร่มแบบนี้ พิลึกเกินไปแล้ว

เขาแทบไม่ได้ใช้สมองคิดในตอนที่ตัดสินใจย่องเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะค่อยๆ ชะโงกศีรษะ...

"!"

จู่ๆ นายแว่นดำก็ผงกศีรษะขึ้นมองเขา หวังเหมิงสะดุ้งโหยง ปฏิกิริยาแรกของเขาก็การกระเด้งตัวหนี แต่กลับโดนคว้ามือเอาไว้ มือของอีกฝ่ายเย็นเฉียบ ทำเอาเขาที่สั่นไม่หยุดสั่นหนักเข้าไปใหญ่

...ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ความอยากรู้อยากเห็นเป็นภัยแก่ตัวจริงๆ หวังเหมิงนึกด่าตัวเอง เขาเห็นตัวอย่างจากลูกพี่มาเยอะแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่จดจำ บ้า...บ้า...บ้าที่สุด

"ลูกพี่ใหญ่ อย่าทำอะไรผมเลย" หวังเหมิงครางหงิง น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ "อยากได้เงินเท่าไหร่ผมให้หมดเลยก็ได้...ไม่สิ ลูกพี่ใช่ไหม เขาหนีออกนอกโรงเรียนไปแล้ว" ...ลูกน้องผู้รักตัวกลัวตายโพล่งทั้งหมดโดยไม่คิดปิดบัง

แต่นายแว่นดำกลับไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะดังหึ "อุ่นดีนี่"

"อื๋อ?" หวังเหมิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะโดนรวบตัวเข้าไปกอดหมับ อีกฝ่ายวางคางลงบนศีรษะของเขาพลางบ่นงึมงำ "เกลียดอากาศเย็นจังน้า~ ยืมนายมาเป็นถุงน้ำร้อนหน่อยก็แล้วกัน"

"อะ..."

"นะ" อีกฝ่ายย้ำด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างหู ทำเอาเขาไม่กล้าพูดอะไร

คนที่ถูกกอดตัวสั่นระริก ผิวกายของอีกฝ่ายเย็นเฉียบ จากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ...นายแว่นดำคงหลับไปแล้ว หวังเหมิงคิดทั้งน้ำตา บ้า...เพื่อนลูกพี่มีแต่บ้าๆ ทั้งนั้น

หวังเหมิงรู้สึกว่าตนเองถูกจำกัดในพื้นที่คับแคบจนอึดอัดไปหมด แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงก็กลัวคนที่หลับอยู่ตื่นมาฆ่าเขาทิ้ง จึงได้แต่เอนตัวอยู่ท่านั้น ไม่กล้าเคลื่อนไหว

เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศช่วงนี้กำลังเย็นสบาย แต่เมื่อครู่ผิวที่สัมผัสเขาเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ตอนนี้ค่อยๆ อุ่นขึ้นแล้ว...พร้อมกันนั้นเขาได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะหนักแน่นราวกับเพลงกล่อมเด็ก

ในไม่ช้าเขาก็เริ่มรู้สึกง่วงงุน สักพักหนึ่งก็หลับตา จากนั้นก็ผล็อยหลับไป









"เหมิง หวังเหมิง"

"!" หวังเหมิงสะดุ้งตื่น ภาพตรงหน้าคือลูกพี่

"เจ้าขี้เกียจนี่ วันๆ ไม่เล่นเกมก็เอาแต่นอน" ว่าแล้วลูกพี่ก็เขกศีรษะของเขาไปครั้งหนึ่ง "ลุกเร็ว! กลับหอได้แล้ว"

เขาขยี้ตา ก่อนที่สติจะค่อยๆ กลับคืนมา...เมื่อมองไปรอบๆ ปรากฏว่านายแว่นดำคนนั้นหายไปแล้ว "...?"

"เลิกเหม่อได้แล้ว มาเร็ว" ลูกพี่เร่งอีกรอบ ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลังล็อคห้องชมรม เขาก็เดินตามลูกพี่ที่เดินไปบ่นไป พลางนึกสงสัย

ตกลงเขาแค่ฝันไป?

หวังเหมิงเอียงคอ ก่อนจะชะงัก จากนั้นก็ก้มหน้าลงดมเสื้อของตัวเองฟุดฟิด

...กลิ่นบุหรี่

กลิ่นเดียวกับผู้ชายคนนั้น เขากะพริบตา...คนพิลึก




+++

TBC
07/09/2014






Talk Time:

...เรือไม้จิ้มฟัน ข้อยเผลอขึ้นเรือไม่จิ้มฟันมาเสียแล้ว *ส่ายหัวดิก*

สำหรับคู่นายแว่นดำ x หวังเหมิง หลายท่านคงจะสงสัยว่าเอ็งไปขุดจากสุสานไหนมา ฮืออออ คือมันมีตอนพิเศษ (ไม่เชิงเป็นตอนพิเศษ เป็นฟิคสั้นๆ ที่คุณหนานไพ่อัพต่อๆ กัน) มีชุดหนึ่งเป็นเรื่องของหวังเหมิงกับนายแว่นดำโคจรมาเจอกันค่ะ อ่านแล้วโมเอะ แงงง

