วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] White Trace & Red Sign

 

"White Trace & Red Sign" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)



**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 ** 




- White Trace -



การที่คนเราเขียนบันทึกขึ้นมาสักบท ควรมีจุดประสงค์เช่นไร สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่บันทึกของผม คือเพื่อนผู้เงียบงัน เพื่อนผู้รับฟังและเป็นพยานให้กับทุกสิ่งที่ผมได้ประสบมา เพื่อที่วันหนึ่ง หากผมหลงลืมหรือสูญเสียสิ่งใด อย่างน้อยตัวผมในอดีตก็ยังคงอยู่ในนั้นเสมอ

ดังนั้นแล้ว การเขียนบันทึกของผม จึงควรเป็นไปอย่างซื่อตรงที่สุด ถ่ายทอดและบันทึกทุกสิ่งลงไปโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อตัวผมในอนาคตที่อาจหลงลืมบางอย่าง จนจำเป็นต้องใช้ข้อมูลในบันทึกดังกล่าว

ทว่าเหตุการณ์บางเรื่อง ผมทำได้เพียงแค่จดจำ ไม่อาจเขียนลงบนหน้ากระดาษได้ หรืออย่างน้อย ก็ควรบันทึกลงในที่ที่คนอื่นไม่อาจรู้เห็น

ความลับนั้นคือ ความจริงแล้ว เหตุการณ์บนถ้ำน้ำพุร้อนหนนั้น มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินกว่าที่ผมเขียนบันทึกเอาไว้

ตอนที่ผมถามเขาว่า คนที่ควรไปรออยู่หลังประตูสำริดนั่นสิบปีคือผมงั้นหรือ เมินโหยวผิงพยักหน้า แล้วจ้องผมอย่างเงียบงันเช่นนั้นเป็นนาน ราวกับรอคอยให้ผมพูดบางอย่าง

"ความจริงแล้ว นายมาตามหาฉันถึงร้านในหังโจว ก็เพื่อพาฉันมาที่นี่ แต่เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน?" ผมพูดโพล่งข้อสันนิษฐานเดียวที่พอจะคิดได้ออกมา

เมินโหยวผิงส่ายหน้า ตอบผมว่า "ฉันเคยพูดไว้ หากวันหนึ่งฉันรู้คำตอบที่ตัวเองตามหาแล้ว ฉันจะบอกนาย"

ผมรู้ว่าเมินโหยวผิงไม่โกหกในเรื่องแบบนี้ แต่ขณะนั้นผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าบทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาคงมองสีหน้าผมออก จึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ท่าทางเหมือนอยากพูดว่า 'นึกไว้แล้วเชียวว่านายคงจำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก'

ผมเห็นแบบนั้น จากที่ตกใจอยู่ก็กลายเป็นรู้สึกฉุนนิดๆ ขึ้นมาแทน "แล้วทำไมเพิ่งบอกฉัน นายเห็นฉันเป็นคนไร้น้ำใจขนาดนั้นเลยหรือ"

"นายเป็นความเกี่ยวโยงเดียวของฉันต่อโลกใบนี้"

"นายเพิ่งพูดที่โหลวว่ายโหลว ฉันไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้น"

"ถ้าไม่มีนายอยู่บนโลกด้านนอกนี้ ชีวิตของฉันก็ไม่ต่างจากภาพลวงตา ไร้ความหมาย ได้แต่นั่งคอยนายที่หน้าประตูอยู่ดี ดังนั้นฉันควรเข้าไปเสียเอง"

"..." ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนระเบิดซีโฟร์ซัดสมองจนกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าควรคิดอะไร ทุกซอกมุมในหัวล้วนว่างเปล่าปราศจากคำพูด ดังนั้นแล้ว เหตุการณ์ต่อมาจึงถูกจดจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ถูกความคิดอื่นใดของผมรบกวน

เมินโหยวผิงเอื้อมมือข้างนั้นของเขาออกมา ใช้ปลายนิ้วทั้งสองลากไล้ไปตามโครงหน้าของผม ทำสายตาเคร่งเครียดจริงจัง แบบเดียวกับตอนเขาสำรวจผนังสุสาน

"อู๋เสีย สิบปีข้างหน้า จะมีสักวันที่ในหัวฉันลืมเรื่องของนาย ฉันไม่อยากทิ้งนายไว้ข้างใน เอาแต่วิ่งหาความทรงจำของตัวเอง ค้นหาความเกี่ยวโยงต่อโลก แล้วสุดท้ายพบว่าตัวฉันเองเป็นคนลืมมันไว้หลังประตูบานนั้น มันอาจสายเกินไป"

น้ำเสียงของเขาราบเรียบธรรมดาเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทว่าเนื้อหาของมัน สั่นคลอนได้แม้แต่จุดที่หยาบกระด้างที่สุดในหัวใจผม ไอ้คนที่วันๆ เอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ในหัว พอพูดออกมาแต่ละทีกลับสร้างความเสียหายต่อจิตใจของผู้อื่นได้ขนาดนี้เชียว

"บะ...บัดซบ นี่นายหมายความว่าที่นัดให้มารับอีกสิบปีข้างหน้า นายจะโผล่ออกมาทักฉันคำแรกว่า 'นายเป็นใคร' อีกแล้วงั้นเรอะ!? เห็นหัวใจสุดแสนละเอียดอ่อนบอบบางของฉันเป็นอะไร มันไม่ได้โบกปูนหุ้มเหล็กไว้นะโว้ย!"

อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ถึงจุดประสงค์จะใกล้เคียงกัน แต่ความหมายอ้อมโลกไปไกลมาก! ที่น่าโมโหคือ เมินโหยวผิงดันพูดตอบมาว่า ถ้าผมรับไม่ได้ก็ให้ลืมเขาไปเสีย พ้นรอบเวลาของผมแล้ว ต่างคนต่างลืม ไม่ถือว่าติดค้างกัน

ตอนได้ยินเขาพูดว่าจะลืมผม ก็ว่าน่าโมโหแล้ว แต่พอเมินโหยวผิงพูดว่าให้ผมลืมเขา ต่างคนต่างหันหลังเดินจากไป นั่นทำให้ผมโมโหปรี๊ดยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับนายอ้วนในกับดักเต่าแม่เหล็กเสียอีก ไม่แน่ว่าบางทีถ้ำแห่งนี้ก็อาจมีกับดักแบบเดียวกันอยู่ ทว่าตอนนั้นผมอารมณ์ขึ้นจนขาดสติแล้ว ไม่สามารถคุมอาการตัวเองไว้ได้ จึงเผลอลงไม้ลงมือกับเขาไปยกหนึ่ง

"พอเถอะ นายไม่อยากทำแบบนี้จริงๆ หรอก" น้ำเสียงเขาเจือความจนใจอยู่หลายส่วน ตรงข้ามกับผมที่พูดไปหอบหายใจไปด้วย กลับบ้านงวดนี้คงต้องจัดตารางออกกำลังกายแล้วจริงๆ

"คนที่คิดจะลืมน่ะหุบปากไปเลย นายอยากลืมฉันก็ต้องถามฉันก่อนว่าจะปล่อยให้นายลืมมั้ย!" ผมกระชากคอเสื้อเมินโหยวผิง กำไว้แน่น ทางเขาคงสงสารผมอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย จึงยังไม่หักนิ้วมือผมทิ้งแล้วสะบัดตัวหลุดหนีไป ยอมให้ผมกระทำย่ำยีร่างกายเขาต่อ

"อู๋เสีย"

"อะไรอีก!"

"ถ้านายจูบไม่เป็น ก็ปล่อยให้ฉันทำแทน"

"นายว่าใค---------!!!"

