วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Kylin

"Kylin"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 7 **



ผมรีบถือแผนผังเดินไปหาเมินโหยวผิง เขาสวมเสื้อยืดแล้ว นั่งดูวิวใจลอยอยู่ ผมตรงเข้าไปบอกเขาว่า  "เร็วเข้า ถอดเสื้อออก!"

เขาทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจ ผมส่งภาพในมือให้เขาดู พลางอธิบายโน่นนี่นั่นไม่หยุด เขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ถอดเสื้อออกตามที่ผมบอกแต่โดยดี

นายอ้วนหาถุงน้ำร้อนมา พวกเราบังคับให้เมินโหยวผิงเอามาประคบ จากนั้นรอยสักสีดำก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจริงๆ

"ดูตรงตำแหน่งของคฤหาสน์นั่นสิ"  นายอ้วนกล่าว เขาชี้ไปตรงทิศทางสู่หอคอย  "ถ้าปาหน่ายกับหมู่บ้านนี่เหมือนกันจริงๆ นะ ตำแหน่งของเรือนโบราณทรงจีนนั่น ถ้าเทียบกับตัวเสี่ยวเกอ ก็ตรงกับดวงตาของกิเลน"

"หืม?"  ผมเกิดสนใจ เทียบดูอย่างละเอียด

ต่อมานายอ้วนก็ถกเรื่องแนวทางดำเนินการกับผมอยู่นาน พวกเราเทียบสัดส่วนนั่นนี่ของหมู่บ้านกับกิเลนบนตัวเมินโหยวผิงไม่หยุด ผมครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จนปวดหัว รู้สึกเกือบจะได้เรื่องราวอะไรแต่ก็นึกไม่ออกเสียที แผนที่กับรอยสักนี่มีจุดผิดปกติร้ายแรง

"อู๋เสีย"  จู่ๆ เมินโหยวผิงที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เรียกชื่อผม น้ำเสียงลึกซึ้งจริงจังอย่างยิ่ง

"หืม? มีอะไรรึเสี่ยวเกอ หรือว่านายนึกอะไรออก!"  ผมถามด้วยความตื่นเต้น นานๆ ทีเมินโหยวผิงก็หัดร่วมมือสุมหัวคิดปริศนากับพวกเราบ้างแล้ว เป็นพัฒนาการที่ดี

"ที่นายจิ้ม ไม่ใช่รอยสัก"  เขาก้มมองนิ้วผมบนตัวเขา ผมก้มตามสายตาเขา มองนิ้วตัวเอง มันจิ้มหัวนมของเมินโหยวผิงอยู่พักใหญ่แล้ว


END
18/11/2014



Talk Time:

....แอร๊

*ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ขมวดคิ้วครุ่นคิดจริงจึงถึงความหมายแฝงของรอยสักกิเลน*

...กิเลนเนี่ย เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าพิศวงจังเลยนะคะ *ลูบหนวด* ตอนที่อ่านถึงซีนที่อู๋เสียกับนายอ้วนพิจารณากิเลนบนตัวเสี่ยวเกอ เราอ่านไปก็สงสัยไป.. ตากิเลนนี่คือส่วนไหนบนร่างกายเสี่ยวเกอนะ *แอร๊*

คุณหนานไพ่ไม่บอก ...ไม่เป็นไร...ด้วงจินตนากาม *แค่ก* จินตนาการเองได้ค่ะ 5555555+

จริงๆ one-shot นี้ก็แต่งไว้นานแล้ว ตามวันที่ลงท้ายด้านบน ว่าจะแปะนานแล้ว มัวแต่จัดการเรื่องรวมเล่ม เลยต้องดราฟไว้ก่อน กว่าจะได้แปะ (ฮา)


ด้วง L.



วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] โทนเนอร์

 

"โทนเนอร์" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




ขณะเดินในป่าด้วยกันท่ามกลางอากาศร้อนชื้นของมณฑลกว่างซี จุดมุ่งหมายของเราสามคนคือทะเลสาบกลางขุนเขา

หลังจากได้เห็นรอยสักของเมินโหยวผิงเทียบกับแผนที่หมู่บ้านปาหน่าย นายอ้วนฟันธงว่าเมินโหยวผิงต้องมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ พวกเราจึงตั้งใจจะไปงมหาเบาะแสกันอีกครั้ง

ขณะเดิน ผมจ้องมองใบหน้าของเมินโหยวผิงจากมุมข้างๆ ปกติแล้วผมไม่ได้เดินในตำแหน่งนี้บ่อยนัก ที่ประจำของผมในคณะเดินทางคือตรงกลาง ช่องทางเดินในสุสานมักจะคับแคบ ไม่อาจเดินได้อย่างสบายนัก จะมีกี่คนก็ไม่สามารถเดินไปพร้อมกันเป็นหน้ากระดานได้

การจัดกระบวนทัพที่คุ้นชินจึงมักเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เมินโหยวผิงจะเป็นคนเดินนำหน้าสุด ผมอยู่ตรงกลาง ประกบด้วยนายอ้วนคอยช่วยระวังหลัง หรืออีกทีคือเมื่อเกิดการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งในช่วงเวลาวิกฤติ ผมจะกลายเป็นอยู่รั้งท้ายในกลุ่มเพราะวิ่งช้าสุด ส่วนเมินโหยวผิงก็ยังนำหน้าสุดอยู่ดี

นานๆ ครั้งเราจะได้เดินทางกันสบายๆ บนเส้นทางที่คุ้นเคยเพราะไปกลับมาแล้วหลายรอบอย่างทางเดินขึ้นเขาไปทะเลสาบครั้งนี้ ผมเดินข้างๆ เมินโหยวผิงผู้ปิดปากเงียบกริบ อีกฝั่งเป็นนายอ้วนที่ชี้ชวนคุยโน่นนี่ไปตลอดทางสลับกับร่ายบทชื่นชมความงามสดใสของสาวเย้าวนไปวนมาไม่รู้จักเบื่อ

เทียบกับตอนเดินในสุสานแล้ว บรรยากาศทางเดินภูเขาพรรณไม้ครึ้มของที่นี่ชวนให้รู้สึกดั่งเรามาเดินเที่ยวพักผ่อนในสวนหลังบ้าน เสียแต่ว่าแดดที่นี่ร้อนไปหน่อยนึง

ระหว่างทางผมตั้งอกตั้งใจมองเมินโหยวผิงมาก นึกสงสัยว่าผิวพรรณพ่อเทพบุตรหน้าหยกแบบเขา ไฉนจึงสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีเศษสิวแม้สักเสี้ยว ลงกรวยก็ลงมาด้วยกันแท้ๆ ทุกคนเปรอะเปื้อนไปหมด ทำไมจึงมีแต่หมอนี่ที่หน้าหล่อเนียนใสไร้ที่ติ เหมือนนักแสดงที่มีช่างแต่งหน้าคอยซับเหงื่อเติมแป้งให้อย่างไรอย่างนั้น

ถ้ามีคนบอกว่าที่เมินโหยวผิงหายแวบไปบ่อยๆ ระหว่างลงสุสานด้วยกันนั่นเขาไปเช็กหน้าเติมแป้งมา ผมก็คงเชื่อหมดใจ