รู้ตัวอีกทีก็สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวขึ้นเรือแล้ว /นอนเหลว

เรือที่จีนเล็กมากกกก เล็กมากกกกกกกกกกก

เอาเป็นว่า AU เรื่องนี้เราคงเล่นเฮยเหมิงเต็มที่ด้วยรักนะคะ *ทิ้งตัวกุ๊กไก่กราบขออภัย* เรื่องอื่นๆ คงได้เห็นฮัวเฮยฮัว (?) ค่ะ โดยส่วนตัวเราชอบ ฮัว → เสีย (ลูกศรแสดงความสัมพันธ์) มากกว่าแหละนะคะ ฮา

ยังไงก็อ่านจั่วหัวสักหน่อยนะคะ เราจะเขียนเตือนไว้ เผื่อใครไม่มักเรือนี้เน้ *เกรงใจคนอ่าน แต่ยังไงตูข้าก็อยากเขียน แฮ่กๆๆๆ*

แต่อย่าถามว่าอายไหม ขอตอบเลยว่ามาก แงงง พลังแห่งรักล้นปรี่ โดนแซวเลย แงงงงงงงง ←

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu Drabble][瓶邪] Engrave

 

"สลัก"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**(a little bit) Spoiler Warning**




“ยังดีนะ ฉันไม่ได้ทำให้นายต้องตาย”

เขาพูดกับผมวันนั้น มาคิดดูตอนนี้แล้วมันน่าฉุน ยังดีที่นายไม่ทำให้ฉันต้องตาย นายเลยปล่อยให้ฉันรู้สึกผิดที่ทำให้นายตายแทนเรอะ!

สุดท้ายผมก็หาโอกาสพูดคำนั้นกับเขาจนได้  “คราวหน้าถ้านายทำตัวเองจนตายเพื่อไม่ให้ฉันตาย ฉันนี่แหละจะต่อยนายให้ตาย!  นายเห็นฉันอ่อนแอนักรึไง ...ก็ได้ ฉันอาจร่างกายอ่อนแอกว่านาย แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้นายตายเพื่อฉัน นายอยู่ฉันจะอยู่ นายอยากตายก็ห้ามตายก่อนฉันยินยอม เข้าใจไว้ด้วย”

หลังพ่นประโยคยืดยาวด้านบนเสร็จ เขาก็ยังไม่อ้าปากตอบผมสักคำ แต่แค่สายตาเขาไม่ปฏิเสธก็พอแล้ว



+++

END
05/09/2014







Talk Time:

ตอนแรกว่าจะเขียนฟิคสั้นๆ เกี่ยวกับประโยคนี้ของเสี่ยวเกอจากบันทึกโจรฯ เล่ม7 แต่ยิ่งเขียนยิ่งออกทะเล สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ยัดประโยคนี้ลงในเรื่องซะที *ร้องไห้* เลยยกมาเป็น drabble ก่อน (ก็ได้) (แง)

เดี๋ยวจะพยายามแต่งให้มันกลายเป็นฟิคทั้งตอนให้ได้ เลยมาสลักไว้ตรงนี้ก่อน (ฮา)

ชื่อตอนสลักนี่ อยากตั้งให้เกี่ยวกับพ่อหนุ่มเมินโหยวผิงรูปสลักหินสุดหล่อ แต่คิดไปคิดมาก็ออกทะเลอีกแล้ว สุดท้ายก็ไปคุ้ย Longdo จนได้คำ Engrave มา ดูๆ แล้วก็เหมาะดีเหมือนกัน ทั้ง grave ที่เหมือนมาจาก grave สุสาน ของชื่อนิยายบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน ทั้ง engrave ที่มาจากการแกะสลัก (หัวใจ) ลงหิน แถมสลักนี่ยังเป็นกลอนรัก--- *กระแอม* เป็นกลอนประตูหัวใจได้ด้วย แอร๊ เพ้อเจ้อมาก แง

talk ยาวกว่าเนื้อหาฟิคแล้ว 555555555555







วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu Drabble][吴邪+黑瞎子] Melt

 

"หวานเย็น (Melt)"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing:  - (瓶邪 ผิงเสีย)
Note: ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตอนพิเศษ Ice Bucket Challange ออฟิเชียลของคุณหนานไพ่ฯ รบกวนแวะไปอ่านก่อนนะคะ




"พวกนายยังห่างไกลจากการล้อเล่นกับคนคนนี้ตามใจชอบ"

ได้ยินคำนี้ของนายแว่นดำแล้วพลันรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้จะแพ้ไม่ได้

