วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Drabble][小花] count

 

"count" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: -




เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่หนึ่ง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่ห้า...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่หก...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่เจ็ด...

ทั้งที่เมินเฉยไม่สนใจ แต่ก็ยังรู้ว่าโทรศัพท์ดังขึ้นถึงเจ็ดครั้งก่อนจะเงียบเสียงลง



+++

END
31/10/2014



#dmbjdaily 290 days left : เมิน



Talk Time:

ร่วม #DMBJdaily ต่ออีกวัน (ไหนใครบอกว่าอาจไม่เล่นทุกวันนะ...โฮ)

หัวข้อเมิน แต่ไม่ใช่ฟิคนายเมิน แง ก็พูดถึงเมินแล้วนึกถึงเสี่ยวฮัวเมินโทรศัพท์มากกว่าซะงั้นค่ะ

แดรบเบิ้ลนี้ให้เสี่ยวฮัวเดี่ยวๆ ค่ะ ไม่ได้ใส่แพริ่งไว้เพราะ...เพราะเขียนให้เสี่ยวฮัวเดี่ยวๆ ค่ะ 5555 (เหตุผลกำปั้นทุบดินเหลือเกิน) แง พรุ่งนี้น่าจะหายตัวแล้ว ถ้าเห็นโผล่มาส่งเดลี่แสดงว่าอู้งานแหงแก๋ไม่ต้องสงสัยค่ะ 555

ปล. แดรบเบิ้ลอันนี้นับคำได้ 85 คำเอง T A T แต่ก็ไม่รู้จะแต่งเติมตรงไหนให้ลง 100 แล้ว โฮ orz

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Halloween

 

"Halloween" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




วันนี้เป็นวันฮาโลวีน ผมไม่รู้ว่าเสี่ยวเกอจะมีความรับรู้เรื่องวันพิเศษแบบนี้ในหัวหรือไม่

โดยส่วนตัวผมไม่ใช่พวกนิยมชมชอบคอสตูมเพลย์เป็นพิเศษ ผมเคยคิดเล่นๆ แบบในหนังการ์ตูน ว่าถ้าหากมีสักวันที่เราสามคนจำต้องปลอมตัวเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง คนที่เหมาะกับภารกิจแบบนั้นคงไม่พ้นยอดนักแสดงจางอย่างไม่ต้องสงสัย รองลงมาคงเป็นผม เพราะอย่างน้อยก็เคยมีประสบการณ์ปลอมตัวมาบ้าง ส่วนนายอ้วนนั้นเลิกคิดไปเลย ให้เขาลดพุงได้ก่อนค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ควรไล่ให้เขาไปฝึกวิชาหดไขมันแทนวิชาหดกระดูกเสียก่อน

แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไป เทศกาลฮาโลวีนของต่างชาติคือการแต่งตัวเพื่อความสนุก ล้อคลอไปกับประเพณีและแสงไฟเทศกาลอันมีมายาวนาน อันที่จริงที่หังโจวนี้ไม่ค่อยมีใครเล่นอะไรในเทศกาลนี้กัน (เว้นก็แต่เด็กๆ รุ่นใหม่ที่รับเอาวัฒนธรรมฝรั่งมาในชีวิตเยอะกว่าคนรุ่นผม) ตัวผมเองก็ไม่ค่อยจะสนใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีมากกว่าหนึ่งครั้งที่ผมเคยแอบคิดว่าเมินโหยวผิงในชุดผีจีนก็ดีเหมือนกัน...ผีจีนที่ใส่กี่เพ้าอะไรทำนองนี้

เมินโหยวผิงกับการละเล่นแต่งกายเพื่อความสนุก เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันได้ยากมาก แต่คิดว่าถ้ามีเหตุผลที่ดีพอ ก็น่าลองดู

หมายมั่นปั้นมือ ผมกลับไปที่ร้าน รื้อค้นชุดกี่เพ้าสตรีที่เคยซื้อไว้ตั้งแต่ตอนคิดบ้าจะให้หวังเหมิงแต่งเพื่อเรียกลูกค้าออกมา ชุดเป็นกี่เพ้าสีน้ำเงินสด ผ้าเนื้อดี เก็บได้นานปีไม่มีเก่า อีกทั้งยังไม่เคยแกะออกจากห่อ หมอนั่นรูปร่างสูงกว่าหวังเหมิง คิดว่าใส่แล้วคงออกมาดูสั้น แต่กี่เพ้าสั้นๆ ก็ดี ไม่เป็นไร

พอกลับถึงบ้านผมก็ตรงไปหาเขา อธิบายที่มาของเทศกาลนี้สารพัดเท่าที่เปิดอ่านมาจากอินเทอร์เน็ตให้เขาฟัง เมินโหยวผิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น มีสีหน้าเรียบเฉย จนเมื่อผมหยิบกี่เพ้าออกมาจากถุงเขาถึงขมวดคิ้วมองมาทางผมคล้ายไม่เข้าใจ

"...ฉันจึงอยากให้นายใส่" เว้ากันตรงๆ แบบนี้เลย

พักหลังๆ นี้เสี่ยวเกอใจดีกับผมมาก กับคนที่ออกปากว่าถ้าใครทำอะไรผม (และนายอ้วน) แม้แต่ปลายก้อย เขาถึงกับจะตามไปไล่เก็บศัตรูช้าๆ อย่างใจเย็นด้วยเวลาชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขา คิดว่าเรื่องแค่นี้ขอไม่ยากหรอก

ผมกระหยิ่มใจเช่นนี้ได้เพียงไม่นาน เพราะเมินโหยวผิงมองผมเพียงครู่เดียว จากนั้นก็หันไปเหม่อมองฟ้ามองหน้าต่างต่อ ไม่สนใจผมอีก

ผมอ้าปากหวอ แล้วตัดสินใจรุกใหม่ "น่า เสี่ยวเกอ เราเป็น...เพื่อน...กันทั้งที นายยอมตามฉันสักหน่อยเถอะ..."

ผมลองหาเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมเขา หากเป็นเมื่อก่อน อะไรที่เขาตัดสินใจไปแล้วนั้นยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก จุดอ่อนของเขาคือผม อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ แต่แม้แต่นายอ้วนยังบอกว่าถ้าจะมีใครล้อเล่นกับเมินโหยวผิงได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นผมจึงจะมีโอกาสเสี่ยงน้อยที่สุด เรื่องนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแกล้งคนอย่างนายแว่นดำก็ยังต้องยอมรับ

"จางอากง นายยังหนุ่มยังแน่น ฉันก็แค่อยากพานายไปหาความเกี่ยวโยงแบบแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง"

เขาตอบโดยไม่หันมองมา "นายใส่เองเถอะ"

"ไม่ นายต้องเป็นคนใส่ นายเท่านั้น" ผมเสียงแข็งขึ้นอีกระดับ เดินตรงไปหาเขาแล้วยื่นถุงให้

เมินโหยวผิงหันมองผม เอ่ยขึ้นว่า "นายไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ นายบอกว่าเป็นงานเทศกาลแล้วชุดแบบนี้มันเกี่ยวอะไรด้วย"

อา จริงสิ ผมอธิบายเรื่องคอนเซปต์เทศกาลฮาโลวีนไป แต่ลืมอธิบายเครื่องแต่งกายที่จะให้เขาใส่ไปด้วย ผมจึงบอกไปว่าใส่ชุดกี่เพ้าจะได้แต่งเป็นผีสาว ส่วนหน้าตาเขาดูซีดขาวทะมึนน่ากลัวอยู่แล้ว แค่เอาผมลงหน่อยแล้วเดินโงนเงนไปตามปกติเป็นอันใช้ได้ จากนั้นก็แต่งประวัติผีสาวขึ้นมาหนึ่งเรื่อง เรื่องของผีสาวที่ยืนรอคนรักที่ท่าน้ำจนตัวตาย ระหว่างเล่าก็ทำหน้าเริงรื่นไปด้วย พยายามกล่อมเขาว่าโลกนี้มันช่างสวยงามและเทศกาลนี้จะต้องสนุกสุดๆ เป็นแน่

คนเราสามารถพูดได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ข้อนี้ผมเรียนรู้ดีเสียยิ่งกว่าดีตลอดสิบปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมจึงพล่ามเป็นคุ้งเป็นแควได้สารพัดทั้งๆ ที่ไม่ได้อินเทศกาลที่ว่าขนาดนั้นเลย เอาวะ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเขาฟังผมอยู่ ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะเสีย คำขอนี้มีแต่ได้กับเสมอตัว ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ผมดีใจเป็นอย่างยิ่ง

เมินโหยวผิงเจอลูกตื๊อของผมไปก็คล้ายเริ่มเครียด เขามองผมด้วยสายตาเหมือนจะขอบุหรี่สูบ แต่แล้วก็ไม่ได้ขอ เขามองผมอยู่อย่างนั้น พอเห็นสายตาที่คุ้นเคย ผมรู้ตัวว่าเริ่มได้การแล้ว

"แต่งแล้วจะไปที่ไหน" เขาถาม

"ยังไม่ได้คิด แต่ถ้าแต่งแล้วออกมาดูดีเกินไป ฉันจะขังไว้ดูกันเองสองคนในนี้ อย่างมากก็ถ่ายรูปเก็บนิดหน่อยไว้พอไปอวดนายอ้วน แค่นี้พอ ฉันไม่ขอมากมาย" ผมโบกมือไปมา ทำหน้าทำตามีเหตุผลถึงที่สุด เมินโหยวผิงเป็นเป้าสายตาเกินไป ออกไปข้างนอกก็คงวุ่นวายแน่ๆ โดยพื้นฐานผมก็แค่อยากเห็นเขาแต่งกี่เพ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้นจะไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ

เขายังคงมองผม มีสีหน้าลำบากใจ แต่ในที่สุดก็พยักหน้า ผมกำมือร้องเยสในใจ รีบคว้ากล้องดิจิตอลเดินตามเขาไปด้วย

"แต่ต้องไปแต่งในห้อง" เขาบอกผมพลางชี้ไปทางห้องนอน ชั่วขณะหนึ่งผมรู้สึกเหมือนเรากลับไปตะลุยสุสานกันอีกครั้ง ท่าทางชี้ของเขาเหมือนตอนส่องไฟฉายหากลไกหาประตู มีผมเดินตาม ตื่นเต้นถึงขีดสุด รู้สึกเหมือนได้ความไร้เดียงสาของเทียนเจินกลับคืนมาท่ามกลางคำขออันไม่ไร้เดียงสานักของเถ้าแก่อู๋

เมื่อเราไปถึงห้อง เมินโหยวผิงก็รับชุดกี่เพ้าไป สีหน้ายังไม่คลายความลำบากใจ เขาถามผม "นายคิดดีแล้วเหรอ?"

ผมหัวเราะพลางตบไหล่เขา "เป็นจางฉี่หลิงแล้วมีอะไรต้องกลัวอีก? ฉันเป็นพวกมั่นใจในหน้าตาตัวเอง นายแม่งหน้าตาดีกว่าฉันเยอะ หัดเอาอย่างฉันบ้างก็ได้"

"ฉันกลัวว่าเริ่มแล้วจะหยุดไม่ได้"

ผมเงียบอึ้งไป ใช้เวลาประมวลผลคำพูดสั้นห้วนของเขาอยู่นาทีเต็ม หยุดไม่ได้... คนที่ควบคุมทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจของตัวเองได้ดีถึงขีดสุดเช่นเขาน่ะหรือจะกลัวว่าตนจะหยุดไม่ได้ น้องเสี่ยวเกอกังวลมากเกินไปแล้ว! ผมหัวเราะใส่เขาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ อะไรกัน ที่แท้จางฉี่หลิงก็แค่กลัวว่าใส่ชุดกี่เพ้าแล้วจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วถาวรไปหรอกเหรอ? นายแม่งเป็นไอ้ลูกเจี๊ยบบ้าหน้ามึนของแท้ ปกติจางฉี่หลิงไม่เคยลังเล แต่สีหน้าท่าทางลำบากใจเมื่ออยู่กับผมเช่นนี้เท่านั้นกลับให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเหมือนกัน

ผมบอกเขาว่าขนาดเป็นเหม่งจางยังไม่เห็นจะเหม่งถาวร ผมเป็นอาสามก็ไม่ได้เป็นนักเลงหัวไม้ไปเลยเสียหน่อย ซุป'ตาร์จางอย่างเขามีอะไรต้องกลัวด้วย

"มีฉันอยู่ นายไม่มีอะไรต้องกังวล" ผมบอกเขาพร้อมกับส่งยิ้ม เอื้อมมือไปจับมือเขาเพื่อให้กำลังใจอย่างอบอุ่น แม่งเอ๊ย ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ได้ ฮาโลวีนนี่มันดีจริงๆ โว้ย กี่เพ้าจงเจริญ!