ผมมีสิทธิ์พูดได้ถึงแค่นั้น เพราะลิ้นโดนตวัดพัวพันไม่หยุด ปลายจรดโคนถูกรัดพันคลุกเคล้าแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จั๊กจี้เพดานปากเป็นบ้า ไอ้หมอนี่แม่ง... ผมถึงกับเกือบหลุดถามออกไปเลยว่าสกุลจางบังคับฝึกวิทยายุทธ์ให้ลิ้นด้วยหรือ รู้สึกดีใจที่ลิ้นคนเราไม่ได้ยาวมาก ไม่งั้นภาพผู้ชายสองคนยืนจูบกันจนลิ้นพันเป็นปมคงเป็นเหตุการณ์น่าอายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในถ้ำแห่งนี้

เหตุการณ์ต่อจากนั้น ผมไม่มีสติไปจำสักเท่าไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีก็กำลังนอนเปลือยอยู่บนพื้น ใช้อวัยวะบางส่วนแถวสะโพกบดเบียดกันอย่างเมามันมาก ชิบหายที่สุด มือผู้หญิงผมยังไม่เคยจับเลยแท้ๆ แล้วนี่กูมานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้กับผู้ชายอีกคนวะเนี่ย! ทว่าความคิดดังกล่าวก็จบอยู่แค่ในสมองเท่านั้น ร่างกายผมแม่งแยกประเทศออกไปปกครองตนเองเรียบร้อยแล้ว ก่อกบฏอย่างจริงจังมาก

"ไม่ได้ผลหรอก ฉันจะลืมนาย"

"ช่างแม่ง ให้ร่างกายนายจำได้ก็โอเค"

เมื่อย้อนคิดถึงบทสนทนานี้ในภายหลัง ผมรู้สึกว่าน่าอายมาก คนเราเวลาขาดสติสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงว่าทำไมตามหน้าหนังสือพิมพ์จึงได้มีข่าวแปลกๆ ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้น สองนิ้วมือที่แคล่วคล่องของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นที่อุ่นร้อนเป็นพิเศษ สัมผัสแปลกปลอมทำให้ผมเผลอบีบรัดเกร็ง ตลอดเวลาระหว่างนั้น เขาพูดปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติหลายหน่วย ผมแอบดีใจนิดหน่อยที่ก่อนจากกันยังมีบุญได้สัมผัสอารมณ์ด้านนี้ของเขาด้วย ถึงกับเผลออมยิ้มออกมา พอเขาเห็นเข้าก็ทำสีหน้าประหลาด แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้มบางๆ กลับมาเช่นกัน

เมินโหยวผิงสัมผัสใบหน้าผมอีกครั้ง ราวกับจะให้นิ้วมือแสนสำคัญของเขาจดจำใบหน้าผมแทนดวงตาให้ได้จริงๆ "นายอาจเสียใจในตอนหลัง" ...ถ้าคิดจะพูดแบบนี้ก็อย่าดันไอ้นั่นเข้ามาด้วยสิวะ!

"หลายปีนี้ฉันเจอเรื่องเสียใจเยอะแล้ว เพิ่มมาอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป" ที่สำคัญคือถอยหลังกลับไม่ทันแล้วโว้ย!

"อู๋เสีย"

"ถ้านายยังไม่หยุดพูดแล้วรีบทำให้จบ ฉันจะเริ่มเสียใจให้ดูตอนนี้เลย"

"อย่าลืมฉัน" เขากระซิบคำพูดสุดท้ายผ่านริมฝีปากผม หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีบทสนทนาใดอีก เหลือแค่การเสียดสีกายและเสียงหอบหายใจของคนสองคน

หนึ่งคำร่ำลาสำหรับสิบปี

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อผมรู้สึกตัวตื่น เมินโหยวผิงก็จากไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับความฝันไม่ก็ภาพลวงตาของถ้ำหินโบราณ สิ่งที่ยืนยันว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงลัญจกรที่เขาทิ้งไว้ และคราบเปื้อนสีขาวขุ่นบนลำตัวผมเท่านั้น

ไอ้ห่านี่แม่งทำผมเปื้อนแล้วยังไม่มีน้ำใจช่วยเช็ดตัวให้ผมสักหน่อยเลย! บ่อน้ำก็อยู่ห่างไปนิดเดียวแท้ๆ นายไม่มีเวลาแล้วถึงขนาดนั้นเลยหรือ!






- Red Sign -




สถานที่ลึกลับแห่งนั้น ล้อมรอบด้วยผนังหินที่ถูกแต่งแต้มจากฝีมือมนุษย์ ภาพสีบนผนังหลุดร่อนไปมากเพราะความชื้นจากไอน้ำของบ่อน้ำพุร้อน ทั้งยังก่อกำเนิดหมอกควันเบาบาง สร้างบรรยากาศราวภาพฝันให้แก่มนุษย์ทั้งสองร่างที่กอดก่ายกันอยู่บนพื้น

จางฉี่หลิงออกแรงขยับเป็นจังหวะเนิบช้า จงใจเสียดสีแก่นกายตนให้บดเบียดซ้ำๆ ลงบนจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย เสียงสะอื้นฮึกดังแผ่วมาจากร่างในอ้อมกอด

หากการอุทิศตนของเขาสามารถแลกความปรารถนาได้สักข้อ จ่างฉี่หลิงก็อยากให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป ไม่มีที่สิ้นสุด

"เ...ส...เ...กอ..."

เสียงเอื้อนครางกระท่อนกระแท่นดังขาดช่วงตามจังหวะขยับร่างกายท่อนล่าง คนคนนี้ไม่ค่อยเรียกชื่อเขาบ่อยนัก การจะได้ฟังแต่ละครั้ง ไม่ง่ายเลย

เขาอดไม่ได้ ต้องไล้นิ้วมือไปตามโครงหน้าและร่างกายของคนในอ้อมกอด นิ้วมือของเขาถูกฝึกมาเป็นพิเศษ พวกมันไวสัมผัสนัก สามารถรับรู้ได้ถึงกลไกทุกประเภทเบื้องหลังกำแพงกระเบื้องหรือผนังอิฐ แต่ไม่ว่าจะกด บีบ คลึงเคล้าสัมผัสไปมากแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกเข้าถึงข้างในคนคนนี้ไม่มากพอเสียที

บางทีนี่ก็อาจเป็นกับดักประเภทหนึ่ง กับดักที่ร้ายกาจที่สุด

"ฮะ...ฮึก..."

เขารู้สึกถึงแรงตอดรัดจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงครางและแรงกระตุกที่ฉีดความอุ่นร้อนออกมาเปรอะหน้าท้องเขา ตอนนี้ช่องทางที่เชื่อมต่อกันเต็มไปด้วยความชื้นแฉะ พอขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถสักทีก็ทำให้บางส่วนไหลเยิ้มออกมาจนถึงต้นขาเขา

จางฉี่หลิงมองใบหน้าอีกฝ่าย ดูเหมือนคนคนนี้จะใช้แรงกายเยอะจนเหนื่อยมากแล้ว ผิวแก้มขาวเนียนแบบคนไม่ค่อยออกแดดกลายเป็นสีอมเลือดฝาด แดงไปหมดหัวจรดเท้าทั้งที่ยังไม่ได้ลงไปแช่น้ำพุร้อนสักนิด

เขาเรียกชื่อคนตรงหน้า อีกฝ่ายเอาแต่นอนหอบหายใจ ตาหรี่ปรือคล้ายเข้าสู่โลกความฝันไปแล้วครึ่งตัว ไม่แม้แต่จะกระพริบตารับรู้ แต่พอเขาลูบไล้กลีบปากแดงช้ำนั่นแล้วสอดนิ้วเข้าไป เจ้าตัวก็ไล้เลียตอบรับอย่างดี ราวกับเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องที่ผ่านการฝึกมาแล้ว

เขาปรารถนาเหลือเกิน ให้ทุกสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป

น่าเสียดาย...เขาไม่มีเวลาแล้ว

น่าเสียดาย...คนคนนี้ไม่ค่อยพูดชื่อของเขา

น่าเสียดาย...อู๋เสียไม่เคยเอะใจว่าฉี่หลิงในชื่อนี้ มีอีกความหมายหนึ่งคือการปลุกดวงวิญญาณ

น่าเสียดาย...ที่ในหนึ่งปี ประตูผีจะถูกเปิดออกเพียงหนเดียว





...เพื่อให้เขากลับเข้าไป...






+++

END
23/06/2015 



#dmbjdaily 59 days left : Left
#dmbjdaily 58 days left : Right




Talk Time:

ก็ว่าจะลองแต่งฟิควิชาการแบบ 20+ ดูมั่งอะค่ะ แต่เหมือนจะยังได้แค่ 18+ เอง 55555555555 ฮึ่มมม เดี๋ยวไปลองใหม่←

เป็นซีนที่คิดไว้นานแล้วว่าอยากแต่งตั้งกะตอนรวมเล่ม แต่ตอนนั้นบิ๊วอารมณ์ (หื่น) ไม่ถึงจริงๆ ฮือ ไอ้ครึ่งแรก (White Trace) ก็พยายามจะ 18+ แต่โดนอู๋เสียตบมุกทุกบรรทัดเลย 5555555... ก็เลยกลายเป็นบทแถมในครึ่งหลัง (Red Sign) อย่างที่เห็นน่ะค่ะ *กระแอม*

มัน Left กะ Right ยังไง ต้องลองใช้จินตนากาวค่ะ /โดนตี

ส่วนที่ว่าประตูผีอะไรนั่น เป็นกึ่งๆ กาวปนวิชาการค่ะ ส่วนไหนกาว ส่วนไหนวิชาการ... ไม่บอก แอร๊ /โดนตีอีกรอบ ด้วงๆ สายวิชาการน่าจะขุดรู้กันได้ง่ายๆ ฮา แต่คิดว่าน่าจะเป็นเนต้าใกล้ๆ ฟิคผิงเบี----แค่ก น่ะค่ะ *ไอหนักมาก*


ด้วง L. โหมดแจกพอร์น

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Stay

 

"Stay" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย



**(a little bit) Spoiler Warning**




ข้างนอกเกิดฝนฟ้าคะนองหนัก ฟ้าร้องสลับฟ้าแลบ เสียงหยดน้ำสาดซัดดังปะปนกันต่อเนื่องตลอดคืน

ยิ่งตกดึก พายุยิ่งกราดเกรี้ยว ทั่วผืนฟ้ายิ่งแผดเสียงหนักอย่างไม่มีทีท่าจะราลง อากุ้ยบอกว่าหน้าฝนที่ปาหน่ายฝนตกชุก ตกครั้งหนึ่งตกหนักและยาวนาน และหลังจากฝนตกครั้งใหญ่ไม่กี่วัน มักจะมีฝนฟ้าคะนองตามมาอีกระลอกให้คอยระวังไว้

ตลอดการพักค้างแรมที่ปาหน่ายในเรือนไม้รับแขกของอากุ้ย อู๋เสียเลือกนอนที่นอนริมนอกสุดใกล้หน้าต่างตลอดมา เพราะเป็นจุดที่อากาศถ่ายเทดีที่สุด คุณชายอย่างเขาไม่ค่อยทนต่ออากาศร้อนชื้นในป่าเขาแบบนี้ นอนไปสักพักก็บ่นร้อน ขยับตัวยุกยิกไปเรื่อย นายอ้วนจึงตัดปัญหาด้วยการตามใจมิตรสหายท่านนี้ ทั้งยังสนับสนุนด้วยการถีบให้เขาไปนอนริมหน้าต่างไกลๆ ฟูกที่เหลือของเพื่อนด้วย

อาจะเป็นเพราะอู๋เสียไม่คุ้นกับที่นอนในชนบท พออากาศแปรปรวนจึงนอนกระสับกระส่ายมากเป็นพิเศษ หนักเข้าก็นอนดิ้นไม่รู้ตัว ย้ายตัวเองไปนอนที่ระเบียง จวนเจียนจะกลิ้งตกเรือนใต้ถุนสูงได้หากไม่มีประตูไม้ซี่โปร่งกั้นเอาไว้

นอนไม่เป็นท่าอยู่เช่นนั้น กว่าจะรู้ตัวก็ค่อนคืน ตอนที่ห่าฝนถล่มลงมาจากฟากฟ้า ละอองน้ำโปรยปรายจากหลังคาพัดเข้ามาในเรือนไม้ ฟ้าผ่าลั่นเปรี้ยง ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก กระเด้งตัวจากท่านอนไม่เป็นท่าในพรวดเดียว

พอสะดุ้งตื่นแล้วก็บ่นเสียงดัง "เชี่ย! ฝนตกฟ้าร้อง บ้านทั้งหลังแม่งร้องแอดๆ ยังกับจะพังลงมาอยู่รอมร่อ พวกนายนอนหลับลงไปได้ยังไงกัน!"

บ่นเสร็จแล้วก็หอบหมอนผ้าห่มที่กระจัดกระจายของตัวเองกลับมายืนตรงหน้าที่นอนของเพื่อนทั้งสอง

ในตอนนั้นเอง อู๋เสียถึงเพิ่งเห็นว่ามีคนคนหนึ่งไม่ได้นอนหลับอยู่

"อ้าว ฉันทำให้นายตื่นเหรอ" ชายหนุ่มถาม พลางขยี้ตามองคู่สนทนาในความมืดอย่างง่วงงุน

เพราะข้างนอกมีฟ้าแลบแปลบปลาบแทบจะตลอดเวลา ต่างคนต่างมองเห็นกันไม่ยาก อีกฝ่ายส่ายหน้า ไม่พูดไม่จาดังเช่นปกติ อู๋เสียพยักหน้ารับรู้อย่างไม่ถือสาอะไร เกาหลังคอสองสามทีก่อนจะยกเท้าเขี่ยนายอ้วนที่นอนหลับเป็นตายแล้วสั่งให้หลบ

"เฮ้ย ไอ้อ้วน ขยับไป เชี่ยนี่แม่งถีบกูแน่ๆ" น้ำเสียงของคุณชายน้อยวางอำนาจเอาแต่ใจ คล้ายหงุดหงิดที่ตื่นขึ้นมากลางคันผสมกับความอยากนอน จึงไม่มีอารมณ์มาเกรงใจกันนัก

นายอ้วนกรนยังคงกรนไม่รู้เรื่องรู้ราว เสียงดังพอแข่งกับฟ้าคำรามข้างนอกได้อย่างสูสี

อู๋เสียเห็นนายอ้วนไม่ได้ยินและไม่มีทีท่าว่าจะขยับ จึงถือวิสาสะถีบร่างอ้วนนั้นเต็มเท้า ใช้แรงผลักร่างใหญ่โตให้ขยับแหวกออก สร้างพื้นที่ตรงกลางระหว่างนายอ้วนกับอีกคนที่ยังไม่หลับอย่างลำบากยากเย็น

เห็นนายอ้วนไม่ยอมขยับ อีกคนที่ยังไม่หลับจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะยกพื้นที่ของตนให้แทน แต่อู๋เสียกลับคว้าแขนเขาไว้ พูดว่า "เสี่ยวเกอ นายห้ามไป นอนตรงนี้แหละ ฉันจะนอนตรงกลาง"

ชายผู้เงียบงันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ สักพักจึงพยักหน้า แล้วเอนตัวลงนอนหันหลังให้ผู้มาใหม่

พอทุกอย่างเป็นดั่งใจแล้ว คุณชายน้อยก็จัดแจงเอาหมอนวาง เอาผ้าห่มปู ยึดพื้นที่แคบๆ ตรงกลางระหว่างคนสองคนเป็นที่ของตัวเอง

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนตรงกลาง

บรรยากาศในห้องนอนของคนสามคนเงียบสงัด ก่อนที่ฟ้าข้างนอกจะผ่าโครมใหญ่ ต่อด้วยเสียงโครมครืนถี่รัวดังเข้ามาถึงในห้อง ดูท่าพายุฝนฟ้าคะนองคืนนี้จะไม่สงบลงง่ายๆ

คุณชายสกุลอู๋เอาผ้าห่มคลุมหัวมุดโปงนอนอย่างไม่รู้ไม่ชี้

"นายเองก็รีบนอนได้แล้วเสี่ยวเกอ เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวต้องขึ้นเขาไปตรวจสอบทะเลสาบตรงนั้นอีกที ยังไม่รู้จะเจออะไร นอนเอาแรงตอนที่นอนได้ไว้เถอะ" ชายหนุ่มพูดอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม

อีกคนพยักหน้า ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เห็นคำตอบของเขา

บัดนี้คนที่นอนข้างๆ เขาคืออู๋เสีย ถัดออกไปอีกเป็นนายอ้วนที่นอนกรนสั่นฟ้าสะเทือนดิน

เสียงโครมครามยังคงคำรามถี่รัว ฟ้าฝนคล้ายมีจังหวะของตัวเอง

อู๋เสียบ่นว่าพวกเขานอนหลับลงได้อย่างไรในสภาพอากาศเช่นนี้

เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าจะหลับลงได้อย่างไร เมื่ออยู่ๆ "คนพิเศษ" ก็มานอนอยู่ใกล้ๆ

ฟ้าฝนคล้ายมีจังหวะของตัวเอง ยากที่จะควบคุมจริงๆ


+++

END
12/06/2015



#dmbjdaily 68 days left : Special



Talk Time:

เอาเวลาที่ควรปั่นของลงงานโอนลี่มาเขียน #DMBJdaily อ่ะ *เขิง*

มิใช่ สเตย์รัดหน้าท้อง มิใช่สเตย์ไนท์ แต่มันคือสเตย์ที่แปลว่าพักอาศัย หรือคงอยู่ ค่ะ จริงๆ อยากใช้ชื่ออื่น แต่เดี๋ยวมันจะสปอยล์ อุวะฮะฮ่า

ความคิดเบื้องหลังยังมีอีกเยอะ แต่เหมือนจะสื่อได้ไม่หมดเท่าที่คิด ฮือ ไม่เป็นไร เก็บกลับไปรียูสเรื่องหน้า *แค่กค่อก*

ด้วยรัก จากด้วง M.

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 11: ราวกับเรื่องโกหก



 "011. ราวกับเรื่องโกหก"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



เช้าวันต่อมา อู๋เสียตื่นขึ้นอย่างเข้าใจลึกซึ้งถึงความหมายของคำกล่าว 'ยิ่งสบายกายยิ่งไม่สบายใจ'

เหตุการณ์มีอยู่ว่า เพราะทั้งสองจำเป็นต้องนอนร่วมห้องกัน หากผู้ชายตัวโตเช่นเขาปล่อยให้เด็กผู้หญิงนอนบนพื้นก็ออกจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย แต่จะให้เสียสละตัวเองไปนอนพื้นก็ไม่ได้ ร่างกายแสนอ่อนแอของเขามีหวังจับไข้ป่วยตายในไม่กี่วันแน่นอน

ดังนั้นอู๋เสียจึงทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ สะกดจิตตัวเองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน แถมยังเป็นแค่เด็กผู้หญิง นอนร่วมเตียงกันไปก็ไม่เกิดปัญหาอะไร ยังไม่นับว่าอีกหน่อยก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วด้วย (...ถ้านางยอม!)

อู๋เสียเผลอหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัว พอไม่มีสติคอยคุม ร่างกายก็เริ่มกระทำการอุกอาจ กอดก่ายมือเท้าบุคคลร่วมเตียงประหนึ่งหมอนข้าง หลับสบายแบบที่ไม่เคยมานาน ตื่นอย่างกระปรี้กระเปร่า สดชื่นแจ่มใส ...จนกระทั่งเห็นว่าตนนอนกอดอะไรอยู่

เสี่ยวผิงที่ตื่นก่อนกำลังมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่เช้า คุณชายน้อยปล่อยร่างในอ้อมกอดด้วยความกระอักกระอ่วน เอ่ยคำขอโทษ แต่เสี่ยวผิงก็ยังคงเป็นเสี่ยวผิงผู้เงียบงัน นางแค่เอียงคอมองเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

หมายความว่า ‘ไม่เป็นไร’ กระมัง เขาได้แต่เดา

พวกสาวใช้ได้ยินเสียงเจ้านายตื่นแล้ว จึงเข้ามาจัดการเก็บอ่างอาบน้ำเย็นชืด และนำกะละมังน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้ามาสับเปลี่ยนกับอันเก่า เมื่อคืนก่อนจะนอน เขาจัดการปล่อยม่านให้ตกลงมาปิดบังรอบเตียงไว้ พวกนางจึงยังไม่เห็นแขกตัวน้อย

รอจนรอบเรือนไม่เหลือใครแล้ว อู๋เสียถึงค่อยรวบม่านเก็บแล้วอุ้มเสี่ยวผิงไปล้างหน้าบ้วนปากด้วยกัน ระหว่างเช็ดหน้าให้เสี่ยวผิงผู้ยังไม่ชินกับการใช้มือเท้ามนุษย์ อู๋เสียก็รู้สึกแปลกพิกล เมื่อคืนเพิ่งคิดว่านางเป็นน้องสาว บัดนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นบิดาแทน เช่นนี้แล้วไม่ใช่เช้าถัดไปเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นบรรพบุรุษนางหรอกนะ

อู๋เสียอยากรีบไปถามความจากท่านปู่เต็มทน เขายืนจ้องเสี่ยวผิง พักหนึ่งก็ตัดสินใจอุ้มนางไปห้องโถงของเรือนหลัก ป่านนี้ทุกคนคงเริ่มมื้อเช้าไปได้ครึ่งทางแล้ว ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องถามสืบย้อนไปมา เพราะฟังจากที่นางเล่า ทุกคนในครอบครัวล้วนรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น เว้นเพียงเจ้าตัวแกนกลางของเรื่อง ซึ่งก็คือเขาผู้เดียว

ตลอดทางที่เดิน เขารู้สึกได้ถึงสายตาสงสัยของบ่าวไพร่ ทว่าแต่ไหนแต่ไร คุณชายน้อยก็ไม่ใช่คนชอบพูดจาเล่นหัวกับบ่าวในเรือน ทุกคนจึงได้แต่แสดงสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่มีใครขวัญกล้าพอจะกระโดดขวางทางแล้วเขย่าคอเสื้อถามความเป็นมา

“คุณชาย คราวนี้ของที่ท่านเก็บกลับบ้าน ดูแล้วมีวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดเลยนะขอรับ” ...ยกเว้นบ่าวคนสนิทปากไร้กาละเทศะผู้หนึ่ง

“หุบปาก หวังเหมิง ตอนนี้ทุกคนอยู่ในห้องโถงเล็กใช่มั้ย”

“...”

“ข้าหมายถึงหุบปากในเรื่องที่เจ้าพูดประโยคแรก แต่ยังควรอ้าปากตอบคำถามที่ข้าถาม!”

“อ้าว...อะแฮ่ม ตอนเดินผ่านครั้งแรก ข้าเห็นแค่คุณชายรองขอรับ แต่ตอนนี้ท่านคงต้องเสี่ยงเดินไปดูเอง อาจจะมีคนเพิ่มหรือลดลง ข้าก็ยืนยันไม่ได้”

อู๋เสียหันไปมองหนึ่งที ในสายตานั้นยังแฝงถ้อยคำลึกซึ้งไว้ ‘ขืนเจ้าพูดจายั่วโมโหข้าอีกคำ ข้าจะส่งเจ้าไปโกยขี้หมาในเรือนเพาะเลี้ยง’ หวังเหมิงผู้เคยโดนลงโทษมาแล้วหลายรอบจึงรูดซิปปากสนิททันที

หนุ่มน้อยผู้นี้ เป็นมนุษย์คนแรกที่อู๋เสียเก็บกลับมาเลี้ยง เพราะโตมาด้วยกันนับสิบปี จึงไม่ค่อยมีความยำเกรงให้ผู้เป็นนายมากเท่าบ่าวคนอื่น หากนับแค่เรื่องความจงรักภักดีอย่างเดียว อู๋เสียสามารถเชื่อใจบ่าวผู้นี้ได้ทุกอย่าง แต่หากนับเรื่องอื่นด้วย...เขาก็รู้สึกเสียดายค่าข้าวอยู่บ้างเล็กน้อย

พอได้ยินว่ามีแค่อาคนรอง อู๋เสียก็เกิดอาการลังเล ท่านอารองมิใช่คนขี้โมโหแบบท่านอาสาม แต่กลับให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่ากันหลายเท่า ตอนนี้ท่านปู่วางมือแล้ว เรื่องสำคัญในบ้านล้วนให้ท่านอารองจัดการ ปัญหาการแต่งงานและการสืบเชื้อสายทายาทสกุลอู๋ ก็คงนับว่าอยู่ในขอบข่ายหน้าที่ของท่านอารองด้วยกระมัง

ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องคุยเรื่องนี้ ไม่สู้กลั้นใจยอมตายในดาบเดียว จังหวะเท้าที่เคยลังเลจึงเปลี่ยนกลับไปมั่นคงเหมือนเดิม

โถงเล็กมักเปิดประตูทิ้งไว้ตลอดวัน อู๋เสียก้าวเข้าไป เจอบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งนั่งกินข้าวเช้าเพียงลำพัง ตำแหน่งใกล้ๆ บนโต๊ะยังเหลือข้าวเปล่าสองถ้วย กับข้าวห้าอย่าง อู๋เสียรู้สึกเหมือนโดนกดดัน รู้ตัวทันทีว่าอารองของตนเตรียมห้องโถงว่างนี้เพื่อคุยกับเขาโดยเฉพาะ ทั้งยังรู้ว่าเช้านี้มีแขกเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ท่าทางชะตากรรมเขาคงยากจะเปลี่ยนแปลงแล้ว

“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง” อยู่ๆ อู๋เอ้อร์ไป๋ก็พูดโพล่งขึ้นมา ไม่มีหัวไม่มีท้าย

อู๋เสียลอบขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าคำถามนี้สำหรับตนหรือเด็กน้อยที่ตนอุ้ม สุดท้ายตัดสินใจไม่ถูก เลือกตอบไปแบบกลางๆ “นอนหลับสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” เขาตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ให้เด็กน้อยนั่งข้างตน แล้วดึงเก้าอี้มานั่งเองอีกตัว เป็นตำแหน่งที่ชามข้าววางไว้ ซึ่งคือตรงข้ามอู๋เอ้อร์ไป๋

ผู้เป็นอาใช้สายตาคมกริบจ้องหลานชายตน หันไปมองเด็กน้อยด้านข้างเพียงชั่วครู่ ก่อนย้ายสายตากลับไปที่อู๋เสียเช่นเดิม “หลานคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าคนฟังกลับหนาวยะเยือก

ประโยคนี้ โดยตัวมันเองนั้นเรียบง่าย ทว่าความหมายแฝงลึกซึ้งเหลือคณา ประโยคเดียวจากอารองของตน ทำให้อู๋เสียตระหนักรู้ได้หลายอย่าง อารองผู้นี้คิดอะไรซับซ้อน แผนการลึกสุดหยั่ง คนเช่นนี้ไม่ถามเขาว่ารู้อะไรมาบ้าง แต่กลับชิงบอกว่าเขาคงรู้เรื่องหมดแล้ว หมายความว่าอู๋เอ้อร์ไป๋เชื่อถือในตัวเด็กน้อยจำแลงผู้นี้มาก

อู๋เสียเห็นอารองของตนมาตั้งแต่เกิด บนโลกใบนี้ หากจะควานหาคนเข้าใจอู๋เอ้อร์ไป๋ได้ก็นับว่ายาก แต่หาคนที่อู๋เอ้อร์ไป๋เชื่อถือและเชื่อใจได้นั้นยากยิ่งกว่า เจ้ากิเลนเสี่ยวผิงนี่ไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว

“ข้ายังอยากได้คำยืนยันจากปากท่านอีกที เมื่อวานข้าสติไม่ค่อยอยู่กับตัว อาจเข้าใจผิดหรือฟังตกหล่นตรงไหนไปก็ได้” อู๋เสียปั้นสีหน้าน่าสงสาร น้ำเสียงอ้อนวอนอารองของตนสุดชีวิต อู๋เสียเป็นหลานชายคนเดียว โตมาท่ามกลางการอุ้มโอ๋ของผู้ใหญ่รอบตัว นี่เป็นความสามารถพิเศษของเขาและเขาก็ไม่ละอายสักนิดถ้าต้องใช้มันเพื่อสิ่งที่ต้องการ

“เดิมทีอาก็ไม่อยากเล่าจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย พวกเราอยากให้หลานโตขึ้นอย่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง”

อู๋เอ้อร์ไป๋ถอนหายใจ ก่อนเริ่มเล่าเรื่องขึ้นจากฝั่งของบ้านสกุลอู๋ เนื้อหาโดยรวมแล้วแทบเหมือนสิ่งที่กิเลนพูดทุกประการ ชนิดคำต่อคำ ประโยคต่อประโยค ราวกับท่องมาจากกระดาษแผ่นเดียวกันไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะอู๋เสียเห็นเจ้ากิเลนกลายร่างเป็นมนุษย์ด้วยตาตนเอง เขาจะต้องนึกว่านี่เป็นเรื่องตลกสำหรับยัดเยียดคู่หมั้นคลุมถุงชนแน่

“ยังไงเจ้าสาวก็ไม่มีทางเปลี่ยนตัว หลานต้องแต่งงานกับเขา”

“...เขา?”

อู๋เสียหันไปมองเด็กน้อยข้างตัวแล้วร้องอ้อในใจ ตอนนี้เสี่ยวผิงอยู่ในชุดสมัยเด็กของเขาเอง รวบผมเป็นหางม้าแล้วเกล้ารัดด้วยห่วงทองอันเล็ก มองยังไงก็เหมือนคุณชายตัวน้อย ทว่าดีที่ตอนนี้คุณหนูบ้านต่างๆ รับความนิยมแปลกๆ มาจากเมืองหลวง มักแต่งกายเป็นชายออกไปขี่ม้านอกเมืองหรือเดินเล่นในตลาด ตลอดทางที่เดินมา บ่าวทุกคนจึงได้แต่สงสัย อยากรู้ไม่อยากถาม กลัวรับความจริงไม่ไหว

หลังฟังจบ รู้ว่าตนไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว อู๋เสียจึงปลงตก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วกินข้าวสลับกับป้อนข้าวให้เด็กน้อยข้างตัว อู๋เอ้อร์ไป๋เริ่มมื้อเช้าก่อนนานแล้ว จึงจบมื้ออาหารส่วนของเขา ก่อนไปยังไม่ลืมกำชับหลานชายคนเดียว พร้อมกับวางเงินก้อนหนึ่งถุงและตั๋วแลกเงินอีกหลายใบ

“ดูแลเขาให้ดี อะไรขาดเหลือก็ซื้อให้เรียบร้อย ห้ามให้เขาโดนน้ำ ห้ามกินอาหารหลังพระอาทิตย์ตก และห้ามให้เขากินเนื้อสัตว์เด็ดขาด” เมื่อเห็นอู๋เสียทำหน้าหวาดผวา หันไปมองคู่หมั้นตนด้วยสีหน้าสะพรึงกลัวเล็กน้อย อู๋เอ้อร์ไป๋จึงกระแอมออกมาเบาๆ พูดออกมาเพียง “...เจ้าเชื่อข้ารึ?” ก่อนเอามือไพล่หลัง เดินออกจากห้องไปโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่ม

อู๋เสียจ้องเสี่ยวผิงที่กำลังทำสีหน้าไร้อารมณ์ใส่เขา ถามนางว่า “เขาล้อเล่นจริงๆใช่มั้ย”

“...เอาที่เจ้าสบายใจ” นางตอบ พลางจับจ้องน่องไก่ตุ๋นน้ำแดงบนโต๊ะด้วยสายตาแปลกประหลาดยิ่ง!





+++

TBC

06/06/2015




Talk Time:

แง จะเดดไลน์แล้วค่ะ ฟิคยังไม่ถึงไหนเลย.. *กัดเล็บกึกๆ มองเลข 15 บนปฏิทิน*

เอาเป็นว่าจะพยายามแต่งให้จบก่อน แล้วค่อยรีไรต์ทีเดียวนะคะ 5555 แง หมดสต๊อกแล้ว

ปล. ทุกคนอย่าลืมไปฟังเพลงเต้ามู่ที่ อฟช จีนปล่อยมา เนื้อเพลงก็มีคุณแป้งแปลเวอร์ชั่นแฮ่กๆ ไว้แล้ว อย่าลืมไปตามหา ส่วนคุณ บ. ก็แปลเวอร์ชั่นแมนๆ เตะบอล ไว้รับหน้าผู้ชายแล้ว แฟนดอมอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก อยากนอนอืดเสพกาวไปวันๆ จังเลย โฮ


ความโรแมนติกในวงการเพาะเชื้อและเห็ดรา
ด้วง L.

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 10: ร่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว


 "010. ร่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



อู๋เสียมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่กล้าหายใจ

'สิ่งนั้น' จมอยู่ใต้กองเส้นขนยาวรุงรัง ใช้น้ำเสียงยะเยือกเรียกชื่อเขาท่ามกลางความมืด ให้ความรู้สึกชวนขวัญผวามาก

เมื่อครู่ไม่รู้เขาเอาปลายไม้เขี่ยไปโดนส่วนไหนของมัน ผิวสัมผัสที่ได้รับผ่านไม้ช่างเหมือนกับตอนจิ้มถุงหนังที่ใส่น้ำจนเต่งไม่มีผิด

...ชวนให้นึกถึงตอนเอาไม้เขี่ยซากสุนัขบวมอืดที่เกยฝั่งทะเลสาบ

ตามหลักเหตุผลแล้ว ตำแหน่งดังกล่าวเคยมีเจ้ากิเลนยืนสะบัดขนอยู่ ดังนั้นวัตถุสีขาวซีดที่เห็นก็ควรเป็นกิเลนตัวนั้นหลังแปลงร่างสำเร็จแล้ว แต่บนใบหน้าอู๋เสียขณะนี้ กลับแสดงออกชัดเจนถึงความคิดประมาณว่า '...ถ้ามีแต่ร่างน่ากลัวประเภทนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย แค่คำว่ามิตรภาพธรรมดาข้าก็ยังไม่อยากมอบให้'

คุณชายน้อยยืนนิ่ง ไม่กล้าก้าวเข้าหาแต่ก็ไม่กล้าถอยหนีไปที่อื่น เป็นช่วงเวลาเงียบงันที่ชวนกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย จนกระทั่งมันร้องเรียกเขาอีกรอบ อู๋เสียจึงรู้สึกว่าตนควรทำอะไรสักอย่าง

หายใจไม่คล่องคอ ร่างกายหนักอึ้ง แรงกดดันนี้ไม่ใช่จากมโนธรรมในใจ แต่เป็นความคาใจที่มีต่อสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ข้างใต้

เขารวบรวมสติ ฝืนใจเอาปลายไม้เขี่ยกองเส้นสีดำให้หลบออกไปข้างๆ หวังให้มันดูน่าขยะแขยงน้อยลง คราวนี้เขาคิดถูก ทำเช่นนี้แล้วเห็นรูปร่างของมันชัดเจนขึ้นมาก เสียดายที่แสงจันทร์ข้างแรมให้ความสว่างน้อยเกินไป เงาจากส่วนปูดโปนต่างๆ ทำให้อู๋เสียพิจารณาลักษณะที่แท้จริงของมันได้ยากขึ้น

เขาย่างเท้าเดินวนรอบๆ เพื่อดูทุกส่วนให้กระจ่างชัด ไม่นานก็ต้องเลิกคิ้ว ยืนพิจารณา 'ร่างกาย' ที่กองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าแสดงอาการประหลาดใจ



++++++++++++++++++++++++++++++



คืนนั้นยามเฝ้าประตูใหญ่บ้านสกุลอู๋รู้เพียงว่า คุณชายน้อยขี่ม้าออกจากบ้านไปแต่เช้า ไม่พาบ่าวรับใช้ติดตามไปสักคน ล่วงเข้ายามสอง* จึงค่อยขี่ม้ากลับมา บนตักอุ้มอะไรบางอย่าง ทว่าถูกเสื้อนอกของคุณชายห่อไว้มิดชิด

ตั้งแต่สมัยก่อน นายผู้เฒ่าก็มีชื่อเสียงร่ำลือด้านน้ำใจกว้างขวาง มักเก็บสุนัขเร่ร่อนน่าสงสารกลับมาเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งภายหลังวาสนาดีจนได้เป็นเขยแต่งเข้าบ้านคหบดีผู้หนึ่ง ผู้เฒ่าอู๋ก็ยิ่งมีฐานะเงินทองมากพอเลี้ยงดูสุนัขได้เยอะขึ้น ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรจนลูกหลานได้รับอิทธิพล เก็บสัตว์หรือคนกลับมาเลี้ยงที่บ้านเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ให้ความสนใจสิ่งที่ถูกเสื้อคลุมห่อไว้นัก แม้สิ่งนั้นท่าทางจะใหญ่กว่าลูกสุนัขปกติก็ตาม

เรือนของเขาอยู่ส่วนปีกเล็กของบ้าน เดิมถูกใช้เป็นห้องเรียนหนังสือ ตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว รอบด้านเป็นสวน มีสระบัวขนาดย่อมอยู่หนึ่งสระ  ภายหลังได้ซ่อมแซมและต่อเติมเพิ่มก่อนยกให้เขาเป็นเรือนส่วนตัว

"พวกเจ้าไปเตรียมถังน้ำอาบ จากนั้นไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องรอ พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามาเปลี่ยนน้ำ" อู๋เสียเดินถึงห้องนอนก็หันไปสั่งสาวใช้

เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็กและห่างไกลจากเรือนใหญ่พอสมควร อู๋เสียอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ดังนั้นพอฟ้ามืด หากเขาไม่มีธุระอยากใช้สอยก็จะส่งสาวใช้กลับเรือนใหญ่

เหล่าสาวใช้เหลือบตามองหนเดียวก็เห็นห่อผ้าที่คุณชายน้อยอุ้มไว้ไม่ห่าง พวกนางล้วนไม่ประหลาดใจเช่นกัน คิดว่าคุณชายน้อยคงเจริญรอยตามผู้ใหญ่ในบ้าน เก็บสัตว์กลับมาแล้วพยายามจะอาบน้ำให้ด้วยตนเองกระมัง พอปฏิบัติตามคำสั่งเสร็จจึงพากันเดินออกจากเรือน แอบสบตาอมยิ้มใส่กันด้วยความอาดูร

เมื่ออยู่คนเดียว คุณชายน้อยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทุกขั้นตอนที่วางแผนไว้ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ต่างกับชีวิตปกติของเขาในแต่ละวัน แต่ในใจอู๋เสียรู้ดีว่าพรุ่งนี้เช้ามาถึงเมื่อไร โลกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร

"นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่รึไม่" เขาก้มหน้าคุยกับห่อผ้าในอ้อมแขน อันที่จริงก็ถามไปเช่นนั้นเอง ปกติเขามักมีอารมณ์ดื่มด่ำกับความเงียบสงบของเรือนกลางสวนแห่งนี้ ตกค่ำก็นั่งฟังเสียงลมพัดกอไม้ใบหญ้า ร่ายบทกวีใต้แสงจันทร์ แต่คืนนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าห้องนี้เงียบจนเกินไป

เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับทั้งยังไม่ ขยับเขยื้อน อู๋เสียก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงชีวิต สรรเสริญบรรพบุรุษทั้งตระกูลในใจ ว่าที่หลานสะใภ้ของพวกท่านแม่งเอาใจยากเหลือเกิน

เจ้าจะนิ่งเงียบเป็นก้อนหินก็ตามใจเจ้า เงียบให้ตลอดแล้วกัน!

อู๋เสียทำเสียงเฮอะในลำคอ เดินไปที่อ่างไม้หลังฉากกั้นห้องแล้วปล่อยของในมือลงไปทั้งแบบนั้น เขาทำสีหน้าสะใจ รอดูภาพมันลนลานดิ้นหนีออกจากเสื้อผ้าชุ่มน้ำที่ห่อตัวมันไว้

รอ รอ แล้วก็รอ

"...สมควรตาย!!!" ห่อผ้าจมนิ่งอยู่ก้นอ่างเหมือนเป็นถุงใส่ก้อนหินจริงๆ ไม่มีทีท่าขยับสักนิด อู๋เสียรีบก้มลงใช้สองมือควานหารอยแยกของผ้าจนเจอลำตัวมัน จากนั้นรีบดึงจนศีรษะเปียกปอนของมันสูงพ้นน้ำ เห็นมันใช้ดวงตากลมโตมองเขาตาแป๋ว ดูสุขสบายดี ไม่มีทีท่าใกล้เคียงกับการจมน้ำตายแม้แต่นิด อู๋เสียแทบกระอักเลือดด้วยความโมโห

"ก็ได้ ข้าผิดเอง ลืมไปว่าเจ้าเป็นกิเลนเทพ ไม่มีทางจมน้ำตายแบบมนุษย์แน่นอน" อู๋เสียกัดฟันพูดพลางนับเลขในใจเพื่อข่มอารมณ์โกรธ

เจ้ากิเลนในร่างแปลงใช้ดวงตาสีนิลจับจ้องเขา ยังคงไม่ปริปากพูด แต่กลับเอื้อมมือฝ่าเล็กๆ ข้างหนึ่งขึ้นมาวางทาบบนมือที่จับต้นแขนมันอยู่แทน อู๋เสียมองตามการเคลื่อนไหวนั้นแล้วนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมันกำลังบอกเขาด้วยท่าทางว่าให้ปล่อย

"อย่าเข้าใจผิดว่าข้าฉวยโอกาสกับเจ้า มาตกลงกันก่อนว่าเจ้าจะนั่งอาบน้ำดีๆ ไม่ทำตัวประหนึ่งจมน้ำตายแบบเมื่อครู่อีก" มันจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามทำความเข้าใจคำพูดนั้น อู๋เสียรอจนเห็นมันพยักหน้าเป็นนัยว่าตกลงแล้วจึงปล่อยมือ กล่าวกับมันว่าอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเสร็จค่อยเรียกเขา

เมื่อสั่งความจบ อู๋เสียหันหลังเดินออกมานอกฉากไม้ที่ใช้สร้างอาณาเขตระหว่างพื้นที่รอบอ่าง อาบน้ำกับเตียงนอน คิดถึงตัวเองที่เสียรู้เมื่อครู่ก็เผลอเดาะลิ้นด้วยความไม่สบอารมณ์

ร่างแปลงของมันทำเอาเขาเปิดช่องว่างไม่รู้ตัว งวดนี้เจ้ากิเลนดูกลมกลืนกับมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ผิดสัดส่วนอย่างบอกไม่ถูก

ตัวเล็กผอมแห้งยิ่ง ขาวซีดยิ่ง ทั้งยังดูอ่อนแอยิ่ง...

มันแปลงเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เขานั่งลงบนเตียง ไม่มีอะไรทำจึงวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ของอีกฝ่ายเป็นการฆ่าเวลา เมื่อคาดคะเนจากใบหน้าและขนาดตัว เจ้ากิเลนคล้ายจะเหมือนเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบขวบปี คิ้วเข้มหน้าขาวปากแดง เครื่องหน้าทุกชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก วางตำแหน่งเหมาะเจาะรับกัน

สิ่งที่เด่นที่สุดบนใบหน้าเฉยชาไร้ อารมณ์นั่นคือดวงตา ทั้งที่ไม่แสดงออกถึงสีหน้าใด ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้เขานึกถึงตอนที่ตัวเองไปล่องเรือจิบชาชมวิวริมทะเลสาบ ทั้งเงียบสงบ ทั้งแฝงอารมณ์ลุ่มลึกอันไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ

เพราะ ดวงตาคู่นี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าเจ้าสัตว์เกล็ดตัวนี้ไม่เป็นอันตราย ยอมเชื่อมันทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดนอกจากคำพูดที่ประจวบเหมาะเกินไปจนปราศจากพิรุธ

กระนั้นส่วนอื่นของเจ้ากิเลนกลับต่างกันจนแทบเป็นอีกเรื่อง

สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าใบหน้าและลำคอเพรียวระหงดุจลูกกวางนั่น ชวนให้ถอนหายใจยิ่งนัก เพราะถึงมีผมยาวรุ่ยร่ายปิดบังหน้าตาและลำตัวไปหลายส่วน เขาก็ยังสังเกตพบบางเรื่องได้ในทันที

นอกจากไม่มีสีหน้าแบบเด็กสาว ไม่มีวาจาอ่อนหวานแบบกุลสตรีแล้ว อีกสิ่งที่ควรมีก็ยังไม่มีเช่นกัน

งามน่ารักแค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้นเอง อู๋เสียถอนหายใจ แทบไม่ต้องใช้จินตนาการเลยว่า หากเพื่อนของเขารู้เรื่อง 'คู่หมั้นวัยแรกแย้ม' คนนี้เข้า ตัวเขาจะโดนถ้อยคำรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเช่นไรบ้าง

คุณชายน้อยนั่งฟังเสียงจ๋อมแจ๋มในห้องนอนตัวเองอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เขาเดินเข้าไปหลังฉากกั้น เห็นอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ในอ่างจึงบอกให้ลุกขึ้น เขาพยายามหันหน้าไปทางอื่นตอนที่ส่งผ้าเนื้อนุ่มผืนใหญ่ให้คนในอ่างซับน้ำบนตัว

"เจ้าเอาผ้าห่มตัวเองให้มิดชิด ระวังอย่าให้ผ้าเปียก ข้าจะอุ้มเจ้าออกมา"

อู๋เสียขมวดคิ้วพลางบ่นในใจ ทำไมเจ้าไม่แปลงกายให้เด็กลงกว่านี้สักสองสามปี หรือไม่ก็โตจนขายาวพอจะก้าวออกจากอ่างเองได้ ร่างกายครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ช่างบัดซบ ทำร้ายต่อมคุณธรรมและต่อมศีลธรรมของข้ายิ่ง!

กว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมากแล้ว ชุดที่พอหยิบฉวยได้สะดวกมีแค่เสื้อผ้าตัวเองสมัยเด็ก ขณะที่อู๋เสียถามอีกฝ่ายว่าแต่งชุดเองเป็นหรือไม่ ในใจก็วิตก กลัวว่าจะต้องช่วยแต่งตัวให้เด็กผู้หญิงตั้งแต่ขั้นตอนใส่เสื้อผ้าชั้นใน ยังดีที่เด็กน้อยพยักหน้า อู๋เสียจึงออกไปรอหน้าฉากกั้นเหมือนเมื่อครู่

นั่งกระดิกเท้าทำหน้าครุ่นคิดได้ครู่หนึ่ง ร่างหลังฉากกั้นก็เดินออกมาให้เขาชื่นชม...แล้วหกล้มทั้งแบบนั้น

"ซุ่มซ่าม!" คุณชายน้อยรีบปราดเข้าไปประคองเด็กตรงหน้าให้ลุกยืน

เจ้ากิเลนดูเหมือนยังไม่คุ้นกับร่างมนุษย์ดี คงเพราะว่ามันใช้เท้าสี่ข้างมาเนิ่นนานแต่อยู่ๆ กลับเหลือเพียงสองเท้าหลังให้ใช้ เดินเขย่งโยกเยกไม่กี่ก้าวก็หกล้ม อู๋เสียจึงต้องอุ้มมันแทบตลอดเวลา

"ทีหลังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่"

สวรรค์เมตตานักที่ตอนนั้นเขาไม่ปล่อยให้เจ้ากิเลนมีโอกาสได้เดินสองขา!

อู๋เสียมองเด็กน้อยตรงหน้าหัวจรดเท้าอยู่สองรอบ เส้นผมเปียกชื้นยาวถึงปลายน่อง โดนสวมทับด้วยเสื้อสำหรับสวมนอน เนื้อผ้าสีขาวชื้นเป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่มีเส้นผมอยู่ข้างใต้ ราวกับมีงูสีดำมุดเข้าไปจากข้อเท้า ยิ่งเห็นยิ่งรบกวนสายตา

"คราวหลังถ้าทำไม่เป็นก็พูด ทำเช่นนี้ข้าก็ต้องมาช่วยเจ้าแต่งตัวใหม่อยู่ดี" เขาบ่นงึมงำไปพลางหยิบผ้าซับน้ำผืนเดิมมาห่อผมยาวเปียกชื้นน่าขนลุกพวกนั้นไว้ คว้าชุดใหม่ให้เด็กน้อยตรงหน้าสวมแทนตัวที่ชื้นไปแล้ว

ระหว่างขยับมือช่วยแต่งตัว อู๋เสียพยายามปกป้องความภูมิใจด้านศีลธรรมของตนเองอย่างสุดชีวิตด้วยการพิจารณารอยเปื้อนบนผนังด้านหนึ่ง เมื่อถูกกระตุกแขนเสื้อเขาจึงกล้าหันกลับมา ภาพที่เห็นคราวนี้ดูธรรมดาและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ก็ไม่ต่างจากมีน้องสาวตัวเล็กๆ เพิ่มมาอีกคนหรอกน่า เขาคิด

ทั้งที่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว อู่เสียยังคงรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆ คอยทิ่มตำใจอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดบางอย่าง

ร่างตรงหน้านี้...มองกี่หนก็เป็นร่างกายที่ชวนให้นิ่วหน้าเสียจริง

ผอมบางยิ่งนัก ราวกับเด็กขาดสารอาหาร จับตรงไหนก็เจอแต่กระดูก

"เจ้ากิเลน" เขาเรียกมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กน้อยจ้องเขา สีหน้าก้ำกึ่งระหว่างเฉยชากับง่วงนอน ทำท่าเหมือนจะบอกว่า เจ้าพูดมาสิ ข้ารอฟังอยู่

ช่างเป็นเด็กน้อยทีสงบนิ่งได้คงเส้นคงวา

"เจ้าไม่ยอมบอกชื่อข้า ข้าก็จะไม่ถาม"

มันจ้องเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่อู๋เสียเชื่อว่าถ้ามันพูด สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นก็คงไม่พ้นถ้อยคำประเภท ก็แล้วยังไงล่ะ เอาที่เจ้าสบายใจ

อู๋เสียจึงตั้งใจสนองตอบคำพูดนั้นเต็มที่!

"ข้าตัดสินใจแล้ว นับจากนี้จะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวผิง** เพราะเจ้าช่างเป็นเด็กที่สงบปากสงบคำราวกับคนใบ้ แถมยังแบนราบเรียบสิ้นดี" อู๋เสียมองบางจุดบนร่างกายอีกฝ่ายเป็นพิเศษตอนพูดเน้นเสียงคำว่าแบนราบเรียบ

คราวนี้เจ้ากิเลนที่มีชื่อใหม่ว่าเสี่ยวผิงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ขณะจ้องรอยยิ้มกว้างแฝงความชั่วร้ายของคุณชายอู๋เสีย



note:
*ยามสอง = ช่วงเวลา 21.00 - 23.00 น.
**ผิง (平) = สงบ, สันติ, แบน, เท่าๆ (กัน), เสมอ (แต้มการแข่ง, ระดับพื้นผิว) 





+++
TBC
01/06/2015





Talk Time:

หายไปรีไรต์มาค่ะ... รีไรต์ฟิคเรื่องอื่นค่ะ แง /โดนมองแรง

ฮือ ใครไปงาน DMBJ Only Event ได้อ่านแน่ค่ะ เป็นโครงการพิเศษที่ยังไม่เปิดเผย อยากอวดใจจะขาด ฮว่าก เซอร์เคิลท่านอื่นก็สู้ๆ นะคะ *กำเงินรอแน่นมาก...แล้วแว่บไปส่องด๋อยดาบ* /แค่ก

ด้วงโกะจองบูธไปในชื่อ IronY Line อยู่ที่ตำแหน่ง M01 ในงานค่ะ


คัตเอาต์บอกตำแหน่งบูธค่ะ จางฉี่หลิงหล่อมากค่ะ พูดเลย แฮ่ก


จะพยายามแต่งและลงให้จบก่อนเดดไลน์ บอกอ (ที่มีอยู่คนเดียว) จะได้เอาไปจัดหน้า-ตรวจอักษรซะที ปีนี้ฟาสต์บุคโหดมาก บอกเลย เร่งทำทุกอย่างล่วงหน้า 1 เดือนก็ไม่แน่ใจจะทันมั้ย orz


ด้วง L.