ยิ่งเห็นหมอนั่นหัวเราะคิกคักก็ยิ่งรู้สึกไม่สมเหตุสมผล พูดให้ถูกคือรู้ทั้งรู้ว่าเขาก็ล้อเล่นกับทุกคนตามใจชอบแม้แต่กับอาสาม แล้วบัณฑิตผู้ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแบบผมจะเอาอะไรไปชนะเขา

โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายของเราคือจางฉี่หลิง

...แต่ก็รู้สึกว่ายอมแพ้ไม่ได้ แพ้ไม่ได้จริงๆ


×××


น้องชายคนนี้อำง่ายกว่าที่คิด เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมพี่สามถึงได้หนักใจนัก

อู๋เสียคิดว่าเขาท้าเดิมพันเพราะอยากชิงของไปจากตน แต่ทุกคนมองตรงกันว่านายบอดดำแค่อยากแกล้งอู๋เสีย

กลั่นแกล้งนายน้อยอู๋และเพื่อนด้วยการหลอกให้ไปล้อเล่นกับคนใบ้จาง

คนที่จะวิ่งโร่เข้าไปหาอันตรายด้วยเหตุผลบ้าๆ บอๆ เช่นนี้คงมีแค่เพียงนายน้อยอู๋เสีย เรื่องมันก็ง่ายดายเพียงเท่านี้

แต่ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ... ก็แค่อากาศมันร้อน เห็นแท่งน้ำแข็งตั้งทะมึนอยู่แล้วอยากลองหาจุดอ่อนดู

ไม่คิดว่าจะละลายกลายเป็นหวานเย็นไปเสียฉิบ



+++

END
04/09/2014






Talk Time:

อยากเขียน Drabble ที่ได้ 100 คำพอดีเป๊ะ เลยออกมาเป็นอันข้างบน (พาร์ตอู๋เสีย) ส่วนอันข้างล่าง (พาร์ตนายแว่นดำ) เกินมาล้นพ้นเลยเจ้าค่ะ m(_ _)m

เรื่องนี้เป็นฟิคที่ได้ไอเดียต่อเนื่องมาจาก Ice Bucket Challenge ของคุณหนานไพ่ซานซู ซึ่งคุณเบียร์ได้แปลเอาไว้ด้วย สามารถตามไปอ่านได้ที่เพจหลักของนิยายบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน ทางนี้เลยค่ะ → บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน Ice Bucket Challange

อยู่ๆ เราก็สงสัยขึ้นมาว่านายแว่นดำจะท้าอู๋เสียทำไม พอลองนึกคำตอบด้วยสมองเน่า (ฟุ) แล้วนึกออกแต่คำตอบแบบเรือเฮยผิงหรือผิงเฮย (นายบอดดำxเมินโหยวผิง อีกอันคือ เมินโหยวผิงxบอดดำ) แง~ ที่คิดไว้คงประมาณว่านายบอดดำอาจจะอยากรู้จุดอ่อนของเสี่ยวเกอ เลยส่งอู๋เสียไป แต่ถ้าแบบนั้นจะเขียนจบไม่ลงด้วยจำนวนคำจำกัด เลยเอาแค่นี้พอแล้วกันนะคะนายแว่นดำ เราไม่ทรยศเรือเราหรอก *ไต่กลับเรือผิงเสีย*

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Crack

 

"Crack"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**


ตอนก่อนหน้า: ก้อนหิน




ในช่วงชีวิตของคนหนึ่งคน ต้องเห็นคนรอบกายจากไปทั้งหมดกี่ครั้ง?



จางฉี่หลิงจำไม่ได้แล้วว่าเขาผ่านเรื่องราวของความเป็นและความตายมามากน้อยแค่ไหน เขาในเวลานี้กำลังนั่งดูภาพบนหน้าจอโทรทัศน์ด้วยดวงตาเลื่อนลอย ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องครุ่นคิด ข้างกายเขามีอู๋เสียที่เอนศีรษะไปมา ก่อนจะเคลื่อนมาพิงไหล่ของเขา

หุ่นไม้ในโทรทัศน์กระโดดโลดเต้น วาดฝันอยากเป็นมนุษย์

...เป็นมนุษย์

จางฉี่หลิงเอื้อมมือไปกุมมือคนข้างกายเอาไว้โดยไม่รู้ตัว นอกจากเสียงจากโทรทัศน์แล้ว บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาทั้งคู่คล้ายถูกตัดขาด จางฉี่หลิงรู้สึกได้ว่าผิวเนื้อที่สัมผัสอบอุ่น พร้อมทั้งสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจเต้นสม่ำเสมอ ลมหายใจราบเรียบ

ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หลังจากละทิ้งความเป็น 'จางฉี่หลิง' ไปแล้ว เขาก็พบว่าในหัวใจที่เคยคิดว่าสุขสงบของตน กลับมีอารมณ์ความรู้สึกบางเบาประทับอยู่