เมินโหยวผิงมองผมอยู่นาน จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจเหมือนตกลงปลงใจแล้ว เขายอมเริ่มต้นในที่สุด เริ่มจากเอื้อมมือมาปลดกระดุม...ของผม

"เดี๋ยว จางฉี่หลิง เดี๋ยว ฉันว่ามันต้องมีอะไรผิดไปแน่ๆ"

เขาไม่ฟัง สองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษของเขาทำงานได้รวดเร็ว กระดุมบนเสื้อของผมถูกแกะออกทีละเม็ดในชั่วพริบตา เพียงไม่กี่วินาทีผมก็ยืนตัวเปล่าเหลือแต่ลิงอยู่ตรงหน้าเขา นอกจากนี้แม่งยังอุตส่าห์เหลือถุงเท้าไว้ให้คู่นึง น่ารักมาก

"เดี๋ยว เสี่ยวเกอ ฉันให้นายเป็นคนใส่ ไม่ใช่ฉัน" ผมยกมือห้ามเขาพร้อมกับก้าวถอยหลัง

เมินโหยวผิงพยักหน้านิ่งๆ เขาหยิบชุดกี่เพ้าคลี่ออก ก้าวยาวๆ เข้ามาหา จากนั้นผมก็โดนจับล็อกผมไว้กับกำแพงอย่างง่ายดาย เรี่ยวแรงผมหายไปหมดด้วยแรงบีบประหลาดที่เขาจับตัวผมไว้ เชี่ย พ่อง ผมทำได้เพียงพ่นคำด่าสารพัด ซึ่งเขาตอบผมเพียงสั้นๆ ว่า "นายบอกเองว่าต้องให้ฉันเท่านั้นเป็นคนใส่"

ไม่ใช่ใส่แบบนี้โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

ไม่ใช่! ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนี้! เมื่อกี้คำขอร้องของผมมันผิดพลาดไปตรงไหนมั่งวะ ผมพูดผิดตรงไหน ผมต้องการให้เขาเป็นคนใส่กี่เพ้าลงบนตัวของเขาเอง ไม่ใช่ให้เขาเป็นคนใส่ให้ผม ห่า ไอ้บัดซบ ที่ผ่านมาเขาฟังโดยรับรู้เป็นคนละเรื่องเดียวกันอย่างนั้นหรือ

"เดี๋ยว เสี่ยวเกอ เราต้องเจรจากัน อย่าให้สถานการณ์ปั่นหัวเราได้" ผมพยายามบอกห้ามเขา ให้เรามาทำความเข้าใจกันใหม่ แต่ดูเหมือนเขาไปถึงจุดที่ "กลัวว่าเริ่มแล้วจะหยุดไม่ได้" ที่เขาว่าเสียแล้ว เพียงไม่นานผมที่ตัวอ่อนย้วยไร้เรี่ยวแรงก็โดนเขาเปลี่ยนชุดให้ใหม่หมด มันเป็นกี่เพ้าสีน้ำเงินสด ผ้าเนื้อดี เก็บได้นานปีไม่มีเก่า ด้วยส่วนสูง 181 ซม. ของผม ใส่แล้วดูโคตรสั้น โคตรน่าอาย

เมินโหยวผิงปล่อยมือในที่สุด เขาจ้องมองผม จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วผละออก ผมซึ่งติดจะมั่นใจว่าตัวเองหน้าตาไม่เลวแทบจะทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ทำผมถึงขนาดนี้ยังจะมาส่ายหน้าอีก จิตใจหมอนี่แม่งทำด้วยอะไร!

ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงแก๊ก เงยหน้าไปพบว่าเขาเดินไปล็อกประตู ระหว่างทางก็ก้มเก็บกล้องดิจิตอลที่ผมทำหล่นไว้กลับมาด้วย ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ น้ำตาปิ่มๆ จะไหลทะลักออกมาแล้ว

"นายดูดีเกินไป คงต้องขังไว้ดูกันเองสองคนในนี้" เขากล่าวเสียงต่ำพร่า ตอนก้มเก็บกล้องเส้นผมของเขาตกลงมาปรกหน้าดูโคตรทะมึน แม่งเอ๊ย ไม่ต้องแต่งอะไรก็เหมือนผีแล้วจริงๆ ด้วย หัวใจผมแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ขณะมองไอ้บ้าผีทะเลตรงหน้า เรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ ผมเกลียดวันฮาโลวีน ผมเกลียดกี่เพ้า!

เรื่องราวหลังจากนั้น...

หลังจากนั้น...

ด้วยความเคารพ ผมไม่ใช่พวกนิยมชมชอบคอสตูมเพลย์เป็นพิเศษ โรลเพลย์ก็ไม่ได้ชอบ และผมก็ไม่ใช่พวกชอบเล่นกล้องถ่ายรูปไปด้วย ขอเรียนไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีวันปล่อยผีขอรับท่านใต้เท้า




+++

END
30/10/2014



#dmbjdaily 291 days left : ฮาโลวีน



Talk Time:

ขอเล่น #DMBJdaily ด้วยคนนะคะ ヽ(≧▽≦)ノ

ด้วงความเคารพ เอ้ย ด้วยความเคารพ...นี่คืออะไรอะ แง เขียนอะไรลงไปปป ทีแรกตั้งใจจะเขียนแค่แดรบเบิ้ลค่ะ ไปๆ มาๆ กลายเป็นลากยาวมาถึงจุดนี้ได้ไงไม่รู้ โฮฮฮ _:(´ཀ`」 ∠):_

ทีแรกจะมีแค่ครึ่งแรกด้วยซ้ำค่ะ เขียนด้วยความลังเล ไม่แน่ใจว่ามันควรจะติดแท็กผิงเสีย หรือเสียผิงดี พอเขียนถึงข้างล่าง...อืม... "เรื่องบางเรื่องพอเริ่มไปนานๆ ก็หยุดไม่ได้แล้ว" ซุป'ตาร์จางไม่ได้กล่าวไว้... เป็นผิงเสียไปแล้ว ก็เป็นผิงเสียไปตลอดกาลแบบนี้ละค่ะ

ไทม์ไลน์เหรอ? ไทม์ไลน์ก็...มโนเอาว่าหลังวันชาติแล้วกันค่ะ ชีวิตอันสงบสุข (หืม?) ของผิงและเสีย *ปิดตาชี้เรื่องอื่นๆ อีกมากมายในบลอคนี้* ก็เห็นบรรยากาศเรือตอนนี้ดราม่ากันเยอะแล้ว เราเลยอาสามาเติมความบ้าบอให้กับเรือค่ะ เย้ (/ ゚▽゚)/ *โดนไล่ตี*

อนึ่ง ต้องขอเรียนก่อนว่าคงไม่ได้มาเล่นเดลี่ทุกวัน ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานที่ ตอนนี้ด้วงตื่นตระหนกหนีกระจัดกระจาย (...เป็นอังกอร์เรอะ) *แค่ก* ไม่ใช่ค่ะ ช่วงนี้กำลังจัดการกับตอนสเปเชี่ยลและอื่นๆ ในโปรเจคต์รวมเล่มอยู่ ส่วนร่างจริงก็กระจัดกระจายอยู่จริงๆ ค่ะ ช่วงนี้ต้องทำงานนอกสถานที่กันลูกเดียว ถ้าหายไปจากทวิตบ้างหรือมาเล่นไม่ครบวันบ้างก็อย่าเพิ่งลืมกันไปนะคะ โฮ *ทิ้งตัวลงคุกเข่าเกาะขาเรือเอาไว้* (เดี๋ยว เดี๋ยว เรือที่ไหนมีขาให้เธอเกาะ)


(เบื้องหลัง)

"มันฮัลโลวีนยังไงเนี่ย..."

"ผีสาวไง ผีจีน! มีผีทะเลด้วย!"

"แล้ว...ถ้าวันหนึ่งมีเดลี่ธีมกี่เพ้าผุดขึ้นมาจะทำยังไง"

"ก็...เอ่อ...เขียนภาคต่อ"

"จ้ะ จ้ะ"

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Bind 2

 

"Bind 2"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Super Spoiler Warning**

**มีเนื้อหา Spoiler เล่ม 10 ด้วยนะคะ อย่าลืมอ่านเล่ม 10 ก่อนน้าาา**




บนโลกใบนี้ แรกเริ่มทุกคนต่างมีด้ายอยู่ในมือคนละสองเส้น 

ภายในเวลาไม่นานด้ายเหล่านั้นจะเริ่มเยอะขึ้น ทีละเส้น ทีละเส้น เจ้าให้ข้าหนึ่ง ข้าให้เจ้ากลับไปหนึ่ง เมื่อรู้ตัวอีกที คนหนึ่งคนกลับมีด้ายในมือเยอะเกินไป พัวพันยุ่งเหยิง แต่ละเส้นปัดป่ายถักทอจนเป็นตาข่าย มัดคนผู้นั้นไว้ภายใต้ปมด้ายนับไม่ถ้วน

เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแต่ละคนมีเส้นด้ายจำนวนเท่าไรกันแน่ 

สิ่งเดียวที่รู้คือ ในสองมือเขา พวกมันว่างเปล่า



ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีเพียงเรื่องอันสมควรทำ ตัวเขาเป็นเพียงก้อนหินเล็กๆ ในสายธารที่ชื่อประวัติศาสตร์ ทำเพียงเรื่องอันสมควร หลีกเลี่ยงเรื่องเสียแรงเปล่า ทุกอย่างมุ่งไปสู่หน้าที่เดียวเท่านั้น

'จางฉี่หลิงมีตัวตนเพื่อปกป้องสิ่งหนึ่ง' เขาเคยได้ยินบางคนพูดเช่นนี้

เขาเกิดมาไร้ตัวตน จากนั้นจึงถูกเรียกว่าจางฉี่หลิง แม้เริ่มต้นจากไม่ใช่ชื่อ สุดท้ายก็กลายเป็นชื่อของเขา ทว่าชื่อนี้เปรียบเสมือนคำสาป นับแต่วันที่เขาเป็นจางฉี่หลิง ชีวิตของเขาก็กลายเป็นของชื่อนี้ และจะเป็นเช่นนั้นตราบวันสุดท้ายของลมหายใจ

จางฉี่หลิงไม่มีความผูกพัน สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงหน้าที่เดียวคือปกป้องสิ่งหนึ่ง และเพื่อการนั้น เขาจึงได้รับโอกาสให้ปกป้องคนอีกมากมาย

เขาเคยปกป้องคนไว้มาก หาได้ทำเพราะจิตกุศลหรือจิตเมตตา แค่ทำสิ่งที่สมควรทำ ไม่คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งใดตอบแทน

ตลอดมาเขาเป็นฝ่ายปกป้อง สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง กระนั้น... คนที่เขาปกป้องกลับทยอยตายไปในที่สุด ทั้งจากอุบัติเหตุ จากโรคภัย และจากอายุขัย ไม่ว่าจะช่วยไว้กี่คน ท้ายสุดคนเหล่านั้นก็ต้องตายสักวัน



ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนับแต่วันที่เขาเกิดเป็นจางฉี่หลิง ได้พบผู้คนมากมาย เดินผ่านซากศพมากมาย สองมือเขายังคงว่างเปล่า ไม่มีแม้ด้ายสักเส้น



เดินทางผ่านหุบเขา สายน้ำ ลำธาร แสงจันทร์และอาทิตย์นับหมื่นนับพันวัน วันหนึ่ง เขาก้มมองมือตัวเอง กลับพบด้ายหนึ่งเส้น เขาไม่เข้าใจว่ามันมาจากไหนหรือเมื่อใด จึงเริ่มมองตามเส้นด้ายที่พัวพันยุ่งเหยิงในกำมือ

มันร้อยพันนิ้วทั้งห้า เลื้อยรัดแขนทั้งข้าง ทิ้งปมยุ่งเหยิงไปทั่วร่างกาย ไม่ละเว้นแม้ลำคอ ลามไปถึงขา
แล้วทิ้งปลายลากยาวหายไปเบื้องหลัง

เขาจึงเดินย้อนทางตามเส้นด้ายไป ทบทวนเรื่องราวที่เส้นด้ายแต่ละช่วงนำพา



ตลอดชีวิตการเดินทางของเขา พบพานและลาจากผู้คนมากมาย เขาไม่ค่อยพูด ผู้คนจึงเรียนรู้ที่จะไม่พูดกับเขาเกินความจำเป็น เขาไม่สนใจผู้คน จึงไม่มีใครติดต่อกับเขาเกินความจำเป็น ในบรรดาคนทั้งหมดที่เคยพบ มีอยู่ผู้หนึ่งที่เหมือนได้เรียนรู้แต่ก็เหมือนไม่เคยเรียนรู้สิ่งใด

อู๋เสีย

เวลาไม่ถึงสามปี กลับเกิดอะไรขึ้นมากมาย เดิมทีเขามีปัญหาด้านความทรงจำ แต่ช่วงเวลาไม่ถึงสามปีนี้กลับแจ่มชัดเกินไป ถึงอยากลืมก็ลืมไม่ได้ทั้งหมด และในทุกความทรงจำที่ลืมไม่ลง มีคนผู้หนึ่งอยู่ในนั้น

อู๋เสีย

แรกเริ่มเดิมที เขาไม่คิดว่าจะต้องข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้เกินกว่าหนึ่งครั้ง เพราะในบรรดาคนที่เขาเคยร่วม 'งาน' สมาชิกในกลุ่มมักเป็นโจรขโมยมืออาชีพหรืออย่างน้อยก็มีประสบการณ์การฝึกอยู่พักใหญ่เพื่อป้องกันการสูญเสียสมาชิก

เมื่อสามปีก่อน ตอนเห็นสมาชิกทีมของงานคว่ำกรวยหนนั้น เขารู้ทันทีว่ามีอยู่หนึ่งคนที่ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ

มือใหม่นอกวงการ คนที่ไม่รู้อะไรเลย ตัวถ่วงของทีม

ไม่คาดคิดแม้แต่น้อย ชายหนุ่มคนนั้นดวงแข็งเป็นพิเศษ ไม่เพียงรอดจากเหตุการณ์ร้ายแรงหนแรก หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนยังกล้าเดินเข้าสุสานเองอีกรอบเสียด้วย เหตุบังเอิญที่ทะเลซีซานั่นคือครั้งที่สอง เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าด้ายเส้นนี้เริ่มพันรอบตัวเขาแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็มีครั้งที่สาม สี่ ทุกครั้งล้วนเป็นเหตุบังเอิญ

ชายหนุ่มคนนั้นเริ่มจากการเที่ยวเล่นตามประสาคุณชายของบ้านเศรษฐี จากนั้นก็กลายเป็นเดินทางตามหาคนสำคัญ ขุดคุ้ยเรื่องราวที่ใหญ่เกินตัว ดวงตาใสซื่อนั่นค่อยๆ ถูกย้อมด้วยสีดำแบบเดียวกับที่ล้อมรอบโลกของเขาไว้

ไม่ว่าจะออกห่างสักกี่หน เขาและชายหนุ่มคนนั้นจะกลับมาเจอกันด้วยเหตุบังเอิญเสมอ

...เว้นครั้งสุดท้าย...