ผมจ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเผลอมองไปนานเท่าไหร่ อาจมัวแต่คิดอะไรเหม่อลอยจนผิดสังเกตไปนิด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาหันมาจ้องมองผมกลับ ทำเอาผมสะดุ้งไปวูบหนึ่ง ต้องแสร้งทำเป็นมองนกมองไม้ เอามือเช็ดขากางเกง ทำทีเป็นปาดเหงื่อ โบกคอเสื้อเยิ้มๆ ไปมาเงียบๆ

เมินโหยวผิงจ้องมองมาที่ผมนิ่งๆ เหมือนจะถามว่ามีปัญหาอะไร ไม่บ่อยนักที่เขาจะมองหน้าผมตรงๆ เช่นนี้ เวลาอื่นมีเยอะแยะ ก็ดันเลือกมามองในสถานการณ์ที่อธิบายออกไปตรงๆ ไม่ได้อีก ผมไม่อยากโดนด่าว่าผมไปยุ่งกับธุระกงการ (บนใบหน้า) ของเขาอีกหน เลยตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินต่อไปเงียบๆ ไม่โต้ไม่ตอบอะไร

เดินต่อไปอีกหลายนาน แต่เมินโหยวผิงยังไม่ยอมหยุดจ้องผม สายตาของเขาเหมือนล็อกเป้าเอาไว้แล้ว เดินอึดอัดอยู่เช่นนั้นจนผมตัดสินใจหันไปชวนนายอ้วนคุยแก้เก้อ ไม่รู้จะคุยอะไรเลยคุยเรื่องสิวบนใบหน้าของเขาแทน เมินโหยวผิงถึงได้เลิกจ้องผมเสียที (มาคิดได้ทีหลังว่าเป็นหัวข้อคุยแก้เก้อที่ชั่วจริงๆ เมินโหยวผิงคงรับไม่ได้)

"หา? ไอ้นี่อะนะ?" นายอ้วนชี้ที่ตุ่มบวมบนหน้าตัวเอง "มันเรียกฝีต่างหาก โว้ย ไอ้คุณชายเทียนเจิน จะสำอางแล้วยังไม่รู้เรื่อง! ไอ้ที่อยู่บนหน้านายต่างหากนั่นแหละ อีกวันสองวันก็จะบวมกลายเป็นสิว เชิญนายไปเช็ดโทนเนอร์ของนายต่อไปไป๊"

นายอ้วนโบกมือไล่ ทำท่าทางรำคาญ พลางแสร้งเดินหนีห่างออกจากผม ปากก็บ่นว่าเหม็นกลิ่นคนเมืองเต็มทน ผมหัวเราะ ด่ากลับไปว่านายแม่งก็คนเมืองเหมือนกัน แค่ติดสาวบนดอย ถึงกับลืมถิ่นฐานตัวเองไปเสียแล้ว ผมส่ายหน้าทำทีว่าอนาถใจยิ่งนัก แล้วหยิบกระติกน้ำเดินป่าขึ้นมาดื่ม

ในจังหวะนั้นเอง นายอ้วนมองหน้าผมแล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ เขาหันไปมองเมินโหยวผิงสลับกัน

"จะว่าไป...น้องเสี่ยวเกอนี่ก็หน้าเนียนจังนะ เสี่ยอ้วนว่าหล่อเข้มแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เข้าออกป่าเขาลงกรวยหน้ามันก็ต้องมีเยินกันบ้าง แต่น้องเสี่ยวเกอนี่อิทธิฤทธิ์ชั้นเซียน หน้าก็ไม่แก่ สิวก็ไม่ขึ้น ไม่มีริ้วรอยเลยสักนิด"

ผมพ่นน้ำพรวด สำลักอย่างรุนแรง

นายอ้วนหันมาโวย "อะไรเทียนเจิน เสี่ยอ้วนชมตัวเองไม่เข้าหูถึงขั้นนั้นเชียวรึ? แค่พูดความจริงถึงกับรับฟังไม่ได้ มิน่าถึงไม่มีสาวไหนมาติดสักคน แค่จิตใจก็โอบอ้อมอารีสู้เสี่ยอ้วนคนนี้ไม่ได้แล้ว"

ผมอยากด่ากลับไปว่าหยุดค่อนแคะฉันเรื่องหยุนไฉ่ไม่สนใจได้แล้ว เขาไม่สนใจฉันก็ไม่สนใจนายเหมือนกันแหละ!

นับตั้งแต่นายอ้วนติดอกติดใจหยุนไฉ่ ก็ดูจะหมั่นเปรียบเทียบเรื่องความเป็นชาย อันประกอบไปด้วย "ความใจหล่อ" และ "ความหล่อเหลา" ของเราสองสามคนเหลือเกิน (นายอ้วนบัญญัติเองทั้งนั้น) แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผมจ้องเมินโหยวผิงอยู่เมื่อครู่ ก็กำลังสงสัยเรื่องเดียวกับนายอ้วนอยู่เช่นกัน

ที่นี่อากาศร้อน ทั้งผมทั้งนายอ้วนล้วนหน้ามันเยิ้ม จนไม่แปลกหากจะมีสิวขึ้นทีละสิบสองเม็ดพร้อมเพรียงกัน ในช่วงเวลาที่ผมกับนายอ้วนตัวเหนียวเหนอะหนะแทบเป็นเมือก เมินโหยวผิงอย่างมากก็เหงื่อออกกับหน้ามันนิดหน่อย ในช่วงเวลาที่ผมกับนายอ้วนหน้าโทรมราวกับกรรมกรที่ทำงานแบกหามติดต่อกันสามสิบชั่วโมง ก็จะมีแต่เมินโหยวผิงที่หน้ายังใสเหมือนเดิม ประหนึ่งว่าอากาศร้อนและสิ่งสกปรกทำอะไรเขาไม่ได้

แม้กระทั่งตอนนี้ ผมขยับคอเสื้อกระพือรับลมใกล้หอบเป็นหมา ไอ้หมอนี่ก็ยังเดินหน้าตาย มีเหงื่อซึมเล็กๆ แต่พองาม ชวนให้รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม ดูน่าหมั่นไส้อะไรเช่นนี้ ที่ผมสำลักพรวดเพราะเรื่องนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายอ้วนหล่อหรือไม่หล่อตั้งแต่แรก

แต่ผมขี้เกียจเถียง และไม่รู้จะตอบอะไร เลยบอกนายอ้วน "เอาเลยลูกพี่ อยากรู้เคล็ดลับหน้าเนียนพันปีก็ไปถามเจ้าตัว เชิญเสี่ยอ้วนขึ้นนำก่อนเลย"

ผมหันไปมองเมินโหยวผิง เขาไม่ได้สนใจพวกเราแล้ว มุ่งหน้าเดินต่อไปเหมือนไม่ได้ยินที่เราคุยกัน มีแค่ผมกับนายอ้วนสองคนที่มัวแต่คุยเล่นอยู่รั้งท้าย