จู่ๆ ในอกก็รู้สึกเจ็บแปลบ

ที่ผ่านมาร่างกายของเขาผ่านคมดาบคมอาวุธมามาก บาดเจ็บนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นเพียงความเจ็บปวดทางกายที่เขาแทบไม่รู้สึกอะไร แต่ในยามนี้ ภายในอกของเขาคล้ายมีกระแสแห่งความเจ็บปวดสายหนึ่งพลุ่งพล่าน

...เจ็บ

ความรู้สึกที่แล่นในอกทำเอาร่างของเขากระตุกวูบ เขาหันไปหาคนข้างตัว จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะปลุกอีกฝ่ายขึ้นมา

"อู๋เสีย...อู๋เสีย" เขาเขย่าตัวอีกฝ่าย ทว่าคนที่ถูกเรียกยังคงหลับตาพริ้มคล้ายจมอยู่ในห้วงของความฝัน

ภาพนั้นซ้อนทับกับความทรงจำในอดีต เรื่องราวเหล่านั้นขาดวิ่นไม่ปะติดปะต่อ แต่ความรู้สึกปวดร้าวกลับฝังแน่นในอก

ก่อนหน้านี้ บางทีเขาก็ไม่แน่ใจในตัวตนของตัวเอง

คนข้างตัวเคยบอกว่าเขาเป็นมนุษย์มากขึ้น ซึ่งจางฉี่หลิงไม่รู้ว่าเขาควรรู้สึกแบบไหน เขาในยามนี้คล้ายหุ่นกระบอกที่ถูกตัดสายชักเชิด เป็นแค่คนที่ไม่มีแรงผลักดันใดๆ ในการขับเคลื่อนชีวิต สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังดำรงตนอยู่คืออะไร ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกไม่ชัดเจน

บางครั้งเขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ในสมองเต็มไปด้วยความสับสนสงสัย

...ตัวตนของเขาคงอยู่เพื่ออะไร?

...การเป็นมนุษย์คืออะไร?

ถึงความทรงจำของเขาจะเลอะเลือนคล้ายมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ แต่จางฉี่หลิงจำได้รางๆ ว่าเคยมีคนบอกว่าเขาเป็นได้อย่างมากก็แค่ก้อนหิน เพราะเขาปราศจาก "ความปรารถนา"

เป็นได้เพียงก้อนศิลาไร้ซึ่งความรู้สึก ไร้ซึ่งหัวใจ

แล้วเขาในยามนี้เล่า? เขาสมควรถูกเรียกขานเป็นมนุษย์? หรือยังคงเป็นศิลาเหมือนเดิม?

แต่สิ่งหนึ่งที่จางฉี่หลิงมั่นใจ หากเป็นก้อนศิลา เขาก็เป็นศิลาที่มีรอยแตกร้าว

เขาแทบไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับโลกใบนี้ เส้นด้ายเบาบางที่ยังคงเกาะกระหวัดร่างของเขาไว้มีเพียงหนึ่งเดียว

หากมันขาดไป...จางฉี่หลิงนึกไม่ออกเสียแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แบบไหน

"อู๋เสีย...อู๋เสีย..."

จางฉี่หลิงเรียกชื่อคนตรงหน้าซ้ำๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงหลับพริ้มไม่ตอบสนอง เขายิ่งรู้สึกได้ถึงอาการเจ็บแปลบ เขาผ่านบาดแผลมามาก ไม่ว่ารุนแรงแค่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเจ็บปวดเจียนตายเท่าแผลที่มองไม่เห็นในอก

เขาเคยคิดว่าตนเองไม่หวาดกลัวความตาย ไม่ว่าของตนเองหรือของคนรอบตัว ในช่วงเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่อันแสนยาวนานของเขา เขาผ่านความตายมามาก ทั้งคนที่เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนสำคัญในชีวิต...เขาคิดว่าตนเองสามารถมองดูความตายได้

แต่เขาคิดผิด

ความรู้สึกนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ

ตอนที่อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมามองเขา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ จางฉี่หลิงรู้สึกถึงก้อนบางอย่างในอก

...เขานึกอยากกอดอีกฝ่ายแน่นๆ ราวกับเด็กน้อยที่กลัวลูกโป่งจะหลุดลอย

"อย่าทิ้งฉันไป"

คำนี้เขานึกอยากพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยพูดออกมา สองแขนได้แต่กอดร่างตรงหน้าไว้สุดกำลัง




บางครั้ง...การที่เราทำให้ใครสักคนมีหัวใจ นั่นอาจเพื่อไว้ทำร้ายเขาให้ปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม



+++

END
02/09/2014







Talk Time:

แฮ่ ขอต่อจากของเดิมสักหน่อยค่ะ ตอนแรกว่าจะไปเต้ามู่ไฮแล้วน้า

แรงบันดาลใจยังคงมาจากที่เดิมกับตอนที่แล้วโดยเฉพาะท่อนโปรยในตอนจบ มาคิดแล้วเสี่ยวเกอในแบบสมัยก่อนที่ใครสั่งทำอะไรก็ไม่สน มีเป้าหมายของตัวเองแน่วแน่คนนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะ

Crack ถ้าเป็นคำนาม นอกจากรอยแตกร้าว มันแปลว่าอ่อนแอก็ได้ แปลว่า (สภาพจิตใจ) แตกสลายก็ได้ เข้ากับ "หิน" เมื่อตอนก่อนดีค่ะ ถ้าให้เลือกใช้คำ คงตีความเป็น "รอยร้าว" ละมั้งน้า~

ก็เหมือนเรื่องก่อนหน้านี้ ที่โหดร้ายกว่าพรากจากคือพบพาน

...ที่เจ็บปวดกว่าไร้หัวใจไร้รักคือการรู้จักในรัก

เหมือนที่นิยายหลายๆ เรื่องพยายามเล่นประเด็นที่ว่า "ความรักทำให้คนอ่อนแอลงหรือแข็งแกร่งขึ้น" มาคิดดูแล้ว จางฉี่หลิงคนก่อนหน้านี้ (ในนิยายภาคหลัก) เป็นนายเมินเรือพ่วงที่ไม่ผูกพันกับใคร มีแค่ความเจ็บปวดทางกายที่เขาไม่แสดงออก แต่เสี่ยวเกอคนนี้ที่มีแต่อู๋เสียเนี่ย  กลายเป็นว่าถ้าไม่มีอู๋เสีย เขาจะพังทลายไปเลยหรือเปล่านะ?

ฮื่อ เหมือนพวกเจ้าพ่อที่ความรัก/คนรัก จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดนั่นแล คำถามนี้เราถามตัวเองหลายที แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด (เพราะคิดแล้วยาวมาก ตีกันไม่จบไม่สิ้น *กับตัวเองนี่แหละ*) แต่อย่างน้อยการมีหัวใจเรียนรู้จะรักใครสักคนต้องไม่ใช่เรื่องที่ผิดแน่ๆ เนาะ

ไว้จะค่อยๆ ตีโจทย์เพิ่มเติม วันนี้เอาแค่นี้ก่อนค่ะ ฮา

อาห์...บันทึกโจรฯ นี่มันนิยายรักจริงๆ ฮา /โดนคุณหนานไพ่ตี

อนึ่ง ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ฟิคเรื่องนี้เขียนเอาสนุก โครงการรวมเล่มก็ทำเพื่อส่งเสริมความสนุกของหมู่เฮาล้วนๆ มีคนตามอ่านตามสนใจอยู่เรื่อยๆ ดีใจนะคะ *มีคนช่วยแจวเรือ ฮึบๆ* แถมอุตส่าห์มีคนวาดแฟนอาร์ตให้ด้วย ตกอกตกใจ (ฮา) ขอบคุณนะคะ *ส่งจูบ*

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Stone

 

"Stone"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**



ผมยังไม่คงเลิกล้มความตั้งใจในการทำความเข้าใจกับรสนิยมของเสี่ยวเกอ แม้การทดลองจะวืดมาหลายครั้ง แต่ผมก็ยังเพียรพยายามต่อไปในการทดสอบผู้ชายที่นิ่งเป็นหลับขยับเป็นหักคอบ๊ะจ่างคนนี้

หัวข้อวันนี้คือหนังที่ชอบ

เท่าที่รู้ เสี่ยวเกอให้ความสนใจกับรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับพวกความรู้ทั่วไปพอสมควร แต่พอเป็นหนังโรง ผมเคยลากเขาเข้าไปดูเป็นเพื่อน ผลคือกลายเป็นการเปลี่ยนที่นอนให้เขาไปเสียฉิบ

ผมเลยว่าจะลองดูว่าถ้าเป็นภาพยนตร์ตามล่ามหาสมบัติอะไรพวกนี้เขาอาจจะสนใจ จึงสั่งให้หวังเหมิงไปเช่าแผ่นมาให้ดูกัน

พอกลับมาถึงบ้าน เช็คแผ่นดู ปรากฏว่าในนั้นไม่ใช่หนังที่ผมสั่ง แต่เป็นการ์ตูนเรื่องพินอคคิโอ เห็นแล้วผมแทบจะแล่นไปถีบตูดหวังเหมิงถึงบ้าน

ครั้นจะหาหนังใหม่ก็ขี้เกียจ ไหนๆ ก็เตรียมใจว่าเป็นการนั่งดูหนังแบบผมตื่นเขาหลับป๊อกอยู่แล้ว ดูการ์ตูนก็ได้ สุดท้าย หลังกินข้าวเย็น อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย พวกเราสองคนจึงนั่งดูพินอคคิโอด้วยกัน

เดิมทีผมคิดว่าเสี่ยวเกอคงหลับคาที่แหงๆ แต่ผิดคาด เขากลับตั้งใจดูมาก กลายเป็นผมเสียเองที่โคลงหัวไปมา สงสัยจะติดโรคขี้เกียจจากลูกจ้าง ครู่ใหญ่ๆ ผมก็รู้สึกว่าโลกทั้งหมดตกอยู่ในความมืดและความเงียบสงัด...

ผมจมอยู่ในห้วงนิทราแสนสบาย จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก

"เสีย...อู๋เสีย"

ผมสะดุ้งโหยง หลายวันนี้กิจการของผมค่อนข้างยุ่ง ทำเอาไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวัน เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นเสี่ยวเกอจ้องผมเขม็ง ครั้นเหลือบไปดูที่หน้าจอโทรทัศน์เห็นเจ้าหุ่นไม้กลับเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ เป็นที่เรียบร้อย... ผมหาววอดออกมาอีกครั้งพลางเอ่ยชวน "จบแล้ว ไปนอนกันเถอะ"

ว่าแล้วก็ลุกไปจะเอาแผ่นออก ตั้งใจว่าจะจับไปฟาดกบาลหวังเหมิงสักที งานนี้ไม่แผ่นหักก็หัวแตกแหละวะ ทว่าในตอนที่ผมลุกขึ้น จู่ๆ คนข้างตัวกลับสวมกอดผมเอาไว้จากด้านหลัง แรงดึงซึ่งไม่น้อยทำเอาผมแทบหงายท้อง "เหวอออ ทำอะไรน่ะ เสี่ยวเกอ"

เขาไม่ได้พูดอะไร ซึ่งก็ไม่แปลก ที่แปลกคือเขากอดผมเอาไว้แน่น ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็อยู่เฉยๆ ให้เขากอดไว้แต่โดยดี แล้วจู่ๆ เขาก็ฝังใบหน้าลงที่ไหล่ของผม ปอยผมที่สะกิดถูกผิวทำเอาสะดุ้งโหยง ดีที่ไม่เปียกน้ำด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงหลุดร้องจ๊ากออกไปแหงๆ

เรื่องนั้นช่างมันก่อน ผิดปกติ...นี่มันผิดปกติจริงๆ

"เสี่ยวเกอ..."

เมินโหยวผิงยังคงไม่ตอบ เขาแค่กอดผมไว้แบบนั้น ผมที่ถูกกอดค้างไว้ได้แต่ดูหน้าจอโทรทัศน์ พินอคคิโอ หุ่นไม้ที่อยากเป็นมนุษย์...อันที่จริงเป็นมนุษย์มันดีจริงๆ น่ะหรือ

เห็นแล้วก็คิดถึงคนที่กอดผมอยู่ในเวลานี้ ผมเคยสงสัยว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ใส่ถ่านหรือเปล่า ถ้าใส่ต้องใช้ถ่านกี่ก้อน วันๆ เขาเอาแต่นั่งเหม่อ ลงสุสานก็เดินดุ่มๆ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ใช้ชีวิตราวกับทุกอย่างถูกตั้งโปรแกรมมา แทบนึกไม่ออกว่าคนแบบเขาจะสามารถใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้ไหม

นั่นคือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ต่างกันออกไป

เขาที่กอดผมเอาไว้ในตอนนี้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ในความเป็นมนุษย์มากขึ้น บางครั้งผมก็สงสัย นั่นจะทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดมากขึ้นหรือเปล่า

บางครั้งการมีหัวใจก็แปลว่าง่ายต่อการทำให้ปวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม

เครดิตบนจอไล่มาจนถึงส่วนสุดท้าย ก่อนที่โทรทัศน์จะขึ้นเป็นจอสีๆ ในห้องมีเพียงความเงียบงัน เสียงลมหายใจของเราสองคนผะแผ่ว วันนี้อากาศร้อน เราทั้งคู่จึงสวมเพียงเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงขาสั้นทำให้ผิวกายแทบจะแนบสัมผัสกัน

ผมมองเพดานบ้านตัวเอง พยายามนึกถึงเรื่องราวทางสถาปัตยกรรม ถึงจะเรียนแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เอาไปใช้เป็นจริงเป็นจังนอกเหนือจากงานคว่ำกรวย แต่อย่างไรเสียผมก็จบมาทางด้านนี้ ดังนั้นจึงพยายามวิเคราะห์โครงสร้างคานรับน้ำหนักเพดานบ้านของตัวเองด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

แต่ท้ายสุดผมก็ตบะแตก จ้องเพดานบ้านแล้วไม่รู้สึกถึงอะไรมากไปกว่าผิวเนื้ออุ่นๆ ลมหายใจรดซอกคอ สัมผัสของริมฝีปากชวนจั๊กจี้ โว้ย! พอกันที! ผมกลอกตาไปมาขณะตัดสินใจหมุนตัวกลับไปหาเขา เสี่ยวเกอมองผม ดวงตาเบิกโพลงน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

ไม่อารัมภบทใดๆ ผมก็จูบเขาดื้อๆ งานนี้เขานั่งทนได้ทนไป แต่ผมไม่ทนแล้ว โชคดีที่เมินโหยวผิงแม้ภายนอกจะดูเป็นพวกตายด้าน สมควรไปออกบวชเผยแพร่พระศาสนาสร้างความเจริญให้สังคม แต่เวลาขึ้นเตียงด้วยกันเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ตอนนี้ก็เช่นกัน พอผมจูบเขาปุ๊บ อีกสามสิบวินาทีต่อมาผมก็โดนลอกคราบเรียบร้อยประหนึ่งไข่ต้มถูกปอกเปลือก

จากนั้น...จากนั้นจะอะไรได้อีก งานนี้ไม่ต้องสอนมวย พี่ใหญ่จางก็รู้หน้าที่ดี

เยี่ยมยอด...ดูการ์ตูนเด็กเสร็จแล้วต่อด้วยหนังผู้ใหญ่ ผมคิดอย่างเลื่อนลอยขณะที่มือเผลอปัดไปโดนกล่องใส่แผ่นการ์ตูนเมื่อครู่ เมื่อมองเจ้าพินอคคิโอบนหน้าปกแล้วก็อดให้นึกสงสัยไม่ได้ "เสี่ยวเกอ...ตกลงแล้วเมื่อกี้นายเห็นอะไรกันแน่"

เขาชะงัก ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองผม "ฉันเห็นนาย...ไม่ลืมตา"

ผมพ่นหัวเราะก๊ากออกมา คิดว่าตัวเองคงหลับลึก เขาปลุกแล้วไม่ตื่น แต่ปากกลับตอบอีกอย่าง "แหงสิ ถ้าหลับทั้งยังลืมตาก็น่ากลัวไปแล้ว"

"ไม่" เขาไล้ปลายนิ้วที่ยาวกว่าคนปกติบนใบหน้าของผม "นายไม่ยอมลืมตาตื่น"

ผมมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมมองเห็นความหวั่นไหวเล็กๆ ในดวงตาของเขา ปกติแล้วต่อให้เห็นคนตายตรงหน้า เสี่ยวเกอก็ไม่รู้สึกอะไร ดังนั้นจะตีความว่าเขากลัวความตายก็คงไม่ใช่ แต่ทำไมต้องกลัวว่าผมจะไม่ลืมตาตื่นด้วย? ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงอาการแบบนี้ให้เห็นมาก่อน

เพราะสงสัย จึงถามออกไป "ทำไม?"

ครั้งนี้เสี่ยวเกอไม่ยอมตอบ แต่เบี่ยงประเด็นด้วยการเลื่อนมือของเขาจากใบหน้าของผมลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกขนลุกซู่ไปตามแรงกดของปลายนิ้ว ถึงกระนั้นก็ยังกัดฟันต้านทานคลื่นตัณหาของตัวเอง ผมเกลียดที่สุดคือเวลาที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเขาแม้แต่น้อย

เขามันไอ้พวกชอบอมพะนำ มีอะไรก็เก็บไว้กับตัวเองหมด!

ผมพยามกลั้นเสียงครางในลำคอ จากนั้นก็ออกแรงยกสองมือขึ้นคว้าจับใบหน้าของเขาซึ่งชะงักกิจกรรมในจุดหมิ่นเหม่ ทำเอาผมนึกอยากคำรามออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ฝืนกัดฟันพูดไป "เสี่ยวเกอ จางฉี่หลิง! ฉันไม่รู้ว่านายคิดมากอะไร แต่ตราบใดที่นายเป็นคนเรียก ไม่ว่ายังไงฉันก็จะลืมตาขึ้นมามองนาย เข้าใจนะ"

พูดจบผมก็หมดแรง แต่เขากลับหยุดชะงักค้างราวกับมีใครมากดปุ่มเอาไว้ หน็อยยย อย่าหยุดกลางคันแบบนี้สิ ผมอ้าปากพะงาบๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะกะพริบตาคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว จากนั้นก็โถมแรงทั้งหมดเข้าหาผม คราวนี้ผมหลุดเสียงร้องออกมาแบบไม่คิดห้ามตัวเอง อย่างไรเสียนี่ก็บ้านผม คนที่คร่อมผมอยู่ก็ เอ่อ...ก็ของผม ทำไมต้องมานั่งกระมิดกระเมี้ยนสงวนท่าทีแบบคบชู้ด้วย เอาไว้ผมแอบยึกยักกับนายอ้วนนั่นค่อยน่าคิด

ในระหว่างที่ผมเผลอคิดอะไรวุ่นวายนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เคลื่อนริมฝีปากมากระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างหูผม

"นาน...มาแล้ว" เขาเล่าด้วยเสียงเนิบนาบ "มีหินก้อนหนึ่ง มันไม่รู้จักความรัก ไม่เข้าใจว่าความต้องการคืออะไร แรงบันดาลใจคืออะไร...ชีวิตควรขับเคลื่อนไปอย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนสอนให้มันเข้าใจ"

ผมนึกถึงพินอคคิโอ...มิน่าเล่า เขาถึงได้ตั้งใจดูนัก

แต่ในการ์ตูนมีนางฟ้าที่ทำให้หุ่นไม้กลับกลายเป็นมนุษย์ ผมนึกสงสัย

...แล้วสำหรับเสี่ยวเกอ นางฟ้าของเขาเป็นใครกัน?

คิดแล้วบางครั้งผมก็รู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ เขามีอายุมากกว่าผมมาก ผ่านวันเวลาที่ไม่มีผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมานับไม่ถ้วน จนบางครั้งก็อดรู้สึกเจ็บใจนิดๆ ไม่ได้

"แต่ความรู้สึกแรกที่มันได้เรียนรู้คือความเจ็บปวด" เขาสอดประสานนิ้วเข้ากับมือของผม ก่อนจะดึงไปแตะที่อกข้างซ้าย ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นตุบๆ

"นั่นเป็นของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายจากมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาอีก หลังจากนั้น มันก็ค่อยๆ เรียนรู้ แต่ยิ่งเรียนรู้ มันกลับยิ่งสงสัย เพราะอะไรสิ่งที่มีมักเป็นความเจ็บปวด...ถ้ากลับไปไร้ความรู้สึกแบบเดิมจะดีกว่าไหม"

ร่างของผมสั่นระริกขณะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมค่อยๆ เอื้อมไปแตะที่หางตาซึ่งมีหยดน้ำไหลริน ผมเคยเห็นภาพนี้ครั้งหนึ่ง...แต่นั่นไม่ใช่ตัวเขาโดยตรง ถึงกระนั้นก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดในอก ผมเกลี่ยปลายนิ้วเชื่องช้า ขณะยิ้มให้เขา

"ดีแล้ว...แบบนี้แหละดีแล้ว ก้อนหินทั้งเย็นทั้งแข็ง ฉันชอบมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออบอุ่นมากกว่า"

ผมค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่หลังคอของเขา ก่อนจะโน้มลงมาเพื่อจูบ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่าง 'จางฉี่หลิง' ที่เก่งกาจราวกับเทพเจ้า ไร้เทียมทาน ไร้ความเจ็บปวด ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่สำคัญ กับ 'เมินโหยวผิง' คนน่าเบื่อที่วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อบ้าง หลับบ้าง ทำตัวแปลกๆ ให้ผมตามไม่ทันบ้าง ผมชอบที่เขาเป็นแบบหลังมากกว่า

ฮื่อ ใช่แล้ว...ชอบ

ใบหน้าของเราสองคนค่อยๆ ผละออกจากกันโดยที่ดวงตายังคงสอดประสาน ผมส่งยิ้มให้เขา "ฉันชอบนายที่เป็นแบบนี้นะ เสี่ยวเกอ"

ร่างของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา เมินโหยวผิงยิ้มไม่บ่อยนัก จำนวนครั้งที่ได้เห็นใช้แค่สองมือนับก็เกินพอ และในบรรดารอยยิ้มของเขาที่ผ่านมาทั้งหมด ครั้งนี้นับว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความปิติที่แท้จริงที่สุด

อันที่จริงแล้วเขาจะเป็นก้อนหิน ท่อนไม้ กระดาษ หรืออะไรก็ช่างมันปะไร จะเป็นอะไรเขาก็คือเสี่ยวเกออยู่ดี

และผมก็ชอบเขาที่เป็นแบบนี้ไปแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ





+++

END
31/08/2014







Talk Time:

เขียนด้วยความเบลอ (ฮา) ทำไมพอเขียนฉากหนุบหนับของคู่ผิงเสียแล้วก็เริ่มหนุบหนับบ่อยขึ้นซะงั้นนะ (เฮือก) พยายามเซอร์วิสตัวเองจากความแห้งแล้งในชีวิตอยู่ค่ะ ตอนแรกว่าจะเขียนฉากเมาเหล้าเมายา แต่คิดไปคิดมาเอาไปตบลงในเล่ม fic ดีกว่า เป็นเซอร์วิสซีนล้วนๆ จะได้เฉลยด้วยว่าที่แท้แล้วเสี่ยวฮัวคิดอะไรยังไงกันแน่

อ๊ะ ไปๆ มาๆ พูดแต่ของเก่าเสียอย่างนั้น /แจวเรือกลับ

เรื่องนี้แรงบันดาลใจมาจากตอนพิเศษยิบย่อยของบันทึกโจรฯ ที่คุณหนานไพ่เคาะลงเน็ตค่ะ แต่โม้มากเดี๋ยวมันสปอยล์ เอาเป็นว่าได้แรงบันดาลใจมาจากทางนั้นก็แล้วกันค่ะ♥

ช่วงนี้ค่อนข้างชีวิตยุ่งเหยิงพอสมควร เอาไว้จะกลับไปลุยเต้ามู่ไฮต่อนะคะ ฮิ

/กลับไปใช้ชีวิตวัยรุ่นบ้าง อะไรบ้าง