การพบกันหนที่ห้า เขาเป็นฝ่ายโดนค้นพบ ไม่ได้เป็นเพียงเหตุบังเอิญเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

คนแปลกหน้าคนหนึ่ง ช่วยคนเดือดร้อนตรงหน้า เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่จะให้คนแปลกหน้าคนหนึ่ง ออกเดินทางและประสบอันตรายแทบแลกชีวิตเพื่อคนแปลกหน้าอีกคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย



ชายหนุ่มใสซื่อบริสุทธิ์คนนั้น แม้ถูกย้อมด้วยสีดำของความแปดเปื้อน ก็ยังคงใช้ดวงตาที่ใสกระจ่างคู่เดิมจ้องมองโลก พูดสิ่งที่ดีงาม และกระทำทุกเรื่องด้วยหัวใจอ่อนโยน

เขาไม่เคยบอกไป...คำพูดที่ได้ยินข้างกองไฟวันนั้นสำคัญกับเขาเพียงใด

เขามั่นใจ...คนแบบชายหนุ่มคนนั้นเมื่อสงสัยอะไร ไม่มีทางหยุดแค่ 'รู้ผิวเผิน' แน่นอน

เขาเชื่อ...ว่าตนเองได้ครอบครองสถานที่ไม่เล็กเลยในหัวใจของอีกฝ่าย สถานที่ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไปตราบเท่าชีวิตเจ้าของ

เขารู้...ชายหนุ่มคนนั้นเข้าใจนิสัยของเขาดีและเชื่อในคำพูดของเขาแค่ไหน

ดังนั้น...เขาจึงตั้งใจจะเก็บด้ายเส้นนี้ไว้ให้นาน นานเท่าเวลาที่เขามี ด้วยการพบกันอีกหนที่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ



"ฉันมาบอกลา เวลาของฉันมาถึงแล้ว"



เขายอมแลกเวลาสิบปีของจางฉี่หลิงเพื่อปกป้องอู๋เสีย ใช้พวกมันเป็นเส้นด้าย...รัดพันหัวใจใสซื่อบริสุทธิ์นั้นไว้...ไม่ให้ลืมเขา...แม้เพียงแค่วันเดียวก็ตาม





+++

END
23/10/2014






Talk Time:

...เอ๊ะ...

ตอนแรกตั้งใจจะแต่งฟิคที่พูดถึงความรู้สึกเต็มๆ ของเสี่ยวเกอบ้างค่ะ พี่ท่านเล่นพูดนับประโยคได้ เลยแทบหาประโยคพูดยัดใส่ฟิคไม่เจอ ....แต่...ทำไมออกมาเหมือนจะจบท้ายด้วยความยันเดเระล่ะ!? *ร้องไห้*

ที่จริงเริ่มจากความสงสัยเล็กๆ น่ะค่ะ ตลอด 10 เล่มบันทึกจอมโจรแห่งสุสานของไทยเนี่ย นายน้อยแสดงออกชัดเจนมากว่ารู้สึกยังไง แต่พ่อหน้านิ่งเมินโหยวผิง... จากแกรี่สตู *แค่ก* จากคนแปลกหน้าสุดเก่งแสนเท่ที่เจอกันบ่อยๆ ตอนลงกรวยขุดดิน อ่านไปอ่านมา รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเพื่อนร้ากกกของอู๋เสียไปแล้ว พวกนายไปวาร์ปความสัมพันธ์กันตอนไหนคะ!?

คิดไปคิดมา ก็เจอแค่ตอนกองไฟในเล่ม 4 (อีกแล้ว) 55555

ถึงจะรู้มาบ้างนิดหน่อยแล้วตอนบินชนสปอยล์ระหว่างขุดอุโมงค์จีน แต่พออ่านในเล่ม 10 เนี่ย... ประโยคนั้นมันก๊าววววว แงงง คำว่า "นาย" ในหน้านั้น เขียนสั้นๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่ ซ่อนความรักของเสี่ยวเกอไว้มากมาย แอร๊ อ่านถึงคำนั้น โมเม้งในทุกเล่มที่ผ่านมาผุดขึ้นในหัวเต็มเลยค่ะ โฮฮฮฮฮ นี่มันนิยายรักกกกก

จริงๆ แถวๆ ตอนนั้นมีโมเม้งอยากเอามาเล่นอีก แต่คงไปโผล่อีกทีในรวมเล่มฟิคเลย อย่าลืมหยอดกระปุกเตรียมไว้นะคะ แอร๊♥ ฟิคในเล่มมีรีไรต์แต่ไม่มีรีพริ้นต์นะเออ เพราะถ้าพิมพ์คงไปพิมพ์เล่ม 2 แทน ...เป็นทีมด้วงงบน้อยน่ะค่ะ  _:(´ཀ`」 ∠):_ แล้วเจอกันสิ้นปีค่ะ

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][黑盟] Do not turn on the light

 

"Do not turn on the light"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)


**Spoiler Warning**




ตื่นออกจากรัง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่~

ของอร่อยที่สุดก็คือ...เมล็ด...ทานตะวัน~♪






"...เอ่อ ใต้เท้าเฮยเสียจื่อ"

"หืม"

"ถ้าคุณจะกรุณา...ช่วยหยุดร้องเพลงสักทีได้ไหมครับ"

"เห ทำไมกัน เสียงฉันออกจะดีขนาดนี้" เขาฮัมเพลงในคอ ได้เวลาวิ่ง~ กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่~♪

"ทำไม..." อีกฝ่ายทวนคำ "คุณยังกล้าถามว่าทำไมอีกเหรอ หา!"

คนตะโกนนึกอยากร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ไม่สิ อันที่จริงเขารู้สึกว่ามีน้ำตาซึมอยู่ในลูกตา มือที่กุมต้นแขนอีกฝ่ายกำแน่นจนแทบจะทึ้งชิ้นเนื้อให้หลุดออกมา

ทำไมน่ะหรือ...ก็ดูสภาพของพวกเขาสองคนตอนนี้สิ สองคนเปลือยกายอยู่บนเตียง...กำลังทำกิจกรรมที่แน่นอนว่าไม่ใช่เปลื้องผ้าจั่วไพ่ แล้วนี่อะไร เพลงแฮมทาโร่...ไม่ให้น้ำตาไหลตอนนี้จะไหลตอนไหน

"คุณอยากร้องเพลงตอนเข้าห้องน้ำ ถูบ้าน ทำกับข้าวอะไรก็ช่างเถอะ ทำไมต้องมาร้องตอนนี้ด้วย...นี่เกลียดผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย"

เฮยเสียจื่อจุ๊ปาก พลางหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ "ไม่เอาน่า เหมิงเหมิง...เห็นหน้านายแล้วรู้สึกว่าควรร้องเพลงนี้น่ะสิ"

ว่าแล้วก็ร้องเพลงต่อ...

อีกฝ่ายที่ชักทนมานานรู้สึกเหลืออด หวังเหมิงเลื่อนมือปัดป่ายไปที่ข้างหัวเตียง จากนั้นก็กดไฟข้างหัวเตียงเกิดเป็นเสียงดังคลิก ห้องสว่างโร่ขึ้นมาทันตา คนที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่ถึงกับหรี่ตาโดยอัตโนมัติ "ทำอะไรของนาย"

"...ผมไม่ให้คุณมองแล้ว!" มองที่มืดชัดนักก็เจอไฟเสียเถอะ โคมนี้ที่จริงแล้วไม่เคยมี เพราะเจ้าของห้องคุ้นชินกับความมืด แต่เขาเป็นคนซื้อมาวางไว้เอง...ไว้เพื่อการณ์แบบนี้แหละ อันที่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้ได้ไหม แต่ก็เผื่อๆ ไว้ก่อน หมอนี่ตาบอดจริงหรือเปล่าเขาก็ยังไม่รู้เลย จริงๆ อาจจะแค่มุกอำขำขันก็ได้ ใครมันจะยิ่งมืดยิ่งมองเห็นได้ดีกัน...แต่ก็นะ เจอเรื่องประหลาดมาเยอะ เจอตัวประหลาดมาแยะ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ

พอห้องเปิดไฟสว่างโร่ เขาก็เริ่มรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย...คนตรงหน้ายามนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเสียยิ่งกว่าชัด ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อดูราวกับพวกรูปหล่อโบราณ เทียบกับเขาที่เห็นจะหาได้แต่พุงมากกว่ายิ่งมองก็ยิ่งเศร้า

ขณะที่หวังเหมิงกำลังนึกเสียใจนิดหน่อยที่มาทดลองอะไรแบบนี้เวลานี้ เขาก็พบว่าความเสียใจดังกล่าวช่างเป็นเรื่องอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่าเขากำลังอยู่บนเตียงกับผู้ชายที่ร้องเพลงการ์ตูนขณะกำลังทำกิจกรรมกัน

"ผมว่าคืนนี้เรา...แยกย้ายกันไปเหอะนะ" เขาเอ่ยเสียงหวาดๆ ขณะมองหาเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ แต่ทว่าคนที่คร่อมทับร่างกายกลับทิ้งน้ำหนักมากขึ้นราวกับจะล็อคไม่ให้เขาเคลื่อนไปไหน "สะ เสียจื่อ หนักนะ"

"โอ๊ยโหย ขอโทษที แสงมันรบกวนมากไป ตาฉันก็ไม่ค่อยดี" ฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงปราศจากความจริงใจ หวังเหมิงเห็นแล้วอดทำหน้าเซ็งไม่ได้ เขาโบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายแทนการทดสอบ

"ตกลงตอนนี้คุณมองไม่เห็นจริงอะ...ยังไงก็ช่าง" เขาตัดสินใจเลิกหาความจริง "คุณลุกให้ผมเถอะ มองไม่รู้เรื่องมันลำบากใช่ไหมล่ะครับนายท่าน คืนนี้เราเลิกแล้วต่อกันเถอะนะ" ...มู้ดเขามันโดนแฮมทาโร่พังย่อยยับไปหมดแล้ว ยังเหลืออะไรให้ผู้ชายคนนี้ได้อีกกันเล่า

ตกปากยอมขึ้นเตียงกับผู้ชายคนนี้จัดอยู่ในเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ของเขาดีแท้

"หืม..." เฮยเสียจื่อครางในลำคอ ดวงตาที่ปราศจากแว่นดำเช่นทุกทีทอประกายอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้ขนลุกซู่ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับปลายนิ้วแผ่วเบาลูบไปบนผิวกายเปลือยเปล่าของเขา สัมผัสนั้นราวกับสัตว์เลื้อยคลานเคลื่อนที่อยู่บนตัว เสียงทุ้มต่ำกระซิบผะแผ่ว "เหมิงเหมิงเด็กโง่ ไม่รู้เหรอว่าคนตาบอดน่ะ เพราะมองไม่เห็น จึงใช้มือแทนดวงตา...สัมผัส...เพื่อรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น"

ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายลงมือ 'สัมผัส' ตามที่เอ่ยปาก ร่างเขาแทบทุกตารางนิ้วถูกปลายนิ้วที่เคลื่อนไหวได้นุ่มนวลหากแต่ทิ้งร่องรอยอันดึงดันพวกนั้นครอบครองจนหมด เสียงทุ้มพร่าเรียกชื่อเขาแผ่วเบา...

