วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Halloween Ghost Story


"เรื่องผีผีในคืนฮัลโลวีน" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย


**Spoiler Warning 817* 






วันนี้เป็นวันฮัลโลวีน

อันที่จริงผมใช้ชีวิตเฉื่อยแฉะจนลืมวันคืนไปแล้ว เป็นนายอ้วนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร เห็นจากหางตาว่าเมินโหยวผิงทำหน้านิ่งนั่งคีบผักดองเข้าปาก ไม่มีปฏิกริยาอันใดต่อคำนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้จักวันฮัลโลวีนรึเปล่า จึงหันไปใส่ซับไตเติ้ลให้เขาว่าเป็นวันปล่อยผีของชาติตะวันตก

เมินโหยวผิงแสดงอาการรับรู้ด้วยเสียงอืมในคอ ไม่ชะลอจังหวะกินเลยสักนิด ทำเอาผมคิดเรื่องเพ้อเจ้อขึ้นมาแวบหนึ่ง

...ถ้าเจ้าหมอนี่เป็นแวมไพร์ จะต้องเป็นผีดูดเลือดประเภทที่ตั้งหน้าตั้งตาดูจ๊วบๆ สูบเลือดคนจนตัวแห้งตายคามือ ไม่มีทางเป็นพระเอกแวมไพร์ในหนังรักโรแมนติกประเภทพบรักข้ามเผ่าแน่นอน (ยกเว้นนางเอกจะเป็นมัมมี่หนังเหี่ยว)

"เสียดายที่หมู่บ้านนี้กลมกลืนกับธรรมชาติมากไปหน่อย ไม่งั้นคืนนี้เสี่ยจะพาพวกนายไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวฉลองวันฮัลโลวีน" นายอ้วนพูดพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม "ที่ปักกิ่งมีหลายร้านชอบจัดโปรโมชั่นตามเทศกาล ถึงวันฮัลโลวีนทีไร ผีสาวสวยหุ่นเซ็กซี่เดินเบียดกันจนแทบไม่มีอากาศหายใจ ตื่นเต้นระทึกขวัญยิ่งกว่าลงดินคว่ำกรวยซะอีก"

"อายุนายก็ตั้งขนาดนี้แล้ว ยังอยากไปเบียดเบียนผีสาวพวกนั้นอีกหรือ" ผมส่ายหน้า "ถ้าอยากได้ความตื่นเต้นระทึกขวัญ ลองถามเสี่ยวเกอดูว่าคืนนี้เขาอยากเข้าป่าจับเสือสักตัวไหม นายไปกับเขา รับหน้าที่ยั่วยวนแม่เสือสาว รับรองว่าทั้งตื่นเต้นทั้งระทึกขวัญไม่แพ้กันแน่นอน"

นายอ้วนจุ๊ปาก ตำหนิว่าผมใช้งานเสี่ยวเกอโหดร้ายเกินไป ดึกดื่นค่ำคืนยังกล้ารบกวนผู้อาวุโส ระวังคืนนี้ปู่ผมจะแวะมาเข้าฝันด่า

ริจะขุดสุสาน คุณสมบัติข้อแรกคือกลัวอดตายแต่ไม่กลัวผี ผ่านเรื่องราวต่างๆ รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ แน่นอนว่าคำแซวของนายอ้วนไม่สะเทือนต่อมมโนธรรมของผมแม้แต่นิดเดียว

คืนฮัลโลวีนเช่นนี้ พวกเราก็ยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ ในหมู่บ้านซึ่งปราศจากกลิ่นอายแปดเปื้อนคาวโลกีย์ของโลกภายนอก

...ซะที่ไหนกัน!

เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลปัดกวาด กระท่อมที่ผมให้คนสร้างไว้ล่วงหน้าจึงมีขนาดไม่ใหญ่อะไร ผู้ชายที่เคยนอนกลางดินกินกลางทรายมาแล้วอย่างพวกเราจึงตกลงแบ่งห้องนอนกันง่ายๆ ห้องหนึ่งยกให้นายอ้วนเอาไว้นอนกรนกลิ้งไปมาคนเดียว ส่วนอีกห้องเป็นของผมกับเมินโหยวผิง

กลางดึกคืนนั้น ผมเพิ่งจะหลับได้สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเพื่อนร่วมห้องคนเดียวกันนี้เอง

"นั่นนายจะทำอะไร" ผมกวาดตาขึ้นลงมองเมินโหยวผิงที่คุกเข่าทับผ้าห่มผมอยู่

"ทริคออร์ทรีต" เขาตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู ผมนอนนิ่งครู่หนึ่งปล่อยให้คำดังกล่าววิ่งทะลวงไปถึงต่อมสติ ...เชี่ย! เมินโหยวผิงพูดภาษาอังกฤษในรอบสิบปี! (คำแรกและคำเดียวที่ผมเคยได้ยินก่อนหน้านี้คือคำสบถที่ขึ้นต้นด้วยเอส)

เมินโหยวผิงเห็นผมนั่งเงียบก็พูดคำเดิมซ้ำอีกรอบ ตาคู่นั้นจ้องผมนิ่งจนน่าขนลุก บทเขาจะดื้อดึงขึ้นมาก็รั้นแบบนี้ ผมไม่มีทางเลือกทั้งยังง่วงจนขี้เกียจจะถามสาเหตุความคึกของเมินโหยวผิง จำใจยอมเล่นทริคออร์ทรีตกับเขาจะได้นอนต่อเสียที

ตามบทที่เคยเห็นบ่อยๆ ในหนังภาพยนตร์ ผมควรตอบทรีตก่อนให้ขนม แต่เขาดันมาเล่นเอาตอนนี้จะให้ผมไปหาขนมจากไหน ยังไม่รวมว่าอยู่ในป่ากันมากว่าสามเดือน เสบียงที่ขนกันมาจากข้างนอกย่อมหมดนานแล้ว แถมผมยังไม่มีนิสัยชอบตุนขนมไว้กินกลางคืนด้วย คิดไปคิดมาก็เหลือคำตอบอยู่แบบเดียว

"ทริค" ผมตอบ เลิกคิ้วมองหน้าเขา เมินโหยวผิงไม่มีทางรู้แน่นอนว่าตราบใดที่เขาไม่ได้อยู่สภาพเดียวกับ 'อาคุน' แบบตอนออกจากประตูสำริด จ้างให้ผมก็ไม่กลัว

หลังได้ยินคำตอบ ผมรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มมุมปากจากเจ้าก้อนหินหน้าตาย ก่อนที่ผมจะเอะใจอะไรได้ เมินโหยวผิงก็ขยับตัวดึงผ้าห่มที่ขวางพาดพวกเราอยู่ตวัดขึ้นคลุมตัวเอง แสงจากดวงจันทร์เบี้ยวๆ นอกหน้าต่างสาดทับตัวเขา เปลี่ยนแสงเงาบนใบหน้าเมินโหยวผิงให้ดูลึกลับต่างจากคนที่ผมเคยคุ้น ชายผ้าที่ระคลุมศีรษะคนตรงหน้าดูไปแล้วก็คล้ายวิกผมยาว...

มีวูบหนึ่งที่ผมนึกถึง 'อาคุน' ขึ้นมา

'อาคุน' โน้มตัวลงจ้องผมด้วยดวงตาดำมืดว่างเปล่า ผมยอมรับว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย

"...ที่นายอ้วนลากนายไปซุบซิบเมื่อตอนเย็นคือบอกให้นายเล่นเป็นผีแม่ย่าใส่ฉันเรอะ?"

"เปล่า"

"เปล่าเป็นผีแม่ย่า หรือเปล่าบอกให้แกล้งหลอกฉัน"

"เปล่าเป็นผีแม่ย่า"

ผมพ่นลมหายใจแทนเสียงเฮอะ เมินโหยวผิงก้มตัวลงกระซิบคำตอบข้างหูผม

"ฉันเป็นผีผ้าห่ม"

"..."

เรื่องราวหลังจากนั้นใครก็น่าจะเดาได้ ผมโดนผีผ้าห่มหลอกหลอนทั้งคืน! ไหนใครวะหาว่าผมกล้ารบกวนผู้อาวุโสกลางดึกจะต้องโดนปู่เข้าฝันด่า โลกนี้ไม่มีความผิดข้อหาผู้อาวุโสก่อกวนจนเด็กไม่ได้นอนบ้างเรอะ!

หมู่บ้านแห่งนี้ปราศจากกลิ่นอายคาวโลกีย์...ช่างตรงข้ามกับผมในคืนนี้โดยสิ้นเชิง





+++

END
31/10/2015 





#dmbjdaily 365 days ago : Halloween





Talk Time:

พอคิดว่าขี้เกียจแต่งฟิคฮัลโลวีน รู้สึกตัวอีกทีก็นั่งจิ้มเสร็จไปหนึ่งย่อหน้าแล้วค่ะ...



ฉันหรือเธอที่เผลอกาว
ด้วง L.












วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] 17

 

"17"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย



**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 + ภาคหลัง 10 ปี**

**หากอยากอ่านฉบับรวมเล่มได้อรรถรส รบกวนข้ามฟิคนี้ไปก่อนนะคะ**



"นายแก่ขึ้นนะ"

เพราะเมินโหยวผิงปรากฏตัวในสภาพล่อนจ้อน ไม่มีเครื่องนุ่มห่มติดกายเลยสักชิ้น หรือพูดให้ถูกคือ ตอนที่ได้เจอกัน เสื้อผ้าของเขาก็โดนผมเอามาใส่แล้ว การที่เราจะกลับออกไปในสภาพดีๆ พร้อมกันนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย

ผมเองก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวไม่ต่างจากเขา ชุดที่เคยมีระหว่างทางก็ถอดทิ้งไปหมดแล้ว คนมีสองคน แต่เสื้อผ้ามีแค่หนึ่งชุด วิธีเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้ คือผมอาจต้องถอดชุดคืนให้เมินโหยวผิง ไม่ถอดบนก็ถอดล่าง เป่ายิ้งฉุบเลือกแบ่งกันอายคนละครึ่ง ออกไปเผชิญสายตาลูกน้องเถ้าแก่อู๋และเสี่ยวฮัวที่เฝ้ารออยู่ด้านนอก ไปรัก ไปฝัน ไปลุย

นายอ้วนบอกว่าเมินโหยวผิงไม่เคยทำเรื่องขายหน้าเพราะเขารักหน้าตาตัวเองที่สุด แต่ผมกลับคิดว่าเพราะหมอนี่ไร้ยางอาย พูดให้สุภาพหน่อยคือ เพราะเขาผ่านผจญอะไรมามากมายเกินกว่าจะสนใจเรื่องพวกนี้

เพราะแม้กระทั่งเมื่อครู่นี้ หลังจากไม่ได้เจอกันนานถึงสิบปี เขาก็ยังเดินโทงๆ มานั่งข้างๆ ผมกับนายอ้วนหน้าตาเฉย ไม่คิดปกปิดเหมือนไม่มีเรื่องใดให้ต้องกระดากอาย

ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่อาย แล้วผมจะอายแทนทำไม ผมตัดสินใจลุกขึ้นหยิบกระเป๋า

"ไปกันเถอะ"

พวกเราก็แค่...ไม่เจอกันนาน

ในเมื่อเมินโหยวผิงอาสาจะอายแทนผม ผมก็จะไม่ทักท้วงใดๆ กะว่าเดินออกไปด้วยกันจนเจอเสี่ยวฮัวแล้วค่อยถามหาเสื้อผ้าสำรองเอาจากเขาคงไม่เป็นเรื่องเสียหายอันใดต่อหน้าตาของจางฉี่หลิงกระมัง

เสียแต่ว่า... ยิ่งเดินต่อไป ผู้ที่รู้สึกกระดากอายขึ้นมากลับเป็นตัวผมเอง

หนึ่งสิบปีเพื่อผม หลายครั้งผมรอดมาได้ก็เพราะเขา แม้กระทั่งเสื้อที่ใส่ตอนนี้ก็เป็นชุดของเขา ผมควรมีความเกรงใจต่อเมินโหยวผิงให้มากกว่านี้หรือเปล่า?

จากที่คิดว่าผมควรใส่เสื้อเพื่อปกปิดรอยแผลของตัวเอง ตอนนี้ผมเริ่มลังเล มือเผลอจับบิดแขนเสื้อด้วยภาวะใจลอย

ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าเมินโหยวผิงกำลังมองผมอยู่ จึงหันไปเผชิญหน้า พบกับดวงตาคู่ที่คุ้นเคยมองกลับมา

"นายแก่ขึ้น" เขาพูดขึ้นอีกครั้ง "...แต่ยังน่ารักเหมือนเดิม"

นั่นไง...

คนไร้ยางอาย เดาไว้ผิดเสียที่ไหน

ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เดินโป๊ไปนั่นแหละดีแล้ว



×××


เราสามคนเดินเคียงข้างกัน แขนของผมในเสื้อตัวนอกของเขา เสียดสีโดนลำแขนผอมบางแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเมินโหยวผิงหลายที

พอนานครั้งเข้า ผมเริ่มรู้สึกถึงหลังมือของเราที่แตะโดนกันอย่างไม่ตั้งใจ

นานครั้งเข้า นานครั้งเข้า ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นเอง มือใหญ่ของเขาก็คว้าจับมือของผมเอาไว้

ฝ่ามือเต็มฝ่ามือ เขาจับมือควงแขนผมอย่างไม่อายใคร

...เอาเถอะ โป๊ก็ไม่เลว แบบนี้ก็เดินกอดได้เต็มๆ แขนดี

ก็เมินโหยวผิงยังไม่อายเลย แล้วผมจะอายทำไมกัน


+++

END
21/08/2015






Talk Time:

ฟิคนี้เป็น Free Paper แจกในงานเต้ามู่โอนลี่ DMBJ Only Event in Thailand เมื่อวันที่ 22.08.2015 ที่ผ่านมาค่ะ เสียงตอบรับดีมาก! *กราบขอบคุณทุกท่านที่รับฟรีเปเปอร์แผ่นน้อยไปอุปการะนะคะ*

ฟรีเปเปอร์หน้าตางี้  

ในฉบับที่พิมพ์แจกไปมีความบกพร่องเยอะอยู่ อย่างน้อยๆ ก็เจอจุดผิดตั้งแต่บรรทัดแรกเลย ในฟรีเปเปอร์บรรทัดแรก เราเขียนว่า "นายแก่ลง" แต่พอเห็นต้นฉบับ 817 ของคุณเบียร์ผู้แปล ที่แปลตอนพิเศษของภาค 2015 ออกมา ใช้คำว่า "แก่ขึ้น" เราก็เหวอ หันไปถามคนรอบตัว ใครๆ ก็บอกว่าสำนวนคำนี้มีแต่แก่ขึ้นนะ ไม่มีใครเขาใช้แก่ลง *กรี๊ดดดดด* ร้องห้ายยย เลยขอแก้ตัวในฉบับลงบลอคแล้วกันค่ะ T 7 T

แต่จริงๆ หลักๆ แล้วฟรีเปเปอร์แผ่นนี้จุดขายอยู่ที่เลย์เอาต์ค่ะ ตั้งใจเลย์เอาต์ให้ดูเป็นเซตเดียวกับเซตตัวเลข "การนับถอยหลังของหัวใจ" ที่อยู่ในรวมเล่มเล่มเก่า 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" ค่ะ ดูออกกันไหม T v T ถ้าดูไม่ออกก็ไม่เป็นไรค่ะ บอกตรงนี้เลยแล้วกัน ว่าตั้งใจเขียนให้เป็นหนึ่งในเซตนี้ค่ะ (เรื่องอื่นๆ ในเซตที่มีลงในบลอคนี้ ได้แก่ 2015, 364, 18 และ 38 ค่ะ จริงๆ ในเซตมีมากกว่านี้ แต่ขอสงวนไว้ให้แค่สำหรับผู้ที่ซื้อรวมเล่ม 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" นะคะ)

งานเต้ามู่โอนลี่สนุกมากค่ะ ยังไม่แน่ใจว่าจะมีสติมาเขียนรีพอร์ตไหม 555 ไม่ขอรับปากแล้วกัน แต่บอกได้เต็มปากว่าสนุกมากๆ พีคมากๆ กาวมากๆ ค่ะ ยินดีและดีใจที่ได้เจอเพื่อนๆ มากมายในงานนี้นะคะ ถึงแม้จะไม่มีฟิคเล่มใหม่ออก (คอมพังจ้ะ 555) แต่ก็มีเพื่อนด้วงแวะเวียนมาทักทายพวกเราเยอะเลย ในงานมีคนถามถึงฟิคเล่มใหม่ด้วย! เอาเป็นว่ามีค่ะ...แต่ยังไม่แน่ใจในกำหนดการ เพราะคอมที่ใช้จัดหน้าหนังสือส่งไปซ่อมที่ศูนย์ตั้งแต่ก่อนงานเต้ามู่สองสัปดาห์ จนตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแจ้งกลับมาเลย /กระซิก

ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่คิดถึงกัน ขอบคุณที่แวะเวียนมาหา เอาของมาฝาก มาเมาธ์มอย มาหยิบฟรีเปเปอร์ ซื้อกู๊ดส์ สติกเกอร์ แก้ว มาคีบลามะ มาเล่นพร๊อบจางลามะทิเบต ฯลฯ ขอบคุณมากเลยค่ะ 22.08.2015 ของเราเป็นวันที่มีความสุขมากๆ เพราะผู้ร่วมงานทุกคน และสต๊าฟ และผู้แปล และบอกอ และผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดตั้งแต่ต้นทาง ขอบคุณแรงแรงงงงง *กอดแน่น*


When I see you again
ด้วยรัก จากด้วง M.

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] ภาพถ่าย


"ภาพถ่าย"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย






วันนี้แดดดีเป็นพิเศษ

ตอนมองลอดหน้าต่างออกไปด้านนอก ในหัวพลันนึกถึงแม่ขึ้นมา

หังโจวในฤดูฝนก็ชุ่มชื้นดีอยู่หรอก ทว่าบรรยากาศที่เหมาะแก่การร่ายกลอนขับกวีแล้วหลับคาหนังสือเช่นนั้น ไม่มีแม่บ้านคนใดชื่นชอบ ดังนั้นวันไหนที่แม่เงยหน้าเห็นท้องฟ้าแบบนี้ ก็จะทิ้งงานในมือทุกอย่าง รีบไปซักผ้าให้ทันตากก่อนแดดหมด

นึกแล้วก็รู้สึกโชคดีที่ผมเกิดเป็นลูกชาย ไม่งั้นตัวเองก็คงถึงวัยต้องบ่นแบบนั้นเช่นกัน

แสงแดดแบบนี้ ท้องฟ้าแบบนี้ ผมเห็นแล้วรู้สึกเพียงว่า ถ้าออกไปถ่ายรูปต้องได้ภาพดีๆ ติดมือกลับมาแน่ ดังนั้นผมจึงหยิบกระเป๋าเงิน ลากเมินโหยวผิงออกไปนอกบ้านพร้อมกล้องถ่ายรูปตัวหนึ่ง

เมินโหยวผิงไม่หือไม่อือ เดินตามมาเงียบๆ ตลอดทางไม่ถามอะไรสักคำ ตอนผมกำลังยืนเช็กภาพในกล้องถ่ายรูปตัวโปรด หางตาเหลือบไปเห็นเมินโหยวผิงกำลังยืนเหม่อ เลยยื่นกล้องไปให้เขาร่วมดูภาพจากหน้าจอด้วย

"นายว่าเป็นไง" ความจริงผมก็ถามไปอย่างนั้นเอง แต่พอเมินโหยวผิงเงยหน้าขึ้นจากจอกล้องดิจิตอลในมือ มองผมนิ่งๆ แล้วเลิกคิ้วหนึ่งที รู้สึกเหมือนกำลังโดนหยามพิกล ผมเลยยัดเยียดกล้องตัวเองใส่มือเมินโหยวผิง บอกว่าอยากลองเห็นภาพจากมุมมองสายตาเขาบ้าง

เมินโหยวผิงจ้องกล้องในมือครู่หนึ่ง ยกขึ้นมาถ่ายส่งๆ หนึ่งแชะ แล้วยื่นกล้องกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

พลันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดท่าแล้ว เมื่อครู่ก็แค่พูดเล่นไปแบบนั้นเอง ไม่คิดว่าเขาจะยอมถ่ายจริง เลยไม่ได้ระบุว่าให้ตั้งใจถ่ายด้วย ตอนนี้เขาถ่ายเสร็จตามคำขอผมแล้ว จะไปเพิ่มเงื่อนไขทีหลังก็สายเกินไป รู้สึกเสียใจนัก

พอเปิดเช็กภาพแล้วก็ได้แต่เหงื่อตก เพราะเมื่อครู่โดนเมินโหยวผิงยกกล้องถ่ายในระยะประชิด ไม่ทันตั้งตัว ภาพที่ปรากฏจึงเป็นภาพซูมใบหน้าตัวผมเอง กำลังทำสีหน้าเป๋อเหลอ ดูไม่จืดจริงๆ

"อันที่จริงนายแบบในภาพเป็นคนหน้าตาไม่เลว นายถ่ายภาพเขาออกมาเป็นแบบนี้ได้ แปลว่าฝีมือนายห่วยมาก" เมินโหยวผิงไม่ตอบ ผมจึงพูดต่อ "ฉันจะสอนนายถ่ายรูป ตอนไปเที่ยวด้วยกันคราวหน้าฉันจะได้มีภาพตัวเองบ้าง"

เมินโหยวผิงไม่ปฏิเสธแปลว่าเขาอนุญาต (หรืออย่างน้อยก็อนุญาตผมคนเดียว ในฐานะสิ่งเกี่ยวโยงเดียวของเขาต่อโลกใบนี้ ผมก็ควรมีสิทธิพิเศษสักอย่างสองอย่างบ้างล่ะ) ผมสอนเขาถึงวิธีจับกล้อง ระยะโฟกัส หน้าชัดหลังเบลอ การใช้รูวัดแสง วิธีเล็งคอมโพสสิ่งที่ถ่าย พูดจนเมื่อยปากอยู่ครึ่งวัน ภาพที่เขาถ่ายก็ยังออกมาพิลึกจนผมสงสารกล้องตัวเอง

"พอเถอะ ฉันยอมแพ้แล้ว อีกประเดี๋ยวแดดจะหมดซะก่อน นายไปยืนเหม่อเฉยๆ ตรงโน้นเลยไป"

ผมยกกล้องขึ้นถ่ายต่อ เร่งแข่งเวลากับแสงอาทิตย์ เมินโหยวผิงที่ปรากฏในวิวไฟน์เดอร์ดันยิ้มกว้างแข่งกับพระอาทิตย์ด้านบนซะได้





+++

END
20/08/2015 




#dmbjdaily : 七夕节 (เทศกาลวันที่ 7 เดือน 7)
ไม่มีเดลี่แล้ว แง 55555 หัวข้อย้อนหลังมันมีอันนี้มั้ยนะ เดี๋ยวกลับไปคุ้ยก่อนจะทำเนียนๆ แก้หัวข้อยัดไป /ถุย!



Talk Time:


ความจริงธีม Qixi มันต้องท้องฟ้ากลางคืนของคู่รัก แต่พวกเขาพบกันแล้ว ดังนั้นกลางวันก็ยังเจอกันได้...แต่ไม่ใช่เหตุผลที่แปะฟิคนี้ค่ะ 5555555555

จริงๆ คืออยากแปะฟิคฉลอง Qixi แต่ไม่มีเวลาแล้ว เลยเอาอันที่เพิ่งแต่งวันก่อนแปะไปก่อน *ร้องห้าย* มันก็พอจะแถได้อยู่น่า...แถได้สิ...

ด้านบนเป็นฟิคที่แต่งขึ้นเพราะภาพถ่ายเมื่อ 817 (วันที่ 17 เดือน 8) ที่ทีมนักแสดงละครเวทีของเต้ามู่ฯ (แน่นอนว่าเป็นละครเวทีที่จัดในจีนแผ่นดินใหญ่ค่ะ) ยกพลไปจัดการแสดงรอบพิเศษที่ฉางไป๋ซานตั้งแต่วันที่ 15 - 16/08/2015 (จริงๆ จัดที่เมืองฉางชุน ใกล้ๆ ฉางไป๋ซาน ติดตามข้อมูลได้ในทวิตของ @dmbjdaily)

พอแสดงเสร็จนักแสดงทั้งกลุ่มก็ยกทีมกันขึ้นเขาฉางไป๋ซานด้วย

เห็นสต๊าฟ dmbjdaily บอกว่าทาง Sony เป็นสปอนเซอร์ให้ซูหัง (คนเล่นบทเสี่ยวเกอ) กับตู้กวงอี (คนเล่นบทอู๋เสีย) เอากล้องไปถ่ายวิวบนเขาด้วย สองคนนี้ก็เลือกกล้องไปคนละรุ่นกัน

ผลออกมาคือภาพจากกล้องของตู้กวงอีสวยมาก แต่ภาพจากกล้องของซูหังนั้น... 55555555+

ทีมกาวบุไต (บุไต = ย่อจากศัพท์ญี่ปุ่นคำว่า ละครเวที/Stage play) ในทวิตเตอร์ก็เลยออกมาแซวกันเรื่องอู๋เสียเวอร์ชั่นอาจารย์กวนเกินจะจับเสี่ยวเกอหัดใช้กล้องถ่ายรูป

ไปๆ มาๆ เราก็โดนกาวป้ายด้วย ...ก็เลยกลายเป็นฟิคนี้ เพราะซูหังพกปลาหมึกไปถ่ายรูปด้วยค่ะ (มันเกี่ยวข้องกันตรงไหนยังไงวะ 555555555555)


ปล. งานเต้ามู่โอนลี่ 16/08/2015 ของประเทศเรา เลื่อนไปเป็นวันเสาร์ที่ 22/08/2015 นะคะ 

อย่าไปผิดวันนะคะ ; v ;




แบบหนังสือเป็น #ทีมอู๋เสีย, แต่บุไตเป็น #ทีมซูหัง
ด้วง L.

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Take me home

 

"Take me home" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)



**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 + ภาคหลัง 10 ปี**

**หากอยากอ่านฉบับรวมเล่มได้อรรถรส รบกวนข้ามฟิคนี้ไปก่อนนะคะ**


 




"ฉันมีของไม่มาก" เมินโหยวผิงแบ่งสัมภาระไปจากมือผม นายอ้วนส่งเสียงเห็นด้วย บอกว่าคนบาดเจ็บสมควรเดินตัวเปล่า เขาติดอยู่ข้างในนาน ให้ออกแรงบ้างก็เหมาะสมแล้ว

"นายไม่มีสักอย่างมากกว่า" ตอนแยกกันวันนั้น เขายังมีกระเป๋าอยู่ใบหนึ่ง ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว ไม่รู้เปื่อยจมกองขี้นกอยู่ซอกไหน

พอผมพูดกลับไปแบบนั้น นายอ้วนก็บอกว่าเป็นเพราะผมเองนั่นล่ะที่เป็นคนทำเสี่ยวเกอจนไม่มีแม้กางเกงจะใส่ ควรถอดส่งคืนให้เจ้าของได้แล้ว

"ของไม่สำคัญ ไม่มีไม่เป็นไร" เมินโหยวผิงเอ่ยขัดขึ้นมา มองหน้าผม "ของสำคัญอยู่ครบแล้ว"

นายอ้วนหัวเราะ ใช้ปลายศอกสะกิดผมระหว่างพูดกับเมินโหยวผิงว่า "หมายถึงพวกเรา หรือหมายถึงชุดของนายบนตัวเขา"

"ทุกสิ่งที่ฉันถือครองไว้ วางได้ทุกชิ้น ยกเว้นเรื่องของพวกนาย" เมินโหยวผิงอมยิ้ม มองผมแล้วพูดว่า "ฉันมีของไม่มาก ทุกชิ้นที่มี นายอยากได้ชิ้นไหนก็เอาไป"

ผมเริ่มได้ใจ กำลังจะพูดว่างั้นขอจางฉี่หลิงมาไว้ที่บ้านสักคนแล้วกัน เขาก็ดันพูดตัดหน้าออกมาก่อน

"เอาไปได้ทุกชิ้น ยกเว้น 'เทียนเจินอู๋เสีย' ชิ้นนี้สำคัญที่สุด ให้ใครไม่ได้"



...แม่งเอ๊ย!



ไม่ได้พูดกับคนอื่นมาสิบปี พูดทีก็ทำเอาคนอื่นอายไปสิบปี คนแซ่จางเป็นตัวอันตรายจริงๆ

แต่เอาเถอะ กลับถึงบ้านแล้วค่อยว่ากัน






+++

END
17/08/2015 



#dmbjdaily the waiting is over : 带我回家 (Take me home) 



Talk Time:


"สิบปีแล้ว"

"พวกเราก็แค่...ไม่ได้เจอกันนาน"



ด้วง L.

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] ป่วย

 

"ป่วย" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย



**(a little bit) Spoiler Warning**




จางฉี่หลิงรู้สึกผิดปกติ

ตั้งแต่กลับมาจากเรือนไม้ไหม้ไฟ เขาซึ่งพยายามทะลวงเข้าไปหาเบาะแสที่ยังหลงเหลือท่ามกลางกองเพลิง สุดท้ายทั้งเนื้อทั้งตัวเลยเป็นแผลเต็มไปหมด

อู๋เสียบ่นเขาไม่หยุดปาก บอกว่าเขาไม่รู้จักคิด กระโดดเข้าไปในกองเพลิงเผาไหม้เป็นพันองศามีแต่ตายกับตาย ยังดีที่หนนี้แค่เป็นแผลพุพองกับบาดเจ็บที่มือ หากเป็นมากกว่านี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาญาติที่ไหนมารับรองจัดการพิธีศพให้เขาได้

แต่ถึงจะบ่นแบบนั้น ตกเย็นหลังอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว อู๋เสียก็มาช่วยเปลี่ยนยาให้เขา แผลไฟไหม้มีอยู่ทั่วตัว มีหลายจุดแต่ไม่ร้ายแรง บางตำแหน่งเจ้าของแผลเปลี่ยนยาเองไม่ได้ จึงแบ่งกันกับอู๋เสีย คนหนึ่งทำแผลตัวเองเฉพาะด้านหน้า อีกคนเปลี่ยนยาตรงแผลที่ด้านหลัง

อู๋เสียยังไม่หายหงุดหงิด หนนี้เปลี่ยนเป้าไปด่านายอ้วนแทน เรื่องที่พวกเขาไม่ยอมบุกเข้าไปในบ้านตั้งแต่เนิ่นๆ จนพลาดท่าเสียทีโดนเผาทำลายหลักฐาน ส่งผลให้ต้องเลือดตกยางออกกันแบบนี้

เปลี่ยนยาไปบ่นไปไม่หยุด จนนายอ้วนหันมาถามว่าบ่นขนาดนี้เป็นแม่หรือเป็น... พูดได้ไม่ทันจบคำดี อู๋เสียก็หยิบแก้วน้ำแถวนั้นปาใส่นายอ้วน นายอ้วนรับทันใบหนึ่ง เอามือปัดอีกใบร่วงหล่นดังเคร้ง

นายอ้วนหัวเราะชอบใจ บอกว่าแบบนี้เข้าท่าดี เก็บแก้วมาเคาะๆ กันสองใบ บอกว่าเสียงดังใช้ได้ เหมาะจะเอาไว้แขวนประตูหน้าต่างกันคนบุกรุก

อู๋เสียไม่สนใจแล้ว ตอนนี้ทำแผลที่หลังจางฉี่หลิงจนเสร็จ เลยลุกมาช่วยทำแผลที่มือซ้ายต่อ

ในตอนนั้นเองที่จางฉี่หลิงชักมือกลับ

"ฉันทำเองได้"

"อ๊ะ โทษที" อู๋เสียเองก็ผวาถอยเพราะท่าทีของเขาเช่นกัน

ชายหนุ่มถอนสองมือออก แล้ววางแปะลงบนหน้าเข่าตัวเองอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว เปลี่ยนมานั่งมองเขาเงียบๆ แทน

บรรยากาศสงบลง แม้แต่นายอ้วนยังหยุดส่งเสียงรบกวน จางฉี่หลิงใช้มือขวาอันแคล่วคล่องใส่ยาสมุนไพรที่หมอบ้านเท้าเปล่าบดใส่กระปุกให้มา จากนั้นก็สาวผ้าพันแผลออกจากม้วน พันทบรอบมือซ้ายตัวเองจนเสร็จอย่างไม่ยากเย็นนัก

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เขาเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวประหลาดพิกล ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องความทรงจำไม่ปะติดปะต่อเกี่ยวกับชิ้นส่วนเหล็กอันตรายในหีบ แต่คล้ายเขาเริ่มมีอาการแทรกซ้อนปั่นป่วนในตัวนับตั้งแต่ออกมาจากเรือนไม้บ้านของอาคุน

ในคราแรกเขาคิดว่าอาจเป็นผลจากการขาดออกซิเจนตอนที่มุดเข้าไปใต้เรือนไม้ที่ไฟไหม้ แต่พอออกจากตัวเรือนมานานแล้วก็ยังไม่หาย พอเกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ จางฉี่หลิงก็ไม่ต้องการให้ใครเข้าใกล้เกินจำเป็น

พอเขาเปรยเรื่องนี้กับอู๋เสีย อู๋เสียก็ร้องว่า "นั่นไงล่ะ!" ตบเข่าฉาด บอกว่าคิดแล้วเชียวว่าคงไม่ได้ไม่เป็นไร ถึงกับพุ่งตรงเข้ามาจะจับหน้าผากวัดไข้ให้

จางฉี่หลิงคว้ามือของเขาไว้ทัน ต่างฝ่ายต่างใช้สัญชาตญาณมากกว่าความคิดตัดสินใจ ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้น จนอู๋เสียเป็นฝ่ายลดมือลงถอยออกไปอย่างเคอะเขิน

แต่พออู๋เสียเปลี่ยนมาสอบถามอาการแทน เขาเองก็ตอบไม่ได้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี นั่งมองหน้ากันแบบทำอะไรไม่ถูกทั้งสองฝ่ายอยู่เช่นนั้น ในที่สุดอู๋เสียก็ตัดบทบอกว่าเขาคงอ่อนเพลียเกินไป รีบไล่ให้เขาหาน้ำกินแล้วไปนอนพัก

ชายหนุ่มวิ่งข้ามห้องไปจัดแจงปูที่นอน ดับไฟไปครึ่งห้อง แล้วบอกให้เขาเข้านอนแต่หัวค่ำ ต่อจากนี้ตนกับนายอ้วนจะหารือกันเอง คนป่วยนอนรอฟังแค่สรุปก็พอ

แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น จุดที่อู๋เสียกับนายอ้วนไปหารือกันก็ห่างแค่ปลายระเบียง จางฉี่หลิงที่นอนห่มผ้ายังคงได้ยินเสียงของทั้งสองคนพูดคุยกันชัดเจน เริ่มจากแค่ปรึกษาหารือกัน จากนั้นก็ระบายความโกรธเคืองใส่กัน สุดท้ายอู๋เสียที่เด็กกว่าเป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ต้องวิ่งกลับเข้ามาในห้องแล้วเอาหัวโขกกำแพงสงบใจสองสามที เล่นเอาเรือนไม้ทั้งหลังสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปหมด

พออู๋เสียหันกลับมาเห็นว่ามีคนนอนมองอยู่ ก็ถามห้วนๆ "ไหนบอกอยากรักษาระยะห่าง? นายหายดีแล้วเหรอ"

เขาส่ายหน้า

"งั้นก็นอนไป" อู๋เสียโบกมือไล่ แล้วเดินกลับออกไปคุยกับนายอ้วนต่อ

จางฉี่หลิงพลิกตัวหันไปทางอื่น แล้วก็ส่ายหน้า

อาการป่วยนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

หากบอกว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้อง ราวกับมีผีเสื้อบินวนอยู่ในกระเพาะ แบบนี้จะฟังดูตลกเกินไปสำหรับคนความจำเสื่อมคนหนึ่งไหม?


+++

END
06/07/2015



#dmbjdaily 42 days left : Space



Talk Time:

เรื่องนี้ติดอยู่ในหัวมานานมาก! ที่จริงอยากเขียนถึงอาการป่วยของเถ้าแก่อู๋ตอนที่ได้เจอเสี่ยวเกอครั้งแรกหลังสิบปีค่ะ แต่...เนต้าไม่แม่น เขียนทั้งทีก็อยากเขียนดีๆ ไปเลย ไม่อยากกลับมาแก้ เลยโบ้ยมาลงซีรีส์ "รักเกิดที่ปาหน่าย" (ตั้งชื่อเอาเอง) อีกแล้วซะงั้น ก๊าก ฟิคยัยคนนี้เอะอะก็ใช้ปาหน่ายเป็นสถานที่ถ่ายทำลูกเดียว // v \\ แง้ ก็มันโมเอ้ะง่ะ เราชอบ 5555

(เรื่องนี้เกิดก่อน Stay จ้ะ)

อันนี้เผื่อใครไม่เก็ต ผีเสื้อนี้มาจากสำนวน Butterflies in my stomach ค่ะ ใช้บรรยายถึงอาการเวลาเจอคนที่ชอบแล้วตกประหม่า รู้สึกมวนในท้องไรงี้

ถ้ายังนึกไม่ออก ลองหาเพลง "ผีเสื้อ" ของพี่แสตมป์ฟังดูนะ (หาลิงก์เพลงออฟิเชียลไม่เจอ เอาเป็นว่าลองกูเกิลดูก็มีขึ้นมาแหละ 5555) หลักๆ แล้วได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงนี้ค่ะ 5555 นี่ก็ชวนฟังแต่เพลงแสตมป์ไม่เลิก! ฟังแล้วอยากใช้มุกผีเสื้อบ้าง ////7//// กราบว์ค่ะ พี่เป็นแรงบันดาลใจที่ดีของน้องเหลือเกิน

อันนี้หนีความจริงมาเวิ่นช่วงป่วย ส่วนของที่จะลงขายงานเต้ามู่โอนลี่ (DMBJ Only Event) เดี๋ยวจะมาประกาศอีกทีค่ะ ติดตามทวิตเตอร์ @LYMDM100palette เอาไว้นะคะ (หรือถ้าใครไม่อยากโดนฟลัดด้วยซีรีส์ หยางหยาง อี้เฟิง กรี๊ดพี่เหยาหล่อมว้าก อยากกัดแขนพี่พาน บลาๆๆๆ ก็ส่องบลอคนี้แทนได้ค่ะ แง ขอโทษค่ะ แอดมินติ่งหนักมาก)

ด้วยรัก จากด้วง M.

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] White Trace & Red Sign

 

"White Trace & Red Sign" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)



**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 ** 




- White Trace -



การที่คนเราเขียนบันทึกขึ้นมาสักบท ควรมีจุดประสงค์เช่นไร สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่บันทึกของผม คือเพื่อนผู้เงียบงัน เพื่อนผู้รับฟังและเป็นพยานให้กับทุกสิ่งที่ผมได้ประสบมา เพื่อที่วันหนึ่ง หากผมหลงลืมหรือสูญเสียสิ่งใด อย่างน้อยตัวผมในอดีตก็ยังคงอยู่ในนั้นเสมอ

ดังนั้นแล้ว การเขียนบันทึกของผม จึงควรเป็นไปอย่างซื่อตรงที่สุด ถ่ายทอดและบันทึกทุกสิ่งลงไปโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อตัวผมในอนาคตที่อาจหลงลืมบางอย่าง จนจำเป็นต้องใช้ข้อมูลในบันทึกดังกล่าว

ทว่าเหตุการณ์บางเรื่อง ผมทำได้เพียงแค่จดจำ ไม่อาจเขียนลงบนหน้ากระดาษได้ หรืออย่างน้อย ก็ควรบันทึกลงในที่ที่คนอื่นไม่อาจรู้เห็น

ความลับนั้นคือ ความจริงแล้ว เหตุการณ์บนถ้ำน้ำพุร้อนหนนั้น มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินกว่าที่ผมเขียนบันทึกเอาไว้

ตอนที่ผมถามเขาว่า คนที่ควรไปรออยู่หลังประตูสำริดนั่นสิบปีคือผมงั้นหรือ เมินโหยวผิงพยักหน้า แล้วจ้องผมอย่างเงียบงันเช่นนั้นเป็นนาน ราวกับรอคอยให้ผมพูดบางอย่าง

"ความจริงแล้ว นายมาตามหาฉันถึงร้านในหังโจว ก็เพื่อพาฉันมาที่นี่ แต่เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน?" ผมพูดโพล่งข้อสันนิษฐานเดียวที่พอจะคิดได้ออกมา

เมินโหยวผิงส่ายหน้า ตอบผมว่า "ฉันเคยพูดไว้ หากวันหนึ่งฉันรู้คำตอบที่ตัวเองตามหาแล้ว ฉันจะบอกนาย"

ผมรู้ว่าเมินโหยวผิงไม่โกหกในเรื่องแบบนี้ แต่ขณะนั้นผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าบทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาคงมองสีหน้าผมออก จึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ท่าทางเหมือนอยากพูดว่า 'นึกไว้แล้วเชียวว่านายคงจำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก'

ผมเห็นแบบนั้น จากที่ตกใจอยู่ก็กลายเป็นรู้สึกฉุนนิดๆ ขึ้นมาแทน "แล้วทำไมเพิ่งบอกฉัน นายเห็นฉันเป็นคนไร้น้ำใจขนาดนั้นเลยหรือ"

"นายเป็นความเกี่ยวโยงเดียวของฉันต่อโลกใบนี้"

"นายเพิ่งพูดที่โหลวว่ายโหลว ฉันไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้น"

"ถ้าไม่มีนายอยู่บนโลกด้านนอกนี้ ชีวิตของฉันก็ไม่ต่างจากภาพลวงตา ไร้ความหมาย ได้แต่นั่งคอยนายที่หน้าประตูอยู่ดี ดังนั้นฉันควรเข้าไปเสียเอง"

"..." ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนระเบิดซีโฟร์ซัดสมองจนกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าควรคิดอะไร ทุกซอกมุมในหัวล้วนว่างเปล่าปราศจากคำพูด ดังนั้นแล้ว เหตุการณ์ต่อมาจึงถูกจดจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ถูกความคิดอื่นใดของผมรบกวน

เมินโหยวผิงเอื้อมมือข้างนั้นของเขาออกมา ใช้ปลายนิ้วทั้งสองลากไล้ไปตามโครงหน้าของผม ทำสายตาเคร่งเครียดจริงจัง แบบเดียวกับตอนเขาสำรวจผนังสุสาน

"อู๋เสีย สิบปีข้างหน้า จะมีสักวันที่ในหัวฉันลืมเรื่องของนาย ฉันไม่อยากทิ้งนายไว้ข้างใน เอาแต่วิ่งหาความทรงจำของตัวเอง ค้นหาความเกี่ยวโยงต่อโลก แล้วสุดท้ายพบว่าตัวฉันเองเป็นคนลืมมันไว้หลังประตูบานนั้น มันอาจสายเกินไป"

น้ำเสียงของเขาราบเรียบธรรมดาเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทว่าเนื้อหาของมัน สั่นคลอนได้แม้แต่จุดที่หยาบกระด้างที่สุดในหัวใจผม ไอ้คนที่วันๆ เอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ในหัว พอพูดออกมาแต่ละทีกลับสร้างความเสียหายต่อจิตใจของผู้อื่นได้ขนาดนี้เชียว

"บะ...บัดซบ นี่นายหมายความว่าที่นัดให้มารับอีกสิบปีข้างหน้า นายจะโผล่ออกมาทักฉันคำแรกว่า 'นายเป็นใคร' อีกแล้วงั้นเรอะ!? เห็นหัวใจสุดแสนละเอียดอ่อนบอบบางของฉันเป็นอะไร มันไม่ได้โบกปูนหุ้มเหล็กไว้นะโว้ย!"

อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ถึงจุดประสงค์จะใกล้เคียงกัน แต่ความหมายอ้อมโลกไปไกลมาก! ที่น่าโมโหคือ เมินโหยวผิงดันพูดตอบมาว่า ถ้าผมรับไม่ได้ก็ให้ลืมเขาไปเสีย พ้นรอบเวลาของผมแล้ว ต่างคนต่างลืม ไม่ถือว่าติดค้างกัน

ตอนได้ยินเขาพูดว่าจะลืมผม ก็ว่าน่าโมโหแล้ว แต่พอเมินโหยวผิงพูดว่าให้ผมลืมเขา ต่างคนต่างหันหลังเดินจากไป นั่นทำให้ผมโมโหปรี๊ดยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับนายอ้วนในกับดักเต่าแม่เหล็กเสียอีก ไม่แน่ว่าบางทีถ้ำแห่งนี้ก็อาจมีกับดักแบบเดียวกันอยู่ ทว่าตอนนั้นผมอารมณ์ขึ้นจนขาดสติแล้ว ไม่สามารถคุมอาการตัวเองไว้ได้ จึงเผลอลงไม้ลงมือกับเขาไปยกหนึ่ง

"พอเถอะ นายไม่อยากทำแบบนี้จริงๆ หรอก" น้ำเสียงเขาเจือความจนใจอยู่หลายส่วน ตรงข้ามกับผมที่พูดไปหอบหายใจไปด้วย กลับบ้านงวดนี้คงต้องจัดตารางออกกำลังกายแล้วจริงๆ

"คนที่คิดจะลืมน่ะหุบปากไปเลย นายอยากลืมฉันก็ต้องถามฉันก่อนว่าจะปล่อยให้นายลืมมั้ย!" ผมกระชากคอเสื้อเมินโหยวผิง กำไว้แน่น ทางเขาคงสงสารผมอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย จึงยังไม่หักนิ้วมือผมทิ้งแล้วสะบัดตัวหลุดหนีไป ยอมให้ผมกระทำย่ำยีร่างกายเขาต่อ

"อู๋เสีย"

"อะไรอีก!"

"ถ้านายจูบไม่เป็น ก็ปล่อยให้ฉันทำแทน"

"นายว่าใค---------!!!"

ผมมีสิทธิ์พูดได้ถึงแค่นั้น เพราะลิ้นโดนตวัดพัวพันไม่หยุด ปลายจรดโคนถูกรัดพันคลุกเคล้าแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จั๊กจี้เพดานปากเป็นบ้า ไอ้หมอนี่แม่ง... ผมถึงกับเกือบหลุดถามออกไปเลยว่าสกุลจางบังคับฝึกวิทยายุทธ์ให้ลิ้นด้วยหรือ รู้สึกดีใจที่ลิ้นคนเราไม่ได้ยาวมาก ไม่งั้นภาพผู้ชายสองคนยืนจูบกันจนลิ้นพันเป็นปมคงเป็นเหตุการณ์น่าอายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในถ้ำแห่งนี้

เหตุการณ์ต่อจากนั้น ผมไม่มีสติไปจำสักเท่าไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีก็กำลังนอนเปลือยอยู่บนพื้น ใช้อวัยวะบางส่วนแถวสะโพกบดเบียดกันอย่างเมามันมาก ชิบหายที่สุด มือผู้หญิงผมยังไม่เคยจับเลยแท้ๆ แล้วนี่กูมานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้กับผู้ชายอีกคนวะเนี่ย! ทว่าความคิดดังกล่าวก็จบอยู่แค่ในสมองเท่านั้น ร่างกายผมแม่งแยกประเทศออกไปปกครองตนเองเรียบร้อยแล้ว ก่อกบฏอย่างจริงจังมาก

"ไม่ได้ผลหรอก ฉันจะลืมนาย"

"ช่างแม่ง ให้ร่างกายนายจำได้ก็โอเค"

เมื่อย้อนคิดถึงบทสนทนานี้ในภายหลัง ผมรู้สึกว่าน่าอายมาก คนเราเวลาขาดสติสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงว่าทำไมตามหน้าหนังสือพิมพ์จึงได้มีข่าวแปลกๆ ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้น สองนิ้วมือที่แคล่วคล่องของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นที่อุ่นร้อนเป็นพิเศษ สัมผัสแปลกปลอมทำให้ผมเผลอบีบรัดเกร็ง ตลอดเวลาระหว่างนั้น เขาพูดปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติหลายหน่วย ผมแอบดีใจนิดหน่อยที่ก่อนจากกันยังมีบุญได้สัมผัสอารมณ์ด้านนี้ของเขาด้วย ถึงกับเผลออมยิ้มออกมา พอเขาเห็นเข้าก็ทำสีหน้าประหลาด แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้มบางๆ กลับมาเช่นกัน

เมินโหยวผิงสัมผัสใบหน้าผมอีกครั้ง ราวกับจะให้นิ้วมือแสนสำคัญของเขาจดจำใบหน้าผมแทนดวงตาให้ได้จริงๆ "นายอาจเสียใจในตอนหลัง" ...ถ้าคิดจะพูดแบบนี้ก็อย่าดันไอ้นั่นเข้ามาด้วยสิวะ!

"หลายปีนี้ฉันเจอเรื่องเสียใจเยอะแล้ว เพิ่มมาอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป" ที่สำคัญคือถอยหลังกลับไม่ทันแล้วโว้ย!

"อู๋เสีย"

"ถ้านายยังไม่หยุดพูดแล้วรีบทำให้จบ ฉันจะเริ่มเสียใจให้ดูตอนนี้เลย"

"อย่าลืมฉัน" เขากระซิบคำพูดสุดท้ายผ่านริมฝีปากผม หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีบทสนทนาใดอีก เหลือแค่การเสียดสีกายและเสียงหอบหายใจของคนสองคน

หนึ่งคำร่ำลาสำหรับสิบปี

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อผมรู้สึกตัวตื่น เมินโหยวผิงก็จากไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับความฝันไม่ก็ภาพลวงตาของถ้ำหินโบราณ สิ่งที่ยืนยันว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงลัญจกรที่เขาทิ้งไว้ และคราบเปื้อนสีขาวขุ่นบนลำตัวผมเท่านั้น

ไอ้ห่านี่แม่งทำผมเปื้อนแล้วยังไม่มีน้ำใจช่วยเช็ดตัวให้ผมสักหน่อยเลย! บ่อน้ำก็อยู่ห่างไปนิดเดียวแท้ๆ นายไม่มีเวลาแล้วถึงขนาดนั้นเลยหรือ!






- Red Sign -




สถานที่ลึกลับแห่งนั้น ล้อมรอบด้วยผนังหินที่ถูกแต่งแต้มจากฝีมือมนุษย์ ภาพสีบนผนังหลุดร่อนไปมากเพราะความชื้นจากไอน้ำของบ่อน้ำพุร้อน ทั้งยังก่อกำเนิดหมอกควันเบาบาง สร้างบรรยากาศราวภาพฝันให้แก่มนุษย์ทั้งสองร่างที่กอดก่ายกันอยู่บนพื้น

จางฉี่หลิงออกแรงขยับเป็นจังหวะเนิบช้า จงใจเสียดสีแก่นกายตนให้บดเบียดซ้ำๆ ลงบนจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย เสียงสะอื้นฮึกดังแผ่วมาจากร่างในอ้อมกอด

หากการอุทิศตนของเขาสามารถแลกความปรารถนาได้สักข้อ จ่างฉี่หลิงก็อยากให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป ไม่มีที่สิ้นสุด

"เ...ส...เ...กอ..."

เสียงเอื้อนครางกระท่อนกระแท่นดังขาดช่วงตามจังหวะขยับร่างกายท่อนล่าง คนคนนี้ไม่ค่อยเรียกชื่อเขาบ่อยนัก การจะได้ฟังแต่ละครั้ง ไม่ง่ายเลย

เขาอดไม่ได้ ต้องไล้นิ้วมือไปตามโครงหน้าและร่างกายของคนในอ้อมกอด นิ้วมือของเขาถูกฝึกมาเป็นพิเศษ พวกมันไวสัมผัสนัก สามารถรับรู้ได้ถึงกลไกทุกประเภทเบื้องหลังกำแพงกระเบื้องหรือผนังอิฐ แต่ไม่ว่าจะกด บีบ คลึงเคล้าสัมผัสไปมากแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกเข้าถึงข้างในคนคนนี้ไม่มากพอเสียที

บางทีนี่ก็อาจเป็นกับดักประเภทหนึ่ง กับดักที่ร้ายกาจที่สุด

"ฮะ...ฮึก..."

เขารู้สึกถึงแรงตอดรัดจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงครางและแรงกระตุกที่ฉีดความอุ่นร้อนออกมาเปรอะหน้าท้องเขา ตอนนี้ช่องทางที่เชื่อมต่อกันเต็มไปด้วยความชื้นแฉะ พอขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถสักทีก็ทำให้บางส่วนไหลเยิ้มออกมาจนถึงต้นขาเขา

จางฉี่หลิงมองใบหน้าอีกฝ่าย ดูเหมือนคนคนนี้จะใช้แรงกายเยอะจนเหนื่อยมากแล้ว ผิวแก้มขาวเนียนแบบคนไม่ค่อยออกแดดกลายเป็นสีอมเลือดฝาด แดงไปหมดหัวจรดเท้าทั้งที่ยังไม่ได้ลงไปแช่น้ำพุร้อนสักนิด

เขาเรียกชื่อคนตรงหน้า อีกฝ่ายเอาแต่นอนหอบหายใจ ตาหรี่ปรือคล้ายเข้าสู่โลกความฝันไปแล้วครึ่งตัว ไม่แม้แต่จะกระพริบตารับรู้ แต่พอเขาลูบไล้กลีบปากแดงช้ำนั่นแล้วสอดนิ้วเข้าไป เจ้าตัวก็ไล้เลียตอบรับอย่างดี ราวกับเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องที่ผ่านการฝึกมาแล้ว

เขาปรารถนาเหลือเกิน ให้ทุกสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป

น่าเสียดาย...เขาไม่มีเวลาแล้ว

น่าเสียดาย...คนคนนี้ไม่ค่อยพูดชื่อของเขา

น่าเสียดาย...อู๋เสียไม่เคยเอะใจว่าฉี่หลิงในชื่อนี้ มีอีกความหมายหนึ่งคือการปลุกดวงวิญญาณ

น่าเสียดาย...ที่ในหนึ่งปี ประตูผีจะถูกเปิดออกเพียงหนเดียว





...เพื่อให้เขากลับเข้าไป...






+++

END
23/06/2015 



#dmbjdaily 59 days left : Left
#dmbjdaily 58 days left : Right




Talk Time:

ก็ว่าจะลองแต่งฟิควิชาการแบบ 20+ ดูมั่งอะค่ะ แต่เหมือนจะยังได้แค่ 18+ เอง 55555555555 ฮึ่มมม เดี๋ยวไปลองใหม่←

เป็นซีนที่คิดไว้นานแล้วว่าอยากแต่งตั้งกะตอนรวมเล่ม แต่ตอนนั้นบิ๊วอารมณ์ (หื่น) ไม่ถึงจริงๆ ฮือ ไอ้ครึ่งแรก (White Trace) ก็พยายามจะ 18+ แต่โดนอู๋เสียตบมุกทุกบรรทัดเลย 5555555... ก็เลยกลายเป็นบทแถมในครึ่งหลัง (Red Sign) อย่างที่เห็นน่ะค่ะ *กระแอม*

มัน Left กะ Right ยังไง ต้องลองใช้จินตนากาวค่ะ /โดนตี

ส่วนที่ว่าประตูผีอะไรนั่น เป็นกึ่งๆ กาวปนวิชาการค่ะ ส่วนไหนกาว ส่วนไหนวิชาการ... ไม่บอก แอร๊ /โดนตีอีกรอบ ด้วงๆ สายวิชาการน่าจะขุดรู้กันได้ง่ายๆ ฮา แต่คิดว่าน่าจะเป็นเนต้าใกล้ๆ ฟิคผิงเบี----แค่ก น่ะค่ะ *ไอหนักมาก*


ด้วง L. โหมดแจกพอร์น

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Stay

 

"Stay" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย



**(a little bit) Spoiler Warning**




ข้างนอกเกิดฝนฟ้าคะนองหนัก ฟ้าร้องสลับฟ้าแลบ เสียงหยดน้ำสาดซัดดังปะปนกันต่อเนื่องตลอดคืน

ยิ่งตกดึก พายุยิ่งกราดเกรี้ยว ทั่วผืนฟ้ายิ่งแผดเสียงหนักอย่างไม่มีทีท่าจะราลง อากุ้ยบอกว่าหน้าฝนที่ปาหน่ายฝนตกชุก ตกครั้งหนึ่งตกหนักและยาวนาน และหลังจากฝนตกครั้งใหญ่ไม่กี่วัน มักจะมีฝนฟ้าคะนองตามมาอีกระลอกให้คอยระวังไว้

ตลอดการพักค้างแรมที่ปาหน่ายในเรือนไม้รับแขกของอากุ้ย อู๋เสียเลือกนอนที่นอนริมนอกสุดใกล้หน้าต่างตลอดมา เพราะเป็นจุดที่อากาศถ่ายเทดีที่สุด คุณชายอย่างเขาไม่ค่อยทนต่ออากาศร้อนชื้นในป่าเขาแบบนี้ นอนไปสักพักก็บ่นร้อน ขยับตัวยุกยิกไปเรื่อย นายอ้วนจึงตัดปัญหาด้วยการตามใจมิตรสหายท่านนี้ ทั้งยังสนับสนุนด้วยการถีบให้เขาไปนอนริมหน้าต่างไกลๆ ฟูกที่เหลือของเพื่อนด้วย

อาจะเป็นเพราะอู๋เสียไม่คุ้นกับที่นอนในชนบท พออากาศแปรปรวนจึงนอนกระสับกระส่ายมากเป็นพิเศษ หนักเข้าก็นอนดิ้นไม่รู้ตัว ย้ายตัวเองไปนอนที่ระเบียง จวนเจียนจะกลิ้งตกเรือนใต้ถุนสูงได้หากไม่มีประตูไม้ซี่โปร่งกั้นเอาไว้

นอนไม่เป็นท่าอยู่เช่นนั้น กว่าจะรู้ตัวก็ค่อนคืน ตอนที่ห่าฝนถล่มลงมาจากฟากฟ้า ละอองน้ำโปรยปรายจากหลังคาพัดเข้ามาในเรือนไม้ ฟ้าผ่าลั่นเปรี้ยง ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก กระเด้งตัวจากท่านอนไม่เป็นท่าในพรวดเดียว

พอสะดุ้งตื่นแล้วก็บ่นเสียงดัง "เชี่ย! ฝนตกฟ้าร้อง บ้านทั้งหลังแม่งร้องแอดๆ ยังกับจะพังลงมาอยู่รอมร่อ พวกนายนอนหลับลงไปได้ยังไงกัน!"

บ่นเสร็จแล้วก็หอบหมอนผ้าห่มที่กระจัดกระจายของตัวเองกลับมายืนตรงหน้าที่นอนของเพื่อนทั้งสอง

ในตอนนั้นเอง อู๋เสียถึงเพิ่งเห็นว่ามีคนคนหนึ่งไม่ได้นอนหลับอยู่

"อ้าว ฉันทำให้นายตื่นเหรอ" ชายหนุ่มถาม พลางขยี้ตามองคู่สนทนาในความมืดอย่างง่วงงุน

เพราะข้างนอกมีฟ้าแลบแปลบปลาบแทบจะตลอดเวลา ต่างคนต่างมองเห็นกันไม่ยาก อีกฝ่ายส่ายหน้า ไม่พูดไม่จาดังเช่นปกติ อู๋เสียพยักหน้ารับรู้อย่างไม่ถือสาอะไร เกาหลังคอสองสามทีก่อนจะยกเท้าเขี่ยนายอ้วนที่นอนหลับเป็นตายแล้วสั่งให้หลบ

"เฮ้ย ไอ้อ้วน ขยับไป เชี่ยนี่แม่งถีบกูแน่ๆ" น้ำเสียงของคุณชายน้อยวางอำนาจเอาแต่ใจ คล้ายหงุดหงิดที่ตื่นขึ้นมากลางคันผสมกับความอยากนอน จึงไม่มีอารมณ์มาเกรงใจกันนัก

นายอ้วนกรนยังคงกรนไม่รู้เรื่องรู้ราว เสียงดังพอแข่งกับฟ้าคำรามข้างนอกได้อย่างสูสี

อู๋เสียเห็นนายอ้วนไม่ได้ยินและไม่มีทีท่าว่าจะขยับ จึงถือวิสาสะถีบร่างอ้วนนั้นเต็มเท้า ใช้แรงผลักร่างใหญ่โตให้ขยับแหวกออก สร้างพื้นที่ตรงกลางระหว่างนายอ้วนกับอีกคนที่ยังไม่หลับอย่างลำบากยากเย็น

เห็นนายอ้วนไม่ยอมขยับ อีกคนที่ยังไม่หลับจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะยกพื้นที่ของตนให้แทน แต่อู๋เสียกลับคว้าแขนเขาไว้ พูดว่า "เสี่ยวเกอ นายห้ามไป นอนตรงนี้แหละ ฉันจะนอนตรงกลาง"

ชายผู้เงียบงันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ สักพักจึงพยักหน้า แล้วเอนตัวลงนอนหันหลังให้ผู้มาใหม่

พอทุกอย่างเป็นดั่งใจแล้ว คุณชายน้อยก็จัดแจงเอาหมอนวาง เอาผ้าห่มปู ยึดพื้นที่แคบๆ ตรงกลางระหว่างคนสองคนเป็นที่ของตัวเอง

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนตรงกลาง

บรรยากาศในห้องนอนของคนสามคนเงียบสงัด ก่อนที่ฟ้าข้างนอกจะผ่าโครมใหญ่ ต่อด้วยเสียงโครมครืนถี่รัวดังเข้ามาถึงในห้อง ดูท่าพายุฝนฟ้าคะนองคืนนี้จะไม่สงบลงง่ายๆ

คุณชายสกุลอู๋เอาผ้าห่มคลุมหัวมุดโปงนอนอย่างไม่รู้ไม่ชี้

"นายเองก็รีบนอนได้แล้วเสี่ยวเกอ เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวต้องขึ้นเขาไปตรวจสอบทะเลสาบตรงนั้นอีกที ยังไม่รู้จะเจออะไร นอนเอาแรงตอนที่นอนได้ไว้เถอะ" ชายหนุ่มพูดอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม

อีกคนพยักหน้า ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เห็นคำตอบของเขา

บัดนี้คนที่นอนข้างๆ เขาคืออู๋เสีย ถัดออกไปอีกเป็นนายอ้วนที่นอนกรนสั่นฟ้าสะเทือนดิน

เสียงโครมครามยังคงคำรามถี่รัว ฟ้าฝนคล้ายมีจังหวะของตัวเอง

อู๋เสียบ่นว่าพวกเขานอนหลับลงได้อย่างไรในสภาพอากาศเช่นนี้

เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าจะหลับลงได้อย่างไร เมื่ออยู่ๆ "คนพิเศษ" ก็มานอนอยู่ใกล้ๆ

ฟ้าฝนคล้ายมีจังหวะของตัวเอง ยากที่จะควบคุมจริงๆ


+++

END
12/06/2015



#dmbjdaily 68 days left : Special



Talk Time:

เอาเวลาที่ควรปั่นของลงงานโอนลี่มาเขียน #DMBJdaily อ่ะ *เขิง*

มิใช่ สเตย์รัดหน้าท้อง มิใช่สเตย์ไนท์ แต่มันคือสเตย์ที่แปลว่าพักอาศัย หรือคงอยู่ ค่ะ จริงๆ อยากใช้ชื่ออื่น แต่เดี๋ยวมันจะสปอยล์ อุวะฮะฮ่า

ความคิดเบื้องหลังยังมีอีกเยอะ แต่เหมือนจะสื่อได้ไม่หมดเท่าที่คิด ฮือ ไม่เป็นไร เก็บกลับไปรียูสเรื่องหน้า *แค่กค่อก*

ด้วยรัก จากด้วง M.

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 11: ราวกับเรื่องโกหก



 "011. ราวกับเรื่องโกหก"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



เช้าวันต่อมา อู๋เสียตื่นขึ้นอย่างเข้าใจลึกซึ้งถึงความหมายของคำกล่าว 'ยิ่งสบายกายยิ่งไม่สบายใจ'

เหตุการณ์มีอยู่ว่า เพราะทั้งสองจำเป็นต้องนอนร่วมห้องกัน หากผู้ชายตัวโตเช่นเขาปล่อยให้เด็กผู้หญิงนอนบนพื้นก็ออกจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย แต่จะให้เสียสละตัวเองไปนอนพื้นก็ไม่ได้ ร่างกายแสนอ่อนแอของเขามีหวังจับไข้ป่วยตายในไม่กี่วันแน่นอน

ดังนั้นอู๋เสียจึงทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ สะกดจิตตัวเองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน แถมยังเป็นแค่เด็กผู้หญิง นอนร่วมเตียงกันไปก็ไม่เกิดปัญหาอะไร ยังไม่นับว่าอีกหน่อยก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วด้วย (...ถ้านางยอม!)

อู๋เสียเผลอหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัว พอไม่มีสติคอยคุม ร่างกายก็เริ่มกระทำการอุกอาจ กอดก่ายมือเท้าบุคคลร่วมเตียงประหนึ่งหมอนข้าง หลับสบายแบบที่ไม่เคยมานาน ตื่นอย่างกระปรี้กระเปร่า สดชื่นแจ่มใส ...จนกระทั่งเห็นว่าตนนอนกอดอะไรอยู่

เสี่ยวผิงที่ตื่นก่อนกำลังมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่เช้า คุณชายน้อยปล่อยร่างในอ้อมกอดด้วยความกระอักกระอ่วน เอ่ยคำขอโทษ แต่เสี่ยวผิงก็ยังคงเป็นเสี่ยวผิงผู้เงียบงัน นางแค่เอียงคอมองเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

หมายความว่า ‘ไม่เป็นไร’ กระมัง เขาได้แต่เดา

พวกสาวใช้ได้ยินเสียงเจ้านายตื่นแล้ว จึงเข้ามาจัดการเก็บอ่างอาบน้ำเย็นชืด และนำกะละมังน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้ามาสับเปลี่ยนกับอันเก่า เมื่อคืนก่อนจะนอน เขาจัดการปล่อยม่านให้ตกลงมาปิดบังรอบเตียงไว้ พวกนางจึงยังไม่เห็นแขกตัวน้อย

รอจนรอบเรือนไม่เหลือใครแล้ว อู๋เสียถึงค่อยรวบม่านเก็บแล้วอุ้มเสี่ยวผิงไปล้างหน้าบ้วนปากด้วยกัน ระหว่างเช็ดหน้าให้เสี่ยวผิงผู้ยังไม่ชินกับการใช้มือเท้ามนุษย์ อู๋เสียก็รู้สึกแปลกพิกล เมื่อคืนเพิ่งคิดว่านางเป็นน้องสาว บัดนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นบิดาแทน เช่นนี้แล้วไม่ใช่เช้าถัดไปเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นบรรพบุรุษนางหรอกนะ

อู๋เสียอยากรีบไปถามความจากท่านปู่เต็มทน เขายืนจ้องเสี่ยวผิง พักหนึ่งก็ตัดสินใจอุ้มนางไปห้องโถงของเรือนหลัก ป่านนี้ทุกคนคงเริ่มมื้อเช้าไปได้ครึ่งทางแล้ว ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องถามสืบย้อนไปมา เพราะฟังจากที่นางเล่า ทุกคนในครอบครัวล้วนรู้เรื่องนี้ทั้งนั้น เว้นเพียงเจ้าตัวแกนกลางของเรื่อง ซึ่งก็คือเขาผู้เดียว

ตลอดทางที่เดิน เขารู้สึกได้ถึงสายตาสงสัยของบ่าวไพร่ ทว่าแต่ไหนแต่ไร คุณชายน้อยก็ไม่ใช่คนชอบพูดจาเล่นหัวกับบ่าวในเรือน ทุกคนจึงได้แต่แสดงสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่มีใครขวัญกล้าพอจะกระโดดขวางทางแล้วเขย่าคอเสื้อถามความเป็นมา

“คุณชาย คราวนี้ของที่ท่านเก็บกลับบ้าน ดูแล้วมีวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดเลยนะขอรับ” ...ยกเว้นบ่าวคนสนิทปากไร้กาละเทศะผู้หนึ่ง

“หุบปาก หวังเหมิง ตอนนี้ทุกคนอยู่ในห้องโถงเล็กใช่มั้ย”

“...”

“ข้าหมายถึงหุบปากในเรื่องที่เจ้าพูดประโยคแรก แต่ยังควรอ้าปากตอบคำถามที่ข้าถาม!”

“อ้าว...อะแฮ่ม ตอนเดินผ่านครั้งแรก ข้าเห็นแค่คุณชายรองขอรับ แต่ตอนนี้ท่านคงต้องเสี่ยงเดินไปดูเอง อาจจะมีคนเพิ่มหรือลดลง ข้าก็ยืนยันไม่ได้”

อู๋เสียหันไปมองหนึ่งที ในสายตานั้นยังแฝงถ้อยคำลึกซึ้งไว้ ‘ขืนเจ้าพูดจายั่วโมโหข้าอีกคำ ข้าจะส่งเจ้าไปโกยขี้หมาในเรือนเพาะเลี้ยง’ หวังเหมิงผู้เคยโดนลงโทษมาแล้วหลายรอบจึงรูดซิปปากสนิททันที

หนุ่มน้อยผู้นี้ เป็นมนุษย์คนแรกที่อู๋เสียเก็บกลับมาเลี้ยง เพราะโตมาด้วยกันนับสิบปี จึงไม่ค่อยมีความยำเกรงให้ผู้เป็นนายมากเท่าบ่าวคนอื่น หากนับแค่เรื่องความจงรักภักดีอย่างเดียว อู๋เสียสามารถเชื่อใจบ่าวผู้นี้ได้ทุกอย่าง แต่หากนับเรื่องอื่นด้วย...เขาก็รู้สึกเสียดายค่าข้าวอยู่บ้างเล็กน้อย

พอได้ยินว่ามีแค่อาคนรอง อู๋เสียก็เกิดอาการลังเล ท่านอารองมิใช่คนขี้โมโหแบบท่านอาสาม แต่กลับให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่ากันหลายเท่า ตอนนี้ท่านปู่วางมือแล้ว เรื่องสำคัญในบ้านล้วนให้ท่านอารองจัดการ ปัญหาการแต่งงานและการสืบเชื้อสายทายาทสกุลอู๋ ก็คงนับว่าอยู่ในขอบข่ายหน้าที่ของท่านอารองด้วยกระมัง

ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องคุยเรื่องนี้ ไม่สู้กลั้นใจยอมตายในดาบเดียว จังหวะเท้าที่เคยลังเลจึงเปลี่ยนกลับไปมั่นคงเหมือนเดิม

โถงเล็กมักเปิดประตูทิ้งไว้ตลอดวัน อู๋เสียก้าวเข้าไป เจอบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งนั่งกินข้าวเช้าเพียงลำพัง ตำแหน่งใกล้ๆ บนโต๊ะยังเหลือข้าวเปล่าสองถ้วย กับข้าวห้าอย่าง อู๋เสียรู้สึกเหมือนโดนกดดัน รู้ตัวทันทีว่าอารองของตนเตรียมห้องโถงว่างนี้เพื่อคุยกับเขาโดยเฉพาะ ทั้งยังรู้ว่าเช้านี้มีแขกเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ท่าทางชะตากรรมเขาคงยากจะเปลี่ยนแปลงแล้ว

“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง” อยู่ๆ อู๋เอ้อร์ไป๋ก็พูดโพล่งขึ้นมา ไม่มีหัวไม่มีท้าย

อู๋เสียลอบขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าคำถามนี้สำหรับตนหรือเด็กน้อยที่ตนอุ้ม สุดท้ายตัดสินใจไม่ถูก เลือกตอบไปแบบกลางๆ “นอนหลับสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” เขาตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ให้เด็กน้อยนั่งข้างตน แล้วดึงเก้าอี้มานั่งเองอีกตัว เป็นตำแหน่งที่ชามข้าววางไว้ ซึ่งคือตรงข้ามอู๋เอ้อร์ไป๋

ผู้เป็นอาใช้สายตาคมกริบจ้องหลานชายตน หันไปมองเด็กน้อยด้านข้างเพียงชั่วครู่ ก่อนย้ายสายตากลับไปที่อู๋เสียเช่นเดิม “หลานคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าคนฟังกลับหนาวยะเยือก

ประโยคนี้ โดยตัวมันเองนั้นเรียบง่าย ทว่าความหมายแฝงลึกซึ้งเหลือคณา ประโยคเดียวจากอารองของตน ทำให้อู๋เสียตระหนักรู้ได้หลายอย่าง อารองผู้นี้คิดอะไรซับซ้อน แผนการลึกสุดหยั่ง คนเช่นนี้ไม่ถามเขาว่ารู้อะไรมาบ้าง แต่กลับชิงบอกว่าเขาคงรู้เรื่องหมดแล้ว หมายความว่าอู๋เอ้อร์ไป๋เชื่อถือในตัวเด็กน้อยจำแลงผู้นี้มาก

อู๋เสียเห็นอารองของตนมาตั้งแต่เกิด บนโลกใบนี้ หากจะควานหาคนเข้าใจอู๋เอ้อร์ไป๋ได้ก็นับว่ายาก แต่หาคนที่อู๋เอ้อร์ไป๋เชื่อถือและเชื่อใจได้นั้นยากยิ่งกว่า เจ้ากิเลนเสี่ยวผิงนี่ไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว

“ข้ายังอยากได้คำยืนยันจากปากท่านอีกที เมื่อวานข้าสติไม่ค่อยอยู่กับตัว อาจเข้าใจผิดหรือฟังตกหล่นตรงไหนไปก็ได้” อู๋เสียปั้นสีหน้าน่าสงสาร น้ำเสียงอ้อนวอนอารองของตนสุดชีวิต อู๋เสียเป็นหลานชายคนเดียว โตมาท่ามกลางการอุ้มโอ๋ของผู้ใหญ่รอบตัว นี่เป็นความสามารถพิเศษของเขาและเขาก็ไม่ละอายสักนิดถ้าต้องใช้มันเพื่อสิ่งที่ต้องการ

“เดิมทีอาก็ไม่อยากเล่าจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย พวกเราอยากให้หลานโตขึ้นอย่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง”

อู๋เอ้อร์ไป๋ถอนหายใจ ก่อนเริ่มเล่าเรื่องขึ้นจากฝั่งของบ้านสกุลอู๋ เนื้อหาโดยรวมแล้วแทบเหมือนสิ่งที่กิเลนพูดทุกประการ ชนิดคำต่อคำ ประโยคต่อประโยค ราวกับท่องมาจากกระดาษแผ่นเดียวกันไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะอู๋เสียเห็นเจ้ากิเลนกลายร่างเป็นมนุษย์ด้วยตาตนเอง เขาจะต้องนึกว่านี่เป็นเรื่องตลกสำหรับยัดเยียดคู่หมั้นคลุมถุงชนแน่

“ยังไงเจ้าสาวก็ไม่มีทางเปลี่ยนตัว หลานต้องแต่งงานกับเขา”

“...เขา?”

อู๋เสียหันไปมองเด็กน้อยข้างตัวแล้วร้องอ้อในใจ ตอนนี้เสี่ยวผิงอยู่ในชุดสมัยเด็กของเขาเอง รวบผมเป็นหางม้าแล้วเกล้ารัดด้วยห่วงทองอันเล็ก มองยังไงก็เหมือนคุณชายตัวน้อย ทว่าดีที่ตอนนี้คุณหนูบ้านต่างๆ รับความนิยมแปลกๆ มาจากเมืองหลวง มักแต่งกายเป็นชายออกไปขี่ม้านอกเมืองหรือเดินเล่นในตลาด ตลอดทางที่เดินมา บ่าวทุกคนจึงได้แต่สงสัย อยากรู้ไม่อยากถาม กลัวรับความจริงไม่ไหว

หลังฟังจบ รู้ว่าตนไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว อู๋เสียจึงปลงตก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วกินข้าวสลับกับป้อนข้าวให้เด็กน้อยข้างตัว อู๋เอ้อร์ไป๋เริ่มมื้อเช้าก่อนนานแล้ว จึงจบมื้ออาหารส่วนของเขา ก่อนไปยังไม่ลืมกำชับหลานชายคนเดียว พร้อมกับวางเงินก้อนหนึ่งถุงและตั๋วแลกเงินอีกหลายใบ

“ดูแลเขาให้ดี อะไรขาดเหลือก็ซื้อให้เรียบร้อย ห้ามให้เขาโดนน้ำ ห้ามกินอาหารหลังพระอาทิตย์ตก และห้ามให้เขากินเนื้อสัตว์เด็ดขาด” เมื่อเห็นอู๋เสียทำหน้าหวาดผวา หันไปมองคู่หมั้นตนด้วยสีหน้าสะพรึงกลัวเล็กน้อย อู๋เอ้อร์ไป๋จึงกระแอมออกมาเบาๆ พูดออกมาเพียง “...เจ้าเชื่อข้ารึ?” ก่อนเอามือไพล่หลัง เดินออกจากห้องไปโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่ม

อู๋เสียจ้องเสี่ยวผิงที่กำลังทำสีหน้าไร้อารมณ์ใส่เขา ถามนางว่า “เขาล้อเล่นจริงๆใช่มั้ย”

“...เอาที่เจ้าสบายใจ” นางตอบ พลางจับจ้องน่องไก่ตุ๋นน้ำแดงบนโต๊ะด้วยสายตาแปลกประหลาดยิ่ง!





+++

TBC

06/06/2015




Talk Time:

แง จะเดดไลน์แล้วค่ะ ฟิคยังไม่ถึงไหนเลย.. *กัดเล็บกึกๆ มองเลข 15 บนปฏิทิน*

เอาเป็นว่าจะพยายามแต่งให้จบก่อน แล้วค่อยรีไรต์ทีเดียวนะคะ 5555 แง หมดสต๊อกแล้ว

ปล. ทุกคนอย่าลืมไปฟังเพลงเต้ามู่ที่ อฟช จีนปล่อยมา เนื้อเพลงก็มีคุณแป้งแปลเวอร์ชั่นแฮ่กๆ ไว้แล้ว อย่าลืมไปตามหา ส่วนคุณ บ. ก็แปลเวอร์ชั่นแมนๆ เตะบอล ไว้รับหน้าผู้ชายแล้ว แฟนดอมอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก อยากนอนอืดเสพกาวไปวันๆ จังเลย โฮ


ความโรแมนติกในวงการเพาะเชื้อและเห็ดรา
ด้วง L.

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 10: ร่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว


 "010. ร่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



อู๋เสียมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่กล้าหายใจ

'สิ่งนั้น' จมอยู่ใต้กองเส้นขนยาวรุงรัง ใช้น้ำเสียงยะเยือกเรียกชื่อเขาท่ามกลางความมืด ให้ความรู้สึกชวนขวัญผวามาก

เมื่อครู่ไม่รู้เขาเอาปลายไม้เขี่ยไปโดนส่วนไหนของมัน ผิวสัมผัสที่ได้รับผ่านไม้ช่างเหมือนกับตอนจิ้มถุงหนังที่ใส่น้ำจนเต่งไม่มีผิด

...ชวนให้นึกถึงตอนเอาไม้เขี่ยซากสุนัขบวมอืดที่เกยฝั่งทะเลสาบ

ตามหลักเหตุผลแล้ว ตำแหน่งดังกล่าวเคยมีเจ้ากิเลนยืนสะบัดขนอยู่ ดังนั้นวัตถุสีขาวซีดที่เห็นก็ควรเป็นกิเลนตัวนั้นหลังแปลงร่างสำเร็จแล้ว แต่บนใบหน้าอู๋เสียขณะนี้ กลับแสดงออกชัดเจนถึงความคิดประมาณว่า '...ถ้ามีแต่ร่างน่ากลัวประเภทนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย แค่คำว่ามิตรภาพธรรมดาข้าก็ยังไม่อยากมอบให้'

คุณชายน้อยยืนนิ่ง ไม่กล้าก้าวเข้าหาแต่ก็ไม่กล้าถอยหนีไปที่อื่น เป็นช่วงเวลาเงียบงันที่ชวนกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย จนกระทั่งมันร้องเรียกเขาอีกรอบ อู๋เสียจึงรู้สึกว่าตนควรทำอะไรสักอย่าง

หายใจไม่คล่องคอ ร่างกายหนักอึ้ง แรงกดดันนี้ไม่ใช่จากมโนธรรมในใจ แต่เป็นความคาใจที่มีต่อสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ข้างใต้

เขารวบรวมสติ ฝืนใจเอาปลายไม้เขี่ยกองเส้นสีดำให้หลบออกไปข้างๆ หวังให้มันดูน่าขยะแขยงน้อยลง คราวนี้เขาคิดถูก ทำเช่นนี้แล้วเห็นรูปร่างของมันชัดเจนขึ้นมาก เสียดายที่แสงจันทร์ข้างแรมให้ความสว่างน้อยเกินไป เงาจากส่วนปูดโปนต่างๆ ทำให้อู๋เสียพิจารณาลักษณะที่แท้จริงของมันได้ยากขึ้น

เขาย่างเท้าเดินวนรอบๆ เพื่อดูทุกส่วนให้กระจ่างชัด ไม่นานก็ต้องเลิกคิ้ว ยืนพิจารณา 'ร่างกาย' ที่กองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าแสดงอาการประหลาดใจ



++++++++++++++++++++++++++++++



คืนนั้นยามเฝ้าประตูใหญ่บ้านสกุลอู๋รู้เพียงว่า คุณชายน้อยขี่ม้าออกจากบ้านไปแต่เช้า ไม่พาบ่าวรับใช้ติดตามไปสักคน ล่วงเข้ายามสอง* จึงค่อยขี่ม้ากลับมา บนตักอุ้มอะไรบางอย่าง ทว่าถูกเสื้อนอกของคุณชายห่อไว้มิดชิด

ตั้งแต่สมัยก่อน นายผู้เฒ่าก็มีชื่อเสียงร่ำลือด้านน้ำใจกว้างขวาง มักเก็บสุนัขเร่ร่อนน่าสงสารกลับมาเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งภายหลังวาสนาดีจนได้เป็นเขยแต่งเข้าบ้านคหบดีผู้หนึ่ง ผู้เฒ่าอู๋ก็ยิ่งมีฐานะเงินทองมากพอเลี้ยงดูสุนัขได้เยอะขึ้น ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรจนลูกหลานได้รับอิทธิพล เก็บสัตว์หรือคนกลับมาเลี้ยงที่บ้านเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ให้ความสนใจสิ่งที่ถูกเสื้อคลุมห่อไว้นัก แม้สิ่งนั้นท่าทางจะใหญ่กว่าลูกสุนัขปกติก็ตาม

เรือนของเขาอยู่ส่วนปีกเล็กของบ้าน เดิมถูกใช้เป็นห้องเรียนหนังสือ ตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว รอบด้านเป็นสวน มีสระบัวขนาดย่อมอยู่หนึ่งสระ  ภายหลังได้ซ่อมแซมและต่อเติมเพิ่มก่อนยกให้เขาเป็นเรือนส่วนตัว

"พวกเจ้าไปเตรียมถังน้ำอาบ จากนั้นไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องรอ พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามาเปลี่ยนน้ำ" อู๋เสียเดินถึงห้องนอนก็หันไปสั่งสาวใช้

เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็กและห่างไกลจากเรือนใหญ่พอสมควร อู๋เสียอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ดังนั้นพอฟ้ามืด หากเขาไม่มีธุระอยากใช้สอยก็จะส่งสาวใช้กลับเรือนใหญ่

เหล่าสาวใช้เหลือบตามองหนเดียวก็เห็นห่อผ้าที่คุณชายน้อยอุ้มไว้ไม่ห่าง พวกนางล้วนไม่ประหลาดใจเช่นกัน คิดว่าคุณชายน้อยคงเจริญรอยตามผู้ใหญ่ในบ้าน เก็บสัตว์กลับมาแล้วพยายามจะอาบน้ำให้ด้วยตนเองกระมัง พอปฏิบัติตามคำสั่งเสร็จจึงพากันเดินออกจากเรือน แอบสบตาอมยิ้มใส่กันด้วยความอาดูร

เมื่ออยู่คนเดียว คุณชายน้อยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทุกขั้นตอนที่วางแผนไว้ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ต่างกับชีวิตปกติของเขาในแต่ละวัน แต่ในใจอู๋เสียรู้ดีว่าพรุ่งนี้เช้ามาถึงเมื่อไร โลกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร

"นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่รึไม่" เขาก้มหน้าคุยกับห่อผ้าในอ้อมแขน อันที่จริงก็ถามไปเช่นนั้นเอง ปกติเขามักมีอารมณ์ดื่มด่ำกับความเงียบสงบของเรือนกลางสวนแห่งนี้ ตกค่ำก็นั่งฟังเสียงลมพัดกอไม้ใบหญ้า ร่ายบทกวีใต้แสงจันทร์ แต่คืนนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าห้องนี้เงียบจนเกินไป

เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับทั้งยังไม่ ขยับเขยื้อน อู๋เสียก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงชีวิต สรรเสริญบรรพบุรุษทั้งตระกูลในใจ ว่าที่หลานสะใภ้ของพวกท่านแม่งเอาใจยากเหลือเกิน

เจ้าจะนิ่งเงียบเป็นก้อนหินก็ตามใจเจ้า เงียบให้ตลอดแล้วกัน!

อู๋เสียทำเสียงเฮอะในลำคอ เดินไปที่อ่างไม้หลังฉากกั้นห้องแล้วปล่อยของในมือลงไปทั้งแบบนั้น เขาทำสีหน้าสะใจ รอดูภาพมันลนลานดิ้นหนีออกจากเสื้อผ้าชุ่มน้ำที่ห่อตัวมันไว้

รอ รอ แล้วก็รอ

"...สมควรตาย!!!" ห่อผ้าจมนิ่งอยู่ก้นอ่างเหมือนเป็นถุงใส่ก้อนหินจริงๆ ไม่มีทีท่าขยับสักนิด อู๋เสียรีบก้มลงใช้สองมือควานหารอยแยกของผ้าจนเจอลำตัวมัน จากนั้นรีบดึงจนศีรษะเปียกปอนของมันสูงพ้นน้ำ เห็นมันใช้ดวงตากลมโตมองเขาตาแป๋ว ดูสุขสบายดี ไม่มีทีท่าใกล้เคียงกับการจมน้ำตายแม้แต่นิด อู๋เสียแทบกระอักเลือดด้วยความโมโห

"ก็ได้ ข้าผิดเอง ลืมไปว่าเจ้าเป็นกิเลนเทพ ไม่มีทางจมน้ำตายแบบมนุษย์แน่นอน" อู๋เสียกัดฟันพูดพลางนับเลขในใจเพื่อข่มอารมณ์โกรธ

เจ้ากิเลนในร่างแปลงใช้ดวงตาสีนิลจับจ้องเขา ยังคงไม่ปริปากพูด แต่กลับเอื้อมมือฝ่าเล็กๆ ข้างหนึ่งขึ้นมาวางทาบบนมือที่จับต้นแขนมันอยู่แทน อู๋เสียมองตามการเคลื่อนไหวนั้นแล้วนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมันกำลังบอกเขาด้วยท่าทางว่าให้ปล่อย

"อย่าเข้าใจผิดว่าข้าฉวยโอกาสกับเจ้า มาตกลงกันก่อนว่าเจ้าจะนั่งอาบน้ำดีๆ ไม่ทำตัวประหนึ่งจมน้ำตายแบบเมื่อครู่อีก" มันจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามทำความเข้าใจคำพูดนั้น อู๋เสียรอจนเห็นมันพยักหน้าเป็นนัยว่าตกลงแล้วจึงปล่อยมือ กล่าวกับมันว่าอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเสร็จค่อยเรียกเขา

เมื่อสั่งความจบ อู๋เสียหันหลังเดินออกมานอกฉากไม้ที่ใช้สร้างอาณาเขตระหว่างพื้นที่รอบอ่าง อาบน้ำกับเตียงนอน คิดถึงตัวเองที่เสียรู้เมื่อครู่ก็เผลอเดาะลิ้นด้วยความไม่สบอารมณ์

ร่างแปลงของมันทำเอาเขาเปิดช่องว่างไม่รู้ตัว งวดนี้เจ้ากิเลนดูกลมกลืนกับมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ผิดสัดส่วนอย่างบอกไม่ถูก

ตัวเล็กผอมแห้งยิ่ง ขาวซีดยิ่ง ทั้งยังดูอ่อนแอยิ่ง...

มันแปลงเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เขานั่งลงบนเตียง ไม่มีอะไรทำจึงวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ของอีกฝ่ายเป็นการฆ่าเวลา เมื่อคาดคะเนจากใบหน้าและขนาดตัว เจ้ากิเลนคล้ายจะเหมือนเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบขวบปี คิ้วเข้มหน้าขาวปากแดง เครื่องหน้าทุกชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก วางตำแหน่งเหมาะเจาะรับกัน

สิ่งที่เด่นที่สุดบนใบหน้าเฉยชาไร้ อารมณ์นั่นคือดวงตา ทั้งที่ไม่แสดงออกถึงสีหน้าใด ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้เขานึกถึงตอนที่ตัวเองไปล่องเรือจิบชาชมวิวริมทะเลสาบ ทั้งเงียบสงบ ทั้งแฝงอารมณ์ลุ่มลึกอันไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ

เพราะ ดวงตาคู่นี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าเจ้าสัตว์เกล็ดตัวนี้ไม่เป็นอันตราย ยอมเชื่อมันทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดนอกจากคำพูดที่ประจวบเหมาะเกินไปจนปราศจากพิรุธ

กระนั้นส่วนอื่นของเจ้ากิเลนกลับต่างกันจนแทบเป็นอีกเรื่อง

สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าใบหน้าและลำคอเพรียวระหงดุจลูกกวางนั่น ชวนให้ถอนหายใจยิ่งนัก เพราะถึงมีผมยาวรุ่ยร่ายปิดบังหน้าตาและลำตัวไปหลายส่วน เขาก็ยังสังเกตพบบางเรื่องได้ในทันที

นอกจากไม่มีสีหน้าแบบเด็กสาว ไม่มีวาจาอ่อนหวานแบบกุลสตรีแล้ว อีกสิ่งที่ควรมีก็ยังไม่มีเช่นกัน

งามน่ารักแค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้นเอง อู๋เสียถอนหายใจ แทบไม่ต้องใช้จินตนาการเลยว่า หากเพื่อนของเขารู้เรื่อง 'คู่หมั้นวัยแรกแย้ม' คนนี้เข้า ตัวเขาจะโดนถ้อยคำรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเช่นไรบ้าง

คุณชายน้อยนั่งฟังเสียงจ๋อมแจ๋มในห้องนอนตัวเองอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เขาเดินเข้าไปหลังฉากกั้น เห็นอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ในอ่างจึงบอกให้ลุกขึ้น เขาพยายามหันหน้าไปทางอื่นตอนที่ส่งผ้าเนื้อนุ่มผืนใหญ่ให้คนในอ่างซับน้ำบนตัว

"เจ้าเอาผ้าห่มตัวเองให้มิดชิด ระวังอย่าให้ผ้าเปียก ข้าจะอุ้มเจ้าออกมา"

อู๋เสียขมวดคิ้วพลางบ่นในใจ ทำไมเจ้าไม่แปลงกายให้เด็กลงกว่านี้สักสองสามปี หรือไม่ก็โตจนขายาวพอจะก้าวออกจากอ่างเองได้ ร่างกายครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ช่างบัดซบ ทำร้ายต่อมคุณธรรมและต่อมศีลธรรมของข้ายิ่ง!

กว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมากแล้ว ชุดที่พอหยิบฉวยได้สะดวกมีแค่เสื้อผ้าตัวเองสมัยเด็ก ขณะที่อู๋เสียถามอีกฝ่ายว่าแต่งชุดเองเป็นหรือไม่ ในใจก็วิตก กลัวว่าจะต้องช่วยแต่งตัวให้เด็กผู้หญิงตั้งแต่ขั้นตอนใส่เสื้อผ้าชั้นใน ยังดีที่เด็กน้อยพยักหน้า อู๋เสียจึงออกไปรอหน้าฉากกั้นเหมือนเมื่อครู่

นั่งกระดิกเท้าทำหน้าครุ่นคิดได้ครู่หนึ่ง ร่างหลังฉากกั้นก็เดินออกมาให้เขาชื่นชม...แล้วหกล้มทั้งแบบนั้น

"ซุ่มซ่าม!" คุณชายน้อยรีบปราดเข้าไปประคองเด็กตรงหน้าให้ลุกยืน

เจ้ากิเลนดูเหมือนยังไม่คุ้นกับร่างมนุษย์ดี คงเพราะว่ามันใช้เท้าสี่ข้างมาเนิ่นนานแต่อยู่ๆ กลับเหลือเพียงสองเท้าหลังให้ใช้ เดินเขย่งโยกเยกไม่กี่ก้าวก็หกล้ม อู๋เสียจึงต้องอุ้มมันแทบตลอดเวลา

"ทีหลังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่"

สวรรค์เมตตานักที่ตอนนั้นเขาไม่ปล่อยให้เจ้ากิเลนมีโอกาสได้เดินสองขา!

อู๋เสียมองเด็กน้อยตรงหน้าหัวจรดเท้าอยู่สองรอบ เส้นผมเปียกชื้นยาวถึงปลายน่อง โดนสวมทับด้วยเสื้อสำหรับสวมนอน เนื้อผ้าสีขาวชื้นเป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่มีเส้นผมอยู่ข้างใต้ ราวกับมีงูสีดำมุดเข้าไปจากข้อเท้า ยิ่งเห็นยิ่งรบกวนสายตา

"คราวหลังถ้าทำไม่เป็นก็พูด ทำเช่นนี้ข้าก็ต้องมาช่วยเจ้าแต่งตัวใหม่อยู่ดี" เขาบ่นงึมงำไปพลางหยิบผ้าซับน้ำผืนเดิมมาห่อผมยาวเปียกชื้นน่าขนลุกพวกนั้นไว้ คว้าชุดใหม่ให้เด็กน้อยตรงหน้าสวมแทนตัวที่ชื้นไปแล้ว

ระหว่างขยับมือช่วยแต่งตัว อู๋เสียพยายามปกป้องความภูมิใจด้านศีลธรรมของตนเองอย่างสุดชีวิตด้วยการพิจารณารอยเปื้อนบนผนังด้านหนึ่ง เมื่อถูกกระตุกแขนเสื้อเขาจึงกล้าหันกลับมา ภาพที่เห็นคราวนี้ดูธรรมดาและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ก็ไม่ต่างจากมีน้องสาวตัวเล็กๆ เพิ่มมาอีกคนหรอกน่า เขาคิด

ทั้งที่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว อู่เสียยังคงรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆ คอยทิ่มตำใจอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดบางอย่าง

ร่างตรงหน้านี้...มองกี่หนก็เป็นร่างกายที่ชวนให้นิ่วหน้าเสียจริง

ผอมบางยิ่งนัก ราวกับเด็กขาดสารอาหาร จับตรงไหนก็เจอแต่กระดูก

"เจ้ากิเลน" เขาเรียกมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กน้อยจ้องเขา สีหน้าก้ำกึ่งระหว่างเฉยชากับง่วงนอน ทำท่าเหมือนจะบอกว่า เจ้าพูดมาสิ ข้ารอฟังอยู่

ช่างเป็นเด็กน้อยทีสงบนิ่งได้คงเส้นคงวา

"เจ้าไม่ยอมบอกชื่อข้า ข้าก็จะไม่ถาม"

มันจ้องเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่อู๋เสียเชื่อว่าถ้ามันพูด สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นก็คงไม่พ้นถ้อยคำประเภท ก็แล้วยังไงล่ะ เอาที่เจ้าสบายใจ

อู๋เสียจึงตั้งใจสนองตอบคำพูดนั้นเต็มที่!

"ข้าตัดสินใจแล้ว นับจากนี้จะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวผิง** เพราะเจ้าช่างเป็นเด็กที่สงบปากสงบคำราวกับคนใบ้ แถมยังแบนราบเรียบสิ้นดี" อู๋เสียมองบางจุดบนร่างกายอีกฝ่ายเป็นพิเศษตอนพูดเน้นเสียงคำว่าแบนราบเรียบ

คราวนี้เจ้ากิเลนที่มีชื่อใหม่ว่าเสี่ยวผิงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ขณะจ้องรอยยิ้มกว้างแฝงความชั่วร้ายของคุณชายอู๋เสีย



note:
*ยามสอง = ช่วงเวลา 21.00 - 23.00 น.
**ผิง (平) = สงบ, สันติ, แบน, เท่าๆ (กัน), เสมอ (แต้มการแข่ง, ระดับพื้นผิว) 





+++
TBC
01/06/2015





Talk Time:

หายไปรีไรต์มาค่ะ... รีไรต์ฟิคเรื่องอื่นค่ะ แง /โดนมองแรง

ฮือ ใครไปงาน DMBJ Only Event ได้อ่านแน่ค่ะ เป็นโครงการพิเศษที่ยังไม่เปิดเผย อยากอวดใจจะขาด ฮว่าก เซอร์เคิลท่านอื่นก็สู้ๆ นะคะ *กำเงินรอแน่นมาก...แล้วแว่บไปส่องด๋อยดาบ* /แค่ก

ด้วงโกะจองบูธไปในชื่อ IronY Line อยู่ที่ตำแหน่ง M01 ในงานค่ะ


คัตเอาต์บอกตำแหน่งบูธค่ะ จางฉี่หลิงหล่อมากค่ะ พูดเลย แฮ่ก


จะพยายามแต่งและลงให้จบก่อนเดดไลน์ บอกอ (ที่มีอยู่คนเดียว) จะได้เอาไปจัดหน้า-ตรวจอักษรซะที ปีนี้ฟาสต์บุคโหดมาก บอกเลย เร่งทำทุกอย่างล่วงหน้า 1 เดือนก็ไม่แน่ใจจะทันมั้ย orz


ด้วง L.

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][吴邪] 38

 

"38"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (瓶邪 ผิงเสีย)


**(a little bit) Spoiler Warning**




เคยมีคนบอกว่าอายุย่างสามสิบปลายๆ เป็นช่วงเวลาสมควรแก่การมีคู่ที่สุด

ด้วยเหตุผลว่า ชีวิตในช่วงอายุนี้เป็นช่วงเวลาที่อะไรๆ เริ่มอยู่ตัวแล้ว ดอกผลของการลงทุนลงแรงสร้างเนื้อสร้างตัวก่อนหน้าจะเริ่มปรากฏในช่วงอายุนี้ หรือหากใครยังไม่เริ่มลงหลักปักฐานอะไรสักอย่างในชีวิต ก็สมควรใช้เรี่ยวแรงที่ยังมีเริ่มต้นสร้างรากฐานตั้งแต่ตอนนี้ก่อนจะสายเกินไป

เพื่อนรุ่นพี่ของผมที่เป็นขาประจำก๊งเหล้าวงมหา'ลัยซึ่งไม่ได้เจอกันเนิ่นนาน ก็บอกว่าผมควรเริ่มคิดเรื่องการสร้างครอบครัวอย่างจริงจังเสียที เห็นผมไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ก็พากันชี้หน้าผม บอกว่าไอ้อู๋เสียนี่มันเสือผู้หญิงในคราบละมั่งหนุ่ม เห็นเงียบๆ แบบนี้ แต่แท้จริงอาจควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ตบเข่าฉาด หาว่าเพราะเหตุนี้จึงไม่เคยเปิดตัวสาวไหน และยังไม่ลงเอยกับใครเสียที

แซวกันอย่างครึกครื้น ผมเพียงจิบเหล้าหัวเราะไปตามบรรยากาศ

เพื่อนๆ สมัยเรียนของผมล้วนรู้ว่าผมเป็นคนช่างเลือก ด้วยติดนิสัยคุณชายในตระกูลเก่าแก่ การจะพาหญิงสาวสักคนเข้าบ้านนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่ และจะต้องคัดเลือกหญิงที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด จึงจะคู่ควรแก่การสืบทอดวงศ์สกุล

นานครั้งเข้าหน่อย พอพูดถึงเรื่องนี้ กระแสความคิดในวงเหล้าเริ่มเปลี่ยนไป ยามพูดถึงเพื่อนแต่ละคนที่ทยอยแต่งงานมีครอบครัวกันอย่างรวดเร็ว ตัวผมเองยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร เพื่อนก็ชิงโบกไม้โบกมือ บอกให้ผมวางทิฐิคุณชายและธรรมเนียมเก่าแก่รุ่นอากงลง จะสาวไหนก็ลองคบดูไปก่อน ดีไม่ดีอาจได้ลองแอ้มเนียนๆ ถ้าไม่ใช่ค่อยเปลี่ยนคนใหม่ได้

แค่นั้นไม่พอ ยังตบท้ายว่าผมมันไอ้ลูกคุณหนูโพรไฟล์ดี หาเมียไม่ได้ไม่ห่วง ห่วงก็แค่กลัวมีลูกเมียไม่ทันใช้ เห็นพักหลังๆ นี้ผมเป็นสิงห์อมควันดุขึ้นทุกปี พรรคพวกถึงกับเผื่อแผ่ความเป็นห่วงเป็นใย กลัวผมจะต้องซั่มเมียสาวทั้งที่เจาะคอช่วยหายใจ

ผมยังคงไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ บอกเพียงแค่ว่ายังไม่เจอคนที่ใช่สักทีเท่านั้น เพื่อนๆ จึงพากันสรุปกันอย่างเดิม ว่าผมมันไม่ไอ้เสือหิวจอมเจ้าเล่ห์ก็คุณชายช่างเลือก น่ากลัวว่ากว่าจะได้เมียสักคนก็ตอนแก่

อนิจจา พอถึงเวลานัดกินเหล้ากันอีกเพียงไม่กี่ครั้ง เหล่าเพื่อนผู้ชายที่ทยอยแต่งงานแซงหน้าไปก่อนปีละคนสองคน พากันลงเอยด้วยการกลายเป็นพ่อบ้านใจกล้า แทนที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนหนุ่มไฟแรงผู้รักอิสระ กลับต้องดำรงอยู่ใต้โอวาทมนุษย์เมีย ใช้ไฟในวัยหนุ่มหมดไปกับการปั่นจักรยานเข้าออกร้านชำ ซื้อผงซักฟอกและผ้าอนามัยให้เมียในที่สุด

เมื่อนั้นคนที่หัวเราะทีหลังคือตัวผม ฟังเหล่ามิตรสหายอวดโอ่วีรกรรมไม่ทันขาดคำก็โดนเมียจ๋าโทรมาตามก็ตลกดี



ผมเคยอ่านเจอในนิตยสารสุขภาพเมื่อไม่นานมานี้ ผลการสำรวจพบว่า ผู้ชายจะมีเสน่ห์ที่สุดตอนที่อายุราว 34 ปี จากนั้นยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะดูแก่ลงจนสังเกตได้ แล้วจึงค่อยหยุดดูดีเมื่ออายุล่วง 58 ปีเป็นต้นไป นักแสดงฮอลลีวูดที่ขึ้นแท่นชายหนุ่มที่เซ็กซี่อันดับต้นๆ ของโลกล้วนเป็นหลักฐานยืนยันอย่างดี

นั่นแสดงว่าตัวผมในตอนนี้ยังมีเวลาดูดีอีกไม่น้อย ดังนั้นก็ไม่แปลกอะไรมิใช่หรือ หากผมจะสงวนความหล่อเหลาและเสน่ห์ของชายโสดเอาไว้ให้เป็นที่ริษยาต่อไปอีกสักหน่อย

ชีวิตตอนนี้ผมดีอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมกินอิ่มนอนหลับ มีธุรกิจที่ดี ทำมาค้าขึ้น (หากไม่นับร้านที่หังโจว) มีหน้าตา มีบารมี มีทุกสิ่งที่ทำให้คนหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่เพียบพร้อมถึงที่สุด

ซิ่วซิ่วเคยบอกผมว่า ช่วงวัยนี้ของผมเป็นช่วงของการทำคุณต่อส่วนรวม คนที่มีลูกจะต้องอบรมลูก ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มี ส่งต่อสู่ชนรุ่นหลัง เพื่อสร้างประชากรที่ดีของสังคมในอนาคตต่อไป

"แต่พี่อู๋เสียไม่มีลูก ลูกศิษย์ก็ไม่มี หลานก็ไม่มี คุณงามความดีจะถ่ายทอดอะไรก็ไม่มี เกิดเป็นพี่นี่น่าสงสารเหลือเกิน" เธอว่าเช่นนั้น

ผมบอกเธอไปว่าผมมีลูกน้องให้อบรมมากพออยู่แล้ว คิดในใจว่าถ้าจะต้องอบรมสั่งสอน ก็สอนเธอคนแรกนี่แหละ ยัยจิ้งจอกปากร้าย

ซิ่วซิ่วหัวเราะเหมือนรู้ทัน บอกให้ผมระวัง แก่ตัวไปอาจกลายเป็นลุงแก่ขี้ตืดไม่รู้ตัว

จากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลงอย่างไม่ค่อยมีประเด็นนัก

ก่อนจะไป ซิ่วซิ่วถามคำถามทิ้งท้าย "ฉันถามพี่จริงๆ พี่อู๋เสียไม่เหงาเลยเหรอ"

"ไม่อะ" ผมส่ายหน้ายืนยัน

"สักนิด?"

"ไม่อะ"

ก็จะให้ทำอย่างไรได้ ต่อให้ผมเหงาขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครให้มาร่วมหัวจมท้ายกับคนเดนตายอย่างผมอยู่ดี ชีวิตของผมตอนนี้ อยู่เป็นโสดแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว ควรนับเป็นเรื่องดีต่างหาก ที่ชีวิตผมต้องข้องแวะกับเรื่องวุ่นวายมากมายเสียจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาสำหรับความเหงา

มีหลายครั้งที่ผมคิดทบทวนคำถามของเธอ ผมลองมองหาตัวอย่างรอบตัว พบว่านอกจากผมแล้วยังมีชายหนุ่มสัญชาติจีนที่ยังเป็นโสดเป็นเพื่อนผมอีกมากมาย

เอาคนใกล้ๆ ตัวก่อน ในครอบครัวผม นอกจากเตี่ยของผมที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับรื่องใต้ดินใดๆ แล้ว อาอีกสองคนของผมก็ยังครองตัวเป็นโสดจวบจนข่าวสารสุดท้ายที่ผมได้ยินได้ฟังมา

นายอ้วนอีก

เสี่ยวฮัวอีก

นายแว่นดำ...ผมไม่แน่ใจ แต่ไม่คิดว่าเขาจะผูกพันกับใครสักคนในเร็วๆ นี้แน่นอน

คิดแบบนี้ผมก็เบาใจลง นี่คงเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่ทำอาชีพลงดินกระมัง

ผมชงชาหลงจิ่ง ชาดีของเมืองหังโจว แล้วนั่งลงจิบที่ริมหน้าต่างมองวิวทะเลสาบซีหูจากห้องทำงานด้านบน นี่คือการใช้เวลาในวันหยุดเงียบๆ ของผม

เป็นโสดน่ะดีจะตาย มีชีวิตอิสระ มีวันหยุดเป็นของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงพะวงคนข้างหลัง

อยากไปไหนก็ไปไม่ต้องรอใคร อยากดูหนังก็เช่าแผ่นเอาก็ได้ (แต่อย่างเถ้าแก่อู๋ ขอให้มีเวลาพอดูหนังเต็มๆ เรื่องได้สักเรื่องก่อนเถอะ) ไปข้างนอกแล้วหาโต๊ะนั่งกินข้าวง่ายกว่าสองคนด้วย

ผมคิดว่าความเป็นอยู่ตอนนี้เหมาะสมดีแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของผมเอง

ไม่ใช่เพราะว่าผมหาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าผมช่างเลือก และไม่ใช่เพราะผมเป็นเสือผู้หญิงแต่อย่างใด

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง ในชั่ววินาทีที่พลั้งเผลอใจลอย

หืม? อะไรนะ...

บ้าจริง ผมไม่ได้โสดเพราะกำลังรอใครอยู่สักหน่อยน่า!




+++

END
17/05/2015






Talk Time:

อืมมม เอาที่เถ้าแก่อู๋สบายใจนะ 55555

ตอนต่อ (มั้ง) ของเซตตัวเลขค่ะ ฮือ ไม่ได้เขียนฟิคจริงจังมาสักพักเลยค่ะ หมายถึงแบบที่ไม่กาวเยิ้มหลุดโลก 55555+ ยอมรับเลยว่าภาษาแปลกๆ ไปมาก เขียนไปเขียนมาจะกลายเป็นฟิควิชาการ วิชากาว อยู่แล้ว /_\ (เกือบจะวิชาการ แล้วสุดท้ายก็เป๋ลงถังกาวอยู่ดี)

แง ฮือ ทำไงดี เดดไลน์เล่มที่จะลงงานเต้ามู่เหลืออีกไม่ถึงร้อยวันแล้ว โฮ ร้องไห้หนักมาก

ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. สำหรับเรื่องที่ซิ่วซิ่วพูดถึง หมายถึงอันนี้ค่ะ → อ่านเป็นภาษาไทย อันนี้ภาษาอังกฤษ เราเคยเรียนตอนม.ปลาย ...แต่ไม่ตั้งใจเรียนค่ะ _(:3 」∠)_ ตอนอาจารย์สอนเรานั่งทำอะไรอยู่ไม่รู้ ตอนสอบก็ไปนั่งฟังเพื่อนติวหน้าห้องสอบแล้วซุยเอา กร๊าก พอโตมาแล้วรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไป รู้สึกว่ามีอะไรที่ติดๆ ในหัวที่อยากอยากเอามาแซวอู๋เสีย เลยไปหาอ่านย้อนหลังเอา (เนิร์ดเนอะ)

ว่าไปนั่น ที่จริงก่อนหน้านี้ฟิคเรื่องนี้ชื่อเรื่อง "28" ค่ะ เพราะในใจเราคิดว่าอู๋เสียคงยังติดแหง็กอยู่ในขั้นของช่วงอายุ 28 แน่เลย *ค่อกแค่ก* แต่เดี๋ยวจะแซวไม่มัน เลยเปลี่ยนเป็นอายุจริงดีกว่า /โดนปาที่เขี่ยบุหรี่ใส่

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][小花] Black

 

"Black" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (小花 เสี่ยวฮัว)



พักนี้เซี่ยอวี่เฉินกำลังมีเรื่องลำบากใจบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้

เขาก้มหน้าดูจอโทรศัพท์ มันแสดงสัญลักษณ์ว่ามีสายเรียกเข้าจากโปรแกรมวีแชท พอกดรับก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งเอ่ยทักออกมา

"ฮัลโหล เสี่ยวฮัว นี่ฉันเองนะ"

เสียงที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์นั้นต่างจากตัวจริงเล็กน้อย แต่ถึงไม่ต้องมองชื่อ เซี่ยอวี่เฉินก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร บนโลกนี้มีคนที่เรียกเขาว่าเสี่ยวฮัวอยู่ไม่กี่คน

"หืม ฉันจำไม่ยักได้ว่าเคยรู้จักคนชื่อ 'ฉันเอง' ด้วย" เขาพูดใส่โทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงติดจะเนือยเล็กน้อย ได้ยินฝ่ายนั้นหลุดสบถงอแงอยู่สองสามคำก่อนพาบทสนทนาเข้าสู่เป้าหมายที่แท้จริง

และเช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ ที่เซี่ยอวี่เฉินได้คุยกับผู้ชายคนนี้ เขาได้แต่ตอบรับไปพลางสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองเผลอถอนหายใจออกมาดังๆ

"ชีวิตนายนี่ลำบากจังนะ ก็ได้ อืม นายรอรับอยู่ที่นั่นแล้วกัน ...คร้าบ...คร้าบ ได้ตามนั้น ...นายคิดว่าฉันเป็นใครกันฮึ? จบเรื่องนี้แล้วนายรอรับใบเสร็จพ่วงค่าดอกเบี้ยได้เลย" คุยกันไม่นานก็จบธุระ อีกฝ่ายกดวางสายก่อนจะได้ยินคำอำลาตบท้ายของเขาอีกแล้ว เซี่ยอวี่เฉินเหยียดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่ามอบให้อีกฝ่ายหรือให้ตัวเขาเองกันแน่

อันที่จริงช่วงหลายปีหลัง หากอีกฝ่ายวางสายช้าลงสักสองสามอึดใจ ก็อาจได้ยินคำพูดประมาณ "ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ธุระประเภทนี้นายไปขอร้องคนอื่นแทนเถอะ" ออกจากปากเซี่ยอวี่เฉินไปนานแล้ว

ทุกคนที่รู้จักคุณชายเก้าบ้านเซี่ยต่างคิดว่าเขาเป็นพวกเลือดเย็น สนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ ใช้คนเป็นตัวหมาก ลงมือโหดเหี้ยม ไร้ความผูกพันและไร้หัวใจ

เขาเองก็ยอมรับว่าตนคงเป็นคนเช่นนั้นจริง

หากอีกฝ่ายเป็นคนที่สนใจแต่การตักตวงประโยชน์จากเขา ปกติเซี่ยอวี่เฉินต้องจัดการให้มั่นใจไปแล้วว่าพวกเขาสองคนจะไม่มีวันได้พบกันอีก คุณชายเก้าเช่นเขาลงมือกับทุกสิ่งด้วยความเย็นชาเสมอ และเขาก็ควรทำเช่นนั้นกับคนในโทรศัพท์เมื่อครู่ด้วย

...แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้ทำ และนั่นก็ไม่เกี่ยวกับที่อีกฝ่ายมักไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของเขาท้ายการสนทนาทุกครั้งแต่อย่างใด

เซี่ยอวี่เฉินเคยลองพิจารณาตัวเอง ข้อสันนิษฐานแรกคือนิสัยเปลี่ยนตามอายุที่มากขึ้น ทว่าเมื่อดูจากปฏิกิริยาของคนอื่นที่มีต่อตัวเขาแล้วก็พบว่าไม่ใช่สาเหตุนี้แน่นอน

ในสายตาผู้อื่น คุณชายเก้ายังคงน่าเกรงขามเหมือนเดิม บางคนเห็นเขาอันตรายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เขาลองใช้หลายวิธีในการหาคำตอบ ล้วนลงเอยอย่างเปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น สุดท้ายเซี่ยอวี่เฉินจำต้องยอมรับว่าเขาอ่อนข้อให้ใครบางคนมากเกินไปอยู่คนเดียวจริงๆ

ปู่ของเขาพร่ำสอนลูกหลานเสมอว่าไม่ควรทำอะไรโดยไม่มีแผนสำรอง และเมื่อถึงเวลาที่อาจต้องสละบางสิ่งเพื่อให้แผนสำเร็จก็ห้ามเสียดาย เซี่ยอวี่เฉินเองก็ยึดหลักการนี้มาตลอด ทว่าเพื่อใครคนดังกล่าว มีหลายครั้งที่เขาถึงกับสละตัวเองไปเป็นแผนแรกแล้วให้อีกฝ่ายเป็นแผนสำรอง มาย้อนคิดทีไรก็รู้สึกว่าตัวเองคงบ้าไม่ก็โง่มาก

คุณชายเก้าแห่งบ้านเซี่ยคนปัจจุบันเป็นเจ้าบ้านเซี่ยคนสุดท้ายแล้ว หากเขาตาย บ้านสกุลเซี่ยแห่งเก้าสกุลคงถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง

...กระนั้นเซี่ยอวี่เฉินก็ยังให้ใครคนดังกล่าวเป็นแผนสำรองของเขาทุกทีไป

เหตุการณ์บนหน้าผาที่เสฉวนปีนั้น คุณชายเก้าเช่นเขาได้ค้นพบตัวปัญหาคนหนึ่ง ทั้งทีรู้แก่ใจว่าเวลาอยู่กับเขา เจ้าตัวต้องคอยดูแลตัวเอง เพราะคนอย่างเจ้าบ้านเซี่ยสามารถปล่อยมือทอดทิ้งผู้อื่นได้เสมอ ไม่คาดคิดว่าเจ้าตัวกลับรับฟังด้วยอาการยอมรับซ้ำยังปฏิบัติกับเขาด้วยความสนิทใจเหมือนเดิม

เซี่ยอวี่เฉินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยอมรับกฎนี้ได้จริงๆ หรือแค่โง่พอจะเชื่อใจเขา

...ทว่าคงเป็นวันนั้นเองที่เจ้าบ้านเซี่ยเริ่มมีความคิดไม่อยากปล่อยมือจากคนตรงหน้า

บนโลกนี้เคยมีคนเรียกเขาว่าเสี่ยวฮัวอยู่บ้าง แต่วันเวลาล่วงเลยจนถึงปัจจุบัน คนที่ยังคงเรียกเขาเช่นนั้นกลับเหลือเพียงคนเดียวแล้ว ทุกครั้งที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่าเสี่ยวฮัวเหมือนสมัยก่อน เซี่ยอวี่เฉินถึงค่อยระลึกได้ว่าตัวเองก็เคยใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติกับเขาเหมือนกัน มองในอีกแง่ อีกฝ่ายก็ไม่ต่างจากตัวแทนของชีวิตท่ามกลางแสงสว่างที่เขาถูกบังคับให้ละทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก

"บางทีฉันก็อยากเป็นคนที่นายพยายามแทบตายเพื่อเอื้อมมือคว้าไว้บ้างเหมือนกันนะ" เซี่ยอวี่เฉินพูดกับโทรศัพท์ที่หน้าจอกลายเป็นสีดำไปนานแล้ว

"น่าเสียดาย...เห็นนายขยับมือว่าง ๆ นั่นมาขอความช่วยเหลือตรงหน้าทีไร รู้สึกตัวอีกที ก็ดันกลายเป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายพยายามแทบตายเพื่อคว้ามือนายไว้ รับมือกับนายนี่มันยุ่งยากจริงๆ" เซี่ยอวี่เฉินมองกระจกจอโทรศัพท์ที่กลายเป็นสีดำเพราะปิดพักการทำงานอยู่ เห็นรอยยิ้มตัวเองสะท้อนจางๆ จากบนนั้นอยู่พักใหญ่แล้ว

สำหรับคนไร้หัวใจแบบเขา คำพูดบางคำ ไม่จำเป็นต้องส่งถึงผู้รับ แค่ผู้พูดได้เอ่ยออกมาดังๆ ให้ตัวเองได้ยินก็เพียงพอ





+++

END
05/05/2015





#dmbjdaily 113 days left : Black



Talk Time:

มีความคิดชั่ววูบว่าอยากแต่งพาร์ทเสี่ยวฮัวบ้างค่ะ ตอนแรกว่าจะแต่งแบบพาร์ท Pink ที่เป็นมุมมองเสี่ยวฮัว แต่แค่ขึ้นย่อหน้าที่ 2 ก็หลุดเส้นทางไปไกลแล้วววว โฮฮฮฮฮฮฮ *ร้องไห้หนักมาก*

แน่นอนว่าฟิคด้านบนก็กาวหนักมากเช่นกันค่ะ แฮ่กกกก

เรามองว่าเสี่ยวฮัวให้ความสำคัญกับอู๋เสียยิ่งกว่าความรักหรือเป็นคนที่รัก แบบเดียวกับที่อู๋เสียบอกว่าเข้าใจเสี่ยวฮัวเพราะมีพื้นฐานเดียวกัน เราคิดว่าเสี่ยวฮัวเองก็มองเห็นตัวเองในตัวอู๋เสียเหมือนกัน แต่เป็น 'เสี่ยวฮัว' ที่โตมาแบบเด็กปกติ ไม่ต้องมาคลุกโคลนในโลกเบื้องหลังแห่งนั้น

ตอนเล่ม 8 เราอ่านแล้วรู้สึกว่าเสี่ยวฮัวเสียใจลึกๆ เหมือนกันที่ตัวเองต้องกลายมาเป็นคนแบบนี้ แต่เพราะสายไปที่จะเสียดายแล้ว แถมยังไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคุณชายเก้าแบบในปัจจุบัน ออกแนว 'ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ไอ้ที่เป็นมันก็เป็นไปแล้ว คิดมากไปก็เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ ช่างมันเถอะ'

พอได้เจออู๋เสียที่เหมือนจะเป็นร่าง as if ของตัวเอง (ก๊าก) ก็เลยอยากปกป้องขึ้นมา เพราะสมัยก่อนไม่มีความสามารถมากพอก็เลยต้องปล่อยให้ตัวเองตายลงไป ตอนนี้ตัวเองมีความสามารถพอช่วยได้แล้ว ไม่มีใครบังคับให้มาทำอะไรแล้ว เสี่ยวฮัวก็เลยอยากปกป้องความไร้เดียงสานั่นให้ถึงที่สุด ชดเชยกับที่เคยปล่อยมือให้ตัวเองในอดีตตายไปกับมือ อะไรแบบนั้นอะค่ะ โฮฮฮฮฮฮ #เมากาวหนักมาก #มโนหนักมาก


มโนหนักและถังกาว
ด้วง L.



วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][AU][吴邪] RED

 

"RED" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: - (瓶邪 ผิงเสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
**เมากาวหนักมาก ควรใช้วิจารณญาณตลอดการรับชม** 




"หลานก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ก่อนจะทำอะไรคิดไว้แล้วรึยัง" อารองพูดกับผมแบบนั้นตอนเย็นวันหนึ่ง สายตานิ่งเฉยไร้อารมณ์ของเขาทำเอาผมเกือบตัวสั่นด้วยความกลัว

ไม่ยุติธรรม! ทีเวลาแบบนี้ก็มาบอกว่าผมโตแล้ว แต่พอผมอยากไปดูที่ทำงานของอาสาม ทุกคนก็อ้างว่าผมยังไม่โตพอ ตกลงแปดขวบนี่โตรึยังไม่โตกันแน่!

"ขะ ข้างนอกฝนตก บ้านเราก็มีที่ว่างอีกเยอะ ให้มันหลบฝนใช้ที่นิดเดียวเอง เวลาฝนตกทีไร ปู่ยังต้องอุ้มซันชุ่นติงหลบเข้าใต้ร่มเลย" ผมยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่ว บิดมือบิดเท้าไปด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง

ฝนตกปรอยๆ ชวนหลับแบบนี้ ทุกทีอารองจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ผมจึงกล้าพามันกลับมาบ้าน วางแผนไว้ว่าจะแอบเลี้ยงมันในห้องนอน ถ้ามีคนเข้าห้องก็ให้มันไปแอบในผ้าห่ม รับรองว่าไม่มีใครรู้แน่นอน ใครจะคิดว่าพอเปิดประตูปุ้บ จะเจออารองยืนถือร่มกำลังสวมรองเท้าเสร็จพอดี

กลายเป็นเหตุการณ์ 'โดนจับได้คาหนังคาเขา' แบบในขณะนี้

"รู้รึเปล่าว่าทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น" อารองพูดกับผมด้วยน้ำเสียงปราศจากอารมณ์ บรรยากาศชวนให้ตัวสั่นยิ่งกว่าอากาศหน้าหนาวเสียอีก

เขาเห็นผมยืนเม้มปาก ไม่ยอมตอบ อันที่จริงคือผมไม่รู้จะตอบอะไรให้ไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ท่ามกลางความเงียบซึ่งแว่วเสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาเป็นระยะ อารองจึงพูดต่อให้เอง

"หลานพามันกลับบ้าน มันยอมตามกลับมาด้วย แปลว่าตอนนี้มันเป็นโปเกมอนของหลานแล้ว"

หา?

ผมใช้หางตาเหลือบไปมองสัตว์ที่ตัวเองพยายามแอบมันไว้ด้านหลังตั้งแต่เมื่อครู่ ผมแค่เห็นมันยืนทำหน้าตาน่าสงสารตากฝนอยู่ข้างทางก็เลยชวนมันไปยืนหลบฝน มันไม่ยอมขยับ ทำท่าเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกด้วยซ้ำ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันท่าทางซื่อบื้อดูแลตัวเองไม่ได้ อยู่ข้างนอกตัวเดียวต้องลำบากแน่ จึงทั้งผลักทั้งลากให้มันกลับมาบ้านด้วย

ปู่ยังเก็บหมากลับมาบ้านบ่อยจะตาย ผมก็ต้องทำได้เหมือนกันสิ เลี้ยงรวมๆ กันอาจจะไม่มีใครเอะใจก็ได้!

"แต่ว่า...มันเป็นหมานะฮะอารอง" ผมพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด

"หมาไม่มีเขาหรอกนะเสี่ยวเสีย ไม่มีกีบด้วย แล้วก็ไม่มีหมาที่ไหนมีเกล็ด" ผมได้ยินเสียงอารองถอนหายใจเบาๆ

"แต่ว่ามันทำหน้าตาเหมือนหมาออกนะฮะ" ผมหันหน้าไปดู 'หมา' ด้านหลังอีกที ยิ่งรู้สึกมั่นใจในคำอธิบายของตัวเอง

"...เอาเถอะ เดี๋ยวโตขึ้นหลานก็เข้าใจเอง แต่อย่าให้มันกินเนื้อนะ 'หมา' พันธุ์นี้กินแต่ผักกับหญ้า" อารองถอนหายใจอีกรอบ คราวนี้ผมได้ยินชัดกว่าเดิม เขาล้วงมือหยิบโปเกบอลเปล่าจากเข็มขัดตัวเองให้ผม บอกว่าลูกอื่นไปหาเอาเอง จากนั้นอารองก็เดินกางร่มออกจากบ้านไป

ผมหันไปมองหมาตัวแรกของผม...โปเกมอนตัวแรกของผม อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

คราวนี้ผมก็ไปลุยดันเจี้ยนสุสานกับอาสามได้แล้ว! เหลาหย่างรู้เรื่องนี้จะต้องอิจฉาแน่!




+++

END
03/05/2015





#dmbjdaily 110 days left : Red




Talk Time:

ค่ะ เดลี่ Red แบบ Late ๆ ค่ะ 555555555555555555555555555555 แต่เป็น Red ที่เป็นชื่อตัวเอกของเกม Pocket Monster (Pokémon) ภาคภาษาอังกฤษน่ะค่ะ 55555 (ถ้าเกมภาคออริจินัลภาษาญี่ปุ่น ก็ต้องชื่อซาโตชิเนาะ)

แง แค่อยากแต่งอะ เห็นหัวข้อแล้วมือสั่น อยากแต่งมาก (จริงๆ เริ่มแต่งตั้งแต่คืนแรกแล้ว แต่มันออกนอกเส้นทางไปไกล เลยโละทิ้งหมดแล้วแต่งใหม่ตั้งกะอักษรแรก โฮฮฮ)

ส่วนเมินโหยวผิงที่ไม่ได้ปรากฏในเรื่องแม้แต่ชื่อ ก็กลายเป็นหมามีเขาไปซะแล้ว *กระแอม*


ขอเอาชื่อโปเกมอนของคุณปู่เป็นเดิมพัน
ด้วง L.

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][小花+吴邪] Pink

 

"Pink" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (小花+吴邪 เสี่ยวฮัว+อู๋เสีย)



วันหนึ่งผมเคยหลุดปากถามเสี่ยวฮัว

"นายชอบสีชมพูมากขนาดนั้นเลยหรือ?"

เขาชะงักมือที่เพิ่งยกถ้วยชาแตะปาก มองผมด้วยสายตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทำเอาดวงตากลมโตคู่นั้นดูบ้องแบ๊วยิ่งกว่าเดิม

พวกเราสบตากัน อากาศในห้องเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว ผมรู้สึกคล้ายตัวเองกับเสี่ยวฮัวเป็นภาพยนตร์ที่ถูกกดปุ่มพอสไว้ กลายเป็นภาพนิ่งบนจอโทรทัศน์

เสี่ยวฮัวกระแอมออกมาเบาๆ จิบชาแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะไม้หนานมู่

ห้องนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ของทุกชิ้นล้วนราคาสูง กระทั่งป้านชาบนโต๊ะก็ยังเป็นของไฮเกรด ตีราคาออกมามีเลขศูนย์ต่อท้ายหลายตัว อยู่ที่นี่ผมเหมือนโดนกดดันให้ต้องแสดงเป็นนายน้อยสามบ้านสกุลใหญ่ แตกต่างกับเสี่ยวฮัวที่ดูเป็นธรรมชาติทุกอิริยาบถ สมแล้วที่ใช้ชีวิตเป็นคุณชายเก้ามาหลายปี

คนอย่างคุณชายเก้า ทำอะไรต้องมีการวางแผน ผมเห็นเขาในเสื้อผ้าชุดเดิมอยู่บ่อยๆ รู้สึกค้างคาใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นแอบคิดว่าเขาคงป้องกันคนนอกจับผิดว่าใส่เสื้อผ้าซ้ำบ่อย จึงแก้ลำด้วยการใส่อยู่แบบเดียวสีเดียว ประหยัดเงินค่าตามแฟชั่นเข้าสังคมไปได้เยอะ

"แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะอาเฮีย" เขาถามกลับ ทำสีหน้าใสซื่อ ใช้รอยยิ้มหว่านเสน่ห์ปิดบังความจริงว่าเพิ่งเลี่ยงคำถามผมไปอย่างชาญฉลาด

"ฉันว่าเหมาะกับนายดี ถ้าฉันใส่คงไม่กล้าเดินออกจากบ้าน" ผมตอบตามจริง

"ได้ยินนายพูดชมแท้ๆ แต่ทำไมฉันดันรู้สึกเหมือนกำลังโดนด่าว่าเป็นคนหน้าไม่อายอยู่ล่ะเนี่ย ความจริงนายเกลียดฉันมากสินะ" เขายกมือกุมอก ทำสีหน้าปวดร้าวอย่างเกินจริง

"เพ้อเจ้อน่า นายก็รู้นิสัยฉัน หรือถ้าไม่อยากตอบก็พูดมาตรงๆ ฉันจะได้จินตนาการเองต่อ เห็นนายทำตัวแบบนี้แล้วจั๊กกะเดียมสายตาพิลึก" ผมโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเลิกแกล้งแอ๊บแบ๊วเสียที ความจริงมันก็ไม่ขัดตาถึงขนาดนั้น แต่พักนี้ผมเหนื่อยมาก ไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับเขา

"งั้นขอถามหน่อย นายคิดยังไงกับสีชมพู" เขามองผมยิ้มๆ เปลี่ยนท่าทางกลับมาเป็นคุณชายเก้าเจ้าเสน่ห์แบบยามปกติ นั่งพิงพนักหลังเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย

ดูแล้วถ้าผมไม่ตอบเขาก่อนก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงพูดไปว่า "นึกถึงเด็กผู้หญิง กระโปรงบานฟูฟ่อง ดอกไม้..." เสี่ยวฮัวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อถึงคำหลัง สีหน้ายียวนยิ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนดักด้วยคำตอบจากปากตัวเอง จึงพยายามหาคำอื่นพูดตามไป

"แมวคิตตี้ รูปหัวใจ ผู้หญิงมีความรัก เสื้อสีตก แม่บ้านซุ่มซ่าม ตุ่มเนื้อของอุ้งแมว..."

เสี่ยวฮัวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ผมหยุด

เขาทำท่าพยายามเม้มปากกลั้นหัวเราะสลับกับหลุดหัวเราะคิกคักอยู่หลายที ผมถลึงตาจ้องเขา ทำสีหน้าโมโห เขายิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม ถึงขั้นใช้สองแขนกอดท้องตัวเอง ก้มตัวหัวเราะจนแทบจะไหลหลุดจากเก้าอี้ลงพื้น

เห็นดังนั้นผมก็รู้สึกอายขึ้นมา แม่งนั่งเฉยๆ เก็กท่าหล่อเป็นนายน้อยสามอยู่ดีๆ ไม่ชอบ อยากรู้อยากเห็นจนหาเรื่องใส่ตัวเองอีกจนได้สิวะ

เสี่ยวฮัวเห็นผมท่าทางฉุนเฉียวก็กลั้นยิ้ม (ได้ซะที!) กระแอมปรับอารมณ์สองสามรอบ ก่อนพูดออกมา

"ขอบเขตจินตนาการของอาเฮียยังน่าเลื่อมใสเหมือนเคย ต้องขออภัยแล้ว เรื่องของฉันมันจืดชืดกว่านั้นหลายเท่า"

เขาเห็นผมเม้มปากหรี่ตามองก็รู้ว่าผมยังไม่หายโมโห จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนปลอบใจเด็กงอแง ทำเอาผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่งกว่าเดิม

"ก็แค่สีชมพูเข้าสีผิวฉัน...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น นายก็เห็นด้วยไปตั้งแต่แรกแล้วนี่"

"แค่นั้น?"

"แค่นั้น"

"ก็เลยใส่อยู่สีเดียวเนี่ยนะ?"

เขาได้ยินน้ำเสียงผมเหมือนประชดก็ยักไหล่ ทำท่าเหมือนพูดว่ามันช่วยไม่ได้

"แต่ไหนแต่ไรมา ฉันก็ใช้ภาพลักษณ์หากิน ทำอะไรต้องคำนึงถึงสายตาคนนอกเสมอ ต่อให้ตอนนี้มีอำนาจในมือเหลือเฟือ ไม่ต้องแคร์สายตาคนอื่นอีกต่อไป ฉันก็ปรับเปลี่ยนความเคยชินของผู้อื่นไม่ทันแล้ว"

เสี่ยวฮัวอมยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่ผมรู้ว่านี่อาจเป็นคำตอบที่แท้จริงยิ่งกว่าคำตอบแรกเสียอีก

"เอาเหอะ เหมาะกับเสื้อสีชมพูก็ดีแล้ว ขืนเหมาะกับสีเจ็บๆ พวกเหลืองแปร้ด แดงปรี้ด ฉันคงต้องถอดแว่นสายตาแล้วสวมแว่นดำตอนมาเจอนาย"

เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ใส่พฤติกรรมพยายามปลอบใจของผม

"อาเฮียก็เหมาะกับผิวแก้มสีชมพูเวลาทำอะไรน่าอายเหมือนกัน"

...ไอ้ห่านี่!

ผมขอถอนความเห็นใจคืน! หมอนี่แม่งไม่น่าสงสารเลยสักนิด!





+++

END
26/04/2015



#dmbjdaily 114 days left : Pink



Talk Time:


สีชมพูก็ต้องเสี่ยวฮัวสิคะ!

ไทม์ไลน์ไม่รู้ค่ะ แต่งด้วยฟีลลิ่งเมากาวเต็มที่

แค่จู่ๆ พอทวิตบอกว่าเดี๋ยวหลังทำรวมเล่มใหม่เสร็จจะไปแต่งฮัว(+)เสีย แฟนเรือฮัวเสียก็วิ่งเข้ามานั่งรอปักธงเชียร์ แล้วทันใดนั้นเอง ในหัวก็มีคำว่า "นายชอบสีชมพูงั้นหรือ?" โผล่ขึ้นมา 55555 แง ทำไมเป็นคนบ้ายุขนาดนี้!!

ความสัมพันธ์ฮัว(+)เสียที่เราชอบ ก็เป็นประมาณในฟิคข้างบนล่ะค่ะ อธิบายไม่ถูก รู้แต่มันน่าหยิกแก้ม แอร๊


ด้วยรักและถังกาวสีชมพู
ด้วง L.


วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU SEAL] 02: ปลาอยู่ที่ฉัน

 

"02. ปลาอยู่ที่ฉัน" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
**เมากาวหนักมาก ควรใช้วิจารณญาณตลอดการรับชม**





"เสี่ยวเกอ ปลาอยู่ที่ฉัน"

ผมกล่าว สองมือแบกถังเหล็กบรรจุปลาจำนวนมาก เป็นอาหารหลักของโอร๋งฉี่หลิงหลังจากการออกเดินเล่นริมทะเลสาบซีหู



ตั้งแต่กลับมาจากฉางไป๋ซาน พวกเราแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิต ผมกลับมาอยู่ที่ร้านที่หังโจว พาเสี่ยวเกอกลับมาด้วย

ตั้งแต่มาถึงบ้าน เสี่ยวเกอก็นัวเนียผมไม่ยอมหยุด ทีแรกผมคิดว่าอากาศในเมืองคงร้อนเกินไปทำให้เขาไม่ชอบใจพื้นที่บริเวณบ้าน แต่หาสระน้ำพลาสติกมาตั้งให้เล่นน้ำก็แล้วก็ยังไม่ยอมเลิก จะเอาแต่กอดผมท่าเดียว ไม่ยอมให้ผมลุกเดินไปไหน

ผมจึงรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ปัญหาอาจอยู่ที่ตัวผมเอง

ผมจึงเจรจากับเขาอีกครั้ง

"โอร๋ง!" แมวน้ำร้องอย่างเคร่งขรึม

...ฟังไม่รู้เรื่อง ผมบอกให้เขาใช้ภาษากาย จากนั้นเสี่ยวเกอก็คลานเข้ามาเอาตีนครีบมาตบๆ พุงผม จากนั้นก็ตบๆ พุงไขมันตัวเอง

ผมคิดตีความสักพัก แล้วก็โวยวายออกมา

"นาย...นายก็ด้วยเหรอ! นายก็หาว่าฉันอวบด้วยเหรอ!" ผมมองเขาตาดุ หยาบคายมาก แม้แต่นายก็ยังหาว่าฉันอวบ จางฉี่หลิง! นายเองตอนนี้ก็อวบอ้วนไม่แพ้กันเลยแท้ๆ!

"โอร๋ง!" แมวน้ำสั่นหัวปฏิเสธ จากนั้นก็สื่อสารวิธีใหม่ เขาล้มตัวนอนลง กลิ้งตัวไปมาบนพื้น กลิ้งไปกลิ้งกลับ กลิ้งขึ้นลงซ้ายขวา กลิ้งไปรอบๆ ห้อง จากนั้นก็ใช้สองเท้าครีบชันตัวลุกขึ้น มองผมตาใสแป๋วเหมือนจะถามว่าผมเข้าใจไหม

...ไม่เข้าใจกว่าเดิมอีกโว้ย!

เขาทำท่าจะสาธิตท่าทางเมื่อกี้ให้ผมดูอีกรอบ ผมนั่งลงยองๆ เอามือจับตัวให้เขาหยุดกลิ้งที่พื้น สัมผัสนุ่มนิ่มในมือทำให้ผมเผลอลูบขนของโอร๋งฉี่หลิงไปด้วย "เสี่ยวเกอ คราวที่แล้วนายก็บอกใบ้ได้เฮงซวยมาก ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายบอกใบ้อะไรฉัน คราวนี้เป็นเรื่องจริงจัง นายโปรดเมตตาสมองน้อยๆ ของฉันหน่อย"

แมวน้ำยื่นหน้ามาดมๆ ที่มือผม จากนั้นก็แลบลิ้นเลียเบาๆ หนึ่งที สัมผัสสากของลิ้นให้ความรู้สึกจักจี้จนผมเผลอชักมือกลับ โอร๋งฉี่หลิงชะเง้อหน้าตามมือผมมาอีก ก่อนจะเลียอีกครั้ง คราวนี้แถมงับที่นิ้วเบาๆ

ผมผวาจนเกือบจะดึงมือหนีอีกรอบ แต่นิ้วที่โดนงับค้างเอาไว้ข้างในปากคล้ายถูกเขาเอาลิ้นแตะรัวๆ ราวกับพยายามสื่อสารอะไรบางอย่าง ผมจึงหยุดดิ้นหนี จากนั้นก็เอียงคอมอง ค่อยๆ คิดพิจารณา

"นาย...หิวข้าวเหรอ?"

"อุ๋ง♥"

จริงด้วย แย่แล้ว ปลาทูคลุกข้าวให้แมวเมื่อเช้าคงไม่พอยาไส้แมวน้ำตัวเท่าเกวียนแน่ๆ อู๋เสียเอ๋ยอู๋เสีย ทำไมถึงโง่เง่าแบบนี้

ผมเปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาว่าอาหารของแมวน้ำคืออะไร อ่านคร่าวๆ แล้วก็ตัดสินใจบึ่งไปตลาดที่ใกล้ที่สุด เพื่อซื้อปลาชั้นดีที่สุดกลับมาหลายถัง



ขณะนี้ผมจึงกลับมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พร้อมปลาสดสองถัง มองเห็นโอร๋งฉี่หลิงกำลังยืดตัวมองแผ่นลอกลายบนชั้นวางสินค้าค้างสต็อกที่ตอนนี้ขนกลับมาเก็บในบ้านผมส่วนหนึ่งแล้ว

"ฉันกลับมาแล้ว ปลาอยู่ที่ฉัน" ผมกล่าวอีกครั้ง เจ้าแมวน้ำหันมามองแล้วคลานดุ๊กดิ๊กตามผมไปยังสระน้ำพลาสติกที่ซื้อมาตั้งไว้ในสวน

ผมหาเก้าอี้นั่ง แล้วโยนปลาเข้าปากแมวน้ำทีละตัวสองตัว โอร๋งฉี่หลิงตอนอยู่เฉยๆ กลิ้งไปกลิ้งมา ดูน่ารักก็จริง แต่ภาพตอนเคี้ยวปลาสดกรุบๆ เลือดสาดก็บาดตาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ผมให้อาหารจนหมดที่มีแล้ว กำลังจะลุกออกไป ในตอนนั้นเองก็โดนเจ้าแมวน้ำตวัดหางพุ่งเข้าชน ลากผมลงสระน้ำไม่ทันได้ตั้งตัว

"เสี่ยวเกอ!" ผมร้องตกใจ ขณะที่แผ่นหลังชนเข้ากับขอบพลาสติกยางอ่อนยวบ ส่งผลให้น้ำในสระไหลรั่วออกมาข้างนอกเสียหลายส่วน

ผมโดนแมวน้ำยักษ์กดทับ จากนั้นก็ไต่ขึ้นมาบนตัวของผม ทั้งชุ่มโชกและเปียกปอน ถึงตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าพลาดท่าเข้าจนได้

"เสี่ยวเกอ ปล่อย!"

"โอร๋ง?"

โอร๋งฉี่หลิงเข้ามานัวเนียใบหน้าผม รู้ได้ถึงคาวปลาและคราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ไม่ขำ นี่มันชักจะไม่ขำแล้วนะ

แล้วจากนั้น เขาก็ทำในสิ่งที่ทำให้ผมขนลุกซู่

"ฉันชอบกิน ปลาอู๋เสียมากกว่า"

เสียงกระซิบแหบพร่าของเมินโหยวผิงดังที่ข้างหู เป็นเสียงที่คุ้นเคย ทำให้ขนคอของผมตั้งชัน

ไอ้แมวน้ำเชี่ยนี่!!

...นายพูดได้ทำไมไม่บอกกันแต่แรกเล่าวะะะะะะะ!!!!!



+++

END
13/04/2015



#dmbjdaily 126 days left : น้ำ (Water)



Talk Time:

ค่ะ...ฟิคพรรค์มันยังอุตส่าห์จะมีตอนต่ออีกค่ะ แง อยากส่งเสี่ยอ้วนไปตบมุก "ตกลงนายกังวลเรื่องนี้หรอกเรอะเทียนเจิน!"

ส่วนฉากหลังจากนี้ ก็...เบลอๆ มันทิ้งไปเถอะนะคะ เถ้าแก่อู๋ยังไม่กังวลเลย เราก็จะไม่ข้ามเส้นนั้นไปค่ะ *เบรกตัวเองอยู่ ณ จุดปลอดภัยสุดท้ายของสติ โอร๋ง♥*

เป็นครั้งแรกเลยที่ฟิตส่ง #DMBJdaily ตรงวันแถมส่งตั้งสองตอนแน่ะค่ะ ////7//// ต้องขอบคุณสต๊าฟงาน DMBJonly ที่จัดกิจกรรมมอบพื้นที่แก่ถังกาวด้วยนะคะ วางสติลงแล้วตั้งถุงกาวดกมากค่ะ ฮา *โดนโห่ไล่ลงจากเวที*

คิดว่าต่อจากนี้คงไม่มีตอนต่อแล้วค่ะ ฮือ AU พรรค์นี้ ปล่อยมันจบแบบนี้ไปเถอะค่ะ

อันนี้ของแถมค่ะ

 

 
ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. Seal แปลว่าตราประทับ (ลัญจกร) ได้ด้วย แปลว่าแมวน้ำได้ด้วย, ส่วนปลาอู๋เสีย = อู่เสียเกิดราศีมีนน่ะค่ะ

[Daomu Fan-fiction][AU SEAL] 01: โอร๋งฉี่หลิง

 

"01. โอร๋งฉี่หลิง" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
**เมากาวหนักมาก ควรใช้วิจารณญาณตลอดการรับชม**





"กษัตริย์ของพวกมันไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่คลานออกมาจากประตูนรกบานนั้น มันเป็นปีศาจ"


...
...


ผมมาช้าไป... เงื่อนเวลาสิบปีถูกผิดสัญญา "สิ่งแลกเปลี่ยน" ที่ถูกกักขังในประตูจึงถูกสาป

"โอร๋ง?"

แมวน้ำจางฉี่หลิงตัวเบ้อเริ่มคลานออกมาจากประตูสำริดบานนั้น




-1-

อู๋เสียที่มัวแต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก โดนกองทัพนกหน้าคนโจมตี

แมวน้ำยักษ์สีดำสนิทตรงหน้ามีประสาทว่องไวกว่านัก เอาตัวเข้าปกป้องคณะเดินทาง มันกระโดดท่าแมวน้ำเหิน แท็กเกิ้ลบรรดานกหน้าคนแล้วเอาหางตบ

"กย๊าาาา"




-2-

แต่ด้วยความแตกต่างของร่างกายก่อนหน้านี้และร่างปัจจุบัน ทำให้ต่อสู้ได้ไม่ถนัด แม้จะขับไล่ไปได้ แต่การดวลครั้งนี้เขาไม่ได้กำไรเท่าไหร่นัก

เจ้าแมวน้ำโอร๋งฉี่หลิงมีลายสักกิเลนขึ้นทั่วตัว เป็นลายกิเลนย่ำไฟ ใต้เท้านั้นเป็นลวดลายละเอียดของลูกไฟสีดำ แผ่ลามไปทั่วตัว มันทรุดล้มลงพังพาบกับพื้น

เมื่อนั้นเถ้าแก่อู๋ถึงเพิ่งรู้ตัว รีบสั่งการให้ลูกน้องตรึงกำลังคอยระวังหลัง ส่วนเขาวิ่งเข้าไปหาแมวน้ำสีดำพิสุทธิ์ตัวนั้น

"เสี่ยวเกอ!" เขาร้องเรียก บัดนี้รู้แล้วว่าแมวน้ำตัวนี้คือจางฉี่หลิง คนรักของเขาจริงๆ นึกโทษตัวเองที่ช่างไร้เดียงสาเสียจนไม่อาจเข้าใจเรื่องง่ายๆ เช่นนี้




-3-

แมวน้ำดำฝืนกายผงกหัวขึ้นเพื่อมองใบหน้าเจ้าของเสียง ใบหน้าของคนที่เขาเองก็เฝ้ารอคอย

"โอร๋งโอร๋งโอร๋งโอร๋ง"

"ไม่เป็นไร นายไม่ได้ทำให้ฉันตาย" อู๋เสียตอบ




-4-

"โอร๋งโอร๋งโอร๋งโอร๋ง"

"ใช่ ฉันมาพานายกลับบ้าน" เถ้าแก่อู๋กระซิบ ใส่ซับแบบคิดเองเออเอง เขาพยายามกำตีนครีบของโอร๋งฉี่หลิงเอาไว้ จากนั้นก็หันไปตะโกน "ขอสัตวแพทย์ด่วน!"

"เราไม่มีสัตวแพทย์ ถึงเรามี ก็ไม่มีเครื่องมือรักษาแมวน้ำ" หยาเจ่ตอบ "ในบรรดาพวกเรา คนที่รู้เรื่องสัตว์ดีที่สุดก็มีแต่หลานของหมาห้าแบบคุณ"

กูรู้แต่เก่ากลมใหม่เหลี่ยม! ถัง ซ่ง หยวน หมิง ชิง! อู๋เสียคิดในใจ สุดท้ายก็เรียกให้พยาบาลคนมาดูแลแทนไปก่อน




-5-

ระหว่างที่เหตุการณ์ชุลมุน เถ้าแก่อู๋จุดบุหรี่สูบด้วยความกระวนกระวาย สักพักนายอ้วนก็เดินมาตบบ่าเขา

"ไม่เป็นไรน่าเทียนเจิน เรื่องนี้มันต้องมีทางแก้" มิตรสหายเก่าพยายามให้กำลังใจ แต่อู๋เสียส่ายหน้า

"ไม่ ฉันไม่ได้ฝึกฝนมาสิบปีเพื่อเจอเรื่องแบบนี้"

นายอ้วนไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาสลด

"ทำไมนายแว่นดำถึงไม่สอนวิธีปฐมพยาบาลแมวน้ำมาให้ฉันด้วย!"

"นายกังวลเรื่องนี้หรอกเรอะเทียนเจิน!"




-6-

หลังจากนั้น โชคดีที่ โอร๋งฉี่หลิงไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก พักฟื้นเพียงไม่นานก็ใช้ตีนครีบไถตัวเดินได้ เขายังคงเป็นแมวน้ำหล่อผู้เงียบขรึมและพูดน้อยเช่นเดิม

เดินทางขากลับ หลังออกจากตำหนักทิพย์พิมานเมฆ คืนนั้นพวกเขาตั้งแคมป์ด้วยผ้าใบกันหิมะใต้ซอกหินระหว่างทาง

ระหว่างที่เถ้าแก่อู๋กำลังไม่แน่ใจว่าอาหารบีบอัดที่มีจะเอาให้แมวน้ำกินได้หรือเปล่า เขากำลังคิดถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตลอดการเดินทางต่อจากนี้ พอคิดว่าอะไรๆ คงไม่เป็นไปตามแผน ก็เกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา

ในตอนนั้นเองโอร๋งฉี่หลิงก็ตะกายพาร่างอุ้ยอ้ายหนาเตอะมาตรงหน้าเถ้าแก่อู๋ จากนั้นก็ซบหน้า นอนลงบนตัก

อู๋เสียจ้องมองกลับไป แมวน้ำเงยหน้ามองตอบ นัยน์ตาสีดำสนิทของโอร๋งฉี่หลิงไม่ฉายอารมณ์หรือความคิดใด เขาไม่รู้ว่าเหตุใดทำไมจึงรู้สึกว่าใบหน้านี้น่าเอ็นดูอย่างประหลาด พอเป็นแมวน้ำแล้วเมินโหยวผิงดูไร้พิษภัยสิ้นดี

มองๆ ไปก็เกิดนึกสนุก อยากฉวยโอกาสนี้ทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำดูสักครั้ง

เริ่มจากเอามือลูบศีรษะนั้น

ขนเรียบลื่นให้สัมผัสพิลึกพิลั่น ลูบไปสักพักแมวน้ำก็ทำตาปรือ รู้สึกน่ารักจนต้องรีบหันรีหันขวาง เก็บซ่อนสีหน้าอาการตัวเองเอาไว้ ด้วยเกรงว่าหากลูกน้องมาเห็นเข้าจะทำให้เสียมาดเถ้าแก่อู๋

เอนหลังมองสำรวจจนรอบ ไม่มีใครผิดสังเกต เมื่อหันมาอีกที ก็พบว่าโอร๋งฉี่หลิงไต่ขึ้นมานอนทับบนตัวเขาแล้ว




-7-

เผลอไม่ทันไร โอร๋งฉี่หลิงตะกายพาร่างอุ้ยอ้ายหนาเตอะทับลงบนตัวของเขา ไขมันและหนังหนาของแมวน้ำยักษ์สีดำสนิทปกป้องชายหนุ่มจากลมหนาวฉางไป๋ซาน

"เสี่ยวเกอ...หนัก"

"โอร๋ง"

"โอร๋งเชี่ยไร พูดไม่รู้เรื่อง!" อู๋เสียเอามือตบๆ ข้างลำตัวเขา แต่เจ้าแมวน้ำยักษ์ก็ยังคงนอนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ สุดท้ายก็จนใจ ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

อยากทับก็ทับไป ตามใจ จะได้นอนหลับสนิทเสียที เขาคิด พลางเอื้อมมือกอดแมวน้ำโหยวผิง คืนนี้คงเป็นคืนที่หลับฝันดีที่สุดในรอบสิบปี



+++

END
13/04/2015



#dmbjdaily 126 days left : น้ำ (Water)



Talk Time:

น้ำยังไงเหรอคะ... (แมว) น้ำ ไงคะ...

*วิ่งหลบเท้าคนอ่านด้วยความเร็วสูงมาก*

เป็น #DMBJdaily ประจำวันสงกรานต์ที่สนุกจริงๆ เลยล่ะจอร์จ ไม่คิดเลยว่าจะกาวล้นท่วมท้นได้ถึงเพียงนี้ สติปลิวไปกับขันที่หลุดมือไปโน่นแล้วแน่ๆ เลย อ๊าง ///∇///

(ขอสติคืนให้ด้วงโกะตัวนี้ด้วยค่ะ)

ด้วยรัก จากด้วง M.


×××


โซนเครดิต: โอร๋งฉี่หลิงมีต้นฉบับอยู่ในทวีตส่วนตัวของเราเมื่อคืนตอนเช้ามืด ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากทวีตที่คุณ @kame_kazuha ทักมาค่ะ ประมาณว่าตาเบลอ อ่านข้อความของเราผิด จาก "แมวเกลียดน้ำ" กลายเป็น "เกลียดแมวน้ำ" แล้วคำพูดนั้นดันสะกิดถังกาวด้วงเสียสติแบบเราเข้า เลยงอกออกมาเป็นฟิคแมวน้ำเลย *พราก*

นอกจากนี้ อีกต้นตอหนึ่ง คือฟิค [OS] ผมกับแมวอีกหนึ่งตัว [ฮัวเสีย] ของคุณ @KoumeHanako และผู้ร่วมขบวนการกาวและ zoo อีกมากมาย ที่เราไปนั่งอ่านเรื่องของ "แมว" แล้วมโนต่อให้เข้ากับเดลี่หัวข้อ "น้ำ" จาก "แมว" → "แมวน้ำ" ออกมากลายเป็นโอร๋งฉี่หลิงฉบับของตัวเองด้วยประการฉะนี้ /คนเขียนต้นฉบับร้องไห้หนักมาก

ยังค่ะ ยังไม่หมด ที่เวิ่นในทวีตเปล่าๆ ไป ตอนที่ยังไม่เอามาเรียบเรียงเป็นเรื่องแบบในบลอคนี้ นอนข้ามคืนไป ตื่นมามีแฟนอาร์ตด้วยค่ะ!


โอร๋งฉี่หลิง by @Ig_Ignotus ค่ะ

ต้นฉบับภาพ: https://twitter.com/Ig_Ignotus/status/587472454131417088

แง น่ารักมากเลยค่ะะะะ โอร๋งงงง♥ ขอบคุณคุณอิกนอทัสมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


×××



โซนแถม:

"เสี่ยวอู๋ชอบผู้ชายหุ่นหมีๆ จับเต็มไม้เต็มมือก็ไม่บอกแต่แรก เสี่ยอ้วนจะได้จีบ"

นายอ้วนเกาหัวมองเพื่อนคู่รักอันดับแปดผู้อยู่ร่วมเต็นท์เดียวกัน ที่ไม่ว่าจะ AU ไหนก็สวีทได้ไม่หวั่นอย่างปลงๆ

"เอาเถอะ ไม่เป็นไร เสี่ยอ้วนชินแล้ว"

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 09: โฉมตรูซ่อนเร้น


 "009. โฉมตรูซ่อนเร้น"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


 
อู๋เสียตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกตะลึงซ้ำซ้อน

อาจเพราะเพิ่งตื่น สายตาจึงพร่ามัว เขารู้สึกเหมือนภาพนั้นยังติดตาชัดเจน ประหนึ่งแค่หลับตาลงก็สามารถเห็นมันฉายทาบเบื้องหลังเปลือกตา ทว่าพอดวงตาปรับสภาพจนมองเห็นได้ปกติเขาก็ต้องตกใจอีกหน เพดานเตียงที่คุ้นเคยกลายเป็นใบไม้จำนวนมากที่ยังติดอยู่กับกิ่งก้านลำต้น อู๋เสียสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าทำไมตนมานอนตากยุงตรงนี้

เขายันตัวขึ้นนั่ง ความทรงจำล่าสุดของเขาคือการนอนมองเมฆบนฟ้าพลางจินตนาการว่าแท้จริงแล้วกิเลนตัวเป็นๆ เหาะได้หรือไม่ เมื่อวัดจากแสงอาทิตย์ที่กำลังย้อมทุกอย่างเป็นสีแดง อู๋เสียรู้ทันทีว่าตนหลับไปนานพอดู ส่วนกิเลนตัวเป็นๆ ที่ว่าก็กำลังนั่งเหม่อจ้องก้อนเมฆอยู่เหมือนเดิม...ซะที่ไหน

ลำตัวมันยังอยู่ท่าเดียวกับที่เขาเห็นก่อนหลับ แต่ไม่รู้เอี้ยวคอมาจ้องเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาไร้อารมณ์ถูกเคลือบด้วยแสงอัสดงจนกลายเป็นสีแดงก่ำ เกล็ดทั่วตัวคล้ายสะท้อนประกายสีเลือด

โดนตัวอะไรแบบนี้มองตาไม่กระพริบกลางแสงโพล้เพล้ ทำเอาคุณชายน้อยตระหนกจนเผลอกลั้นลมหายใจไปเฮือกใหญ่

"จะ...จ้องทำไม" เจ้ากิเลนไม่ตอบ หันหน้าไปทางเดิม อู๋เสียรู้สึกได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความตกใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะพลางลุกขึ้นยืนบิดนวดเนื้อตัว

พอพ้นวัยเด็ก คุณชายเช่นเขาก็ไม่ได้ออกไปเล่นซนที่ไหนอีก เรื่องนอนบนดินกลิ้งบนหญ้าไม่ต้องพูดถึง ร่างกายสูงค่ากว่าทองคำของเขาย่อมปูรองด้วยฟูกนุ่มนิ่มทุกคืน การผล็อยหลับเมื่อครู่สร้างความปวดเมื่อยให้เขามิใช่น้อย

"ขออภัยที่ข้าเผลอหลับจนเวลาล่วงไปมาก รบกวนเจ้าช่วยนำทางไปถนนเส้นหลักหน่อย ไม่งั้นเกรงว่าพอฟ้ามืดกว่านี้แล้วจะลำบาก ข้าไม่ได้ติดคบไฟมา" พูดจบเขาก็เดินไปแก้เชือกม้าแล้วขึ้นขี่ ไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับคำ

คุณชายน้อยอู๋เสียถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวใหญ่ แต่ละคนรอบตัวนิสัยแตกต่างกันมาก เรื่องโต้แย้งกลางโต๊ะอาหารเกิดขึ้นไม่เคยขาด แม้ทุกคนจะเอ็นดูเด็กชายตัวน้อย ทว่าอู๋เสียก็ไม่ใช่เด็กช่างพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าจึงมักใช้ไปกับการดูงิ้วนอกโรง (นำแสดงโดยท่านอารองและท่านอาสาม)

ศึกษาเสือร้ายสองตัวออกกระบวนท่าแลกเล็บกันทุกวัน อู๋เสียได้ความสามารถมีประโยชน์ติดตัวมาไม่น้อย แม้ไม่อาจเดาใจคนได้แม่นยำเท่าเสือเฒ่าสองตัวนั้น การสังเกตคนกลับถนัดอยู่บ้าง

หากมองกิเลนตัวนี้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก็นับว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่เลว ตัดข้อเสียเรื่องชอบอมพะนำเหมือนเป็นใบ้ออกไป 'ว่าที่เจ้าสาว' ของเขาก็นับว่าคุยง่าย อู๋เสียจึงตั้งใจจะทำตัวหลับตาข้างหนึ่งเรื่องนิสัยอีกฝ่าย

เจ้าไม่พูดก็เรื่องของเจ้า ทำตามคำพูดข้าก็ถือว่าใช้ได้แล้ว!

เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่ออู๋เสียขึ้นม้า กิเลนดำก็ควบเท้านำเขาลัดเลาะตรอกซอยกลับไปทางเดิม ภายในเวลาไม่นานเขาก็มาอยู่กลางถนนตำแหน่งเดียวกับเมื่อกลางวัน


"อืมม... ตอนนี้ก็นับว่ามืดแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่ำพอ เจ้าไม่มีวิธีพรางตัวเลยหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าใช้วิธีใดถึงไม่มีใครเคยพบเห็น"

"......"

"เจ้าปีนกำแพงได้รึไม่? กระโดดสูงแค่ไหน? เดินบนอากาศได้รึเปล่า? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสามารถเท่าม้าธรรมดาตัวหนึ่ง"

"......"

กร็อบ กร็อบ กร็อบ กร็อบ---------

"หยุดๆๆ ข้าผิดเอง เจ้าเลิกบิดกระดูกได้แล้ว! ข้าไม่อยากเห็นภาพกวางมีเกล็ดยืนสองขาเอากีบเท้าคู่หน้าปีนกำแพงหลังบ้านตัวเอง"

"......"

"เฮ้อ... ช่างเถอะ อย่างมากข้าก็ลองเอาโคลนโปะเกล็ดเจ้าให้ทั่วแล้วหลอกคนที่บ้านว่าข้าเก็บลูกกวางกำพร้าได้ตัวหนึ่ง ท่านปู่ยังเก็บลูกสุนัขหน้าตาแปลกๆ มาบ่อยจนผู้อื่นคร้านจะสนใจแล้วเลย"

"......"

"มองข้าแบบนั้นทำไม ข้าไม่ได้ด่าเจ้าเป็นสุนัข อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวเล็กกว่านี้สักนิดก็ยังเอาเสื้อห่อแล้วอุ้มเข้าบ้านได้ ใครใช้ให้เจ้าตัวสูงใหญ่แถมหน้าตายังผิดแปลกจากสัตว์ปกติในป่า นี่ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแค่เอาโคลนโปะจะพอหรือไม่ กวางที่ไหนแผงคอยาวเรี่ยพื้นอย่างเจ้าบ้าง" อู๋เสียบ่นพึมพำยาวยืด ขมวดคิ้วถลึงตาจ้องกิเลนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างม้าที่เขาขี่

ตั้งแต่เล็กจนโตอู๋เสียเคยมีความเชื่อว่าสัตว์ในตำนานอย่างมังกรหรือกิเลนจะต้องดุร้ายน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ การพบเจอว่าที่เจ้าสาวพันธุ์กิเลนตัวนี้ได้ทำลายภาพลักษณ์ของกิเลนในใจเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ที่เขาพูดให้อีกฝ่ายเป็นกวางพันธุ์แปลกก็ถือเป็นการปลอบใจตัวเองแบบหนึ่ง

คาดไม่ถึงว่าคำบ่นระบายเรื่อยเปื่อยจะถูกอีกฝ่ายเก็บไปคิดจริงจัง

"ได้"

ได้? ได้อะไร? ให้โปะโคลนได้? โกนแผงคอให้สั้นเกรียนได้? อู๋เสียยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น กิเลนดำก็เริ่มสะบัดแผงคอและลำตัว ทุกการขยับจะเห็นประกายวิบวับลอยฟุ้งในอากาศ แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งเหนือโลกีย์ ราวกับกวางสวรรค์กำลังสะบัดละอองเมฆสีทองออกจากตัว แผงคอที่วับวาวราวเส้นไหมขยับเป็นระลอกคลื่นสีดำทั้งยังส่องแสงระยิบระยับ ที่แท้ขนแต่ละเส้นถูกแทรกปะปนด้วยผงฝุ่นสีทองจนทั่วแล้ว

คุณชายน้อยขมวดคิ้ว เหตุใดเจ้ากิเลนถึงมาแสดงกลแสงสีเอาตอนนี้ หรือเป็นห่วงที่ฟ้ามืดแล้ว ชานเมืองร้างปราศจากโคมตะเกียง มีเพียงแสงสลัวจากจันทร์เสี้ยวบางด้านบนซึ่งถูกบดบังด้วยแพเมฆสีคล้ำ นางกลัวเขามองทางไม่เห็นจนควบม้าชนกำแพงอย่างนั้นหรือ?

เขาตวัดขาลงจากม้า ก้าวเข้าไปยืนกอดอกจ้องภาพอัศจรรย์ตรงหน้าในระยะประชิด สายตาเขาไม่ดีนัก ในบรรยากาศค่ำมืดเช่นนี้จึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะพบเรื่องผิดปกติบางประการ

เจ้ากิเลนดำ...สีตก?

เขาหรี่ตายื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม สังเกตแต่ละเกล็ดที่แผ่ปกคลุมศรีษะจรดข้อเท้า พวกมันดูคล้ายจะบางลง เขาสามารถเห็นทะลุปรุโปร่งถึงแต่ละจุดที่เกล็ดซ้อนกัน พอคิดถึงตรงนี้ อู๋เสียจึงกระจ่างแจ้ง ละอองสีทองที่ลอยฟุ้งอยู่คงเป็นเกล็ดของเจ้ากิเลนนั่นเอง

เพราะขณะนี้เป็นเวลากลางคืนเขาจึงเห็นเฉพาะตอนมันสะท้อนแสงจันทร์สลัว ส่องแสงวิบวับสีทองสวยงามอย่างยิ่ง ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ภาพตรงหน้าคงไม่ต่างกับฝูงยุงสีดำขนาดจิ๋วกำลังบินตอมถุงเลือด เป็นกิเลนที่ขี้อายนัก นางคงไม่กล้าแสดงวิธีหายตัวให้เขาเห็นชัดเจนกลางแสงสว่าง

จากนั้นไม่นานคุณชายน้อยบ้านสกุลอู๋ก็ต้องขมวดคิ้ว เหตุใดใต้เกล็ดสีดำจึงเป็นผิวสีขาวเล่า? เขาจำคำที่ท่านปู่เคยกล่าวได้แม่นยำ สัตว์แต่ละตัวย่อมมีผิวหนังสีเดียวกับขนด้านบน หรือเพราะสัตว์มีเกล็ดไม่อยู่ใต้กฏเดียวกับสัตว์มีขน?

เช่นนั้นแล้วกิเลนก็คงถือเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับงูไม่ใช่สัตว์เท้ากีบ อู๋เสียอดประทับใจตนเองไม่ได้ เขาอาจเป็นคนแรกบนแผ่นดินที่ค้นพบความลับข้อนี้

ชั่วเวลาสั้นๆ ที่คุณชายน้อยใช้ชื่นชมตัวเอง ความสนใจของเขาหลุดออกจากร่างซึ่งถูกฝุ่นผงดำเหลือบสีทองลอยฟุ้งล้อมรอบ เมื่อเขาเรียกสติกลับมาอีกทีจึงพลาดสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น ฝุ่นเกล็ดเหล่านั้นหายไปเมื่อไร หายได้อย่างไร ไฉนพื้นถนนตรงนั้นถึงมีแค่กองเส้นแผงคอที่ปกคลุมอะไรบางอย่าง เขาใช้เวลาครุ่นคิดมากไปจนแม่นางกิเลนตัวหดเหลือแค่ท่อนคอเลยหรือ ...น่าสะเทือนใจเกินไปแล้ว!

อู๋เสียหันรีหันขวาง เห็นข้างทางมีไม้เล็กยืนต้นแห้งตายก็วิ่งไปหักกิ่งขนาดเหมาะมือมาหนึ่งท่อน มือกำกิ่งไม้ยื่นเข้าไปเขี่ยดูใต้กองเส้นขนยาวสลวย ไม่มีผงฝุ่นสีทองแทรกปนในนั้นแม้แต่จุดเดียวเช่นกัน เขาค่อยๆ เขี่ยเส้นไหมสีดำออกไปด้านข้าง เปิดเผยสิ่งที่มันแอบซ่อนไว้ข้างใต้ จากนั้นก็จ้องมันด้วยอาการตกตะลึง ปลายไม้ที่ยกเปิดแผงเส้นขนกลุ่มสุดท้ายสั่นเทา พวกมันร่วงลงไปปิดวัตถุสีขาวตรงหน้าอีกรอบ

ลมหนาวยะเยือกพัดกระทบข้างแก้มทั้งยังหอบเอากลุ่มเมฆด้านบนให้เคลื่อนไป จันทร์เสี้ยวบางจึงมีโอกาสส่งแสงเย็นเยียบเคลือบโลกเบื้องล่างอีกหน เผยให้เห็นใบหน้าสีขาวซีดไม่ต่างจากกระดาษของชายหนุ่มที่ยืนโดดเดี่ยวกลางเมืองร้าง

"อู๋เสีย" วัตถุใต้กองเส้นขนสีดำส่งเสียงแผ่วเรียกชื่อเขา "อุ้มข้า"



+++

TBC
10/04/2015






Talk Time:

*เขี่ยพื้น* บอกแล้วว่าไม่ซู... ไม่ซูจริงๆ นะ เชื่อสิ เชื่อ!!! *จ้องตา*

หลังจากตอนนี้จะลาพักเก็บข้อมูลที่ชายแดนทิเบต 7 วันค่ะ *ไอหนักมาก* เจอกันอีกทีหลังสงกรานต์เน้อ ไม่ต้องตามหา 55555 ถ้าข้าม VPN ได้จะไปโผล่แถวทวิตเป็นระยะค่ะ


กรุงเทพ (วันนี้) หนาวมาก
ด้วง L.