วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

รายละเอียดรวมเล่ม Fan-fiction บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน: 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" (瓶邪 ผิงเสีย) **Sold Out**


一生 十年
"หนึ่งชีวิต สิบปี"


Fan-fiction นิยายเรื่องบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน (Daomu Biji)
Pairing: ผิงเสีย (เมินโหยวผิง x อู๋เสีย)
Circle: IronY Triangle
ตัวอย่างงาน: 一生 十年 หนึ่งชีวิต สิบปี มีการรีไรต์และเพิ่มเนื้อหาจากที่ลงในเว็บค่ะ



一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" Fan-fiction นิยายเรื่องบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน Circle: IronY Triangle


หนังสือขนาด A5 ปกสี่สี มีปกแจ็กเกต พร้อมที่คั่นหนังสือเล่มละ 1 ชิ้น
จำนวนหน้า: 438 หน้า | ราคา: 320 บาท
ค่าจัดส่ง: ลงทะเบียน 50 บาท
(หากสั่งตั้งแต่ 2 เล่ม ขึ้นไป รบกวนแจ้งเพื่อให้คิดราคาใหม่อีกทีนะคะ
เนื่องจากหนังสือหนามาก ต้องวัดไซส์กล่องกันใหม่)

ระยะเวลาเปิดจอง: 22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม 2557
ระยะเวลาการจัดส่งของ: ช่วงปลายเดือนม.ค. - ต้นก.พ.

สถานะ: Sold Out (ไม่มีการรีพรินต์เพิ่มเติม) 


一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี"
ภาพปก


ภาพปก 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี"
ปกแจ็กเกตแบบเต็มๆ

  
**ฟิครอบหลังพรีออเดอร์ ไม่รับประกันว่าจะได้ของแถมเท่ารอบพรีฯ นะคะ เพราะเตรียมของแถมไว้เกินจากยอดพรีฯ แค่นิดหน่อย แต่ถ้ามีของพอก็จะแจกให้จนกว่าของจะหมดค่ะ**

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 06: ลืมเลือน


"Forget - ลืมเลือน-"

06: ลืมเลือน 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย) & 二环 เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋xเซี่ยเหลียนหวน)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3 || ตอนที่ 4 || ตอนที่ 5


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


เฟิ่งหวงเผาร่างตนเองเพื่อถือกำเนิดใหม่ แต่มนุษย์ที่น่าสงสารกลับถูกไฟคลอก...โง่งมนัก

คำพูดประโยคสุดท้ายของอาเซี่ยยังติดหู

มีทั้งเฟิ่งหวง (นกฟินิกซ์) ทั้งฉีหลิน (กิเลน)...ต่อไปจะมีอะไรออกมาอีกหรือเปล่านะ ผมคิดอย่างเลื่อนลอย

หลังกลับมาจากบ้านอารองและอาเซี่ย ผมสั่งให้ลูกน้องตั้งสำรับ คราวนี้เสี่ยวเกอยอมกินแต่โดยดี ดูเหมือนคำพูดของอาเซี่ยจะเปลี่ยนท่าทีของเขา ผมรู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาหมดความต้องการในการดำรงชีวิต แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจ

ทำไม? คำถามนี้ผมไม่รู้จะเอาไปถามใคร ได้แต่เก็บไว้ในใจต่อไป

เมื่อกินเรียบร้อยผมก็บอกหวังเหมิงให้จัดการหาอาจารย์มาสักคนเพื่อทดสอบความรู้ของเจ้าหนูนี่ ไหนๆ ก็ต้องเลี้ยงดูแล้ว ควรจัดการเรื่องการศึกษาของเขาด้วย

ระหว่างรอคน ผมจึงบอกเขา "ฉันไม่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่ อันที่จริงไม่รู้ว่านายเป็นใครมาจากไหนด้วยซ้ำ แต่อยากให้รู้ไว้ ตอนนี้นายอยู่กับฉัน บ้านนี่เป็นบ้านฉัน ข้าวก็กินข้าวฉัน ฉะนั้นอย่างน้อยก็ควรฟังฉันบ้าง"

เขาพยักหน้า ผมเริ่มเห็นสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีจึงเริ่มใจชื้น ออกปากถามต่อ "นายพูดได้ไหม"

เสี่ยวเกอยังคงพยักหน้าอีกครั้ง คราวนี้ผมประหลาดใจเล็กน้อย "ทำไมไม่พูด พูดให้ฉันฟังได้ไหม"

เขานิ่งไป ก่อนส่ายหัว ผมรู้สึกว่าในขมับมันปวดตุ้บๆ ไปหมด ท้ายสุดจึงยื่นคำขาด "เอางี้ นายพูดให้ฉันฟังประโยคหนึ่ง แล้วฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีก"

"อู๋เสีย" ผมสะดุ้งโหยง เสียงของเสี่ยวเกอเหมือนเด็กทั่วๆ ไป เพียงแต่ ผมไม่คิดว่าคำแรกที่เขาเปิดปากจะเป็นชื่อของผม ตอนแรกผมนึกสงสัยว่าตัวเองยังไม่ได้แนะนำตัว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนี้อาเซี่ยเรียกผมอยู่หลายครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าเสียงของเขา...ลักษณะการทอดหางเสียงเล็กน้อย ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

...รู้สึก ปวดหัว

ผมนิ่วหน้า เสี่ยวเกอเพียงมองผมนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้ เอ่ยอย่างเชื่องช้า

"...อย่าจดจำฉัน"

คราวนี้ผมรู้สึกว่าตนเองกำลังจะวูบไป

ผู้ชายคนหนึ่ง ผมมองหน้าของเขาได้ไม่ชัด แต่เขายื่นมือมาแตะหน้าผากของผม จากนั้นผมก็ปวด...ปวดไปหมด ปวดเหมือนจะตาย

...ห้ามลืมนะ! ผมได้ยินเสียงของตัวเองกรีดร้อง

ภาพมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง แต่ส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ไม่ปะติดปะต่อ...มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง...อะไรสักอย่าง

ท้ายสุดความทรงจำมีเพียงข้อมือผมที่ท่วมไปด้วยเลือด...นิ้วนั่น สัมผัสคล้ายยังแตะบนหน้าผากของผม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องพบกับเรื่องชวนให้หัวใจแทบหยุดเต้น

สองนิ้วนั่น ยาวกว่านิ้วของคนทั่วไป!

เขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผม กระซิบเสียงทุ้มเนิบข้างหู...

xxx

"เจ้านาย!"

"!" ผมกะพริบตา รู้สึกภาพตรงหน้าพร่าเลือน ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น

หวังเหมิงทำหน้าตาตื่น ผมแตะใบหน้าของตนเองที่ชื้นเล็กน้อย...น้ำตา?

"เจ้า เจ้า...เจ้านายครับ เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไร" ผมเอื้อมมือไปผลักใบหน้าของอีกฝ่ายที่เข้ามาเสียใกล้ ครั้นมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นร่างของเสี่ยวเกอแล้ว "เจ้าหนูล่ะ?"

"กะ ก็ ก็เจ้านายบอกให้ผมเรียกอาจารย์มาทดสอบความรู้เขา ตะ ตอนนี้ก็เลย..." หวังเหมิงตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ผมโบกมือเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็ไล่เขาไปทำงาน หมอนั่นมองผมด้วยสายตาเป็นกังวลไม่ยอมไปสักที สุดท้ายต้องเตะตูดไล่ถึงจะยอม

เมื่ออยู่เพียงลำพัง ผมเช็ดคราบน้ำตาจนหมด ก่อนเลื่อนสายตาไปยังส่วนผิวเนื้อใต้แขนเสื้อที่ร่นลงเล็กน้อย

ที่ข้อมือของผมมีแผลเป็นอยู่ชุดหนึ่ง มันเป็นรอยกรีดไขว้ไปมามองไม่รู้เรื่อง ผมเองก็จำไม่ได้ว่าได้แผลนี้มาได้ยังไง ครั้นถามคุณพ่อและพวกอาๆ พวกเขาต่างก็บอกว่าผมเล่นซน นึกอยากทดลองมีดหรืออย่างไรไม่รู้ กรีดตัวเองวุ่นวาย คุณพ่อแทบเป็นลมตายตอนได้เห็น

"อึ้ก..." ผมรู้สึกได้ถึงอาการปวดตุ้บๆ ในหัวขณะไล้ปลายนิ้วไปบนรอยแผลเป็น

อันที่จริงผมในเวลานั้นไม่รู้ถึงความหมายแท้จริงและความสำคัญของของรอยพวกนี้เลยสักนิด เดิมทีผมเป็นคนกรีดเอง แต่ถูกใครบางคนกรีดรอยยาวคาดทับ ทำลายความหมายที่แท้จริงของมันไป

รอยแผลพวกนี้ แท้จริงแล้วเป็นอักษรสามตัว

'จาง' 'ฉี่' 'หลิง'

xxx

นานมาแล้ว มีเด็กคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ต่อให้เริ่มต้นใหม่อีกกี่ครั้ง ก็จะคงความรู้สึก 'รัก' เอาไว้ทุกครั้ง

'พี่ชายจาง ผมจะไม่ลืมคุณ'

ถึงตรงหน้าคือกองไฟ มือคู่นั้นก็พร้อมจะยื่นไปสัมผัส แม้สุดท้ายกลายเป็นเพียงเถ้าธุลี

'จางฉี่หลิง ผมจะไม่ลืมคุณ!' 

...ช่างโง่งมนัก

'อู๋เสีย...อย่าจดจำฉัน'

+++

TBC
05/01/2015



วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 05: คุณอา


"Forget - ลืมเลือน-"

05: คุณอา 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย) & 二环 เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋xเซี่ยเหลียนหวน)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3 || ตอนที่ 4


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมปวดหัวหนึบไปหมด เมื่อคืนดูเหมือนจะฝันร้าย แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นฝันแบบไหน

ตอนที่หวังเหมิงมาถึงแล้วเห็นสภาพผม เขาทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับกลืนคำพูดลงไป ก็แหงล่ะ โดนผมเอาปืนจ่อกบาลอยู่ กล้าพูดม้าๆ อะไรออกมาล่ะพ่อเป่าขมองเป็นรูแน่

สุดท้ายเขาไปหาหมอปากหนักมาได้คนหนึ่ง จัดการดูอาการเสี่ยวเกอให้เรียบร้อย เรื่องการดูแลเจ้าหนูนั่นผมฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาขณะกินโจ๊กอย่างใจเย็น ที่เหลือปล่อยให้หวังเหมิงฟังไป

"เจ้านาย คนของคุณ ไม่คิดจะฟังหน่อยเลยหรือครับ" เจ้าลูกน้องบ่นหงุงหงิง

"คนของฉัน? ผิดแล้ว 'ของ' ของฉันต่างหาก" ผมตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนโบกไม้โบกมือเป็นเชิงตัดบทสนทนา

หลังสั่งงานกับหวังเหมิงเรียบร้อย ผมก็ไปหาอาเซี่ยตามที่ขอนัดไว้กับอารองเมื่อวานนี้ โดยไม่ลืมหิ้วเจ้าหนูตัวปัญหาไปด้วย พ่อบรรพบุรุษน้อยของผมรายนี้ เมื่อลืมตาตื่นยังคงมีท่าทางเหมือนเมื่อวาน ครั้นถามหมอ หมอก็ส่ายหัวดิก พูดเป็นเชิงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่บาดแผลทางกาย

ไม่ใช่ทางกาย เช่นนั้นก็เป็นทางใจ?

ผมปรือตามองเสี่ยวเกอ บางทีผมก็รู้สึกว่าตรงหน้าไม่ใช่เด็กผู้ชาย เป็นเพียงสัตว์เล็กที่บาดเจ็บเท่านั้น

แต่อย่างน้อยสภาพของเสี่ยวเกอยามนี้ต้องเรียกว่าดูเข้าท่ากว่าก่อนนี้มาก ก่อนออกจากบ้านหวังเหมิงหาเครื่องแต่งตัวให้เขา ผมยาวๆ ก็จัดแจงถักเป็นเปียเรียบร้อย ดูแล้วคล้ายคุณชายน้อยมีสกุลผู้หนึ่ง

"ระวังจะโดนนินทาเอานะครับ" ไอ้เจ้าลูกน้องสมควรตายเอ่ยขณะยืนส่งผมที่หน้าบ้าน เลยโดนมะเหงกไปหนึ่งที

ระหว่างนั่งในรถ ผมพยายามสงบจิตสงบใจเพื่อเตรียมตัวสำหรับเผชิญหน้ากับอาเซี่ย มีหลายครั้งที่หากให้เลือกระหว่างกองผมเปียกๆ กับพบเจออาเซี่ย ผมถึงขั้นคิดว่ายอมช็อกตายคาเส้นผมเสียยังจะดีกว่า

ระหว่างนึกถึงเรื่องเก่าๆ คนขับรถก็ร้องบอกว่าถึงแล้ว ผมสูดลมหายใจ ก่อนหอบเอาร่างกายอันหนักอึ้งและเด็กผู้ชายหนึ่งคนเข้าไปในตัวบ้าน

xxx

เซี่ยเหลียนหวนหรืออาเซี่ยของผมคนนี้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอาสามของผมมาก ต่างกันเพียงรายละเอียดเล็กน้อย เช่นเส้นผมของเขาไม่ขาวโพลนแบบอาสามที่ผ่านความทุกข์ตรม เครื่องหน้าปราศจากหนวดเครา หนำซ้ำดวงตาคู่นั้นยังให้ความรู้สึกลุ่มลึกกว่ามาก

เมื่อเจอหน้าอาเซี่ย ผมคุยเล่นทักทายกับเขาเล็กน้อย ก่อนเข้าเรื่อง หลังฟังเรื่องทั้งหมดของผมจบ อาเซี่ยก็ใช้สายตาสำรวจเสี่ยวเกอที่นั่งข้างๆ ผม ก่อนเอ่ยเสียงเนิบ "อู๋เสีย แกว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดคือแบบไหน?"

"เอ" ผมงุนงงกับคำถาม แต่ก็ตอบไป "แข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้านในใต้หล้า? มีวิชาฝีมือยอดเยี่ยม?"

"กำลังกายฝึกได้ ขอแค่แกมีพื้นฐานร่างกายที่ดีกับเวลาที่มากพอ" อาเซี่ยทำท่ายกนิ้ว ก่อนเลื่อนมือมาแตะที่อกผม "แต่ที่ฝึกไม่ได้คือตรงนี้"

...ต้องไม่ใช่กล้ามอกแน่ๆ ผมกลืนความคิดนี้ลงท้องไป

"ร่างกายฝึกได้ แต่ใจคนฝึกยากที่สุด...นักรบที่แข็งแกร่ง หัวใจต้องแข็งแกร่ง"

ผมมองเจ้าหนูตัวเล็กที่ตัวเองล้มทับทีเดียวก็คงแบนแต๊ดแต๋ด้วยความรู้สึกซับซ้อน นักรบ?

"แกว่าคนหนึ่งคน ต้องทำอย่างไรถึงจะตัดรักชอบเกลียดชังได้หมด"

"...ฝึกตน แบบพระทิเบต? ไม่ก็กินยาไร้รัก" ผมพูดไปเรื่อย อาเซี่ยหัวเราะออกมา แต่ไม่เอ่ยคำตอบของคำถามที่ถามผม

เขาเพียงกล่าว "นักรบที่แข็งแกร่งมีเพียงกำลังฝีมือไม่พอ สิ่งสำคัญคือเป้าหมายหรือปณิธาน และต้องเป็นปณิธานอันแน่วแน่...ดังนั้นเรื่องราวไม่จำเป็นจึงต้องถูกลบทิ้งไปจนหมด"

อาเซี่ยยกชาขึ้นจิบ ดวงตาทอดมองออกไปด้านนอกคล้ายรำลึกถึงบางสิ่ง ก่อนค่อยๆ เลื่อนสายตากลับมาจ้องเสี่ยวเกออีกครั้ง "ชีวิตของพวกเขามีเพียงภารกิจ ลมหายใจเฮือกแรกยันเฮือกสุดท้ายมีเพื่อเป้าหมายที่ถูกตั้งไว้ เป็นเพียงศิลาแข็งแกร่งที่ไร้ความปรารถนาเป็นของตนเอง"

"ผม...ไม่เข้าใจ"

"แน่นอน แกย่อมไม่เข้าใจ และตอนนี้แกก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจ"

ผมกะพริบตา อาเซี่ยเอื้อมมือไปดึงมือขวาของเสี่ยวเกอขึ้นมา ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามือของเขา นิ้วชี้กับนิ้วกลางยาวผิดปกติกว่านิ้วอื่นๆ เกือบครึ่งข้อ อาเซี่ยยิ้มเนือยๆ ขณะลูบคลำสองนิ้วดังกล่าว

"เด็กคนนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา อาสามของแกไม่เล่าให้แกฟังเพราะมีเหตุผลอยู่" อาเซี่ยเอ่ยเสียงเรียบ "แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเทพเจ้าปัญญาอ่อนอะไรนั่น...ไอ้หมอนั่นแต่งเรื่องไม่เอาอ่าวตามเคย"

ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนนี้อาสามเคยเล่าวีรกรรมผจญภัยของเขากับอาเซี่ยเป็นคุ้งเป็นแคว พอผมเอามาถามอาเซี่ย เขาถึงกับทำหน้าทะมึน จากนั้นสองวันต่อมาผมก็เจออาสามที่หัวล้านเลี่ยนไม่เหลือเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว เห็นว่าเป็นการ 'ทำโทษ' ซึ่งอาสามก็ต่อให้อีกห้าพยางค์ว่า 'จากพี่สะใภ้รอง' ...หลังจากนั้นก็เลยโดนโกนคิ้วและหนวดไปด้วย

ผมนิ่งไป อาเซี่ยยังคงเอ่ยต่อด้วยเสียงเนิบนาบ จุดนี้เขาคล้ายคลึงกับอารองมากกว่าอาสาม การอธิบายส่วนใหญ่รวบรัด ไม่ฟุ้งฝอยออกนอกลู่นอกทาง "ฉันเองก็เล่าไม่ได้ นี่เป็นเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน เกี่ยวพันถึงเก้าสกุลใหญ่ ที่พอบอกแกได้คือเด็กคนนี้เป็นผลผลิตของความชั่วร้ายของเก้าสกุล"