เขานึกถึงท่าทางของพวกเซียนวัตถุโบราณที่เป็นลูกค้าของที่ร้าน คนพวกนั้นสัมผัสสิ่งของ ตรวจสอบด้วยมือคู่นั้นและสายตาอันแหลมคม พลิกแล้วพลิกอีกทุกจุด นิ้วมือทั้งสิบเคลื่อนไหวแผ่วเบา นุ่มนวล คล้ายจะประคับประคอง แต่ก็แฝงไปด้วยความใคร่รู้อย่างหิวกระหาย

หวังเหมิงอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองคล้ายเป็นวัตถุเหล่านั้น

"ฉันเองก็...มีมือที่ละเอียดอ่อนต่อการสัมผัสคู่หนึ่ง" เฮยเสียจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังสนุกสนานเต็มที่

"พอ ฮึก พอเถอะ" เขาหอบหายใจ พยายามรวบรวมเสียงเพื่อเปล่งออกไป

"เด็กดี..." ฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนจนน่าขนลุก มือที่สัมผัสผิวกายเขาค่อยๆ ขยับ เปลี่ยนเป็นแนบลงทั้งฝ่ามือบนร่างของเขา ขยับหนักๆ ราวกับจะนวดเคล้น ร่างของหวังเหมิงสั่นระริก เขาในยามนี้รู้สึกเหมือนเป็นสัตว์เล็กที่ถูกคุมคาม คล้ายถูกงูรัดไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่ามือคู่นั้นเคลื่อนผ่านจุดไหน เขาจะรู้สึกเหมือนถูกพิษ ท้ายที่สุดร่างกายก็ชาดิก ขยับไปไหนไม่ได้ เป็นได้แค่อาหารอันโอชะที่ถูกละเลียดกินอย่างอ่อนโยน

ความอ่อนโยนอันแสนโหดร้ายทำให้รู้สึกแทบสำลักออกมา

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นยามนี้มีเพียงสองมือคู่นั้น ซึ่งเพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกเหมือนคนจะจมน้ำอยู่รอมร่อ ทว่าไม่นานนัก อีกฝ่ายก็ค่อยๆ โน้มตัวลงมา แตะริมฝีปากซับน้ำตาให้เขา จากนั้นก็ค่อยเคลื่อนริมฝีปากไปช้าๆ คราวนี้หวังเหมิงรู้สึกได้ถึงอาการเย็นวูบไปทั่วร่าง ก่อนจะค่อยๆ สัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่ลามเลียเหมือนถูกไฟเผา...

ร่างกายบัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวหนาว ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด

...ตายแน่ งานนี้ตายแน่ๆ เขานึกอยากกรีดร้อง

ด้วยความที่ห้องสว่างไสว เขาจึงมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจน...เรียกว่าเกินไป ทุกครั้งที่เขาพยายามจะเบือนหน้าหนี ก็จะถูกเสียงกระซิบสั่งให้ 'มองฉัน' พอยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว

...อย่างน้อยถ้ามองไม่เห็นก็อาจจะดีกว่านี้ เขาพรูลมหายใจ ริมฝีปากที่เม้มแน่นถูกปลายนิ้วของอีกฝ่ายงัดออก ท้ายสุดก็ยอมปล่อยเลยตามเลย ส่งเสียงครางอย่างสิ้นหวัง

ไฟ...อย่างน้อยถ้าปิดไฟล่ะก็

ความหวังสุดท้ายของเขาคือแสงไฟ ทว่าทันทีที่พยายามจะเอื้อมมือไปปิดไฟ นิ้วกลับถูกอีกฝ่ายสอดประสานปลายนิ้วเข้ามา ล็อกมือของเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

"เสียจื่อ...ให้ผมปิดไฟเถอะ" เสียงเขาเหมือนคนจะร้องไห้...อันที่จริงก็ร้องอยู่ หมอนี่มันใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว!

"ไม่เอาน่า นายเป็นคนเปิดเอง ก็ยอมรับผลของมันหน่อย" ว่าแล้วก็ขบปลายจมูกของเขา 

หลังจากนั้นเขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนนี้ให้เขียนชื่อตัวเองยังไม่แน่ว่าจะเขียนถูก สมองเลอะเลือนไปหมด แสงไฟยิ่งสว่างยิ่งน่ากลัว เขามองเห็นปลายเท้าของตนเองเคลื่อนไหวดิ้นรนคล้ายคนสิ้นหวัง...ไม่อาจสู้รบกับผู้ชายคนนี้ได้จริงๆ

หากตอนนี้เปลี่ยนเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่เขา บางทีอาจไม่ต้องมีจุดจบน่าสังเวชเช่นนี้

โลกนี้มันต้องผิดตรงไหนสักที่แน่ๆ ถึงได้ส่งสิ่งมีชีวิตอ่อนแอแบบเขามาอยู่ในเงื้อมมือของคนแบบนี้

"คุณมันเป็นสัตว์ร้าย เป็นงูพิษชัดๆ" เขาเอ่ยด้วยเสียงเจือสะอื้น

แว่วเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่ถาโถมร่างตนเองเข้าหาเขา

...สัตว์ร้ายที่ค่อยๆ กินอย่างอ่อนโยนน่ะนะ ...ฝ่ายนั้นก้มลงกระซิบก่อนประทับจูบบนคอของเขาที่ตัวสั่นงันงกไม่หยุด ปลายนิ้วไล้เลื้อยไปบนต้นขาของเขาที่กระหวัดเกี่ยวร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ เป้าหมายไม่ใช่เติมเต็มท้องที่ว่างเปล่า แต่มันกำลังทรมานเหยื่ออย่างถึงที่สุด

...เพราะสนุกยังไงล่ะ

"เสีย..." เขาครางด้วยน้ำเสียงคล้ายคนสำลักน้ำ...ไม่น่าขึ้นเตียงกับหมอนี่เลย ไม่น่าเลยจริงๆ

ชู่ว์...ฝ่ายนั้นพ่นลมเบาๆ ข้างหูเขาคล้ายจะห้ามปราม จากนั้นก็กระซิบเสียงเบาหวิว "เรียก 'ฉัน' สิ"

เขาพรูลมหายใจ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาพยายามจะมองคนตรงหน้าที่ดูคล้ายภาพลางเลือนในแสงสว่าง จากนั้นก็เอ่ยชื่อที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาออกมา

สิ่งสุดท้ายที่เขามองเห็นคือรอยยิ้มพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะจมดิ่งลงไปในสายธารของพิษร้าย เลือดทุกหยด เนื้อทุกชิ้น กระดูกทุกท่อน แม้แต่สามจิตเจ็ดวิญญาณล้วนถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้น



บ่ายวันต่อมา หวังเหมิงแปะแผ่นประคบไว้ที่เอวและหลัง แบกเอาโคมไฟไปคืนที่ร้าน พลางสัญญากับตัวเอง เขาควรปล่อยให้อีกฝ่ายร้องเพลงไป จะแฮมทาโร่ โดราเอม่อนอะไรก็ช่าง

...แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าเปิดไฟ 




+++

END
17/10/2014







Talk Time:

OTL OTL OTL OTL ← รู้สึกอยากพิมพ์แบบนี้รัวๆ

ต้นกำเนิดตอนนี้คือตอนที่ด้วงอีกนางโยนกระทู้นี้มาให้ http://pantip.com/topic/32728435 พร้อมเสียงหัวเราะ ดูแล้วโดนสะกดจิต...รู้ตัวอีกทีก็เขียนไอ้นี่แล้วอ่า โฮ

ไม่ต่อกับฟิคก่อนหน้านะคะ แค่เกิดอยากเขียนขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกพี่แว่นดำดูเป็นพวกกวนบาทาพอจะทำอะไรพรรค์นี้ขึ้นมาบนเตียงจริงๆ อะ

แต่เริ่มด้วยแฮมทาโร่ ทำไมจบที่มุกโรคจิตอะ โฮฮฮฮฮฮ

*ตอนนี้หลอนเพลงแฮมแฮมแล้ว อ่อก* *ฉบับภาษาจีนก็มีนะคะ ฮา* ←

"แฟนเรือเฮยเหมิงคือผิงเสียที่เสียสติไปแล้ว" --- มิตรสหายท่านหนึ่ง

...เจ็บนี้อีกนาน ← แต่เถียงได้ไหม ก็ไม่ได้ แงงงงงง




ย่อยมุก
- ชื่อจริงของพี่เฮย *สปอยล์* ไม่ใช่เฮยเสียจื่อ ไม่ได้แซ่เฮยด้วยซ้ำ แต่คุณหนานไพ่ยังไม่ได้เฉลยอะนะคะ แค่พูดๆ แบ๊ะๆ มา เพราะงั้นก็เลยเอามาเล่นแหละนะคะ
- คนจีนเรือนี้...เอ่อ แพไม้จิ้มฟันลำนี้ เวลาให้พี่เฮยเรียกหวังเหมิง (หรือเวลาเรียกด้วยความเอ็นดู) จะเรียกเหมิงเหมิง ไม่ก็เสี่ยวเหมิงเหมิง และส่วนใหญ่จะใช้ตัวเหมิง (萌) - ตัวเดียวกับโมเอะน่ะค่ะ คนละตัวกับเหมิงในหวังเหมิง (อันนั้นใช้ 盟) เป็นชื่อเล่นน่ารัก เลี้ยงสัตว์เล็กจริงๆ โฮ OTL


วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][老痒] Distrusted

 

"เชื่อไม่ได้ (Distrusted)"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: -


**Super Spoiler Warning**

**มีเนื้อหา Spoiler เล่ม 2 รุนแรงค่ะ ถ้ายังอ่านไม่ถึงอย่าเพิ่งอ่านน้า**




...นายอาจคิดว่าที่ฉันห้ามไม่ให้นายเข้าไปในถ้ำนั้น เพราะฉันกลัวว่าจะถูกเปิดโปง แต่จริงๆ แล้วฉันรู้ดีที่สุดว่าถ้ำนั่นอันตรายมาก ฉันไม่อยากให้นายตาย



"เหลาหย่าง" หยุดมือที่กำลังเขียนปากกา ตัดสินใจที่จะไม่จรดอักษรตัวถัดไป ขยำกระดาษที่กำลังเขียนอยู่ทิ้ง

ไม่มีประโยชน์...อู๋เสียคงไม่ต้องการคำแก้ตัวจากคนที่หลอกใช้เขา ข้อความสุดท้ายจากเขาถึงอู๋เสีย ควรเป็นเพียงอักษรที่บอกเล่าข้อเท็จจริง บอกในเรื่องที่เพื่อนเก่าผู้นั้นอยากรู้ ไม่จำเป็นต้องเล่าความรู้สึกเบื้องหลังใดๆ ลงไปในนั้น

เขาปาก้อนกระดาษเฮงซวยทิ้งลงถังขยะ ถังนั้นล้นเต็มไปด้วยเศษขยะอยู่ก่อนแล้ว ก้อนกระดาษจึงร่วงตกจากขอบถัง ขยับกลิ้งต่อไปอีกเพียงน้อยนิดก่อนจะหยุดลงใกล้ๆ ขยะอีกกองที่ล้นเป็นพะเนินรกเละเทะ

เหลาหย่างลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเก่าคร่ำคร่าไปที่หน้าต่าง บ้านซอมซ่อ โครงหน้าต่างใกล้พัง ไม่ได้รับการบูรณะมานานปี ชายหนุ่มถอนหายใจมองฟ้า แล้วล้วงเอาบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าว่างเปล่า บุหรี่ติดไฟได้โดยไม่ต้องใช้ไฟแช็ก

เขาหลอกลวงเพื่อนคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตให้ไปร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว หนำซ้ำยังเป็นเหตุสำคัญที่ไม่อาจบอกให้รู้ล่วงหน้าก่อนได้ คนขี้ระแวงอย่างอู๋เสีย หากรู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขาถึงตายก็คงไม่ยอมร่วมด้วย จึงต้องใช้วิธีหลอกพาเขาไป

ลงท้ายเรื่องราวกลับบานปลายเกินคาดคิด การผจญภัยครั้งนี้เกือบลงเอยด้วยเพื่อนฆ่าเพื่อน

...ที่สะท้านสะเทือนที่สุด คือฝ่ายที่คิดฆ่าก่อนคือเขาเอง

เหลาหย่างอัดบุหรี่เข้าปอดด้วยสีหน้าเหม่อลอย ความคิดเวียนวนในใจเหมือนควันบุหรี่ที่ลอยฟุ้ง คำพูดของอู๋เสียยังก้องอยู่ในหัว

"เหมือนกันเปี๊ยบอะไรกัน ฉันไม่เชื่อว่าเหลาหย่างจะยิงปืนใส่ฉัน นายมันเป็นของก็อปมีตำหนิ!"

ในวินาทีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเพื่อนสนิท ความมั่นใจที่เขาพร่ำบอกกับตัวเองมาตลอดก็พังทลาย

เขาเฝ้าย้ำกับตัวเองทุกลมหายใจว่าตนคือเหลาหย่างตัวจริง บัดนี้เพียงคำพูดเดียวก็สั่นคลอนความพยายามเหล่านั้นล่มสลายลงในชั่วพริบตา

ชายหนุ่มฉากหลบจากซอกหิน ดับไฟ หลับตาแน่น เขาไม่อาจทนต่อสายตาเพื่อนเก่าที่มองมาด้วยใบหน้าซีดเผือดตื่นตะลึงเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด หากอู๋เสียไม่เห็นเขาเป็นเหลาหย่าง "เหลาหย่าง" คนนี้ก็ไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้ แต่แม้แต่ต่อหน้าอู๋เสีย เขาก็เป็นเซี่ยจื่อหยาง เพื่อนเก่าคนเดิมต่อไปไม่ได้ด้วย

ความล่มสลายมันเป็นเช่นนี้ เหลาหย่างเคยได้ยินเรื่องราวของมนุษย์ผู้กราดเกรี้ยวที่ทำลายล้างทุกสิ่งรอบตัวจนไม่เหลือสิ่งยึดเหนี่ยวอะไรเลย สุดท้ายคนคนนั้นจึงทำร้ายแม้กระทั่งตัวเอง แต่สำหรับเขาตอนนี้ เขาเป็นคนที่ทำลายตัวเองลงก่อน เหลือเพียงสิ่งยึดเกาะเดียวคือมิตรภาพที่หยิบยื่นมาจากภายนอก เมื่อเขากำลังจะสูญเสียมันไปเพราะความผิดพลาดของตนเอง ความกราดเกรี้ยวที่ไร้หนทางระบายนี้จึงเลือกหนทางทำลาย

เหลาหย่างผ่อนลมหายใจออก มองท้องฟ้าสีสลัวจากริมหน้าต่าง เวลาล่วงจนมาถึงป่านนี้แล้ว คนที่หันกระบอกปืนใส่เพื่อน จะพูดว่า "ไม่อยากให้นายตาย" ก็กลายเป็นเรื่องน่าตลก ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่มีวันเชื่อลง

ตัวเขาที่บันดาลโทสะได้ถึงเพียงนี้ ไม่อาจมีหน้าเป็นเพื่อนกับอู๋เสียได้อีกต่อไป แม้เขายังติดค้างคำอธิบายอีกมากมาย แต่กลับไม่เหลือวิธีบอกเล่าใดๆ ที่เชื่อถือได้อีกเลย

...เพราะลำพังเพียงตัวตนของเขา ก็เป็นของแปลกปลอมมีตำหนิไปเสียแล้ว



เวลาผ่านไปเกินชั่วบุหรี่หนึ่งมวน แต่บุหรี่ของเขากลับยังไม่หมด เหลาหย่างหันกลับมายังโต๊ะเขียนหนังสือ ขยี้ดับปลายบุหรี่กับจานเหล็กบนโต๊ะ เขาทิ้งก้นบุหรี่รวมกับกองบุหรี่เก่าที่นอนอยู่ในจาน ทุกมวนในนั้นล้วนยังมีสภาพเสมือนใหม่ บุหรี่ยังไม่ไหม้สั้น คล้ายเพิ่งจุดสูบไปได้ไม่นานก็ถูกดับทิ้งไปกลางคันเสียมากกว่าจะหดสั้นอย่างที่มันควรจะเป็น

นี่เป็นอีกสิ่งที่เขาไม่อาจเชื่อได้ลง แต่ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมาตลอด ลึกๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าหากที่ยืนอยู่ตรงนี้มิใช่เหลาหย่างที่ถูกเสกสร้างขึ้น แต่เป็นเซี่ยจื่อหยางคนเก่าที่ได้รับพลังจากต้นไม้สำริดด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง หากเขาบังเอิญหนีรอดออกมาได้ เด็กติดอ่างขี้ขลาดคนนั้นจะกล้าใช้พลังวิเศษจนคุ้นเคยถึงขั้นเสกบุหรี่ขึ้นมาสูบต่อหน้าต่อตา มวนต่อมวน แบบเขาตอนนี้หรือไม่

คำถามนี้เขาได้แต่สงสัย ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เพราะแม้แต่ตัวเขาที่คล้ายคลึงกับตัวตนนั้นมากที่สุด ก็ยัง "ลืม" ไปแล้ว

พักนี้ความจำของเขาแย่มาก รายละเอียดสำคัญหลายอย่างที่ควรจะจำได้กลับนึกไม่ออก เหลาหย่างคนเก่าควรจะเป็นอย่างไร ให้นึกตอนนี้ก็ไม่รู้แล้ว

ตลอดการเดินทางกับสหายเก่า บางครั้งเรื่องในอดีตผุดพรายเหมือนก้อนอารมณ์ก้อนหนึ่ง บ้างคลุมเครือ บ้างแจ่มชัด เมื่อหันไปเห็นใบหน้าเหน็ดเหนื่อยเหงื่อโซมของอู๋เสีย เขาถึงกับหลุดปากอยากถอยหลังกลับหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ต้องกดข่มความรู้สึกนั้นลงไป อาศัยเล่นบทเพื่อนเก่าขี้ขลาดจอมโลเลคนเดิมเพื่อกลบพิรุธให้แผนการเดิมสำเร็จลุล่วง รู้ตัวดีว่าไม่มีหนทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้ว

เหลาหย่างเคยคิดว่าสมุดบันทึกที่ติดตัวออกมาเมื่อครั้งที่หนีออกจากกรวยเมื่อสามปีก่อน เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่หลงเหลือท่ามกลางอดีตซึ่งเลือนรางลงทุกวินาที ในนั้นมีบันทึกข้อความไม่มาก แต่ก็เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ของตัวเขาในอดีต เหลาหย่างพลิกมันหลายที ท่องย้ำซ้ำๆ มันทุกวัน

จนวันหนึ่ง เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่า แม้แต่บันทึกที่เป็นเบาะแสของความรู้สึกนึกคิดในอดีตก็ไม่ใช่สิ่งเชื่อถือได้เช่นกัน

เขาถูกเสก สมุดที่ติดตัวออกมาก็เป็นสิ่งถูกเสก หากเป็นเช่นนั้น ข้อความในสมุดนั้นจะเชื่อถือได้สักแค่ไหน?

หากเป็นเช่นนั้น อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ปรากฏอย่างวูบไหวขณะเดินทางร่วมกับอู๋เสีย จะมีสิ่งใดที่เชื่อถือได้กันบ้างเล่า?

เหลาหย่างยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งหลอกลวง ตัวเขาก็เป็นสิ่งหลอกลวง รายละเอียดประดับรอบกายก็ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวง

หากเขาจะมอบถ้อยคำสุดท้ายแก่อู๋เสีย ตัวตนไร้เดียงสาอันปราศจากมารชั่วร้ายคนนั้น คงมีเพียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ตำตาเท่านั้นที่พอจะมอบให้กับเขาได้

เหลาหย่างจรดปากกาอีกครั้ง ถ้อยคำสารภาพพรั่งพรู

ยอมรับเป็นครั้งแรกว่าตนเป็นเพียงสิ่งจำลอง

สารภาพอย่างหมดรูปถึงความบิดเบี้ยวของเหตุการณ์ในครั้งนั้น

เล่า "ความจริง" ตัดความ "รู้สึก" และ "อารมณ์" จากอดีตอันเชื่อถือไม่ได้ทิ้งไป

ข้อความที่ปรากฏวนซ้ำในกระดาษร่างหลายฉบับที่ถูกทิ้งไปก่อนหน้านั้น จึงไม่อาจปรากฏบนกระดาษจดหมายฉบับนี้ได้อีก

ถ้อยความรู้สึกอันเชื่อไม่ได้ถูกฝังอยู่ใต้กองขยะนั้นตลอดไป ไม่มีใครบนโลกจะได้เห็นมัน



เหล่าอู๋ ฉันรักนาย รักนาย...



+++

END
14/10/2014






Talk Time:

"เหล่า...เหล่า...เหล่าอู๋!! ไอ้คนแปลกหน้าหน้าง่วงไม่พูดไม่จานั่นมันดีกว่าฉันตรงไหนเหรอ!? ทำ...ทำไมนายต้องไปทุ่มเทช่วยเขาขนาดนั้น!"

นี่คือความรู้สึกหลังอ่านบันทึกจอมโจรแห่งสุสานเล่ม 9 จบค่ะ... ไม่มีบทเหลาหย่างก็จริง แต่ได้เห็นตัวเปรียบเทียบความลำเอียงของนายน้อยแล้วอยากซับน้ำตาแทนเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ (มโนเอง) คนนี้จริงๆ!

อืมนะ ความจำเสื่อมเหมือนกัน บุคลิกภาพติดลบเหมือนกัน ใกล้ม่องเหมือนกัน ตัวตนของเสี่ยวเกอก็ยังคลุมเครือ นายมั่นใจได้ยังไงว่าเทพขนาดนั้นเขาจะยังเป็นคนน่ะ!? (พาล) แต่เอาเถิด ต่อให้เมินโหยวผิงติดลบมากกว่านี้ เหล่าอู๋ก็ยังเลือกเมินโหยวผิงอยู่ดีแหละนาย ทำใจซะนะเหลาหย่าง *ตบบ่า*

จริงๆ แล้วปลื้มเหลาหย่างมานานมากแล้วค่ะ (อื้อหือ นี่ขนาดปลื้ม 555) เคยพีคถึงขั้นอยากเขียนโดจินเมนเหลาหย่างเลย แต่...ไม่รู้จะต่อเรื่องยังไงดี OTL แบบว่า หนานไพ่ซานซูส่งนายไปไกลๆ แล้วไม่กลับมาอีกเลยง่ะ ทำไมไปไกลงี้ แถมติดตั้งระเบิดเคาน์ดาวน์ความจำเสื่อมไว้ให้อีกสามปี นายน้อยก็ไม่เห็นจะพูดถึง เรือหาย ship lost ของจริงไม่ติงนัง โฮ!

ถึงกับมีคนบอกว่าเรือเหลาหย่าง→อู๋เสีย (เส้นแสดงความรักเขาข้างเดียว) คือเรือที่ล่มเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เต้ามู่เลยทีเดียวค่ะ ก็เรือพี่ท่านเล่นพลิกคว่ำกันในเล่มเดียว อู๋เสียก็ไม่ได้แคร์นายขนาดนั้น โดนตอกย้ำด้วยฉากเสี่ยวเกอกลับมาเจอกันบนรถไฟตอนคีบลามะฉางไป๋ซาน นายน้อยกลับไปเดินตามนายเมินโหยวผิงดุ๊กๆ ตามรูทีนชีวิตปกติ ราวกับจะประกาศให้รู้ซะบ้างว่าไผเป็นเรือใหญ่ ไอ้เราจากที่ยังอาวรณ์เหลาหย่างอยู่ ก็เผลอใจหลุดกลับไปตึกตักตึกตักใส่นายเมินที่มองลงมาจากบนเตียงนอนบนรถไฟซะด้วย...บายนะ เหลาหย่าง บ๊าย~ (เชื่อเถิดว่าปลื้มเหลาหย่างจริงๆ นะ 555)

อาห์ เป็นฟิคเหลาหย่างแท้ๆ แต่ทอล์คกลับมาอวยผิงเสียซะอย่างนั้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็ยังเอ็นดูพ่อหนุ่มของก็อปจีนแดง พ่อคนติดอ่างติดแม่ติดคุก พ่อคนอกหักรักคุดเทียนเจินไม่รักอยู่นะคะ *ลูบหัวเกรียนกอดโอ๋ป้อยๆ*

ปล.1 เคยมีคนตอบคำถามที่เราตัดพ้อไปข้างบนแล้วล่ะ เขาบอกเราว่าเมินโหยวผิงต่างกับเหลาหย่าง เพราะ "เมินโหยวผิงไม่เคยยิงปืนใส่อู๋เสียยังไงล่ะ" โห เรางี้ลุกขึ้นเลยค่ะ...ลุกขึ้นยกธงขาวยอมแพ้ 555 แง นายน้อยยังไงก็เลือกเสี่ยวเกอ ยิ่งนานยิ่งชัด แงงง บุ๋งๆๆๆ #เสียงโอดครวญจากเรือ ship lost

ปล.2 จนวันนี้กลับไปพลิกเล่ม 2 มาอ่านใหม่บ่อยๆ ก็ยังไม่คลายสงสัยว่าคำพูดสุดท้ายของเหลาหย่างที่จะบอกนายน้อยก่อนหินยุบลงไปนั่นเขาอยากพูดอะไรกันนะ~ ด้วงเห็นช่อง ด้วงจึงมโนซะเลยค่ะ U////U ดราม่ารักคุด แผล็บ

ปล.3 แวะมา edit เพิ่ม เพิ่งเห็นว่าลืมย่อยมุกเล็กน้อย "ตัวตนไร้เดียงสาอันปราศจากมารชั่วร้ายนั้น" หมายถึงอู๋เสียค่ะ ไร้เดียงสาอันนี้คาดว่าน่าจะรู้กันอยู่แล้ว ว่ามาจาก "เทียนเจิน (เทียนเจินอู๋เสีย)" นั่นเอง ส่วนปราศจากมารชั่วร้าย เป็นคำพ้องเสียงของชื่อ "อู๋เสีย" ค่ะ คุณเบียร์ผู้แปลเคยย่อยเรื่องชื่อแซ่ของนายพระเอกคนนี้เอาไว้ใน ทวิตเตอร์ ค่ะ สามารถตามไปอ่านต่อกันได้จ้ะ

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][黑盟] He does not love me 1

 

"He does not love me"

ชุดที่ 1

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)


**Spoiler Warning**




-1-

เฮยเสียจื่อหยุดมองด้วยความสงสัย

หน้าร้านของเขามีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่...รถคันนี้คุ้นตาเสียจนต้องมองเป็นรอบที่สอง แต่ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในเขตของร้าน เขาก็ได้คำตอบ

ที่หน้าประตูร้าน มีร่างหนึ่งกอดเข่าคล้ายจะขดตัวให้เล็กที่สุด เขาเดินเข้าไปใกล้จนแทบจะเหยียบถูกอีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับเขยื้อน

ฝ่ายนั้นเงยหน้ามองเขา ไม่ต้องรอให้อ้าปากถามก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา ใบหน้านั้นคล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้ม จนดูไม่ออกว่าดีใจหรือโศกเศร้า

"ผมโดนเจ้านายไล่ออกแล้ว...ได้เงินมาเพียบเลยด้วย ได้รถอีกต่างหาก"

พูดจนจบประโยคแล้วคนพูดก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หากเป็นปกติ...หรืออย่างน้อยกับคนอื่น ป่านนี้เฮยเสียจื่อคงเตะไล่หรือไม่ก็เดินข้ามไม่ให้ความสนใจ แต่ไม่รู้ทำไม คราวนี้เขากลับเลือกที่จะนั่งลงข้างๆ เท้าคางแหงนมองท้องฟ้า

"เจ้านายบอกให้ผมไป ผมก็ยอมไป" ฝ่ายนั้นเอ่ยออกมาด้วยเสียงยานคาง "...แต่ผมสงสัย ถ้าตามเจ้านายไปจะดีกว่าไหม" จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายคนละเมอ 

จากนั้นก็เงียบไป...

