"010. ร่างบอบบางดั่งกิ่งหลิว"
Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
อู๋เสียมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่กล้าหายใจ
'สิ่งนั้น' จมอยู่ใต้กองเส้นขนยาวรุงรัง ใช้น้ำเสียงยะเยือกเรียกชื่อเขาท่ามกลางความมืด ให้ความรู้สึกชวนขวัญผวามาก
เมื่อครู่ไม่รู้เขาเอาปลายไม้เขี่ยไปโดนส่วนไหนของมัน ผิวสัมผัสที่ได้รับผ่านไม้ช่างเหมือนกับตอนจิ้มถุงหนังที่ใส่น้ำจนเต่งไม่มีผิด
...ชวนให้นึกถึงตอนเอาไม้เขี่ยซากสุนัขบวมอืดที่เกยฝั่งทะเลสาบ
ตามหลักเหตุผลแล้ว ตำแหน่งดังกล่าวเคยมีเจ้ากิเลนยืนสะบัดขนอยู่ ดังนั้นวัตถุสีขาวซีดที่เห็นก็ควรเป็นกิเลนตัวนั้นหลังแปลงร่างสำเร็จแล้ว แต่บนใบหน้าอู๋เสียขณะนี้ กลับแสดงออกชัดเจนถึงความคิดประมาณว่า '...ถ้ามีแต่ร่างน่ากลัวประเภทนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย แค่คำว่ามิตรภาพธรรมดาข้าก็ยังไม่อยากมอบให้'
คุณชายน้อยยืนนิ่ง ไม่กล้าก้าวเข้าหาแต่ก็ไม่กล้าถอยหนีไปที่อื่น เป็นช่วงเวลาเงียบงันที่ชวนกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย จนกระทั่งมันร้องเรียกเขาอีกรอบ อู๋เสียจึงรู้สึกว่าตนควรทำอะไรสักอย่าง
หายใจไม่คล่องคอ ร่างกายหนักอึ้ง แรงกดดันนี้ไม่ใช่จากมโนธรรมในใจ แต่เป็นความคาใจที่มีต่อสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ข้างใต้
เขารวบรวมสติ ฝืนใจเอาปลายไม้เขี่ยกองเส้นสีดำให้หลบออกไปข้างๆ หวังให้มันดูน่าขยะแขยงน้อยลง คราวนี้เขาคิดถูก ทำเช่นนี้แล้วเห็นรูปร่างของมันชัดเจนขึ้นมาก เสียดายที่แสงจันทร์ข้างแรมให้ความสว่างน้อยเกินไป เงาจากส่วนปูดโปนต่างๆ ทำให้อู๋เสียพิจารณาลักษณะที่แท้จริงของมันได้ยากขึ้น
เขาย่างเท้าเดินวนรอบๆ เพื่อดูทุกส่วนให้กระจ่างชัด ไม่นานก็ต้องเลิกคิ้ว ยืนพิจารณา 'ร่างกาย' ที่กองอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าแสดงอาการประหลาดใจ
++++++++++++++++++++++++++++++
คืนนั้นยามเฝ้าประตูใหญ่บ้านสกุลอู๋รู้เพียงว่า คุณชายน้อยขี่ม้าออกจากบ้านไปแต่เช้า ไม่พาบ่าวรับใช้ติดตามไปสักคน ล่วงเข้า
ยามสอง* จึงค่อยขี่ม้ากลับมา บนตักอุ้มอะไรบางอย่าง ทว่าถูกเสื้อนอกของคุณชายห่อไว้มิดชิด
ตั้งแต่สมัยก่อน นายผู้เฒ่าก็มีชื่อเสียงร่ำลือด้านน้ำใจกว้างขวาง มักเก็บสุนัขเร่ร่อนน่าสงสารกลับมาเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งภายหลังวาสนาดีจนได้เป็นเขยแต่งเข้าบ้านคหบดีผู้หนึ่ง ผู้เฒ่าอู๋ก็ยิ่งมีฐานะเงินทองมากพอเลี้ยงดูสุนัขได้เยอะขึ้น ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรจนลูกหลานได้รับอิทธิพล เก็บสัตว์หรือคนกลับมาเลี้ยงที่บ้านเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ให้ความสนใจสิ่งที่ถูกเสื้อคลุมห่อไว้นัก แม้สิ่งนั้นท่าทางจะใหญ่กว่าลูกสุนัขปกติก็ตาม
เรือนของเขาอยู่ส่วนปีกเล็กของบ้าน เดิมถูกใช้เป็นห้องเรียนหนังสือ ตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว รอบด้านเป็นสวน มีสระบัวขนาดย่อมอยู่หนึ่งสระ ภายหลังได้ซ่อมแซมและต่อเติมเพิ่มก่อนยกให้เขาเป็นเรือนส่วนตัว
"พวกเจ้าไปเตรียมถังน้ำอาบ จากนั้นไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องรอ พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามาเปลี่ยนน้ำ" อู๋เสียเดินถึงห้องนอนก็หันไปสั่งสาวใช้
เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็กและห่างไกลจากเรือนใหญ่พอสมควร อู๋เสียอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ดังนั้นพอฟ้ามืด หากเขาไม่มีธุระอยากใช้สอยก็จะส่งสาวใช้กลับเรือนใหญ่
เหล่าสาวใช้เหลือบตามองหนเดียวก็เห็นห่อผ้าที่คุณชายน้อยอุ้มไว้ไม่ห่าง พวกนางล้วนไม่ประหลาดใจเช่นกัน คิดว่าคุณชายน้อยคงเจริญรอยตามผู้ใหญ่ในบ้าน เก็บสัตว์กลับมาแล้วพยายามจะอาบน้ำให้ด้วยตนเองกระมัง พอปฏิบัติตามคำสั่งเสร็จจึงพากันเดินออกจากเรือน แอบสบตาอมยิ้มใส่กันด้วยความอาดูร
เมื่ออยู่คนเดียว คุณชายน้อยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทุกขั้นตอนที่วางแผนไว้ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ต่างกับชีวิตปกติของเขาในแต่ละวัน แต่ในใจอู๋เสียรู้ดีว่าพรุ่งนี้เช้ามาถึงเมื่อไร โลกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร
"นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่รึไม่" เขาก้มหน้าคุยกับห่อผ้าในอ้อมแขน อันที่จริงก็ถามไปเช่นนั้นเอง ปกติเขามักมีอารมณ์ดื่มด่ำกับความเงียบสงบของเรือนกลางสวนแห่งนี้ ตกค่ำก็นั่งฟังเสียงลมพัดกอไม้ใบหญ้า ร่ายบทกวีใต้แสงจันทร์ แต่คืนนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าห้องนี้เงียบจนเกินไป
เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับทั้งยังไม่ ขยับเขยื้อน อู๋เสียก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงชีวิต สรรเสริญบรรพบุรุษทั้งตระกูลในใจ ว่าที่หลานสะใภ้ของพวกท่านแม่งเอาใจยากเหลือเกิน
เจ้าจะนิ่งเงียบเป็นก้อนหินก็ตามใจเจ้า เงียบให้ตลอดแล้วกัน!