"แล้วผมควรทำยังไง อย่าบอกให้ผมแต่งเขาเข้าบ้านเป็นเจ้าบ่าวแบบที่อาสามพูดนะ" ผมเอ่ยพลางหัวเราะ แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปเมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนา ในบรรดาผู้ใหญ่ในบ้าน ผมเคยคิดว่าตัวเองกลัวอารองที่สุด เพราะวิธีการแก้ปัญหาของอารองเด็ดขาดเสียจนผมไม่คิดเป็นศัตรูด้วย แต่เมื่อเทียบกันแล้วบางทีผมอาจกลัวอาเซี่ยมากกว่าอารองอยู่ราวๆ สองส่วน

อาเซี่ยยิ้มเนือยๆ ให้ผม "ถูกต้อง แกควรต้องรับเขาเป็นเจ้าบ่าวของแกจริงๆ"

ผมแทบพ่นน้ำชาออกจากปากในทันที ครั้นมองใบหน้าของอาเซี่ย เขามีรอยยิ้มจางๆ ที่ดูไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริงประดับอยู่ "สิ่งที่แกควรทำคือสอนเด็กคนนี้"

"สอน?"

"ใช่ สอน...สิ่งที่เขาขาดไปคือหัวใจ แกต้องสอนเขาในเรื่องนี้"

ผมงุนงง อาเซี่ยขยับตัวเข้าไปใกล้เสี่ยวเกอพลันกระซิบบางอย่าง ผมฟังไม่ถนัด แต่เดาว่าน่าจะเป็นชื่อของคน ชั่วขณะหนึ่งเจ้าหนูสะดุ้งเฮือกขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนกลับไปเป็นเสี่ยวเกอผู้เฉยชาเหมือนเก่า ผมมองอาเซี่ยด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่คิดอธิบายผม

"อู๋เสีย ทั้งสกุลอู๋และเซี่ยติดค้างเขาไว้มาก หนี้นี้ต้องให้แกเป็นผู้จ่ายแล้ว" ว่าแล้วอาเซี่ยก็หลับตาลงคล้ายไม่อยากพูดอีก

ไม่ว่าผมเพียรพยายามถามอะไรเพิ่ม อาเซี่ยก็ไม่ยอมตอบ สุดท้ายผมจนใจได้แต่เอ่ยขอตัว

"ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ฉันกับอารองของแกไม่มีปัญญาไปตามเช็ดล้างปัญหาของแกหรอกนะ" อาเซี่ยโบกมือไปมา

ผมได้แต่กลอกตาไปมา หลายปีมานี้พวกอาสองสามีภรร...แฮ่ม สองคนใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เข้าสู่วงจรขุดดินคว่ำกรวย เรียกว่าเดินในเส้นทางตรงกันข้ามกับอาสามอู๋ซันเสิ่งของผมโดยสิ้นเชิงก็จริง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเส้นสาย บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองกับอาสามใช้ชีวิตเหมือนหนูถีบจักรให้พวกเขาสองสามีภรร...แฮ่ม สองคนนั่งจิบชาชมดูเล่นชอบกล

ว่าแล้วก็เลื่อนสายตากลับไปมองเสี่ยวเกออีกครั้ง อย่างที่บอก อาสามพูดนั่นก็เรื่องหนึ่ง อาเซี่ยพูดอย่างไรก็ต้องเชื่อ

เจ้าบ่าวก็เจ้าบ่าววะ!

ขณะตัดสินใจได้และกำลังจะก้าวออกจากห้องก็ได้ยินเสียงเรียกผม เมื่อหันไปมองก็เห็นอาเซี่ยถือลูกเต๋าไว้ในมือ เขายิ้มน้อยๆ ให้ผม "อู๋เสีย แกว่าโยนลูกเต๋าสักสิบครั้ง เป็นไปได้ไหมที่จะออกแต้มห้าทุกครั้ง"

"ผมโยนเรื่องความน่าจะเป็นทิ้งคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว" ผมตอบอาเซี่ยด้วยเสียงดังฟังชัด ก่อนเอ่ยเสริมจากความรู้สึก "ก็...ถ้าดวงดีพอก็เป็นไปได้มั้งครับ"

คนตรงหน้าผมยิ้มน้อยๆ ขณะดีดลูกเต๋าขึ้นสูง "นานมาแล้ว มีเด็กคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ต่อให้เริ่มต้นใหม่อีกกี่ครั้ง ก็จะคงความรู้สึก 'รัก' เอาไว้ทุกครั้ง...แกว่ามันจะเป็นไปได้ไหม"

ชั่วขณะนั้น ผมคล้ายมองเห็นเงารางเลือนของเด็กชายคนหนึ่ง ในหัวปวดจี๊ดไปหมด เหมือนมีเสียงของผู้คนนับไม่ถ้วนพูดคุยอยู่ในสมอง ทว่าเสียงหนึ่งแจ่มชัดนัก... ผมกะพริบตา ก่อนพบว่าเป็นเสียงของอาเซี่ยที่ยังคงแย้มยิ้มเช่นเดิมให้กับผม

"เฟิ่งหวง (นกฟินิกซ์) เผาร่างตนเองเพื่อถือกำเนิดใหม่ แต่มนุษย์ที่น่าสงสารกลับถูกไฟคลอก...โง่งมนัก"

xxx

(แถม)

"คราวนี้อะไรอีกล่ะ" เสียงของอีกฝ่ายทำให้เซี่ยเหลียนหวนหลุดจากภวังค์ เมื่อครู่หลานชายนำอดีตที่ไม่น่าจดจำกลับมาด้วย แม้ฝ่ายนั้นจะจากไปแล้ว ทว่าเขายังคงครุ่นคิด เขามองคนที่ก้าวเข้ามาในห้องพลางคลี่ยิ้มเนือยๆ ให้ "จางฉี่หลิง"

"!" ฝ่ายตรงข้ามมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนปรับเปลี่ยนกลับเป็นสีหน้าเฉกเช่นปกติขณะก้าวเข้ามานั่งข้างๆ เขา "หาเจอแล้วเหรอ"

"เป็นฝีมือของเหล่าซาน" เซี่ยเหลียนหวนตอบขณะรินน้ำชาและส่งให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางอันคุ้นชินเหมือนที่ทำมาตลอดยี่สิบปีมานี้ "ตอนนี้คงกำลังเตรียมการอยู่"

"แปลว่าตรุษจีนปีนี้หายไปหนึ่งคน" คนข้างกายเขาหยิบขนมขึ้นกัด "ก็ดี ลดตัวปัญหาไปได้อีกหนึ่ง"

เขาเผลอหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จึงถูกคู่สนทนามองแบบปรามๆ "อย่าหัวเราะให้มากนัก นายเองถ้าตอนนั้นยังอยู่กับเจ้านั่นก็เป็นตัวปัญหาจอมวายร้ายเหมือนกันนั่นแหละ"

"ไม่เอาน่า คนที่จับฉันมาล็อกกุญแจขังไว้ดื้อๆ ในบ้านเนี่ยไม่น่าใช่คนดีนักหรอกนะ"

"ก็ไม่ใช่น่ะสิ" ฝ่ายนั้นตอบรับอย่างง่ายดายก่อนเงียบเสียงไป ดวงตาหลังแว่นกรอบบางคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็พ่นลมหายใจ "...จางฉี่หลิง...จางฉี่หลิง ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้อีกเป็นครั้งที่สองเลยจริงๆ"

"คราวนี้คงเหนื่อยหน่อยล่ะนะพี่เอ้อร์ไป๋" เซี่ยเหลียนหวนคลี่ยิ้ม น้ำเสียงบ่งบอกว่าสัพหยอกอีกฝ่าย

"เรียกเหล่าเอ้อร์เถอะ" ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงเรียบ เซี่ยเหลียนหวนเพียงหัวเราะเบาๆ "ไหงกับเหล่าซานนายให้เรียกเอ้อร์เกอ (พี่รอง) ไม่ยอมให้เรียกเหล่าเอ้อร์กันนะ"

คราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา เพียงยกน้ำชาขึ้นจิบ "ชาดีนี่ หวนเอ๋อร์ (หนูหวน)"

"...นายเป็นเหล่าเอ้อร์ดีที่สุดแล้ว" เซี่ยเหลียนหวนสรุปเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มเยือกๆ


+++

TBC
04/01/2015




วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 04: รอยสัก


"Forget - ลืมเลือน-"

04: รอยสัก 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย) & 二环 เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋xเซี่ยเหลียนหวน)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


ผมนอนไม่หลับ บางทีอาจเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดมากไป หรืออาจจะแค่กำลังเกร็งที่ต้องไปพบกับอาเซี่ยในวันพรุ่งนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมไม่เคยถูกจับทดสอบความรู้ความสามารถอะไรสักนิด แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอาที่มีสายเลือดห่างๆ คนนี้ ผมมักจะรู้สึกคล้ายเด็กน้อยยามพบกับผู้ใหญ่ในบ้าน ได้แต่ก้มหน้า เก็บคอ ห่อไหล่ ไม่กล้าต่อปากต่อคำ

ครั้นลืมตามองเพดานคิดฟุ้งซ่านได้สักพัก ผมก็ตัดสินใจเดินไปดูเจ้าหนูที่อาสามยัดเยียดมาให้

ก่อนนี้ผมเป็นคนอุ้มเขาที่หลับสนิทไปนอน ตอนแรกผมกลัวเขาจะชักกระตุกขึ้นมาแบบเมื่อครู่อีกจึงนั่งเฝ้าอยู่ครู่ใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงคลายใจและเข้านอน...แล้วก็ตาค้างแบบที่เห็น

ทว่าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ผมก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด เจ้าหนูครางเสียงต่ำๆ ฟังไม่ได้ศัพท์
พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา เส้นผมยาวๆ ของเขาพัวพันบนร่างนั้นชวนให้ขนลุกขนพอง

ผมมีความลับอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครรู้นอกจากลูกน้องหมายเลขหนึ่งของผม นั่นคือผมเป็นโรคกลัวเส้นผม โดยเฉพาะผมเปียกๆ อาการนี้ไม่ทราบว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็ตัวแข็งทื่อทุกครั้งยามถูกเส้นผมสัมผัสถูกผิวกายไม่ว่าจะพื้นที่เล็กเพียงใดก็ตาม

เมื่อทำใจกล้าๆ เอื้อมมือไปแตะตัวเขาได้ในที่สุด ผมก็พบว่าร่างนั้นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ผมที่เกิดอาการลนลานทำอะไรไม่ถูกจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อให้สองสามเม็ด แต่ทันทีที่อกเสื้อแบะออก ผมก็ปลดกระดุมเม็ดที่เหลือจนหมดด้วยความตื่นตะลึง

บนร่างของเจ้าหนูนั่นมีรอยแดงไปทั่วทั้งแผ่นอก หลัง และสองแขน รอยพวกนี้ยังสดใหม่ คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ พวกมันคล้ายเป็นแผลตื้นๆ ดูไปดูมาเหมือนเป็นลวดลายบางอย่าง...ครุ่นคิดครู่ใหญ่จึงนึกออกว่าคล้ายกับผิวหนังที่ผ่านการสักมา เพียงแต่ผมไม่เห็นรอยหมึกบนร่างนั้นแม้สักหยด มีเพียงรอยสีแดงกระจายไปทั้งตัวจนลายพร้อยไปหมด

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ขณะแตะปลายนิ้วลงบนลวดลายพวกนั้นอย่างเบามือ จากนั้นก็นิ่งคิด นั่งตัดทีละตัวเลือก เริ่มจากการตามหมอ แต่ตามหมอมาดูเด็กผู้ชายที่เนื้อตัวมีแต่รอยแดงในบ้านเถ้าแก่หนุ่มโสด...คิดแล้วในหัวมีแต่เรื่องไม่ดีไหลออกมาเป็นน้ำ ทางแก้เดียวคือคงต้องยิงหมอทิ้ง ฆ่าปิดปากเสียเลย แต่คิดแล้วดูจะใจดำเกินไป เห็นแก่ครอบครัวของหมอดวงกุดคนนั้น อย่าเรียกมาเลยจะดีกว่า

ตัวเลือกต่อมาคือตามลูกน้องมาช่วย แต่เนื่องจากที่อยู่ของผมแยกจากที่ร้าน และผมเกลียดการถูกรบกวน ดังนั้นจึงอยู่เพียงลำพัง หากโทรตามให้มาก็คงได้...แต่ก็จะมีปัญหาคล้ายๆ กับการตามหมอเมื่อครู่ และผมอาจยิงหมอทิ้งปิดปากได้ แต่คงใจร้ายยิงลูกน้องทิ้งไม่ลง วิธีนี้ไม่เข้าท่าๆ

ส่วนลูกน้องคนเดียวที่ไว้ใจได้ว่าหุบปากสนิทก็อยู่ไกลเกิน แต่กว่าหมอนั่นจะมา...ผมเหลือบมองร่างของเจ้าหนูยังคงกระสับกระส่ายไม่หยุด ก่อนถอนหายใจออกมา

ท้ายที่สุดผมตัดสินใจเดินออกไปและกลับมาพร้อมกะละมังใบหนึ่ง ผมคิดอยู่นานว่าต้องใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น แถมยังไม่แน่ใจว่าแผลแบบนี้เจอน้ำได้ไหม ครั้นจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาค้นหาวิธีการดูแล ในใจผมพลันมีความสงสัย...กับเด็กที่ไม่ได้มีค่าอะไรในชีวิตผม ทำไมต้องให้ราคาความสนใจขนาดนั้น?

ช่างแม่งแล้ว! ผมตะโกนอย่างหงุดหงิดในใจ

"งานนี้จะอยู่จะตาย ขึ้นกับดวงของนายแล้วกันนะ" ผมพึมพำแบบขอไปที ก่อนจะเทน้ำจากกาน้ำร้อนที่ก่อนนี้ผมต้มทิ้งไว้เผื่อกินบะหมี่ จากนั้นก็หอบกะละมังกลับไป

นายน้อยสามแบบผม เกิดมาเพิ่งเคยปรนนิบัติคนอื่นจริงๆ จังๆ แบบนี้ก็ครั้งแรก ช่างเป็นท่านบรรพบุรุษน้อยจริงๆ "เฮ้อ เสี่ยวเกอ (พี่ชายน้อย)...นายนี่มันยุ่งวุ่นวายดีแท้"

ผมส่ายหัวดิกขณะพยายามบิดผ้าขนหนูจนแทบไม่มีน้ำหลงเหลือให้รีด จากนั้นจึงค่อยๆ เช็ดตัวให้เขาอย่างเบามือ พยายามแตะเบาๆ ไม่ออกแรงมาก

ไออุ่นจากน้ำในกะละมังและผืนผ้าทำให้ร่างเย็นเฉียบนั้นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเอง ผมก็สังเกตเห็นลายหมึกสีดำเลือนๆ ปรากฏตรงจุดที่ผมลากผ้าผ่าน

"หมึกล่องหนงั้นเหรอ?" ผมพึมพำกับตนเองขณะค่อยๆ เช็ดร่างนั้นอย่างเบามือ ลวดลายค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาจางๆ อย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อผมเช็ดตัว ร่างกายของเขาค่อยๆ อุ่นขึ้น แต่แล้วก็กลับไปเย็นอีก ลวดลายพวกนั้นบนร่างเขาค่อยๆ เลือนหายไป

ผมมึนงงสับสนไปหมด ในเวลานั้นคิดออกเพียงแค่สิ่งที่อาสามบอกเอาไว้

...ถ่ายไอชีวิต

"..."

ที่แย่กว่านั้นคือผมคล้ายเห็นภาพหลอนเป็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ของอาสามส่งยิ้มมาให้ พลางบอก 'ไอร้อนมันรั่วออก แกต้องรีบผนึกไอชีวิตเข้าไป'

...ช่วงนี้คงนอนไม่พอจริงๆ ถึงได้หลอนได้ขนาดนี้ ผมได้แต่สะบัดหัวก่อนเถียงภาพอาสามในมโนกลับไปว่า 'คนนะไม่ใช่ห่วงยาง ลมจะได้รั่วออกไปได้'

'ใครว่าเป็นคน บอกแกแล้วไงว่าเป็นเทพเจ้ากิเลน' ...แม่ง ภาพในมโนแม่งเถียงกูกลับอีก

ผมเวียนหัวจนนึกอยากกลับห้องไปนอน แต่เมื่อมองเสี่ยวเกออีกครั้ง หัวใจก็หล่นวูบ

ใบหน้าซีดเซียวของเขาถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิททำให้ยิ่งดูขาวโพลนจนน่ากลัว ผมถอนหายใจยาวเหยียด หันมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ก่อนตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องโง่เขลาที่สุดที่เคยกระทำ

...นั่นคือการแตะริมฝีปากของตนเองบนริมฝีปากเย็นเฉียบของเจ้าหนู

ผมแช่ค้างไว้อยู่ครู่ใหญ่ ตั้งใจว่าไหนๆ ก็กระทำเรื่องโง่ๆ แล้วก็ทำมันให้เต็มที่ อย่างไรเสียมากก็ดีกว่าน้อย เกิดถ่ายไอชีวิตน้อยไปแล้วต้องจูบซ้ำอีก ผมคงโมโหตัวเองไปจนวันตาย

ครั้นนับหนึ่งไปจนถึงร้อยอย่างช้าๆ จนครบแล้ว ผมก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า แต่ทันใดนั้นเอง มือเล็กๆ ของเขาก็เอื้้อมมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้ "เฮ้ย!"

ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากอุ้งมือเล็กๆ ทำเอาผมร้อนลวกจนแทบนึกอยากสะบัดมือของเขาทิ้ง

"แม่ง! ได้ผลจริงๆ เหรอวะ" ผมอ้าปากค้าง ก่อนพบว่ามือข้างนั้นสั่นเทาไปหมด ยามนี้บนร่างขาวซีดปรากฏลวดลายชัดเจน หมึกเริ่มจากเป็นสีเขียวก่อนจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสีคราม จนกระทั่งเป็นสีดำสนิท

ผมพรี่ตามองลวดลายพวกนั้น ก่อนสะดุ้งโหยง "เชี่ยแม่ง..."

...กิเลน

ไม่ผิดแน่ บนร่างของเสี่ยวเกอ นั่นเป็นรอยสักรูปกิเลนตัวหนึ่ง

ในใจผมยามนี้ท่วมไปด้วยคำพูดของอาสาม ก่อนเถียงเขาในใจซ้ำๆ ...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

มือนั้นยังคงออกแรงบีบผมแน่น ไอร้อนค่อยๆ ลดลงช้าๆ ทว่าเสี่ยวเกอยังคงกระสับกระส่ายคล้ายฝันร้าย ไม่รู้ว่าภาพเบื้องหลังเปลือกตาของเขาคืออะไรกันแน่ และเพราะไม่อาจรู้ ผมจึงทำได้เพียงเอื้อมมือไปกุมมือเล็กๆ ข้างนั้นเอาไว้แผ่วเบา

"ไม่เป็นไรแล้ว ฉันอยู่ตรงนี้"

จะด้วยเขาฟังผมเขาใจ หรือบางทีฝันร้ายอาจจบลงแล้ว อาการของเขาจึงสงบลง ผมเหม่อมมองอยู่เนิ่นนาน ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด

วันนี้เด็กคนเดียวทำเอาถอนหายใจมาหลายครั้งแล้ว หนี้พวกนี้ต้องไม่ลืมจดไว้ แล้วค่อยคิดบัญชีกับอาสามทีเดียว!

'เห็นไหม บอกแล้วว่าต้องถ่ายไอชีวิต' ภาพหลอนอาสามกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมคำรามในคออย่างหงุดหงิด ไว้พรุ่งนี้เช้าผมต้องถามหวังเหมิงเสียหน่อยแล้วว่าข้าวเย็นผมเนี่ย ไอ้หมอนั่นมันแอบแกล้งใส่เห็ดพิษอะไรลงไปหรือเปล่า

ว่าแล้วผมก็รู้สึกเหนื่อยไปหมด หนังตาเริ่มหนักอึ้ง รู้ตัวอีกทีก็หลับไปโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือเล็กๆ ร้อนผ่าวข้างนั้น

คืนนั้นผมฝัน...ฝันถึงบางสิ่ง

บางสิ่งที่ผม 'ลืมเลือน' ไปแล้ว


+++

TBC
03/01/2015





วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 03: คู่หู


"Forget - ลืมเลือน-"

03: คู่หู 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย) & 二环 เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋xเซี่ยเหลียนหวน)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


...จูบ? ผมเลิกคิ้ว

แน่นอนว่าคำพูดของอาสามเชื่อถือไม่ได้สิ้นดี ผมเรียกได้ว่าถูกหลอกเป็นประจำ น่าแปลกที่เมื่อคุณถูกหลอกมากๆ เข้า วันหนึ่งคุณจะพบว่าตัวเองสามารถแยกออกอย่างง่ายดายว่าเรื่องใดจริง เรื่องใดเท็จ

อาสามโกหกผม คำโตเลยด้วย

ขณะกำลังครุ่นคิด ผมก็พบว่าเจ้าหนูหลับตาพริ้ม ดูเหมือนจะไปเฝ้าโจวกงเสียแล้ว...ให้ตายเถอะ ไม่รู้ชาติก่อนทำกรรมอะไรกับบรรพบุรุษน้อยคนนี้เอาไว้กันแน่ ถึงได้ต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเช่นนี้ แต่ในตอนที่คิดว่าจะอุ้มเขาไปนอนดีหรือไม่ จู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็ลืมขึ้น

"!" ผมสะดุ้งโหยง แม้หลายปีมานี้จะสั่งสมความสุขุมขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี

เจ้าหนูนั่นตัวสั่นไม่หยุด ดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากอ้าค้าง อารามตกใจทำให้ผมคว้าร่างนั้นเอาไว้ ภายในดวงตาไร้อารมณ์คู่นั้น ชั่วขณะหนึ่งผมมองเห็นอะไรบางอย่างฉาบทาอยู่ แต่เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียว

"..." เจ้าหนูคล้ายพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ปราศจากเสียงเล็ดลอดออกมา ผมตบแก้มเย็นเฉียบของเขาสามสี่ที แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกตัว

เขากระตุกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะค่อยๆ สงบลง ร่างอ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอดของผม

ผมถอนหายใจยาวเหยียด ดูเหมือนผมคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ ความจริงเรื่องนี้มีคนที่รู้ความจริงอยู่แท้ๆ แต่อาสามที่เป็นต้นเรื่องก็ดันมาใช้การไม่ได้เสียอย่างนี้

ทีแรกผมคิดโทรหาพานจื่อ แต่ก็เปลี่ยนใจ พี่พานจื่อเป็นมือขวาของอาสาม ลองเจ้านายไม่พูด ลูกน้องที่แสนจงรักภักดีแบบนั้นก็ไม่มีทางพูด

แบบนั้นก็คงต้องหาผู้ช่วยคนอื่น ผมแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เพราะบนโลกใบนี้มีคนคนหนึ่งที่รู้จักอาสามดียิ่งกว่าใคร

ปกติแล้วคำพูดยามเพ้อเจ้อของอาสามคิดเชื่อถือมากไม่ค่อยได้ แต่ถ้าคนคนนั้นบอกด้วยประโยคแบบเดียวกันว่าเจ้าหนูนี่ต้องเป็น 'เจ้าบ่าว' ของผม อย่างไรเสียผมก็จะต้องแต่งกับเขาให้จงได้ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ก็ตาม

คนผู้นี้เป็นใคร?

ก่อนหน้านี้...น่าจะเมื่อราวๆ ยี่สิบห้าปีก่อน เขาและอาสามแทบจะเรียกได้ว่าเป็นแฝดคนละฝา หากอาสามยามนั้นคล้ายมีดที่ถูกลับจนคบกริบพร้อมฟาดฟันผู้คน เขาคนนั้นก็เหมือนเป็นฝักดาบอันแสนสุขุม สองคนรวมหัวกันเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องคิดมาก แทบร่ำร้องได้เลยว่าไม่มีทางชนะแล้ว

จวบจนห้าปีให้หลังจากนั้น ความเป็นคู่หูไร้เทียมทานของพวกเขาถูกปิดฉากลงด้วยน้ำมือของคนอีกคนหนึ่ง เรื่องราวในคราวนั้นถือเป็นตำนานที่มีสีสันที่สุดของฉางซา แต่คุณพ่อผมแอบเรียกด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า 'วิวาห์เหาะ'

ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้น กดหมายเลขที่จำได้จนขึ้นใจ ครั้นปลายสายส่งเสียง ผมก็ทักทายเล็กน้อยก่อนจะเข้าเรื่อง "อารอง พรุ่งนี้ผมจะไปหา"


xxx


ยี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น?

ตอนนั้นผมอายุราวหกเจ็ดขวบ ถึงเรียกว่ารู้ความแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจโลกมาก ข้อมูลต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ผมรับทราบในภายหลังจากปากของคนรอบตัว จึงไม่แน่ว่าจะเป็นจริง

เรื่องทั้งหมดเริ่มจากบุตรคนหนึ่งของสกุลเซี่ย ชื่อเดิมของเขาผมไม่ทราบ เพียงรู้มาว่าเป็นคนเก่งกาจตั้งแต่เด็ก แก้กลเก้าห่วงได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้ชื่อเหลียนหวนมาในภายหลัง

เซี่ยเหลียนหวนหรืออาเซี่ยคนนี้ของผมเรียกว่าเป็นแฝดคนละแซ่ของอาสามของผมอู๋ซันเสิ่ง เขากับอาสามรวมหัวกันก่อเรื่องราวมากมาย ให้เล่าทั้งวันก็ไม่จบไม่สิ้น

ในช่วงเวลาห้าปีแห่งความรุ่งโรจน์ เนื่องด้วยอาสามของผมเป็นพวกชอบแหกคอก จึงขัดคำสั่งพวกพี่ๆ หลายครั้ง ทว่าส่วนใหญ่จบลงที่ความพ่ายแพ้ ขึ้นชื่อว่าเจ้าความคิด เขายังห่างไกลจากพี่รองของเขา หรืออารองของผม อู๋เอ้อร์ไป๋

จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาขอความร่วมมือกับสหายแซ่เซี่ย วางแผนดัดหลังอารองของผม...ครานั้นสำเร็จงดงาม อาสามถึงกับหัวเราะร่าทั้งวัน ผมตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียว จำได้รางๆ ว่าอาสามซื้อขนมมาแจกมากมาย

และด้วยเหตุการณ์เล็กน้อยเพียงแค่นั้น กลับกลายเป็นชนวนให้เกิดการปะทะกันของสองตระกูลในภายหลัง

รายละเอียดผมไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่จุดเริ่มต้นคือการหายตัวไปอย่างลึกลับของอาเซี่ย งานนั้นบ้านสกุลเซี่ยแทบพลิกฟ้าพลิกดิน...เรียกว่าพลิกทุกตารางนิ้วของฉางซาเพื่อตามหาคนหายตัวไป จนตอนหลังอารองของผมออกมาประกาศว่าเขาเองที่เป็นคนลักพาตัว

แน่นอนว่าทุกคนไม่มีใครกล้าถามว่า 'ทำไม' ด้วยเข้าใจกันว่าเด็กบ้านเซี่ยคนนี้หักหน้าคุณชายรองเจ้าความคิดแห่งสกุลอู๋อย่างเขามาหลายครั้ง บางทีนี่อาจเป็นการแก้แค้น แต่ลึกๆ ลงไปกว่านั้น พวกเขามีอีกความคิดหนึ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกจากปาก

คลับคล้ายคลับคลาว่าคราวนั้นคุณพ่อทะเลาะกับอารองรุนแรงมาก พ่อผมที่ปกติไม่สู้คนกลับขึ้นเสียงดัง ด่าอารองเป็นชุด ส่วนอาสามทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกผิดจากปกติวิสัย จนสุดท้ายคุณปู่ผมต้องออกโรงไกล่เกลี่ย เรื่องจึงหยุดลงแค่นั้น

คนรู้ความจริงในตอนนี้บางทีคนมีเพียงคุณปู่และคุณปู่เซี่ยเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ลงโลงไปแล้วทั้งคู่ คงไม่อาจกลับมาเล่าอะไรให้ผมฟังได้

ที่ผมรู้มีแค่ สองตระกูลตกลงยุติปัญหาด้วยการดวลหมาก เถ้าแก่เก้าแห่งตระกูลเซี่ยถือเป็นปรมาจารย์ด้านการเดินหมาก อารองผมแต่เล็กแต่น้อยก็ขึ้นชื่อด้านสติปัญญามาตลอด เพียงแต่อาสามแอบนินทาว่าฝีมือพี่ชายรองของเขายามนั้นยังฝีมือไม่เข้าขั้นพอจะเทียบชั้นเถ้าแก่เซี่ยได้

ถึงกระนั้น ไม่ดวลก็ไม่ได้

คราวนั้นเป็นการดวลหมากครั้งใหญ่ที่สุดในฉางซา คนมามุงดูกันมากมาย ว่ากันว่าแทบจะเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดของบรรดาผู้มีอำนาจ เกมกระดานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องขบขัน แต่เป็นเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของสองตระกูลใหญ่

ผมในตอนนั้นนั่งเล่นกับเพื่อนในวัยเด็กซึ่งเป็นคนจากสกุลเซี่ยเช่นกัน หารับรู้ความกดดันของพวกผู้ใหญ่ไม่

ผลลัพธ์สุดท้ายจบอย่างไรผมก็ไม่รู้ ถามใครก็ไม่มีใครยอมตอบ ขนาดเค้นอาสามที่น่าจะอยู่ในเหตุการณ์ แถมยังเป็นคนบอกผมเองว่าฝีมืออารองยังไม่เข้าขั้น เขาก็ยังได้แต่กลอกตาไปมาก่อนส่ายหัวดิก

ผมเคยพาเขาไปพยายามมอมเหล้าหาความจริง ที่อาสามยอมหลุดออกมามีแค่ "เหล่าเอ้อร์ทุ่มสุดตัว หมากตานั้นของเขาร้ายกาจ ร้ายกาจ... ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุกแล้ว ถึงอยากเสกกลับไปเป็นข้าวสารก็ทำไม่ได้แล้ว"

...ฟังแล้วก็ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยสักนิด

สรุปแล้วที่ผมรู้แน่ชัดก็มีเพียงบ้านอู๋ของเราก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ส่วนคุณพ่อผมก็ได้แต่ซับน้ำตาร้อง 'นี่มันวิวาห์เหาะ' ของแกไปเรื่อย

...จนแล้วจนรอด เหตุผลที่แท้จริงของเรื่องนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าเสี่ยงตายไปถามอารองอยู่ดี



+++

TBC
01/01/2015