เขาที่ฟังจนจบจึงเริ่มเล่าบ้าง เขาพูดถึงสิ่งที่พบเจอหลังจากแยกกัน มีหลายช่วงที่เอ่ยถึงลูกศิษย์จำเป็นคนนั้นจะมีเสียงหัวเราะปะปนอยู่บ้าง

"ดีนะ"

"หืม"

"มีคนที่ไม่กลัวคุณเสียที"

"เสียมารยาทน่า" เขาโบกไม้โบกมือ

จากนั้นพวกเขาก็เงียบกันไปอีกครั้งหนึ่ง

"ทำไมถึงมาที่นี่ได้"

"แว่นตา" คนถูกถามตอบ ก่อนเคาะแว่นตากันแดดในกระเป๋า "ของร้านคุณ"

"...อ้อ" เขาตอบรับ ก่อนเปลี่ยนคำถาม "แล้วมาทำไม"

"ไม่รู้" อีกฝ่ายตอบตรงๆ "ผมไม่รู้เหมือนกัน...แต่ไม่รู้จะไปหาใครแล้ว"

"ทำไมไม่กลับบ้าน"

"กลับไปก็ได้แต่นอน"

"งั้นก็กลับไปนอนไป"

"นอนไม่หลับ"

"..."



หลังจากนั่งนิ่งๆ กันไปได้สักพัก อาจเพราะเพิ่งผ่านวิกฤตอันตรายมา หรืออาจจะแค่เพราะสมองเขาเพี้ยนไปเพราะเชื้อประหลาดในอากาศ...จะแบบไหน เขาก็ถามออกไปโดยไม่ตั้งใจว่า "ร้านฉันยังไม่มีลูกจ้างนะ"

"...น่าสงสัยว่ามีลูกค้าหรือเปล่าเถอะ" อีกฝ่ายตอบกลับมาโดยอัตโนมัติ

พอถูกถามแบบนี้คนที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในชีวิตก็ลุกขึ้น พลางใช้ขาเขี่ยอีกฝ่าย "...ถอยไป บังหน้าร้านฉัน"

ฝ่ายนั้นกระถดตัวหลบอย่างว่าง่าย เฮยเสียจื่อเปิดประตู เดินเข้าร้านไป ขณะคิดว่าจะทำอะไรก่อนดีก็ได้ยินเสียงเรียก "เฮ้"

เขาหยุดชะงักเท้า สองมือล้วงกระเป๋า ยืนหันหลังให้ในท่าคล้ายจะบอกว่า 'พูดมา ฉันไม่มีเวลาให้นายขนาดนั้นหรอกนะ'

"เงินเดือนมากกว่าหกร้อยหยวนหรือเปล่า" คำถามนั้นเลื่อนลอยเสียจนรู้สึกคล้ายกับไม่ได้ถามเขา แต่กำลังพูดกับใครสักคน

คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนหันกลับไปชี้ไปที่ซองหนาเตอะในมืออีกฝ่าย "นายได้ค่าทำขวัญมาเยอะแล้วนี่ หกร้อยก็พอแล้ว"

อีกฝ่ายทำหน้าเซ่อ กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา "นั่นสินะ คนแบบผม หกร้อยก็พอแล้ว"




-2-

"เถ้าแก่เฮย"

"เรียกอย่างอื่นเถอะ ฟังแล้วเหมือนเจ้าของเก่านายเกินไป" เฮยเสียจื่อเอ่ย

"เจ้าของเก่า..." อีกฝ่ายพึมพำ ก่อนเอ่ย "งั้นก็...พี่เฮย ผมถามอะไรหน่อย"

"ว่ามา"

"คือ...ผมสงสัย ไอ้แว่นเนี่ย มีคนใช้ด้วยเหรอ" คนพูดคีบแว่นตาอันหนึ่งขึ้นมา มันเป็นแว่นตาเลนส์กลม ข้างในมีลวดลายก้นหอย

คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนแผดเสียงหัวเราะออกมาคล้ายนึกเรื่องสนุกอะไรบางอย่างได้ เขาหัวเราะอยู่นาน ก่อนตอบคำถาม "มีสิ...มีอยู่แล้ว"

"ไม่น่าเชื่อ" ลูกจ้างคนใหม่ของเขาพึมพำ "เป็นคนแบบไหนกันนะ"

"ฮ่า เป็นคุณตาเจ้าอารมณ์คนหนึ่งน่ะ"

"คุณตา?...เหอ"

"อะไรกัน ที่นายเห็นเป็นแบบจำลอง ของจริงน่ะ กรอบทำมาจากโลหะเดียวกับที่ใช้ในการตีกระบี่อิงฟ้า ส่วนเลนส์นั่นก็ทำมาจากกระจกทองเหลืองของพระโพธิสัตว์เชียวนะ"

"..." คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเก็บแว่นตาลงที่เดิม จากนั้นก็ขยับให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนนั่งหลับต่อ...เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเสียเวลาและพลังงานในการกระทำเลยจริงๆ

"ให้ตาย" เจ้าของร้านขมวดคิ้วพลางบ่น "เป็นลูกจ้างที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย"

คนที่ยังไม่หลับดีก็อดโต้กลับในใจไม่ได้...คุณมันก็ไม่ได้เรื่องไปกว่าผมหรอกน่า!



...เจ้านาย ตอนนี้คุณอยู่ไหนกันนะ




-3-

".......เหวอ!"

ทันทีที่เปิดประตู โลกด้านนอกก็มีเพียงหมอกสีเทาทึบ ตึกรามบ้านช่องทั้งหมดราวกับละลายหายไป

"ฮื่อ ตื่นเช้ามาก็เป็นแบบนี้แล้ว" คนพูดลากลูกจ้างเข้ามาในร้านพลางปิดประตู "ฉันเผลอนึกว่าตัวเองตาบอดสนิทไปแล้ว...คราวก่อนก็แบบนี้แหละนะ" ท่อนสุดท้ายเขาบ่นกับตัวเอง

"ตกลงนี่ยังไม่บอด?" คนถามยื่นหน้าเข้าไปจ้องใกล้ๆ

เฮยเสียจื่อเพียงยิ้ม ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ผลักอีกฝ่ายออกห่างตัว

"ตาคุณนี่มันอะไรกันแน่"

"หืม" คนพูดแตะแว่นตากันแดดของตัวเอง พลางยิ้มน้อยๆ "อยากได้ข้อมูลก็ต้องแลกด้วยข้อมูล มีอะไรน่าสนใจล่ะหนูน้อย"

ฝ่ายนั้นเงียบไป คล้ายกำลังคิด ก่อนอ้าปากเริ่มเอ่ย "เจ้านายผม..."

"ไอ้ที่ไม่ใช่เจ้าของเก่าของนายน่ะ" เฮยเสียจื่อรีบขัดคอทันที ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ รอยยิ้มบนใบหน้าออกอาการกระเซ้าเย้าแหย่ชัดเจน "ไม่อย่างนั้น...จะแลกด้วยร่างกายก็ได้นะ พ่อลูกจ้าง"

"..." อีกฝ่ายเพียงกะพริบตาสามสี่ที จากนั้นก็มองหาเก้าอี้เตรียมนั่งหลับต่อ

"นายนี่ไม่รับมุกเอาซะเลย เหมือนเจ้าของเก่าเป๊ะ" เขาบ่น พลางส่ายศีรษะ

"..." คนฟังไม่คิดตอบโต้อะไร เพียงแค่กอดอกและหลับตา...สภาพอากาศเช่นนี้คงไม่มีลูกค้า เพียงแต่ อากาศเริ่มเย็นแล้ว...ทำเอาอดขดตัวด้วยความหนาวไม่ได้



หวังเหมิงหลับตา จมจ่อมลงไปในห้วงนิทราอันเงียบงัน ฝันว่าตนเองกำลังหลับอยู่หน้าเคาน์เตอร์ แว่วเสียงเจ้านายกำลังเอ็ดตะโร...กลับสู่หังโจวในกาลก่อน

เพราะฝันเช่นนี้ บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ตนเองควรหอบเงินที่มี ขับรถกลับไป ฝังทุกอย่างเอาไว้ เริ่มต้นชีวิตใหม่

ครั้นคิดเช่นนี้ ส่วนลึกๆ ในใจก็บอก...ตอนนี้เมืองเต็มไปด้วยหมอก รอให้ซาก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกที

ถึงตอนนั้นตัดสินใจก็ยังไม่สายเกินไป

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรสายเกินไป




-4-

"..." เฮยเสียจื่อนั่งเท้าคาง มองคนกำลังเต้นแรงเต้นกา ในมือของเขามีกระป๋องเบียร์ ว่างๆ ก็จิบทีละน้อย

ก่อนนี้เพิ่งหาทางกรอกเหล้าเข้าปากลูกจ้างคนใหม่ หมอนั่นโวยวายอยู่นานกว่าจะยอมดื่ม พอดื่มเข้าไปแป๊บเดียวก็เมาแอ๋ สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างว่าง่าย เขานึกครึ้ม จึงร้องสั่ง "ไหนร้องเพลงซิ"

"เพลง...เพลงอาราย" ฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยเสียงยานคาง

"เอาสักเพลงที่นายชอบ" เขาเอ่ยยิ้มๆ พลางคิด...ไม่ได้ไปคาราโอเกะนานแล้วจริงๆ

"จัด-ห้ายยยย"

แล้วหมอนั่นก็เริ่มร้องเพลง เสียงร้องสูงๆ ต่ำๆ ผิดคีย์ทำเอาคนฟังนิ่วหน้า... สำหรับเขาแล้ว ดนตรีคือสุนทรียศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่ที่หมอนี่กำลังทำคือฉีกทึ้งความสุนทรีย์จนพินาศย่อยยับ

"ไม่ไหว...ทักษะทางดนตรีของนายนี่มัน" เฮยเสียจื่อส่ายหัวขณะจรดกระป๋องเบียร์และดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ ครั้นดื่มหมดก็ทดสอบด้วยการโยนกระป๋องเบียร์ใส่ "เอ้า รับน้า~"

กระป๋องเปล่าหมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนฟาดเข้าที่กลางหน้าผากของคนที่หมุนซ้ายหมุนขวาด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เกิดเป็นเสียงทึบๆ ...อุ๊บ

ร่างนั้นทรุดตัวลง สองมือกุมศีรษะ จากนั้นก็เริ่มร้องห่มร้องไห้ "...แล้ว"

"เฮ้ๆ..." แกล้งมากไปเรอะ เขาคิดขณะเปิดอีกกระป๋องให้ตัวเอง

"ม่าย~อาว~ แล้วววววว เจ้านายยยยย โฮ"

"..." เขาจิบเบียร์ กินกับแกล้ม มองผู้ใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่กลางพื้นห้อง ร้องไห้เป็นเด็กเล็กๆ ปากพร่ำบ่นถึง 'เจ้านาย' ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังมองอยู่นาน ท้ายสุดเขาก็กระดกเบียร์คำสุดท้าย จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้

ฝ่ายนั้นยังคงนั่งร้องไห้คร่ำครวญไม่สนใจโลกใบนี้ เฮยเสียจื่อทรุดตัวลงนั่งยองๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะ ทำท่าเหมือนลูบสุนัขหรือแมวสักตัว "เลิกร้องเถอะน่า..."

"คุณทำผมหัวโนอีกแล้ว"

...อีกแล้ว? เขากะพริบตา ไอ้ครั้งที่แล้วมันครั้งไหนกัน เขาพยายามนึก แต่เท่าที่จำได้ คนหัวปูดจนแทบกลายเป็นเสาโทเท็มมันคือเจ้าของคนเก่าของไอ้หมอนี่...นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายจึงปล่อยผ่านไป

"โอ๋ๆ เพี้ยงๆ ไหนโนตรงไหน" เฮยเสียจื่อปัดปอยผมของอีกฝ่ายขึ้นมา บนหน้าผากมีรอยแดงเล็กน้อย เนื่องจากเขาจงใจโยนแบบไม่ใส่แรงมาก และกระป๋องก็ว่างเปล่า...ขืนลงมือแบบใส่แรงจริงๆ เขาขี้เกียจต้องมานั่งจัดงานศพให้ลูกจ้างอีก "นิดเดียวเอง"

"เจ็บ" ฝ่ายนั้นมีน้ำตาคลอ

"นี้ดดดด~ เดียวจริงๆ" เขาทำเสียงสูง

"ผมเจ็บ"

สภาพอิหลักอิเหลื่อเหมือนรับมือกับเด็กสามขวบในยามนี้ทำเอาเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา ก่อนเอื้อมมือไปหยิบกระป๋องเบียร์เย็นๆ มาแนบให้ อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงพลางร้อง "เย็น...ม่ายอาว..."

...คนเมานี่มันวุ่นวายจริง! เฮยเสียจื่อวางกระป๋องเบียร์ลง จากนั้นก็เกาหัวแกรกๆ ขณะมองคนที่ร้องเจ็บๆ เจ็บๆ ท้ายสุดเขาหยุดคิดอยู่หลายนาที ก่อนค่อยๆ แนบริมฝีปากลงไปตรงรอยแดงจางๆ

กับเด็กๆ มันคงต้องแบบนี้แหละ

ได้ผล...เด็กงอแงถึงกับหยุดชะงัก ทีแรกเขานึกดีใจ แต่แล้วกลับถูกโถมเข้าหาทั้งตัว จากนั้นก็ถูกกอดเอาไว้ "เฮ้ย เสื้อฉันไม่ใช่ที่เช็ดน้ำมูกนายนะ"

อีกฝ่ายไม่ฟังอะไรสักนิด เพียงแต่กอดเขาไว้แน่น ปากพึมพำ "เจ้านาย...เจ้านาย..."

...เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยหักเงินเดือน เขาคิดอย่างเลื่อนลอย

ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะหมดลง ฤดูหนาวกำลังจะเข้ามาแทนที่ เฮยเสียจื่อทิ้งตัวนอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้าน บนร่างมีคนพยายามเบียดกายซุกหาไออุ่น ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจประสานกับเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะหนักแน่น

ดวงตาหลังแว่นตากันแดดหลับลงช้าๆ เอาไว้คราวหน้าจะต้องพาหมอนี่ไปฝึกร้องเพลงที่คาราโอเกะให้ได้ ไม่งั้นเสียชื่อเขาที่เป็นเจ้าของหมด!




-5-


"ไหนร้องเพลงซิ"

วันนี้เขาลากลูกจ้างมาที่ร้านคาราโอเกะ ตั้งใจจะทดสอบฝีมือเสียหน่อย วันก่อนตอนเมาหมอนี่ร้องเพลงได้ทำลายประสาทหูของเขามาก ฝ่ายนั้นส่ายหัวดิกไม่ยอมร้อง เขาต้องขู่อยู่สักพักจึงยอมจับไมค์

ครั้นได้ฟัง เฮยเสียจื่อก็เข้าใจแล้วว่าไอ้หมอนี่มันร้องเพลงห่วยแตกโดยไม่จำเป็นต้องเมา

หลังทนฟังเสียงร้องทำลายโสตประสาทไปได้พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้...เวลายังเหลืออีกนิดหน่อย เขาจึงลุกขึ้น "มา ฉันร้องเองดีกว่า"

จากนั้นเขาก็เลือกเพลง อีกฝ่ายนั่งฟังเขา แล้วก็ตาเบิกโพลง "คุณร้องเก่งนี่"

...เทียบกับนายแล้วให้แย่แค่ไหนก็เรียกร้องเก่งนั่นแหละ เฮยเสียจื่อนึก ขณะเลื่อนหน้าจอไล่หาเพลง ระหว่างนั้นก็เอ่ยถาม "อยากฟังเพลงอะไรหรือเปล่า"

คนถูกถามเงียบไป ก่อนเอ่ย "นางพญางูขาว"

เฮยเสียจื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง นางพญางูขาว...ตำนานคู่ทะเลสาบซีหูของหังโจว หึ

...จนถึงที่สุดก็ยังไม่ลืมเจ้าของเก่าอยู่ดี

"นายนี่มันดื้อด้านนะ" เขาถอนหายใจ

"ไม่ดื้อด้านก็อยู่กับเจ้านาย...คนเก่า ไม่ได้หรอก" อีกฝ่ายตอบเขาด้วยดวงตาเลื่อนลอย

เฮยเสียจื่อยิ้มจางๆ จากนั้นก็ร้องเพลง ขณะเหลือบมองไปทางคนฟัง เห็นฝ่ายนั้นนัยน์ตาเลื่อนลอยราวกับจมอยู่ในห้วงความคิด

หลังจากนั้นร้านแว่นเล็กๆ ในปักกิ่งก็เพิ่มวันหยุดพิเศษหนึ่งวันสำหรับออกรอบคาราโอเกะของเจ้านายและลูกน้อง




+++

END
13/10/2014







Talk Time:

หายไปเสียนานกับเรือไม้จิ้มฟันไซส์มินิ กลับมาทีเป็นล็อตค่ะ (ฮา)

ยังไม่แน่ใจว่าจะมีอีกกี่ชุด แต่คิดตอนจบไว้คร่าวๆ แล้ว คงออกแนว Slice of Life ไปสักหน่อยนะคะ ยังไงก็ไม่มีในรวมเล่มเน้~

อยู่จีนเป็นเรือแรร์ อยู่ไทยนี่...ยืนมองทะเลสาบซีหู ลมพัดฟิ้วววว *พี่ชาย ฉันหนาว*

อนึ่ง ขอทำความเข้าใจตรงนี้ว่าเราจะไม่เตือนออกหน้าออกตา อ่านตรงแพร์ริ่งกันเอาเองดีๆ นะคะ (เพราะกลับไปคิดแล้วสงสัยว่าตูจะเตือนประหนึ่งเป็นไวรัสซอมบี้ไปทำไมเนี่ย โฮ) ออกปากไว้ก่อนเน้อ ทางจีนแพร์ริ่งนี้หลายคนถึงขั้นต้องเขียนจั่วว่า "ฉันก็ชอบคุณชายฮัวเหมือนกันนะ" หรือ "สำหรับเฮยฮัว ไม่ชอบก็ปิดไปเถอะค่ะ" เราไม่อยากมานั่งเขียนแบบนี้เลยค่ะ OTL

ไม่ใช่ไม่ชอบคุณชายฮัวนะคะ ชอบมาก (แค่เก๊าเป็นฮัวเสียมากกว่าอะ /โดนตี) แต่แควนๆ เรือใหญ่ทางจีนบางทีเห็นแล้วเราอดก็หลั่งน้ำตาไม่ได้ ดังนั้นอยู่ที่ไทยในอาณาเขตตัวเอง เราก็ไม่อยากทำตัวเป็นไวรัสซอมบี้ หวังว่าจะเข้าใจเน้ m(_ _)m

ย่อยมุก
- ชื่อเรื่องมาจากเพลง 他不爱我 (เขาไม่รักฉัน) http://www.youtube.com/watch?v=frq1dpY9E8M
- แว่นตาของซื่ออากง (?)
- ช่วงนี้ปักกิ่งหมอกมลพิษหนามาก ชนิดที่ตึกทั้งหลังหายไปได้เลยค่ะ คุณหนานไพ่มีเขียนเป็นช็อตสั้นๆ ออกมา มีพี่เฮยจึ๋งนึง เราก็สอยมาเขียนซะ
- พี่แว่นดำแก (ถ้าแงะไม่ผิด) เคยเรียนทางดนตรีมาก่อนค่ะ
- เพลงนางพญางูขาว คือเพลง 千年等一回 หาฟังกันได้นะคะ...เวอร์ชันนี้มั้งที่ช่องสามฉายสมัยก่อน (จำไม่ล่ายเลี้ยว) ที่เอาผู้หญิงมาเล่นเป็นพระเอก ← ดูมาทั้งเรื่อง พลาดดูตอนจบ เจ็บใจที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Bind

 

"Bind"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




สมัยผมยังเด็ก ร่างกายไม่แข็งแรงนัก ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าคงเพราะบรรพบุรุษที่เป็นโจรสุสานโดนไอหยินทำร้ายร่างกายจนถ่ายทอดถึงลูกหลานรึเปล่า แต่ทั้งพ่อและอาอีกสองคนต่างสุขภาพแข็งแรงดี จึงต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ว่าเป็นเพราะตัวผมเอง บางครั้งพ่อกับแม่ก็มึนตึงใส่กันด้วยเรื่องนี้ ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าวัยประถม ย่อมไม่มีทางเข้าใจถึงเรื่องซับซ้อนประเภทนั้น

เวลาพ่อไม่อยู่ อารองกับอาสามจะช่วยกันดูแลผม เรียกให้ถูกคืออารองดูแลผม ส่วนอาสามเล่นกับผม ดังนั้นเวลาอารองไม่อยู่อีกคน อาสามจึงมักโดนพูดย้ำถึงวิธีดูแลหลานแบบคนทั่วไปสมควรทำกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพี่รองรู้ดีว่า น้องสามของตนเป็นคนหุนหันพลันแล่น ไม่รอบคอบลึกซึ้ง ชีวิตตัวเองยังใช้จนแทบไม่พอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับผิดชอบชีวิตเด็กอีกคนให้ปลอดภัย

"วันนี้ฉันมีธุระ ต้องกลับค่ำมาก นายดูแลอู๋เสียให้ดีๆ อย่าลืมว่าเขายังเด็ก กินได้น้อย หิวง่าย คอยดูอย่าให้เขาหิวไม่งั้นอาจซุ่มซ่ามเอาของไม่ดีเข้าปากอีก"

"รู้แล้วๆ พูดย้ำจนนอนละเมอทั้งคืนแล้วมั้ง จะไปไหนก็รีบไปไป๊"

วันนั้นกว่าอารองจะมั่นใจว่าย้ำจนอาสามไม่มีทางลืมแล้ว ก็กินเวลาเกือบยี่สิบนาที ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ก็เข้าใจว่าทำไมอารองถึงทำเหมือนอาสามเป็นเด็กอีกคน ทุกครั้งหลังอารองเดินพ้นสายตาและระยะได้ยินเสียง อาสามจะทำเหมือนลืมคำพูดอารองทันที

เขาพาผมไปนอกบ้าน ปิดประตูบ้านลงกลอนเรียบร้อย พวกเรานั่งรถโดยสารเพื่อเดินทางต่อไปที่วัดแห่งหนึ่ง พอไปถึงที่ เขาซื้อมันปิ้งให้ผมหนึ่งถุง สั่งให้ผมนั่งกินระหว่างรอ

ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร นั่งพิงกำแพงวัด กินมันปิ้งตามที่เขาบอก อาสามเดินเข้าวัดไปสักพักก็กลับออกมาพร้อมถุงผ้าสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ ผมไม่รู้ว่าเป็นของใหม่หรือเก่า เพราะมืออาสามมีแต่ฝุ่นกับขี้ดิน ถุงในมือจึงเลอะเทอะเป็นรอยนิ้ว กระดำกระด่างแทบทั้งใบ

"แกนี่โชคดีชะมัดไอ้หลานชาย ตะกี้มีพระให้ไอ้นี่ฉันมา เขาว่าของดี ป้องกันสิ่งสกปรกได้ ให้ฉันใส่คงเสียของเปล่าๆ แกป่วยบ่อย ใส่ไว้คงดีกว่าฉัน"

อาสามล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าในมือ มันคือสร้อยลูกปัดสีดำๆ คล้ายลูกประคำ แต่ละเม็ดมีการแกะเป็นลวดลายประหลาดที่ผมในตอนนั้นไม่สามารถระบุรายละเอียดใดได้ กว่าจะโตพอรู้เรื่องลายแกะสลัก ผมก็ลืมลายพวกนั้นไปเสียแล้ว

เขาจับข้อมือขวาผมขึ้นมาดูแล้วเปลี่ยนใจ แก้ปมที่ปลายเชือกแล้วมัดใหม่จนกลายเป็นบ่วง นำมาสวมคล้องคอผมเป็นสองทบ

"ของที่ฉันอุตส่าห์ยกให้ อย่าทำหายซะล่ะ ฉันตีแกตายแน่" เขาพูดจบก็ขยี้หัวผม สั่งให้ผมรอจนกว่าเขาจะมา แล้วค่อยวิ่งเหยาะๆ เข้าประตูวัดไปอีกครั้ง

จากนั้นก็คือช่วงเวลานานแสนนานอันน่าเบื่อ ผมกินมันปิ้งที่เขาซื้อไว้ให้จนหมด กินน้ำขวดที่เขาทิ้งไว้ให้จนหมด นั่งมองท้องฟ้า มองก้อนเมฆ มองซากผีเสื้อบนพื้น มองมดบนพื้น มองสร้อยลูกปัดหน้าตาประหลาดบนคอ ทำทุกสิ่งที่ทำได้ภายใต้ข้อแม้ห้ามลุกออกจากตรงนั้น

น่าเบื่อเสียจนผมจำไม่ได้ว่าผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ หรือเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อรู้สึกตัวอีกที ไม่ไกลนักตรงหน้าผมก็มีพี่ชายคนหนึ่งยืนอยู่

พี่ชายคนนั้นเหมือนเป็นนักศึกษาจากในเมือง คงเดินหลงทางมาจากไหนสักแห่ง เพราะวัดแห่งนี้ตั้งในป่าค่อนข้างลึก ไม่น่ามีสำนักการศึกษาหรือหอพักอยู่ใกล้ๆ

ขนาดผมกับอาสามเอง ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด อาสามต้องจูงผมขึ้นรถบัสไปบ้านเพื่อนเขา แล้วพากันขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงเชิงเขา พอถึงเนินหญ้าก็ไม่มีทางดินหรือถนนให้รถวิ่งได้ อาสามกับเพื่อนจึงต้องอ้อมรถพากันไปบ้านญาติของเพื่อนคนนั้นเพื่อยืมลาลากเกวียน

ลาบ้านลุงคนนั้นฉลาดแต่นิสัยดื้อมาก เจ้าของลาจึงต้องนั่งเกวียนมาด้วยเพื่อคุมลา แต่เจ้าของลาเพิ่งมีญาติจากต่างจังหวัดมาเยี่ยม ไม่อยากเสียมารยาทต่อแขก ทุกคนจึงยกโขยงมานั่งเกวียนเทียมลาขึ้นเขาด้วยกัน กว่าจะมาถึงวัดก็แดดตรงหัวแล้ว

นักศึกษาคนนั้นจ้องผมอยู่นาน ผมไม่มีอะไรทำจึงจ้องเขากลับ เขาไม่หลบ ผมก็ไม่หลบ ประสานตากันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเป็นผมที่ทนไม่ได้ก่อน อ้าปากหาวออกมาเพราะง่วงเต็มที เตรียมล้มตัวนอน ไม่คาดคิดว่านักศึกษาหลงทางคนนั้นกลับค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาผม

ขณะนั้นเป็นกลางวันแสกๆ ส่วนวัดด้านหลังกำแพงนี้ แม้จะเก่าจนเรียกได้ว่าร้าง แต่ก็ถือว่าเป็นวัด ไม่ใช่สุสานหรืออาคารเก็บศพ ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังเดินเข้ามาจัดอยู่ในหมวดมนุษย์แน่นอน ส่วนเป็นมนุษย์ประเภทไหนนั้นอีกเรื่อง

ผมโตมาในบ้านที่มีพี่น้องสามแบบสามสไตล์ แม้ตอนนั้นอายุไม่เท่าไรแต่ก็พอจะแยกแยะเป็นแล้วว่า อาสามจัดในประเภทนักเลงอันธพาล อารองจัดในประเภทบัณฑิตที่ซ่อนมีดไว้ใต้สมุดบัญชี ส่วนพ่อของผมก็เป็นแค่ผู้ชายวัยกลางคนน่าเบื่อที่หาได้ทั่วไป

ประสบการณ์อันน้อยนิดของผมในวัยเด็ก บอกให้ผมจัดคนตรงหน้าเป็นประเภท 'พูดน้อย มีความอดทนพอสมควร แต่ห้ามทำให้โมโหเด็ดขาด'

ดังนั้นผมจึงอยู่เฉย ปล่อยให้เขานั่งยองๆ จ้องเขม็งมาที่สร้อยลูกปัดบนคอผม

"เอามาจากไหน" ในที่สุดพี่ชายท่านนี้ก็เอ่ยปากพูดเสียที! ผมตื่นเต้นในใจ เพราะเขานิ่งเงียบมาก มากจนผมเริ่มลังเลว่าหรือตนเองจะประมาท มอง 'คน' ผิดไป

"อาสามให้มา" แน่ล่ะ อาสามของผมก็คืออาสามของผม เด็กแบบเราไม่สนใจหรอกว่าอาสามของผมเป็นคนเดียวกับอาสามของเขาหรือไม่

"เขาเอามาจากไหน" ผมเห็นเขาไม่ถามกลับว่าอาสามเป็นใคร ดังนั้นจึงรู้สึกสนิทสนมกับเขาเพิ่มหนึ่งส่วน เหมือนมีคนรู้จักร่วมกัน

"มีพระในวัดให้มา" พูดถึงตรงนั้น ผมก็เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องที่อยากพูด ผมคิดว่าเขาสุขภาพไม่ดีเหมือนผม คงอยากได้บ้าง เลยแนะนำให้เขาไปลองขอกับพระข้างในวัด เผื่อได้อีกเส้น

เขาส่ายหน้า บอกว่าไม่มีแล้ว สร้อยแบบนี้มีแค่เส้นเดียว

ผมรู้ว่าเขามองผมเป็นแค่เด็กที่เชื่อคำโกหกได้ง่ายๆ ความจริงไม่มีสร้อยที่ไหนมีแค่เส้นเดียว สร้อยในกล่องของแม่ผมก็มีตั้งหลายเส้น หน้าตาเหมือนกันเกือบทั้งกอง แม้แต่อาสามก็ยังสะสมสร้อยหน้าตาเหมือนกันไว้ตั้งหลายเส้น ถ้าสร้อยมีแค่เส้นเดียวในโลก มันก็ต้องอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สิ อาสามจะยกให้ผมใส่ได้ยังไง

"พี่ชายป่วยเป็นอะไร" ดูจากโหงวเฮ้งที่ปู่ชอบพูด ผมตัดสินว่าเขาต้องป่วยสักโรคแน่นอน

"ฉันแข็งแรงดี" เขาโกหกอีกแล้ว

"ผมก็แข็งแรงนะ ผมยังป่วยเป็นโรคสามวันดีสี่วันไข้เลย" เขาจ้องกลับมาด้วยสีหน้าแปลกๆ

"นายอ่อนแอ" ไม่พูดเปล่าๆ เขายังจิ้มหน้าผากผมจนเซ แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงสัมผัสของกำแพง มันเย็นเฉียบตัดกับอากาศร้อน ตอนนั้นผมคิดว่าจะโมโห แต่พอเหลือบตาขึ้นไปเห็นนิ้วที่ยังจิ้มค้างบนหน้าผากก็เปลี่ยนใจ นิ้วของเขาแปลกมาก นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขายาวมากจริงๆ ผมนึกถึงสัตว์ประหลาดต่างดาวในหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง มัวแต่จ้องนิ้วเขาจนลืมแม้แต่ว่าตัวเองค้างอยู่สภาพไหน

ผมได้สติอีกทีตอนได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ผมจ้องหน้าเขา เขาจ้องหน้าผม เขาไม่หลบ ผมก็ไม่หลบ ประสานตากันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเขาก็ดึงนิ้วออก ผมจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่มีบางอย่างเกิดขึ้น

เขาใช้แค่สองนิ้วนั่นกับผม ผมก็ไร้ปัญญาต่อต้านโดยสิ้นเชิง ทำไม่ได้แม้แต่จะยันตัวขึ้นนั่ง

"รักษาตัวให้ดี" เขาตบบ่าผมเบาๆ ทำท่าจะลุก ผมรู้ว่าเขาตัดใจแน่แล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขาไว้

"ผมแบ่งให้ก็ได้นะ" ไหนๆ สร้อยก็ยาวจนต้องพันตั้งสองทบ ผมแบ่งครึ่งนึงให้เขา ตัวเองก็ยังมีสร้อยใส่ ตอนนั้นผมลืมสนิทว่าอาสามสั่งว่ายังไงบ้าง คิดแค่ว่าพี่ชายแปลกหน้าคนนี้นิสัยไม่เลว ผมแบ่งของดีให้เขาครึ่งนึงถือเป็นการทำบุญ สวรรค์น่าจะเพิ่มบารมีให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้นเหมือนกัน

"ไม่ต้อง นายเก็บไว้" ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธกลับมาอย่างเฉยชา! พระโพธิสัตว์ยังมีมารมากวนตอนสร้างบารมี แค่คำปฏิเสธหยุดการสร้างบารมีของผมไม่ได้หรอก

ผมถอดสร้อยออกมาแล้วแกะปมแบบที่อาสามทำ แต่เพราะมือผมเหนียวเหนอะจากมันปิ้ง รู้สึกแย่ที่จะเอากลิ่นมันปิ้งไปถูไถเชือกศักดิ์สิทธิ์ แกะได้ครึ่งทางก็เอามือไปเช็ดที่ชายเสื้อสักรอบ

ตอนนั้นเองที่มืออีกข้างเผลอทำสร้อยหล่นพื้น

ไม่นึกว่าพี่ชายแปลกหน้าจะมือเท้าว่องไว แค่ผมเผลอปล่อยมือทำสร้อยหล่น เขากลับก้มตัวมาคว้าไว้ได้ ปัญหามีอยู่แค่ตอนที่เขาคว้า มือผมยังไม่หลุดจากบ่วงของสร้อย กลายเป็นแรงกระตุก ลงเอยที่สร้อยเก่าๆ เส้นนั้นขาดกระจุย เม็ดลูกปัดหลายสิบเม็ดกลิ้งลงไปตามเนินท่ามกลางสายตามึนงงของผม บางเม็ดกลิ้งเข้าพงหญ้า บางเม็ดกลิ้งลงไปตามทางดินจนลับสายตา เหลืออยู่ในบ่วงเชือกไม่ถึงครึ่งของตอนแรก

"...ขอโทษด้วย" พี่ชายคนนั้นบอกให้ผมนั่งที่เดิม เขาจะช่วยเก็บให้ ซึ่งความจริงผมก็อยากไปช่วยเขา แต่เดี๋ยวอาสามกลับมาไม่เห็นผมแล้วจะโมโห เลยปล่อยให้เขาก้มๆ เงยๆ ไปคนเดียว

นั่งมองเขาก้มๆ เงยๆ ก้มๆ เงยๆ ก้มๆ เงยๆ ตั้งนานไม่มีหยุด ผมเหมือนโดนสะกดจิต ล้มตัวนอนแบบไม่รู้ตัว มาตื่นเอาตอนเขามาก้มๆ เงยๆ อยู่บนตัวผม ไม่รู้เขาไปหาเชือกที่ไหนมาร้อยลูกปัด สีแดงสดยังกับเลือด แต่ดูใหม่และแข็งแรงกว่าเชือกในตอนแรกเยอะ

นิ้วเขาที่กำลังผูกปมเชือกรอบคอผมนี่สิน่าสงสาร เหมือนเขาไปล้างมือมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ซอกเล็บยังมีคราบดินเหลืออยู่ ไม่รู้ตามเก็บเม็ดลูกปัดถึงหลุมดินที่ไหนมา

"ขอบคุณฮะพี่ชาย" เขาไม่พยักหน้ารับ แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

"ที่เหลือนี่นายเก็บไว้ ทำมายาวเกินไปหน่อย" ผมลุกขึ้นมานั่ง ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ของในมือเขา ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว แสงเหลือน้อยลงทุกทีแต่ก็ยังเห็นของได้ชัด มันคือเชือกป่านสีแดงขดเล็กๆ คงเป็นเชือกที่เขาหามาร้อยสร้อยใช้ผม

เพราะผมยังไม่ตื่นดี เลยยื่นมือออกไปด้วยความเคยชิน เหมือนเวลาแม่หาของปลุกเสกจากวัดมาให้ใส่เป็นสร้อยมือ ผมก็จะยื่นข้อมือให้แม่เป็นคนสวม ลืมคิดไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ผม ไม่ใช่อาสาม แต่เป็นพี่ชายแปลกหน้าที่บังเอิญเดินผ่านมา

เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็สวมเชือกแดงนั่นรอบข้อมือผม ตอนแรกนึกว่าเป็นเชือกเส้นสั้นๆ แต่ข้อมือผมคงเล็กไป เขาต้องวนเชือกอยู่สามสี่รอบกว่าจะได้ความยาวที่พอดีสำหรับผูกปม

ผมพลิกมือไปมา คิดในใจว่าเท่ชะมัด เหลาหย่างต้องอิจฉาแน่ๆ เงยหน้ามาอีกทีพี่ชายคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่ถ้าไม่มีหลักฐานอยู่ที่ข้อมือ ผมคิดว่าเขาอาจไม่ใช่คนจริงๆ ก็ได้

ผมนั่งรออยู่พักใหญ่กว่าอาสามจะออกมา หิวข้าวจนแสบท้อง แต่อาสามท่าทางหัวเสียจนผมไม่กล้าโวยวายอะไร โชคดีที่ตอนนี้มืด เขาไม่ทันสังเกตว่าทำไมอยู่ๆ ข้อมือผมก็มีเชือกสีแดงเพิ่มขึ้นเส้นหนึ่ง

ตอนที่กลับถึงบ้าน อารองก็กลับมาแล้ว แน่นอนว่าอาสามเปลี่ยนท่าทีทันตา หลังจากนั้นอารองจะดุอาสามยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของผม ตอนนี้ผมสนใจอย่างเดียวคือในครัวมีอะไรให้กินบ้าง

หลังจากเติมข้าวชามที่สอง ผมถึงนึกออกว่า ตัวเองลืมถามชื่อพี่ชายแปลกหน้าคนนั้นไปสนิท



+++

END
05/10/2014







Talk Time:

ตอนแรกว่าจะไปกินหมึกปิ้งต่อบนเตี--- *แค่ก* แต่เพราะแวบไปแวบมา งานหลวงเข้าแทรกเป็นระยะ เลยได้แต่รอบันทึกโจรฯ เล่ม 9 ออกแบบห่อเหี่ยวแทน....

วันก่อนได้หนังสือใหม่ของค่ายนานมีมา ชื่อเรื่อง คนล่าผี ค่ะ เขาพูดถึงเชือกแดงป้องกันผี *กระแอมไอ* ...ใช่ค่ะ แบบว่าอ่านแล้วโมเอะจัง แง เลยเอามาแต่งฟิค 55555555555+ เอาอุปกรณ์ล่าผีเขามาเขียนฟิคคค!! ฮืออออ ก็โรแมนติกออกอะ เอาเชือกแดงกันผีมาทำเป็นเชือกแดงคล้องรัก วั้ยยย ( /w\ )

/กรุณาทำเป็นไม่สนใจแฟนผิงเสียไร้สติคนนี้นะคะ

แต่ไม่รู้ทำไมค่ะ แต่งๆ ผิงเสียแล้วถึงมีอารองกับอาสามโผล่มาในฟิคตลอดเลย แง จิตใต้สำนึกกำลังไล่เราไปแต่งฟิควายอารองอาสามสินะ!!

ส่วนเมินโหยวผิงที่เป็นพระเอกตอนนี้ดันไม่ได้โผล่มาแม้แต่ชื่อ โถ... เอานิ้วยาวๆ ของนายมาโชว์แทนก่อนนะเสี่ยวเกอ ฮือ จริงๆ ตั้งใจว่าจะให้เป็นตอนของ "นักศึกษาจาง" แท้ๆ ค่ะ  แต่กลายเป็นแม้แต่คำว่า "เสี่ยวจาง" ก็ไม่มี ชื่อจางฉี่หลิงก็ไม่ได้โผล่ เศร้า นายแพ้เหม่งจางซะแล้ว คราวหน้าพยายามใหม่นะ! *พูดเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเอง*