"Burnish"
Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
**Spoiler Warning**
หากเขาถามว่าผมคิดยังไง ผมตอบไม่ได้ และคิดว่าเขาก็คงไม่สนใจเหมือนกัน
"เสี่ยวเกอ นายคิดว่าไง?" ผมหันไปถามความเห็นคนข้างตัว เพราะไม่ได้เจอกันนาน พวกเรานั่งคุยกันจนเพลินอีกแล้ว
ไม่ เสี่ยวเกอไม่ได้เปลี่ยนไปหรือจากผมไปไหน คนที่นั่งคุยกับผมมาตลอดชั่วโมงคือนายอ้วนที่อ้วนแค่ชื่อคนนั้น ส่วนเสี่ยวเกอยังคงทำตัวปกติ นั่งนิ่งเงียบเป็นศิลาก้อนยักษ์บนโซฟาเดียวกับผม
"ฉันอยากไป" เขาตอบเสร็จก็กลับไปทำหน้านิ่ง จ้องรอยเปื้อนในอากาศเหมือนเดิม แต่แค่นั้นก็เพียงพอ หากเขาไม่มีข้อแย้ง เป็นอันว่าอีกสามวันพวกเราจะมีทริปไปเที่ยวเกาะทางใต้กัน
พักนี้ไม่รู้ว่าแก่แล้วหรือยังไง ผมรู้สึกโหยหาอากาศอบอุ่นจนรู้สึกอยากหนีจากปักกิ่งช่วงปลายปีสักพัก คิดถึงสมัยก่อน พอสักเดือนสิบ อากาศเย็นขึ้น ผมเอนตัวบนเก้าอี้หวายนั่งมองวิวบนทะเลสาบซีหู ต้นไม้ทั้งเมืองกลายเป็นสีเหลืองทอง สูดลมหายใจเข้าออกโชยกลิ่นดอกกุ้ย กลางคืนมีจันทร์กระจ่างสองดวง หนึ่งบนผืนฟ้า หนึ่งบนผืนน้ำ ตอนนั้นหังโจวจะสวยที่สุดในรอบปี
ทว่าสวยแค่ไหน ผมก็อยู่กับวิวนั้นเป็นสิบๆ ปีแล้ว หนาวนี้ผมเลยโทรไปชวนนายอ้วน ลากเขาไปทริปกินดื่มเที่ยวที่ทะเลทางใต้ ตอนแรกนายอ้วนทำเป็นอิดออดเล่นตัว แต่ผมรู้ดีว่าเขาทำไปอย่างนั้น คุยไม่กี่ประโยคเขาก็รีบเก็บของจับรถมาบ้านผมทันที
ผมโทรไปถามนายอ้วน จากนั้นค่อยถามคนที่กินดื่มหลับนอนในบ้านเดียวกัน เพราะทุกทีก็เป็นเช่นนี้ หากผมถามเมินโหยวผิงแต่แรก นอกจากเรื่องเกี่ยวพันถึงอดีตของเขา ทุกอย่างเขาล้วนปล่อยเป็นการตัดสินใจของผมกับนายอ้วน ดังนั้นสู้ผมถามนายอ้วนแต่แรก แล้วค่อยดูว่าเขามีอะไรขัดข้องตรงไหนหรือไม่ก็พอ
ผ่านไปสิบกว่าปี นายอ้วนภายนอกไม่อ้วนแต่ก็ยังเป็นนายอ้วน เมินโหยวผิงกลายเป็นจางฉี่หลิงแต่ก็ยังเป็นเมินโหยวผิง ขวดน้ำมันปิดตายไม่ยอมเปิดปากคนนั้น
ใช้เวลาเพียงพริบตาก็ถึงตอนเดินทาง ผมกำลังยืนดูฟองคลื่นสีขาวจากดาดฟ้าเรือ ทะเลด้านล่างเป็นสีน้ำเงินสด อยู่ๆ ก็อยากกินหัวปลาหม้อไฟเสียอย่างนั้น สักพักนายอ้วนเดินมาหา เขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน แสงแดด สายลม เสียงคลื่น ทั้งหมดล้วนส่งเสริมใจคนให้ผ่อนคลายแจ่มใส พวกเราวางแผนกันใหญ่ว่าจะตระเวนกินหรือซื้อของสดมาทำอาหารกันวิธีไหนบ้าง
ก่อนมานี่ผมจองบ้านพักริมหาดไว้ หมายมั่นว่ามีอาหารทะเลสดๆ ตรงหน้า มีนายอ้วนพร้อมเครื่องครัวด้านหลัง ทริปเที่ยวหนนี้ต้องประหนึ่งสวรรค์บนเกาะร้างแน่นอน
ระหว่างนั้นผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป ข้อมูลสำคัญมากที่นึกไม่ออก สร้างความรู้สึกยุบยิบน่ารำคาญเหมือนมีเสี้ยนในรองเท้า
เมินโหยวผิงยืนเหม่ออยู่ใกล้ๆ ผมจำได้ว่าแม้เขาจะทำหน้าแบบเดียวแทบตลอดวัน ความจริงยังมีบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าได้ เช่นเรื่องอันตรายตอนลงดินคว่ำกรวย หรือของกินที่อร่อยมากบางอย่างซึ่งเขาไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าชอบ
ดังนั้นผมจึงหมายมั่นปั้นมือ ตั้งเป้าหมายว่าอย่างน้อยหนึ่งมื้อของแต่ละวัน จะต้องทำให้เขากินข้าวด้วยท่าทีเจริญอาหารให้ได้ มีพ่อครัวชั้นยอดแบบนายอ้วน มีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากทะเล ความสำเร็จอยู่ในมือผมแน่นอน
ระหว่างนั้นเมินโหยวผิงไม่ได้ขยับเขยื้อนสักนิด เขาดูจริงจังกับการยืนเหม่อมองท้องฟ้าสายลมแสงแดดเป็นที่สุด ผมไม่อยากกวน เลยลากนายอ้วนมานั่งเก้าอี้บนดาดฟ้าเรือ หยิบสมุดจดออกมาวางแผนชีวิตของพวกเรา กะว่าทุกมื้อจนกว่าจะกลับ บนโต๊ะต้องมีอาหารไม่ซ้ำเมนู จากนั้นจะได้บันทึกไว้ว่าจานไหนทำศิลายักษ์ก้อนนั้นเปลี่ยนสีหน้าได้บ้าง ตอนกลับบ้านจะได้ทำกินบ่อยๆ ...ไม่สิ ฝีมือผมทำคงไม่ดี สงสัยต้องลากนายอ้วนมาทำ ไม่ก็จับลูกน้องสักคนไปเทรนฝีมือกับเขา
ขณะที่ค่อยๆ ร่างแผนการของตัวเองตรงนั้น ผมยังไม่เอะใจสักนิดว่า เขาก็กำลังร่างแผนการของตัวเองเช่นกัน
พวกเราไปถึงบ้านพักก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมกับนายอ้วนหิวจนแทบไม่มีแรงทำอะไร มื้อนี้เลยเปลี่ยนแผนไปกินอะไรง่ายๆ ที่มีขายแถวนั้นแทนก่อน วางข้าวของชิ้นใหญ่ทิ้งไว้แล้วหยิบติดตัวแค่กระเป๋าเงิน ตอนเดินออกไปถึงประตูบ้านพักแล้วผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า พวกเราสามคน มีคนหนึ่งหายไป
เมินโหยวผิง...เสี่ยวเกอหายตัวไปอีกแล้ว
ผิด นี่ผิดปกติอย่างมาก จะว่าที่นี่มีอาถรรพ์ก็ไม่ใช่แน่นอน ก่อนเลือกที่พัก ผมสืบประวัติสถานที่และผู้คนที่เกี่ยวข้องหมดแล้ว ที่นี่ "สะอาด" เท่าที่บ้านพักริมทะเลบนเกาะจะสะอาดได้ หลังภูเขา หน้าแม่น้ำ ฮวงจุ้ยสถานที่แม้ไม่ดีเยี่ยมแต่ก็ถูกต้องตามหลัก ข้าวของชิ้นใหญ่เล็กจัดวางแบบปกติธรรมดาที่สุด ตำแหน่งประตูหน้าต่างไร้ปัญหา ผมเช็กทุกอย่างด้วยตัวเองหมดแล้ว ไม่มีปัจจัยทำให้เกิดอาเพศแน่นอน
เขาหายไปได้ยังไง?
เสี่ยวเกอไม่หายตัวไปเงียบๆ แบบนี้นานแล้ว ผมเดินกลับไปตรงข้าวของที่กองไว้เมื่อครู่ ทุกอย่างอยู่ครบ...เว้นแต่เป้ประจำตัวเขา
"เสี่ยวเกอ นายอยู่ข้างในรึเปล่า?" ผมจับลูกบิดประตูห้องนอนเดียวที่ถูกงับปิดไว้ มันล็อก "เสี่ยวเกอ? ...จางฉี่หลิง? "
"ฉันไม่หิว พวกนายไปก่อน จะตามไปทีหลัง" นั่นคือเสียงของเขาแน่นอน เสียงนั้นตอบมาอย่างราบเรียบที่สุด แต่ไม่อธิบายสักนิดว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็เดินหายเข้าห้องไม่บอกไม่กล่าว หรือว่าจะปวดขี้มาก?
ฉับพลันนั้นเอง ผมจึงนึกได้ว่าเดินทางค้างแรมด้วยกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยเห็นตอนเสี่ยวเกอร้อนรนเพราะปวดห้องน้ำเลย เกรงว่าวิชาหน้านิ่งปากหนักของเขาจะส่งผลร้ายเสียแล้ว เขาไม่แสดงออกมา ใครจะรู้ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าปลงสังเวช นายปวดขี้ก็หัดบอกสิวะ ฉันจะได้บอกนายว่าไม่ต้องเดินรอ ให้รีบล่วงหน้ามาบ้านพักก่อนเลย ผ่านไปสิบปี ไอ้หมอนี่น่าเป็นห่วงยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
ผมยืนคุยกับลูกบิดประตู บอกเมินโหยวผิงว่าไม่ต้องรีบ ใช้เวลาในนั้นตามสบายได้เลย ผมกับนายอ้วนจะเดินตลาดจับจ่ายของกินแวะดูสาวไปพลางๆ ระหว่างรอเขา นายอ้วนเดินตามผมมาตั้งแต่แรกแล้วเลยไม่ต้องอัพเดทข่าวอะไรอีก เดินออกมาด้วยกันอย่างสบายใจ
ผมวางแผนอาหารเย็นอย่างหมายมาด มาถึงทะเลทางใต้ทั้งที วันนี้ต้องกินปลาเก๋าตัวเท่าหมาให้ได้ นายอ้วนแย้งว่าปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น ขายหมดตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ต่อให้สั่งจองกับเรือประมงก็ยังไม่แน่ว่าจะได้กินพรุ่งนี้ ทะเลไม่เหมือนตลาดสด อยากกินก็ใช่ว่าจะเดินจิ้มเลือกได้ทันที ยกเว้นผมจะไปซื้อต่อจากตู้ที่เขาเลี้ยงหน้าร้านอาหารทะเล
ไอ๊หยะ ลืมคิดไปจริงๆ ปัญหามากนักเดี๋ยวพ่อเหมาเรือประมงสักลำแล้วไปจับเองเลยดีมั้ย พอผมคำนวนดูก็พบว่าสังขารผมไม่ได้ถูกฝึกมาเหมือนลูกทะเลเลือดแท้ บนดินผมเดินคล่อง แต่ให้วิ่งไปมาบนเรือที่น้ำเจิ่งนอง มีหวังอู๋เสียได้กลับไปเทียนเจินให้ขายขี้หน้าฟ้าดิน
พวกเราเดินตลาดวนอยู่สามสี่รอบกว่าจะปลงใจเลือกร้านอาหารได้ ไม่ใช่ว่าเรื่องมาก แต่เพราะเวลาเที่ยงแบบนี้ ไม่ว่าร้านไหนก็คนเยอะจนทะลักล้น หลังลองทั้งเบียดทั้งต่อคิว สุดท้ายก็ยอมแพ้ต่อเทพเจ้าในกระเพาะที่ส่งเสียงคำราม มายืนกินปลาหมึกปิ้งที่ร้านแผงลอย
เมินโหยวผิงยังไม่มาสักที
เวลาผ่านไปขนาดนี้ ผมถึงเริ่มกังวล เพิ่งเอะใจว่าเสี่ยวเกอทำตัวแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บอกไม่ถูกว่าตรงไหน ความจริงแล้วเขาไม่อยากมาทะเลรึเปล่านะ เพราะหลายสิบปีก่อนเขาเกิดเรื่องที่กรวยใต้น้ำตรงซีซา สิบกว่าปีก่อน มีโอกาสลงทะเลอีกรอบก็เกิดเรื่องอีก บางทีเขาอาจมีความรู้สึกไม่ดีต่อทะเลไปแล้ว อย่างอาสามของผม เห็นทะเลทีไรก็ทำหน้าหดหู่ นึกถึงแต่ความทรงจำรสชาติขมขื่น
ผมได้แต่ด่าทอตัวเองในใจว่าควรเอาใจใส่เขามากกว่านี้ ปกติเขาทำหน้านิ่งเฉย ไม่พูดอะไร ความจริงเขาเป็นคนคิดมาก เป็นไอ้บ้าหน้ามึนที่เสียสละตัวเองเพื่อผมมาโดยตลอด การมาทะเลครั้งนี้เป็นผมที่อยากมา เขาก็แค่ตามใจผมเหมือนทุกครั้ง
"ฉิบหายแล้วเสี่ยอ้วน ฉันจะกลับไปตาม..." ผมตั้งใจจะหันไปบอกนายอ้วนว่าจะกลับบ้านพักไปหาเสี่ยวเกอ แต่พบว่ามีคนอื่นมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นายอ้วนก็ทำสีหน้าแบบ 'งงจนพูดไม่ออกเลยว่ะเสี่ยวอู๋' มองมาจากอีกฟาก
คนที่ยืนแทรกระหว่างผมกับนายอ้วน ไม่ใช่เสี่ยวเกอ คนผู้นี้พวกเราไม่ได้เห็นเขามานานแล้ว แต่ผมจำหน้าเขาได้ คาดว่านายอ้วนเองก็เช่นกัน
"นาย...ศาสตราจารย์จาง!?" ตาเหม่งจางยิ้มกว้างให้ผมทั้งๆ ที่มีปลาหมึกยัดเต็มปาก
พ่อนายเป็นบ๊ะจ่าง! บัดซบที่สุด! ผมไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเลือกสำลักปลาหมึกที่กำลังเคี้ยวแทน
"สหายอู๋ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณสบายดีนะ มา มา วันนี้วันดี ท้องฟ้าแจ่มใส เรามาเดินชื่นชมธรรมชาติไปพร้อมๆ กับวิเคราะห์แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจครัวเรือนของประชากรพื้นเมืองบนเกาะกันเถอะ" ตาเหม่งจางที่ข้างในคือจางฉี่หลิงช่วยลูบหลังผมที่กำลังสำลักจนน้ำจิ้มปลาหมึกขึ้นจมูกอยู่
จากหางตา ผมเห็นเสี่ยอ้วนยืนเกาคอเกาพุง ครู่หนึ่งเขาก็พ่นคำนั้นออกมาจนได้ "เสี่ยว่าเดี๋ยวเสี่ยไปเดินตลาดก่อนดีกว่า ไม่รีบซื้อรีบเลือก ของสดๆ สวยๆ จะขายหมดก่อน เจอกันตอนเย็นที่บ้านแล้วกันเทียนเจิน" จากนั้นก็เปิดตูดเผ่นแน่บ เชี่ยแม่ง ทิ้งกูไว้กับตาเหม่งจางนอตหลวม!
"นาย...นาย..." ผมคว้าขวดน้ำเทใส่ปากเพื่อล้างคอให้โล่ง
"วันนี้พวกเราทิ้งงานการไว้ในเมือง ออกมาท่องเที่ยว สหายอู๋ผู้สูงส่งก็ควรทำใจให้สบาย กระผมศึกษาเรื่องราวของเกาะนี้มาบ้าง ประวัติไม่เลวเลยจริงๆ! คาดว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว ถ้ายังไงพวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพความรู้ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น!"
เจ้าหมอนี่.....บ้าบอคอแตกที่สุด
"ศาสตราจารย์จาง...ฉี่หลิง นายแคะขี้หูแล้วฟังฉัน!!" ขอบคุณฟ้าดินที่เขาหยุดพูดจ้อแล้วฟังผมเงียบๆ ได้เสียที น่าตายนัก ตอนนั้นผมงี่เง่ามากจริงด้วย ถ้ามองนายเหม่งจางบ้าบอนี่ให้ดี ดวงตานั่นยังเป็นดวงตาเดียวกับของจางฉี่หลิงชัดๆ แต่ก็โทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่สังเกต ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเป็นเขา ผมก็ไม่อยากยืนจ้องตาผู้ชายที่ไหนเหมือนกัน
"เสี่ยวเกอ ฉัน...ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ไม่เอาใจใส่นายให้ดี นายไม่จำเป็นต้องพูดมากกว่าที่นายอยาก นายไม่จำเป็นต้องขี้โม้เหมือนเสี่ยอ้วน นายแค่ยังมีชีวิตอยู่กับฉันไปตลอดจนกว่าฉันจะตาย ห้ามตายก่อนฉัน ที่เหลือนายอยากหรือไม่อยากทำอะไรก็สุดแท้แต่นาย" ผมลงทุนพูดถึงขนาดนี้กลางตลาด ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจผู้ชายจีนสองคนหน้าร้านปลาหมึกปิ้งหรอก แต่กระนั้น...ผมแม่งก็โคตรอายอยู่ดี
"ฉันเป็นเพื่อนคุยให้นายไม่ได้ ...แต่ฉันอยากเป็น" เขาพูดจากบุคลิกของจางฉี่หลิงแล้ว...ด้วยใบหน้าของตาเหม่งจาง ทำใจชินได้ยากจริงๆ
"นี่ ซุป'ตาร์จาง ไหนๆ นายก็แสดงเก่งจนสมควรส่งไปชิงออสการ์แล้ว นายแสดงด้วยหน้าตาปกตินายไม่ได้รึไง ฉันซาบซึ้งกับการลงทุนของนายนะ แต่ฉันอยากคุยกับจางฉี่หลิงมากกว่าศาสตราจารย์จาง"
เห็นตาเหม่... ศาสตราจารย์จางขมวดคิ้วหน้าเคร่ง ผมไม่รู้จะขำหรือจะเครียดหรือจะร้องไห้ดี
"ฉันไม่ชิน"
"ฉันก็ไม่ชินว้อยยย!!!!!"
"..."
"...แม่งเอ๊ย!"
ผมคว้าข้อมือเขาเดินออกจากตลาด ขอบคุณที่เขายอมเดินตามผมต้อยๆ เหมือนลูกเจี๊ยบ จางฉี่หลิงบ้าอะไร นายเหมาะกับชื่อเมินโหยวผิงมากกว่าชัดๆ
เรือพ่วงตัวถ่วง ผมเคยเปรียบเขาเป็นเรือที่พ่วงท้ายเรืออื่น สุดท้ายกลายเป็นผมเองที่โดนพ่วง เป็นแม่ไก่ที่มีเรือลูกเจี๊ยบพ่วงเป็นขบวนห้อยท้ายตลอดเวลา
กว่าจะถึงบริเวณที่ปลอดคนก็เกือบถึงบ้านพักเราแล้ว ผมเลยลากเขากลับเข้าห้องนอนที่เขาขังตัวเองก่อนหน้านี้ พอปิดประตูห้อง ผมก็คลำนิ้วไปหลังใบหูแล้วดึงหน้ากากมนุษย์ของเขาออกมา...ไม่ออก!!
"แบบนั้นไม่ได้" ไม่ปล่อยให้ผมพูดอะไร เขาจับมือผมออกแล้วค่อยๆ ลอกผิวหน้าตัวเองออกมา ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวตอนนั้นว่าชอบใบหน้าของเขาแค่ไหน
ค่อยยังชั่ว เจริญตากว่าตาเหม่งจางเยอะเลย
ปกติใบหน้าของเมินโหยวผิงจะราบเรียบเย็นชา ปราศจากริ้วอารมณ์ ทว่าตอนนี้ใบหน้าที่นิ่งเฉยดุจหน้ากากนั่น กลับเห็นร่องรอยของความกังวลพาดผ่าน
งานเข้า งานเข้าเต็มๆ ไม่รู้ว่าเขาเสียเวลาแต่งหน้าไปแค่ไหน แล้วอยู่ๆ ผมก็ดันไปสั่งดึงออก ผมมันคนบาป ทำให้เสี่ยวเกอผู้แสนดีต้องลำบากอีกแล้ว
เมินโหยวผิงละความสนใจต่อผมไปสนใจเทคนิคเคลื่อนข้อต่อกลับร่างเดิมของเขา วิชาหดกระดูกนี่เห็นกี่ทีก็รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนตัวเองโดนแทน
...อุตริที่สุด! นายปลอมหน้าเฉยๆ ไม่พอ ทำไมยังต้องปรับเปลี่ยนส่วนสูงร่างกายอีก!
ยืนคิดอะไรแปบเดียว เขาก็กลับเป็นเมินโหยวผิงคนเดิมทั้งตัวแล้ว เว้นแค่สีหน้าที่ยังไม่กลับไปมึนชาไร้อารมณ์ เห็นดังนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ปัญหาดอกท้อแบบนี้ เพิ่งเคยเจอครั้งแรกจริงๆ
คิดไปคิดมา ผมก็เดินไปหาเขา ตัดสินใจว่าจะช่วยเขาดู ไม่รู้ได้ผลแค่ไหน
"...อู๋เสีย ฉันไม่ใช่เฮยเสียจื่อ"
"นายใส่แว่นดำก็เหมือนสวมหน้ากาก โอเคมั้ย"
"....."
"เฮ้! ซุป'ตาร์จาง แว่นกันแดดนี่หนากว่าหน้ากากนายเยอะนะ นายแว่นดำนั่นถึงได้หน้าหนาผิดมนุษย์มนาหน้าตาเฉยไง นึกดูให้ดี" เมินโหยวผิงที่สวมแว่นกันแดด ยืนทำหน้าตาไม่มั่นใจ น่ารักจนผมทนไม่ได้ต้องหยิกแก้มเขา
ไอ๊หยะ อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาแก่กว่าผมตั้งเยอะ...ช่างมัน ฝ่ายเขาที่ควรคิดมากยังไม่เห็นคิดเลย ผมจะร้อนตัวไปทำไม
เมินโหยวผิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ใบหน้ากลับไปราบเรียบไร้อารมณ์ พลันพูดกับผมว่า
"สหายอู๋ วันนี้อากาศดี แต่บรรยากาศมืดไปนิด เพื่อเพิ่มพลังหยางลดทอนพลังหยิน เราไปเดินรับไอหยางจากแดดที่หาดกันเถอะ"
"ใต้เท้าพูดถึงขนาดนั้น ข้ายอมเห็นด้วยก็ได้"
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเข้าใจถ่องแท้ว่า ความคิดของผมล้วนอยู่ในหัวผม ความคิดของเขาย่อมอยู่เพียงในหัวเขา ไม่เพียงต้องคิดถึงอีกฝ่ายให้มาก แต่ต้องพูดกับอีกฝ่ายให้มากด้วย การใช้ชีวิตคู่ก็เป็นเช่นนี้เอง
+++
END
21/09/2014
END
21/09/2014
Talk Time:
ค่ะ...เหม่งจางค่ะ... ที่แต่งมาทั้งหมด แค่อยากแต่งฟิคที่มีเหม่งจางค่ะ!! 5555555555555555555555555555555555555 แง ทั้งที่เป็นหนึ่งในคอสเพลย์จากจางฉี่หลิงแท้ๆ แต่เหม่งจางก็ยังถูกแฟนเกิร์ลด้วงจงใจลืมทิ้ง โธ่ ( Y v Y )
ขนาดแฟนดอมที่จีนกับในวิกิบันทึกโจรฯ ยังเลี่ยงไม่ใช้คำว่าตาเหม่งเลย แต่ใช้คำว่าซุป'ตาร์จางแทน
(影帝张 ← ไม่รู้จะแปลว่ายังไงดี มันคือคำที่แปลว่า นักแสดงเก่งมากถึงขนาดถูกส่งชิงรางวัลออสการ์/ตุ๊กตาทอง + จาง ยาวอะ แง เลยย่อเหลือ "ซุป'ตาร์จาง" แอร๊ พอจะแถได้ใกล้สุดๆแล้ว...มั้ง)
และ...ใช่แล้วค่ะ เสี่ยอ้วนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาอ้วนค่ะ 55555 พยายามจะยัดความอ้วนกลับให้เสี่ย เลยพากันมาทัวร์บริโภค แอร๊
จริงๆ ตอนแรกอยากพากันไปขุดสุสานบ้าง แต่ไปๆ มาๆ ...ขุดสุสานแล้วยัดโมเม้งโมเอะยากอะ!! ← สาววายนี่มันสาววายจริงๆ
ฮือออออ เอาเป็นว่าเป็นฟิคที่มโนต่อเนื่องจาก "Kiln" อันโน้น แต่เนื้อหาไม่ต่อกันเว้นแค่เรื่องที่พุงเสี่ยหายไป *แค่ก*