นายอ้วนที่บัดนี้เดินอยู่ข้างๆ ผม เอานิ้วถูคางอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า "ฉันว่าเพราะน้องเสี่ยวเกอมีเลือดพิเศษ เลือดของเขากันแมลงร้ายได้ เชื้อโรคก็น่าจะฆ่าได้ เอาไว้ต้องลองขอเลือดน้องเสี่ยวเกอมาแตะรักษาฝีดู" ว่าแล้วก็รื้อค้นกระเป๋าตัวเอง หยิบทิชชูขึ้นมา ตั้งท่าจะเดินตามไปขอเลือดเมินโหยวผิงจริงๆ

"โคตรทุเรศ!" ผมทนไม่ได้ รีบดึงมือนายอ้วนไว้

"เอ้า หรือนายจะลอง? จริงสิ ถ้านายไปขอ น้องเสี่ยวเกอน่าจะใจดีกับนายกว่านะเทียนเจิน"

"ใจดีพ่อง!" ผมด่ากลับไป

ถึงตรงนี้ เมินโหยวผิงที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดิน เขาหันมามองพวกเราเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแปลว่าเขาได้ยินพวกเราคุยกันทั้งหมด หรือแค่หันมาเร่งให้เดินเร็วๆ

ในจังหวะนั้นเอง นายอ้วนก็เอากระดาษทิชชูยัดมือผมแล้วผลักผมออกไป ผมโดนผลักปลิวหวือไปยืนตรงหน้าเมินโหยวผิง ผมมองเขา เขาก็มองผม

สายตาของเมินโหยวผิงเลื่อนลงมาจับจ้องของในมือผมนิ่งๆ จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน

เมินโหยวผิงหยิบมีดปลายปืนที่เขายึดจากผมไปใช้ตั้งแต่ตอนอยู่ในถ้ำหยกขึ้นมา ตั้งท่าจะกรีดเลือดให้ผมจริงๆ

"เฮ้ย หยุด หยุด หยุด! นายจะทำอะไร เสี่ยวเกอ!" ผมร้องลั่น เกือบจะพุ่งเข้าไปคว้ามือเขา แต่เมินโหยวผิงหยุดมีดในมือตัวเองก่อน จากนั้นก็มองผม

เขายังคงไม่พูดไม่จา แต่มองกระดาษทิชชูในมือของผมด้วยสายตาจริงจังมาก

ผมรีบโยนทิชชูทิ้งไป แล้วอธิบายให้เขาฟัง "นายใจเย็นๆ ก่อน มันเป็นแค่การคุยเล่นกัน แค่เรื่องเพ้อเจ้อของนายอ้วน คำพูดแม่งเหมือนผายลม นายไม่ต้องบ้าจี้ไปจริงจังตามหมอนั่นก็ได้"

"แต่นายมีสิว"

ผมอึ้งไป ไม่รู้จะตอบโต้อะไร เอานิ้วนวดรอยบวมแดงที่หน้าผากตัวเอง เป็นรอยนูนจุดเดียวกับที่นายอ้วนบอกว่าอีกไม่นานจะกลายเป็นเม็ดสิวขึ้นบนหน้า กดแล้วเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่ถึงกับทนไม่ได้

"เออ...มี แต่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดให้นายต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อพวกฉัน" ผมตอบ ไม่คิดว่าเขาจะบ้าบอไปกับนายอ้วนด้วย ตอนนี้เริ่มเข้าใจเสี่ยวเกอขึ้นมานิดๆ แล้ว ณ จุดนี้ผมเป็นฝ่ายอยากบอกว่า "พวกนายจะมายุ่งอะไรกับธุระกงการบนใบหน้าของฉันวะ!"

แล้วนี่มันอะไร หลอกให้คนความจำเสื่อมกรีดเลือดเนื้อมาให้รักษาสิว (ฝี) ให้ฟรี ไอ้อ้วนนี่ชักจะลากผมไปในทางบาปไม่บันยะบันยังเกินไปแล้ว คบคนพาลพาลพาไปหาผิดจริงๆ

เมินโหยวผิงพยักหน้าเข้าใจแล้วเก็บมีด ผมนึกว่าจะจบแล้ว แต่ไม่ ถอนหายใจโล่งอกได้ไม่ถึงครึ่งคำดี พลันก็ถูกเมินโหยวผิงดึงข้อมือไป เขารั้งผมเอาไว้กับตัว ส่วนตัวผมก็เซไปตามแรงดึง

รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังกดไหล่ให้ผมย่อตัวลง มองจากมุมนี้เมินโหยวผิงจะดูสูงกว่าผมนิดหน่อย มองเห็นใต้คางกับซอกคอที่ปราศจากเม็ดสิวกับปัญหาผิวหนัง ไร้ซึ่งร่องรอยของการเติมแป้งแต่งหน้าจริงๆ ด้วย แม่งจะอวดคอเยาะเย้ยให้ดูหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผมเห็นคอขาวนั่นแล้วรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก พลันก็นึกไปถึงเลือดกิเลนอ่อนด้อยของตัวเอง ชีวิตก็ต้องให้เขามาปกป้อง ยังจะแพ้เมินโหยวผิงกิเลนตัวพ่อแม้กระทั่งปัญหาเรื่องสิว รู้สึกว่าตัวเองน่าอับอายจริงๆ

ระหว่างที่มอง ใจประหวัดคิดไปถึงปริศนาเลือดกิเลน ทันใดนั้น เมินโหยวผิงก็ก้มลงแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากผมไม่ทันให้ตั้งตัว

เขาทำอย่างรวดเร็ว สัมผัสเพียงวูบเดียว

ว่องไวเหมือนงูฉก

จบลงในเสี้ยววินาที

ผมร้อง "ห๊ะ?" ขึ้นมาเบาๆ ระหว่างนั้นผมรู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าผาก เหมือนเมื่อครู่เขาสอดลิ้นลอดริมฝีปากออกมาแตะที่หน้าผากของผมด้วย

จากนั้นก็ถูกทิ้งให้เกือบล้มทั้งยืนอยู่ตรงนั้น

ลำพังก็โดนกดให้ยืนย่อเข่าซึ่งเป็นท่าฝืนธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว อยู่ดีๆ เมินโหยวผิงก็ปล่อยมือออก ผมต้องใช้กล้ามเนื้อแทบทั้งร่างเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มลงก้นจ้ำเบ้าในวินาทีอันสับสน

เมินโหยวผิงเดินผ่านตัวผมไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายจากด้านหลัง ผมต้องใช้กล้ามเนื้ออีกเกินครึ่งตัวในการหันไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น

นายเมินโหยวผิงเดินตรงไปทางนายอ้วนด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่รู้สึกได้ถึงไอทะมึนน่ากลัวอย่างประหลาด

"นาย...นายจะทำอะไรของนายวะเสี่ยวเกอ!" นายอ้วนร้องโวยวายเหมือนหนีตาย พลางยกกระเป๋าขึ้นบังใบหน้าตัวเอง เมินโหยวผิงก้าวไปหาสามก้าว เขาก็ถอยหนีหกก้าว

"โทนเนอร์ก็ใช้แทนกันได้" เมินโหยวผิงตอบเสียงเรียบ ยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากขณะเดินดุ่มเข้าไปหาเป้าหมายที่สอง

นายอ้วนหน้าเหวอ "โทนเนอร์อะไรของนายวะ!" เขาร้องเสียงดังเหมือนหมูถูกเชือด วิ่งหนีเมินโหยวผิงไปรอบๆ

ผมยืนมองเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น เข่ายังแข็งไม่หาย ไม่มีปัญญาจะช่วยอธิบายหรือช่วยเหลือใครทั้งสิ้น ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ มองสิ่งที่เกิดตรงหน้าเหมือนภาพเบลอๆ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ จากนั้นก็เลื่อนมือลงมาจับที่ข้างแก้มตัวเอง

รู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าผาก

รู้สึกอุ่นๆ ที่แก้ม

รู้สึกใจสั่นขึ้นมา

...รู้สึกว่าวันนี้อากาศที่ปาหน่ายจะร้อนขึ้นมาแบบแปลกๆ



+++

END
19/02/2015



#dmbjdaily 179 days left : Travel



Talk Time:

อริ๊แอร๊ นี่มัน #เสี่ยวเกอคนหลายใจ! กาววว กาวล้วนๆ ไม่มีสติเจือปนค่ะ ฟืดดด พอส่งหนังสือครบหมดปุ๊บก็ออกมาร่าเริงแล้วค่ะ เย้ เย้ *บินอย่างด้วงไปรอบๆ ถังกาว*

เป็น #DMBJdaily ที่แถสด แถไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมาก พอดีตั้งใจเขียนเรื่องนี้แต่แรกแล้ว แต่เขียนนานจนเกือบเที่ยงคืน เลยรอหัวข้อเดลี่ เผื่อใส่แถได้ ...ก็พบว่าแถได้จริงๆ *ไถลตัวมาส่งเดลี่อย่างหน้าไม่อาย* เขาไปเที่ยวกันนะคะ เห็นไหม ไปเที่ยวจริงๆ นะเออ ไปเที่ยวทะเลสาบที่ปาหน่ายกันไง! (ถึงจะแค่เปรียบเปรยก็เถอะ)

ไทม์ไลน์อยู่ในช่วงไปเที่ยวทะเลสาบปาหน่ายหลังจากเหตุการณ์ในถ้ำหยกค่ะ ก่อนจะเจอฉิวเต๋อเข่าที่ริมทะเลสาบ (ตรงที่มีซีนนายเมินหลบหลังนายน้อย ^q^) ดูเหมือนจะมีช่วงเวลาที่สามหน่อไปลั้นลากันอยู่บ้างเหมือนกันเลยหยิบตรงนี้มาเขียนค่ะ

แต่ที่มาจริงๆ ของเรื่องนี้ มาจากเมื่อตอนกลางวัน (ของเมื่อวาน) ดูคลิปหยางหยางไอคอนคลุง ผู้รับบทเสี่ยวเกอของชาวด้วง ออกมาอวยพรวันตรุษจีน → อันนี้ค่ะ

นั่ลลั๊กอ่ะว์!! ดูแล้วเผลอจ้องแต่สิวหยางหยางคลุงค่ะ แง แล้วก็สงสัยขึ้นมาว่าถ้าเป็นเสี่ยวเกอจะมีสิวไหมนะ พึมพำงึมงำกับตัวเองจนได้ข้อสรุปว่าคงไม่มีหรอกมั้งสิวน่ะ เพราะมีเลือดพิเศษในตัว (นี่ก็แถไปเรื่อย 555) ก็...ออกมาเป็นโทนเนอร์เรื่องนี้แหละค่ะ ซกมกเนอะ ...แต่ยังซกมกสู้ออฟิเชียลไม่ได้หรอก *บิดตัวอย่างเขินอาย* *โดนซานซูเอาประตูสำริดทุ่มใส่*

สำหรับรวมเล่มฟิค 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" ตอนนี้จัดส่งไปเรียบร้อยหมดแล้วนะคะ หากใครยังไม่ได้ของและต้องการเลข tracking พัสดุ สามารถติดต่อมาได้ที่อีเมล ironytriangle[@]gmail.com นะคะ แจ้งชื่อจริงพร้อมสกรีนเนมที่ใช้ตอนกรอกมา แล้วเราจะส่งรหัส tracking พัสดุกลับไปให้ค่ะ > v <)/ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนมากเลยค่ะ รักทุกคนเลยนะ♥

ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. อะไรนะ? ทอล์กยาวจนลืมไปแล้วว่าจะคอมเม้นต์อะไรอีกแล้วเรอะ!? มุกเดิมค่ะ เชิญอ่านอีกรอบได้ ไม่ว่ากันค่ะ เลิฟ~ ,,U w U,,)๗ *วิ่งหนีไป*

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Daomu Drabble][瓶邪] เต้าหู้

 

"เต้าหู้"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)




อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็สงสัยว่าสองนิ้วอันแข็งแกร่งของเขา ที่ใช้จับสัมผัสอันละเอียดอ่อนของกลไก จะทำเรื่องละเอียดอ่อนไม่แพ้กันอย่างการคีบเต้าหู้ได้หรือไม่

เย็นวันนั้นผมจึงตัดสินใจซื้อเต้าหู้อ่อนมาใส่ชามแก้ว กะจะให้เขาลองคีบดู แต่แม่งเอ๊ย แมวที่ไหนมันเสือกทำน้ำหกไว้ตรงนี้

ในตอนที่ผมลื่นล้ม นึกภาพตัวเองกำลังจะกระแทกพื้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ชามแก้วในมือคงแตก ใบหน้าอันหล่อเหลาคงเสียโฉม สองนิ้วของมือหนึ่งก็ดึงคอเสื้อผมเอาไว้

ถึงตอนนั้นผมจึงเพิ่งรู้ตัว ว่าผมนี่แหละที่เป็นเต้าหู้อ่อนให้เขาคีบมาตลอดนี่เอง




+++

END
05/10/2014







Talk Time:

หิวเต้าหู้เลย... ; A ;

แดรบเบิลอันนี้เก๊าเก่า~ เขียนเอาไว้เล่นๆ ตั้งแต่วันเต้าหู้ของญี่ปุ่น (2 ต.ค.) ปีที่แล้วโน้นค่ะ เห็นเพจที่ไลก์ไว้ในเฟสบุ๊กพูดถึงวันแห่งเต้าหู้ ก็เลยเกิดไอเดียเขียนออกมา

ทิ้งลืมไปซะนานเลยค่ะ (ทีแรกว่าจะเอาไปยัดเยียดเสนอพลอตให้เพื่อนเอาไปวาดต่อด้วยซ้ำ) อยู่ในไหหมักดองรอการขยายพลอต แต่ดูเหมือนสุดท้ายจะไม่ขยายไปกว่านี้แล้ว พราก เลยเอามาลงในนี้ซะเลย XD

เป็นแดรบเบิลที่กินพื้นที่ไป 131 คำ พราก ก็ยังไม่ 100 พอดีอยู่ดี พราก *ซับน้ำตา*

ด้วยรัก จากด้วง M.

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][吴邪+霍秀秀] พี่ชายอู๋เสีย

 

"พี่ชายอู๋เสีย" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (瓶邪 ผิงเสีย)


**Spoiler Warning**




"พี่อู๋เสีย ใกล้วันวาเลนไทน์แล้วนา ปีนี้พี่ก็ยังโสด ฉันก็ยังโสด อย่างนั้นเรามาเป็นแฟนกัน"

"หะ หา!?"

เพราะฮั่วซิ่วซิ่วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยระหว่างเดินเที่ยวในหังโจวด้วยกัน ทำเอาผมถึงกับเดินผิดจังหวะ ก้าวสะดุดยอดหญ้ากะทันหัน ไอศครีมรสชาที่ซื้อมากินเลอะโดนใบหน้าตัวเอง ฮั่วซิ่วซิ่วหัวเราะชอบใจ

ช่วงนี้ฝุ่นควันในปักกิ่งยังไม่หายไป อยู่ดีๆ ซิ่วซิ่วก็โทรศัพท์มาบอกผม ว่าจะแวะมาเที่ยวที่หังโจวแก้เซ็งหลังจากสะสางบัญชีประจำปีอันยุ่งยากของตระกูลฮั่วแล้วเสร็จ พี่ชายที่ใช้ไม่ได้ของเธอยังก่อเรื่องให้ครอบครัวไม่หยุดหย่อน ก่อนจะต้องสู้รบปรบมือกับเทศกาลตรุษจีนของที่บ้านเป็นรายการต่อไป หัวหน้าตระกูลอย่างเธอต้องการผ่อนคลายสักนิด

และวิธีการที่เธอเลือกใช้ผ่อนคลายอารมณ์ก็คือ การมาทริปสั้นที่หังโจว

ตอนคุยโทรศัพท์เธอระบุชัดเจนว่าผมต้องเป็นคนพาเธอไปเที่ยว ตัวผมเองก็ติดค้างน้ำใจเธอเอาไว้มาก อีกทั้งยังเคยหักหาญหัวใจเธออย่างรุนแรงด้วยเรื่องของท่านย่าฮั่ว ความสัมพันธ์ของเรานับตั้งแต่เข้าหน้ากันไม่ติดหนนั้น มาถึงวันนี้ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ากลับคืนดังเดิม แต่ก็จัดว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว

หลายปีผ่านไป ฮั่วซิ่วซิ่วเริ่มกลับมาเข้าหน้าผมได้อีกครั้ง เธอกลายเป็นสหายอีกคนที่ผมสามารถปรึกษาเรื่องต่างๆ ได้ไม่แพ้เสี่ยวฮัว (ในบางเรื่องผมคิดว่าเธอเข้าอกเข้าใจผมได้ดีกว่าเสี่ยวฮัวด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะนิสัยของเราที่คล้ายคลึงกันหลายส่วน) แม้ว่าทุกครั้งที่เจอ ความสัมพันธ์ของเราเหมือนจะมีเส้นบางๆ กั้นเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าควรเรียกเส้นนั้นว่าอะไร อาจเป็นเส้นของความเกรงใจ หรืออาจเป็นรอยร้าวเก่าที่ยากจะสมานคืน แต่บางครั้งที่เธอมองมา ผมจะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ อยู่เสมอ

เรื่องรอยร้าวก็ส่วนรอยร้าว สำหรับผม ยังมีน้ำใจของฮั่วซิ่วซิ่วที่ผมรับมาแล้วต้องตอบแทน ทริปสั้น ณ หังโจวครั้งนี้ผมจึงไม่คิดปฏิเสธ ต้อนรับขับสู้เธออย่างดีเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะให้กับเธอได้

ไม่คิดเลยว่าผมจะดูแลเธอดีเกินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีขีดความสัมพันธ์ของฮั่วซิ่วซิ่วที่ผมเฝ้าระแวดระวัง ด้วยเกรงว่าจะไปเพิ่มความห่างเหินมากกว่าที่เป็น ก็พุ่งทะลุเส้นของคำว่าพี่น้อง กลับกลายเป็นเธอมาขอผมเป็นแฟนเสียอย่างนั้น

"เธอไม่ได้ชอบเสี่ยวฮัวหรอกเหรอ" ผมถาม รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก

"ฉันเป็นคนถาม พี่ห้ามเฉไฉ ตอบฉันมาก่อน" ซิ่วซิ่วไม่ตอบคำถาม เธอดึงผ้าเช็ดหน้าสีชมพูปักลายจากกระเป๋าถือขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม ระหว่างนั้นผมพยายามมองหน้าเธอ แต่ก็ไม่อาจตีความใดได้จากสายตาคู่นั้น

ความรู้สึกว้าวุ่นประหลาดแล่นขึ้นมาในสมอง แม้ไม่ใช่ความลำบากใจยิ่งใหญ่อะไร แต่ถ้อยคำกลับติดอยู่ที่ริมฝีปาก จนเมื่อซิ่วซิ่วเช็ดหน้าให้ผมเสร็จ ยัดผ้าเช็ดหน้าชมพูผืนนั้นให้ผม ผมก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี

"ว่าไงคุณพี่อู๋เสีย อายุพี่ก็ไม่ใช่น้อย พี่เป็นถึงคุณชายสกุลอู๋ พี่มีหน้ามีตา ฉันก็มีหน้ามีตา เจ้าบ้านสกุลฮั่วแม้จะเป็นดอกไม้งาม แต่ก็ใช่จะมีตัวเลือกมากมาย ผู้ชายของฉันต้องคัดมาแล้วเท่านั้นจึงจะจัดว่าคู่ควร พี่ต้องภูมิใจนะ" ฮั่วซิ่วซิ่วยกยิ้ม รอยยิ้มของเธอดูน่ารักสมวัย เป็นภาพที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นจากยายจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์อย่างเธอ

"เธอล้อฉันเล่นอยู่หรือไง เทียบกันแล้วคุณชายเก้านั่นเหมาะกับเธอมากกว่าเยอะ" ผมไม่รับผ้าเช็ดหน้าจากเธอ แกล้งผลักมือเธอไปอย่างทีเล่นทีจริง พอผมเดินหนี ซิ่วซิ่วก็เดินตาม

"ไม่เอาน่า หรือพี่จะบอกว่าพี่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลย..." ว่าแล้วเธอก็ปราดเข้ามาคล้องแขนผม ทำเสียงน่ารักน่าชัง "หรือว่าพี่ก็แค่ไม่ชอบฉัน ...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมอาสามใจร้ายกับหนูจังเลยคะ"

ได้ยินเพียงแค่นั้นก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว หยุดยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ผมหันไปถลึงตาใส่เธอ "อย่าเรียกฉันว่าอาสาม!"

ยายหนูหัวเราะชอบใจ กระชับแขนที่คล้องกับผมมากกว่าเดิม ทำเหมือนกับที่เธอเข้ามาออดอ้อนตอนผมปลอมตัวเป็นอาสาม "พี่อู๋เสีย ฉันรับพี่ได้เสมอ ไม่ว่าพี่จะหน้าแก่ หน้าหนุ่ม หรือจะหน้ามีแผลเป็นนะ"

ผมเผลอยกมือคลำใบหน้าตัวเองครั้งหนึ่ง คิดในใจว่าหน้าแก่นั่นไม่ใช่หน้าของฉันเสียหน่อย ที่หน้าแก่นั่นมันอาสาม! ฮั่วซิ่วซิ่วเห็นปฏิกิริยาของผมแล้วก็หัวเราะออกมา ดูสดใสยิ่งกว่าเดิม

เห็นท่าทางร่าเริงของเธอแล้วผมก็โล่งใจขึ้นมา ที่ขอเป็นแฟนเมื่อครู่คงเป็นแค่การล้อเล่นของเธอ ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร คิดแล้วผมอดส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจไม่ได้

"นี่ยายหนู ฟังนะ ฉันไม่ได้ไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดกับเธอแบบนั้น ฉันมองเธอเป็นแค่น้องสาวคนหนึ่ง และที่สำคัญ ฉันยังไม่คิดจะมีใครตอนนี้" ผมกล่าว จากนั้นก็ก้าวเดินต่อ เราสองคนเดินชมวิวซีหูไปตามถนนไป๋ตี เส้นทางยาวเชื่อมต่อจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะกูซาน สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของทะเลสาบซีหูซึ่งเป็นจุดหมายของเรา เราสองคนเดินทอดน่องต่อไปเรื่อยๆ พลางกินไอศครีม ฮั่วซิ่วซิ่วไม่ได้พูดอะไร

ผมอธิบายต่อ "อีกอย่างที่เธอน่าจะรู้อยู่แล้ว คือฉันยังมีเรื่องต้องสะสาง ทำอาชีพแบบเราๆ กรวยยังต้องคว่ำ สุสานยังต้องลง ชีวิตไม่มีความมั่นคง ฉันจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ ถ้าให้เลือกระหว่างเพื่อนร่วมรบกับหาแฟน ฉันขอเอาเวลาไปทุ่มเทกับเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันตอนนี้ก่อนดีกว่า เรื่องแฟนเอาไว้หลังจากอะไรๆ ลงตัวกว่านี้ค่อยคิดก็ยังไม่สาย"

อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องพูดมากขนาดนี้ แต่เพราะผมรู้ว่านี่คือซิ่วซิ่ว เด็กสาวที่นิสัยคล้ายคลึงกับผม แม้เธอจะหัวไว อาจคาดเดาเหตุผลและสถานการณ์ของฝั่งผมได้อยู่แล้ว แต่หากไม่ได้คำอธิบายที่น่าพอใจก็ไม่มีวันยอมเลิกราง่ายๆ เช่นกัน

ถึงตรงนี้ ซิ่วซิ่วส่งเสียงฮึ "พี่จะบอกว่าพี่แค่ติดเพื่อนงั้นสิ?"

"จะว่างั้นก็ได้"

"ไม่จริง ถ้าพี่ลองคิดดูว่าพี่ไม่ได้มองฉันเป็นน้อง แต่ให้ฉันเป็นเพื่อนของพี่ พี่จะให้ความสำคัญกับฉันมากขึ้นหรือเปล่า"

ผมตอบไปว่าเรื่องแบบนี้มันวัดกันได้ซะที่ไหน ซิ่วซิ่วเถียงผม "วัดได้ซิ ลองคิดกลับกัน ถ้าจางฉี่หลิงเพื่อนพี่คนนั้น ลองมาเป็นตำแหน่งน้องแบบฉันดู เขาเรียกพี่ว่า 'พี่อู๋เสีย' บ้าง พี่จะรู้สึกยังไง"

ผมเงียบไปนานมาก ร้องในใจว่าเหยด มุกนี้ล้ำว่ะ ผมคิดว่าตัวเองสมองจินตนาการล้ำเลิศ (ในบางที) แล้ว แต่จินตนาการสาวน้อยจัดว่าเหนือชั้น ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

ฮั่วซิ่วซิ่วชี้หน้าผม "พี่ไม่ตอบฉัน! พี่กำลังคิดว่าถ้าจางฉี่หลิงคนนั้นเรียกพี่ว่า 'พี่อู๋เสีย' ก็น่ารักดีอยู่ใช่ไหมล่ะ"

ผมสะบัดหน้าไปมารัวๆ รีบลบภาพที่เผลอคิดตามในหัวทิ้งไป "ไม่ใช่แล้ว ฉันไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับเพื่อนตัวเองเลย เธอนั่นแหละยายบ๊อง มาบังคับให้ฉันคิด"

"พี่ไม่ทักท้วงด้วยซ้ำว่าทำไมต้องจางฉี่หลิง เพื่อนพี่มีตั้งหลายคน มีนายอ้วนคนนั้น มีพี่เสี่ยวฮัว แล้วยังเพื่อนสมัยเด็กอีก ฉันยกจางฉี่หลิงขึ้นมา พี่ก็เออออตาม ไม่ขัดคอฉันเลยสักนิด"

ผมอยากกุมขมับวิ่งไปตะโกนใส่ทะเลสาบ ยายฮั่วซิ่วซิ่ว! เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่วะ!

"พี่ไม่ได้ติดเพื่อน พี่แค่ติดผู้ชาย"

"บ้าแล้ว ฉันให้ความสำคัญกับเพื่อนทุกคนอย่างเท่าเทียมต่างหาก" ผมยืนกราน

"งั้นพี่ลองคิดตาม ถ้านายอ้วนคนนั้นเรียกพี่ว่า 'พี่อู๋เสีย' ล่ะ?"

ผมลองนึกภาพตาม เห็นภาพนายอ้วนมือหนึ่งถือปืนกล มือหนึ่งเกาพุงที่พร้อยไปด้วยรอยแผลเป็น หันหน้ามาเรียกผม "พี่อู๋เสีย" ผมรีบส่ายหน้ารับไม่ได้ บอกซิ่วซิ่ว "ฉันกินไอติมไม่ลงแล้ว"

"ใช่ไหมล่ะ! งั้นลองเป็นเจ๊ฮัวพูดกับพี่ดู"

"คนนั้นเรียกฉันว่าอาเฮียอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร"

"แล้วถ้าเป็นเสี่ยวเกอเรียกพี่ว่า 'พี่อู๋เสีย' ล่ะ?"

ผมคิดภาพตาม เมินโหยวผิงที่กำลังนั่งเหม่อ ค่อยๆ หันหน้ามาหาผมอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยปากเรียกผมซึ่งบัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่แซงเขาไปแล้วว่า "พี่อู๋เสีย" ด้วยเสียงอันแผ่วเบา

"..."

ผมพลันวิ่งไปที่ริมทะเลสาบ ตะโกนร้อง "อ๊ากกกกก" ยาวๆ แต่ในใจอยากวิ่งไปกระโดดตูมลงน้ำ ยายฮั่วซิ่วซิ่ว เธอกำลังปลูกฝังอะไรในใจฉันกันแน่!

"พี่หวั่นไหวแค่กับจางฉี่หลิงจริงๆ ด้วย พี่เป็น...จุดจุดจุด" ซิ่วซิ่วที่เดินตามมายิ้มอย่างพึงใจ

"ไม่ใช่! ไม่ใช่เด็ดขาด อาจจะเป็นเพราะหมอนั่นเข้าท่าที่สุดในบรรดาทุกคนก็ได้"

"เอ๋ แล้วคุณชายเก้าคนนั้นเหมาะสมน้อยกว่ากันตรงไหน?" เธอย้อนผมด้วยคำเดียวกับที่ผมปฏิเสธเธอเมื่อครู่ ทำหน้าตาสงสัยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู "คุณพี่อู๋เสีย ยอมรับมาเถอะว่าพี่รู้สึกพิเศษกับเขาแค่คนเดียว ใครๆ ก็รู้ว่าพี่รอคอยแต่เขามาตลอด"

"ไม่ใช่เด็ดขาด ...ว่าแต่เธอมายุ่งอะไรกับเพื่อนฉันด้วย เมื่อกี้เธอชวนให้มาเป็นแฟนกัน แล้วคิดยังไงมายัดเยียดผู้ชายให้ฉันเสียอย่างนั้น" ผมนวดหน้าผากตัวเอง คุยกับยายจิ้งจอกน้อยทีไรได้ปวดหัวทุกที อดคิดไม่ได้ว่าหรือแม่นี่กำลังมีแผนร้ายคิดเข้าควบคุมสกุลอู๋ พอทำไม่สำเร็จก็คิดลดทอนความมั่นคงของตระกูลผมแทน

ไม่น่าใช่... หากซิ่วซิ่วมีแผนการ ก็ไม่ควรเป็นแผนไร้สาระบ้าบอคอแตกเช่นนี้

ผมหันไปประจันหน้ากับยายหนู พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ จะไม่ยอมโดนปั่นหัวอีกต่อไป "ฮั่วซิ่วซิ่ว ตอบฉันมาแต่โดยดี เธอต้องการอะไรกันแน่"

"เอ๊ะ ก็ต้องการพี่เป็นแฟนไง"

"แล้วไอ้ที่กำลังทำมันช่วยให้ฉันอยากเป็นแฟนเธอมากขึ้นยังไงกัน" ผมถาม

ซิ่วซิ่วเชิดคอขึ้น พลางยิ้มเยาะ "ถ้าฉันจะโดนปฏิเสธ ก็อยากจะโดนปฏิเสธจากผู้ชายที่รู้ใจตัวเอง มากกว่าโดนปฏิเสธจากเทียนเจินอู๋เสียที่ใช้คำอ้างข้างๆ คูๆ"

ผมคิดในใจว่านี่มันจะตัดใจได้ไวเกินไปแล้ว แม่นางสกุลฮั่ว ดูท่าเธอจะแค่ล้อเล่นกับผมจริงๆ ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งอกที่เธอไม่ได้คิดจริงจัง แต่อีกใจก็มีเรื่องใหม่มาให้หนักอกแทน

"อย่าเรียกฉันแบบนั้น ฉันไม่ใช่เทียนเจินอู๋เสียอีกต่อไปแล้ว" ผมโบกไม้โบกมือ พอทานไอศครีมจนเสร็จก็ทิ้งเศษกระดาษกับโคนที่กินไม่หมดทิ้งลงถังขยะ เดิมทีผมไม่ชอบทานของหวาน แต่ก็ยอมซื้อไอศครีมรสชามาทานเป็นเพื่อนยายหนูในฐานะคนพาเที่ยวที่ดี พอกินเสร็จแล้วก็รู้สึกเลี่ยนๆ จนอยากดูดบุหรี่ขึ้นมา

"ได้ งั้นฉันจะเรียกพี่ว่าพี่จุดจุดจุด พี่จุดจุดจุดที่ฉันเคยอยากแต่งงานด้วยแท้ๆ แต่กลับลืมกันไปเสียได้ ไม่คิดเลยว่าที่แท้พี่จะไม่มีความเสน่หาในเพศหญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว"

"ไม่เอา"

"งั้นฉันเรียกพี่ว่าอาสามแล้วกัน" ซิ่วซิ่วตรงเข้ามาคล้องแขนผมอีกครั้ง

"ฉันไม่ใช่อาสาม"

ซิ่วซิ่วไม่ฟัง เธอส่งเสียงร้องฮึอีกครั้ง เรียกผมว่าอาสาม แล้วคล้องแขนกับผมที่จุดบุหรี่สูบเดินไปตลอดทาง


×××


ผมไปส่งซิ่วซิ่วที่สนามบินค่ำวันนั้น หังโจวเป็นเมืองใหญ่แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่มาก หากตั้งใจจริงๆ ทริปสั้นสามารถจบได้ในวันเดียว ซิ่วซิ่ว (ที่ยังคงเรียกผมว่าอาสาม) ดูอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ตอนที่แยกตัวกลับปักกิ่ง ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนา อาจจะสนุกที่ได้แกล้งปั่นหัวผมจนพอใจแล้วก็กลับไป

ผมถอนหายใจตอนมองส่งเธอเข้าเกตจนลับสายตา รับมือกับจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ทั้งวัน แทบจะสูบพลังชีวิตผมไปหมดตัว รู้สึกแก่ลงไปอีกสิบปีจนใกล้จะเป็นอาสามไปแล้วจริงๆ

ผมสูบบุหรี่พลางครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอขณะขับรถกลับบ้าน...เมินโหยวผิง...จางฉี่หลิง...ในสายตาคนอื่น ผมดูให้ความสำคัญกับเขามากมายจนผิดสังเกตเชียวหรือ? หากซิ่วซิ่วไม่ทักขึ้นมา ผมเองก็คงไม่รู้ตัว

ผมพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย เพราะเรื่องราวของเขาน่าสนใจ? เพราะผมจมลึกลงไปในเรื่องราวปริศนาจนยากจะถอนตัว? หรือเพราะเขาคือเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายคนสำคัญของผม? จะพยายามคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอมาอธิบาย หรือว่าผมจะ...ไม่ใช่โว้ย! ผมไม่มีทางคิดกับหมอนั่นไปในทางชู้สาวได้หรอก!

ผมเก็บเรื่องนี้ไปคิดแม้กระทั่งยามหัวถึงหมอน เมื่อนอนหลับจึงฝัน

ฝันว่าตัวผมยืนอยู่หน้าประตูสำริดที่เปิดออก เสี่ยวเกอตัวเปี๊ยกยืนรอผมอยู่ในนั้น ดาบโลหะดำของเขาบัดนี้ดูใหญ่เทอะทะเกินตัว แต่ร่างกายกระจิริดกลับถือศาสตราวุธประจำกายไว้อย่างมั่นคง

มือข้างหนึ่งของเสี่ยวเกอตัวน้อยอุ้มตัวผมเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล จากนั้นเขาก็เงื้อดาบฟาดฟันศัตรู คุ้มกันพวกเราจากบรรดานกหน้าคน

ผมที่เป็นฝ่ายโดนเขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขนถึงกับทำหน้าไม่ถูก ได้แต่จ้องมองใบหน้าด้านข้างของสหายร่วมเป็นร่วมตาย ที่บัดนี้เหมือนถูกลดอายุลง กลายเป็นเพียงเด็กชายเมินโหยวผิง ในใจอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ที่แท้เสี่ยวจางตอนเด็กๆ ก็หน้าตาเป็นอย่างนี้เอง

พลันเมินโหยวผิงหันหน้ามามองผมที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เผยรอยยิ้มบางขณะเรียกชื่อผม "พี่ชายอู๋เสีย"

...แล้วผมก็สะดุ้งตื่น

ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียง รู้สึกได้ว่าใบหน้าร้อนมาก หัวใจเต้นแรงมาก แทบได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ

เสียงเรียก "พี่ชายอู๋เสีย" ยังติดอยู่ในหัว คราวนี้รู้สึกพิเศษเสียยิ่งกว่าใครอื่นเป็นคนเรียก ชัดเจน แน่นอน

หรือว่า...หรือว่า...

ยิ่งคิดก็ยิ่งใจเต้นแรงยากจะปฏิเสธ

ผมรู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน อยากวิ่งออกไปตะโกนใส่ทะเลสาบกลางดึก ณ ตอนนี้

ฮั่วซิ่วซิ่ว! เรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ!!



+++

END
04/02/2015



#dmbjdaily 195 days left : เพื่อน (Friends)



Talk Time:

วิ่งมาส่ง #DMBJdaily แบบเลตๆ ค่ะ *กรีดร้อง*

อันนี้เป็นหัวข้อเดลี่ของเมื่อวาน หัวข้อ "เพื่อน" ค่ะ (ส่วนเดลี่ของวันนี้หัวข้อ "มิตรภาพ" ฟังดูคล้ายๆ กัน จริงๆ จะเนียนส่งก็ได้ แต่คิดว่าหัวข้อ "เพื่อน" จะตรงกับเนื้อหาในฟิคมากกว่า เลยขอส่งเลตแทนแล้วกันค่ะ)

เลาอยากเขียนซิ่วเสียมานานแล้ววววว *ลากเสียงยาว* ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นแฟนคลับซิ่วซิ่ว แต่ก็อยากลองเขียนความสัมพันธ์ของน้องสาวพี่ชาย (?) คู่นี้ดูค่ะ ก่อนหน้านี้ยังไม่มีพลอต แต่พอเห็นหัวข้อเดลี่ปุ๊บ ภาพมาเลยค่ะ ไม่ได้การแล้ว ต้องเขียนให้ได้ ...แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นผิงเสียอยู่ดีแหละนะคะ 5555

ไม่แน่ใจว่าเขียนซิ่วซิ่วหลุดคาแรกเตอร์ไหม แต่ส่วนตัวชอบซิ่วซิ่วที่เกรียนแตก (?) แบบนี้แหละค่ะ สาวรุกหน้าใส ปิ๊งๆๆ รังแกพี่อู๋เสียรัวๆ แล้วก็จากไป แงงง ฮือ ชอบอะ อยากอ่านเยอะๆ แต่คนแต่งน้อย เราก็ต่อแพแต่งเอง (แจวแพไปมา หลุดกลับเรือใหญ่อย่างงงๆ ไปอีกแล้ว แต่คิดว่าน้องฟุซิ่ว เอ้ย น้องซิ่วซิ่วคงไม่ขัดข้องแต่อย่างใด 5555)

จะว่าไป เครดิตของเรื่องนี้ต้องยกให้ถุงเท้าที่ส่งมาค่ะ ระหว่างว่างๆ (นอนรอโรงพิมพ์ส่งของมา) ก็ไปเปิดดูถุงเท้าเล่น เห็นมีรีเควสต์หนึ่งบอกอยากเห็นซีนที่ "รู้ใจตัวเอง" ถูกใจอ้ะ! มุฮ่าาาา เอาแบบนี้แหละ! ลองเขียนดูซะเลยค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ในรีเควสต์ระบุว่าอยากเห็นทั้งสองฝั่ง จางฉี่หลิงกับอู๋เสีย เพราะฉะนั้นอันนี้ให้ถือว่าเป็นตัวทดลองเขียนไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะพยายามคิดรูทใหม่ (?) ไว้ส่งเป็นของขวัญในถุงเท้าให้ดีๆ อีกทีหนึ่งค่ะ


×××


โซนใส่คำแก้ตัว: โฮฮฮ ฮรูม ไม่ได้เขียนฟิคมานานมากค่ะ นับตั้งแต่ช่วงที่ลงพรีวิวฟิคผิงเสียที่จะลงรวมเล่มไป ก็แทบไม่ได้แตะงานเขียนอีกเลย เพราะวันๆ ทำแต่ตรวจอ่านฟิค, เลย์เอาต์, เลย์เอาต์, เลย์เอาต์, ตรวจฟิคตัวเอง, ตรวจฟิคเพื่อน, เลย์เอาต์, เลย์เอาต์, เลย์เอาต์, ทำกราฟิกลงเล่ม, ทำเลย์เอาต์ที่คั่น, ทำกราฟิกปก, ทำหน้าคั่น, ตรวจพีดีเอฟ, ตรวจเล่ม, แก้สีปก, แก้สีที่คั่น, ตอบเมล, ตอบทวีต, ทำบัญชีไปด้วย, คุยกับธนาคารไปด้วย, แล้วก็กลับไปขยับเลย์เอาต์ แล้วทำเล่มต่อ (´;д;) ไม่ได้เขียนมาสักพักใหญ่เลยจริงๆ หากสำนวนภาษาอาจจะแปลกๆ ไปบ้างโปรดให้อภัยด้วยนะคะ

ส่วนสถานการณ์รวมเล่มฟิค 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" ตอนนี้ อยู่ในขั้นตอนนอนขูดพื้นกระดานท่าน้ำรอโรงพิมพ์เอาหนังสือมาส่งอยู่ค่ะ พี่ฟาสต์รู้ไหม น้องมารอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลย _(:3 」∠)_ เห็นว่าพิมพ์เสร็จแล้ว แต่รอคิวรถส่งหนังสืออยู่แหละค่ะ /ยืนรอที่ท่าน้ำต่อไป

ทั้งนี้ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่จัดส่งหนังสือได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ถ้าได้หนังสือมาแล้วเราจะพยายามแพ็กให้ไวที่สุด หวังว่าเมื่อของส่งถึงมือ จะไม่ทำให้เพื่อนด้วงผิดหวังค่ะ ขอบคุณทุกการสนับสนุนมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ *โค้งรัวๆ*

ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. อะไรนะ? ทอล์กยาวจนลืมไปแล้วว่าจะคอมเม้นต์อะไรเหรอคะ? ไม่เป็นไรค่ะ เลื่อนกลับขึ้นไปอ่านฟิคนี้ใหม่อีกรอบก็ไม่ว่ากันค่ะ เลิฟ ,,U w U,,)๗