อู๋เสียทำเสียงเฮอะในลำคอ เดินไปที่อ่างไม้หลังฉากกั้นห้องแล้วปล่อยของในมือลงไปทั้งแบบนั้น เขาทำสีหน้าสะใจ รอดูภาพมันลนลานดิ้นหนีออกจากเสื้อผ้าชุ่มน้ำที่ห่อตัวมันไว้
รอ รอ แล้วก็รอ
"...สมควรตาย!!!" ห่อผ้าจมนิ่งอยู่ก้นอ่างเหมือนเป็นถุงใส่ก้อนหินจริงๆ ไม่มีทีท่าขยับสักนิด อู๋เสียรีบก้มลงใช้สองมือควานหารอยแยกของผ้าจนเจอลำตัวมัน จากนั้นรีบดึงจนศีรษะเปียกปอนของมันสูงพ้นน้ำ เห็นมันใช้ดวงตากลมโตมองเขาตาแป๋ว ดูสุขสบายดี ไม่มีทีท่าใกล้เคียงกับการจมน้ำตายแม้แต่นิด อู๋เสียแทบกระอักเลือดด้วยความโมโห
"ก็ได้ ข้าผิดเอง ลืมไปว่าเจ้าเป็นกิเลนเทพ ไม่มีทางจมน้ำตายแบบมนุษย์แน่นอน" อู๋เสียกัดฟันพูดพลางนับเลขในใจเพื่อข่มอารมณ์โกรธ
เจ้ากิเลนในร่างแปลงใช้ดวงตาสีนิลจับจ้องเขา ยังคงไม่ปริปากพูด แต่กลับเอื้อมมือฝ่าเล็กๆ ข้างหนึ่งขึ้นมาวางทาบบนมือที่จับต้นแขนมันอยู่แทน อู๋เสียมองตามการเคลื่อนไหวนั้นแล้วนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมันกำลังบอกเขาด้วยท่าทางว่าให้ปล่อย
"อย่าเข้าใจผิดว่าข้าฉวยโอกาสกับเจ้า มาตกลงกันก่อนว่าเจ้าจะนั่งอาบน้ำดีๆ ไม่ทำตัวประหนึ่งจมน้ำตายแบบเมื่อครู่อีก" มันจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามทำความเข้าใจคำพูดนั้น อู๋เสียรอจนเห็นมันพยักหน้าเป็นนัยว่าตกลงแล้วจึงปล่อยมือ กล่าวกับมันว่าอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเสร็จค่อยเรียกเขา
เมื่อสั่งความจบ อู๋เสียหันหลังเดินออกมานอกฉากไม้ที่ใช้สร้างอาณาเขตระหว่างพื้นที่รอบอ่าง อาบน้ำกับเตียงนอน คิดถึงตัวเองที่เสียรู้เมื่อครู่ก็เผลอเดาะลิ้นด้วยความไม่สบอารมณ์
ร่างแปลงของมันทำเอาเขาเปิดช่องว่างไม่รู้ตัว งวดนี้เจ้ากิเลนดูกลมกลืนกับมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ผิดสัดส่วนอย่างบอกไม่ถูก
ตัวเล็กผอมแห้งยิ่ง ขาวซีดยิ่ง ทั้งยังดูอ่อนแอยิ่ง...
มันแปลงเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เขานั่งลงบนเตียง ไม่มีอะไรทำจึงวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ของอีกฝ่ายเป็นการฆ่าเวลา เมื่อคาดคะเนจากใบหน้าและขนาดตัว เจ้ากิเลนคล้ายจะเหมือนเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบขวบปี คิ้วเข้มหน้าขาวปากแดง เครื่องหน้าทุกชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก วางตำแหน่งเหมาะเจาะรับกัน
สิ่งที่เด่นที่สุดบนใบหน้าเฉยชาไร้ อารมณ์นั่นคือดวงตา ทั้งที่ไม่แสดงออกถึงสีหน้าใด ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้เขานึกถึงตอนที่ตัวเองไปล่องเรือจิบชาชมวิวริมทะเลสาบ ทั้งเงียบสงบ ทั้งแฝงอารมณ์ลุ่มลึกอันไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ
เพราะ ดวงตาคู่นี้เอง เขาจึงรู้สึกว่าเจ้าสัตว์เกล็ดตัวนี้ไม่เป็นอันตราย ยอมเชื่อมันทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดนอกจากคำพูดที่ประจวบเหมาะเกินไปจนปราศจากพิรุธ
กระนั้นส่วนอื่นของเจ้ากิเลนกลับต่างกันจนแทบเป็นอีกเรื่อง
สิ่งที่อยู่ต่ำกว่าใบหน้าและลำคอเพรียวระหงดุจลูกกวางนั่น ชวนให้ถอนหายใจยิ่งนัก เพราะถึงมีผมยาวรุ่ยร่ายปิดบังหน้าตาและลำตัวไปหลายส่วน เขาก็ยังสังเกตพบบางเรื่องได้ในทันที
นอกจากไม่มีสีหน้าแบบเด็กสาว ไม่มีวาจาอ่อนหวานแบบกุลสตรีแล้ว อีกสิ่งที่ควรมีก็ยังไม่มีเช่นกัน
งามน่ารักแค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้นเอง อู๋เสียถอนหายใจ แทบไม่ต้องใช้จินตนาการเลยว่า หากเพื่อนของเขารู้เรื่อง 'คู่หมั้นวัยแรกแย้ม' คนนี้เข้า ตัวเขาจะโดนถ้อยคำรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเช่นไรบ้าง
คุณชายน้อยนั่งฟังเสียงจ๋อมแจ๋มในห้องนอนตัวเองอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เขาเดินเข้าไปหลังฉากกั้น เห็นอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ในอ่างจึงบอกให้ลุกขึ้น เขาพยายามหันหน้าไปทางอื่นตอนที่ส่งผ้าเนื้อนุ่มผืนใหญ่ให้คนในอ่างซับน้ำบนตัว
"เจ้าเอาผ้าห่มตัวเองให้มิดชิด ระวังอย่าให้ผ้าเปียก ข้าจะอุ้มเจ้าออกมา"
อู๋เสียขมวดคิ้วพลางบ่นในใจ ทำไมเจ้าไม่แปลงกายให้เด็กลงกว่านี้สักสองสามปี หรือไม่ก็โตจนขายาวพอจะก้าวออกจากอ่างเองได้ ร่างกายครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ช่างบัดซบ ทำร้ายต่อมคุณธรรมและต่อมศีลธรรมของข้ายิ่ง!
กว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมากแล้ว ชุดที่พอหยิบฉวยได้สะดวกมีแค่เสื้อผ้าตัวเองสมัยเด็ก ขณะที่อู๋เสียถามอีกฝ่ายว่าแต่งชุดเองเป็นหรือไม่ ในใจก็วิตก กลัวว่าจะต้องช่วยแต่งตัวให้เด็กผู้หญิงตั้งแต่ขั้นตอนใส่เสื้อผ้าชั้นใน ยังดีที่เด็กน้อยพยักหน้า อู๋เสียจึงออกไปรอหน้าฉากกั้นเหมือนเมื่อครู่
นั่งกระดิกเท้าทำหน้าครุ่นคิดได้ครู่หนึ่ง ร่างหลังฉากกั้นก็เดินออกมาให้เขาชื่นชม...แล้วหกล้มทั้งแบบนั้น
"ซุ่มซ่าม!" คุณชายน้อยรีบปราดเข้าไปประคองเด็กตรงหน้าให้ลุกยืน
เจ้ากิเลนดูเหมือนยังไม่คุ้นกับร่างมนุษย์ดี คงเพราะว่ามันใช้เท้าสี่ข้างมาเนิ่นนานแต่อยู่ๆ กลับเหลือเพียงสองเท้าหลังให้ใช้ เดินเขย่งโยกเยกไม่กี่ก้าวก็หกล้ม อู๋เสียจึงต้องอุ้มมันแทบตลอดเวลา
"ทีหลังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่"
สวรรค์เมตตานักที่ตอนนั้นเขาไม่ปล่อยให้เจ้ากิเลนมีโอกาสได้เดินสองขา!
อู๋เสียมองเด็กน้อยตรงหน้าหัวจรดเท้าอยู่สองรอบ เส้นผมเปียกชื้นยาวถึงปลายน่อง โดนสวมทับด้วยเสื้อสำหรับสวมนอน เนื้อผ้าสีขาวชื้นเป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่มีเส้นผมอยู่ข้างใต้ ราวกับมีงูสีดำมุดเข้าไปจากข้อเท้า ยิ่งเห็นยิ่งรบกวนสายตา
"คราวหลังถ้าทำไม่เป็นก็พูด ทำเช่นนี้ข้าก็ต้องมาช่วยเจ้าแต่งตัวใหม่อยู่ดี" เขาบ่นงึมงำไปพลางหยิบผ้าซับน้ำผืนเดิมมาห่อผมยาวเปียกชื้นน่าขนลุกพวกนั้นไว้ คว้าชุดใหม่ให้เด็กน้อยตรงหน้าสวมแทนตัวที่ชื้นไปแล้ว
ระหว่างขยับมือช่วยแต่งตัว อู๋เสียพยายามปกป้องความภูมิใจด้านศีลธรรมของตนเองอย่างสุดชีวิตด้วยการพิจารณารอยเปื้อนบนผนังด้านหนึ่ง เมื่อถูกกระตุกแขนเสื้อเขาจึงกล้าหันกลับมา ภาพที่เห็นคราวนี้ดูธรรมดาและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ก็ไม่ต่างจากมีน้องสาวตัวเล็กๆ เพิ่มมาอีกคนหรอกน่า เขาคิด
ทั้งที่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว อู่เสียยังคงรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนเล็กๆ คอยทิ่มตำใจอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดบางอย่าง
ร่างตรงหน้านี้...มองกี่หนก็เป็นร่างกายที่ชวนให้นิ่วหน้าเสียจริง
ผอมบางยิ่งนัก ราวกับเด็กขาดสารอาหาร จับตรงไหนก็เจอแต่กระดูก
"เจ้ากิเลน" เขาเรียกมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กน้อยจ้องเขา สีหน้าก้ำกึ่งระหว่างเฉยชากับง่วงนอน ทำท่าเหมือนจะบอกว่า เจ้าพูดมาสิ ข้ารอฟังอยู่
ช่างเป็นเด็กน้อยทีสงบนิ่งได้คงเส้นคงวา
"เจ้าไม่ยอมบอกชื่อข้า ข้าก็จะไม่ถาม"
มันจ้องเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่อู๋เสียเชื่อว่าถ้ามันพูด สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นก็คงไม่พ้นถ้อยคำประเภท ก็แล้วยังไงล่ะ เอาที่เจ้าสบายใจ
อู๋เสียจึงตั้งใจสนองตอบคำพูดนั้นเต็มที่!
"ข้าตัดสินใจแล้ว นับจากนี้จะเรียกเจ้าว่า
เสี่ยวผิง** เพราะเจ้าช่างเป็นเด็กที่สงบปากสงบคำราวกับคนใบ้ แถมยังแบนราบเรียบสิ้นดี" อู๋เสียมองบางจุดบนร่างกายอีกฝ่ายเป็นพิเศษตอนพูดเน้นเสียงคำว่าแบนราบเรียบ
คราวนี้เจ้ากิเลนที่มีชื่อใหม่ว่าเสี่ยวผิงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ขณะจ้องรอยยิ้มกว้างแฝงความชั่วร้ายของคุณชายอู๋เสีย
note:
*ยามสอง = ช่วงเวลา 21.00 - 23.00 น.
**ผิง (平) = สงบ, สันติ, แบน, เท่าๆ (กัน), เสมอ (แต้มการแข่ง, ระดับพื้นผิว)
+++
TBC
01/06/2015
Talk Time:
หายไปรีไรต์มาค่ะ... รีไรต์ฟิคเรื่องอื่นค่ะ แง /โดนมองแรง
ฮือ ใครไปงาน
DMBJ Only Event ได้อ่านแน่ค่ะ เป็นโครงการพิเศษที่ยังไม่เปิดเผย อยากอวดใจจะขาด ฮว่าก เซอร์เคิลท่านอื่นก็สู้ๆ นะคะ *กำเงินรอแน่นมาก...แล้วแว่บไปส่องด๋อยดาบ* /แค่ก
ด้วงโกะจองบูธไปในชื่อ
IronY Line อยู่ที่ตำแหน่ง M01 ในงานค่ะ
 |
คัตเอาต์บอกตำแหน่งบูธค่ะ จางฉี่หลิงหล่อมากค่ะ พูดเลย แฮ่ก |
จะพยายามแต่งและลงให้จบก่อนเดดไลน์ บอกอ (ที่มีอยู่คนเดียว) จะได้เอาไปจัดหน้า-ตรวจอักษรซะที ปีนี้ฟาสต์บุคโหดมาก บอกเลย เร่งทำทุกอย่างล่วงหน้า 1 เดือนก็ไม่แน่ใจจะทันมั้ย orz
ด้วง L.