วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Blooming shyness

 

"Blooming shyness"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี || ดอกหมู่ตาน

**Spoiler Warning**


ยามหังโจวเข้าสู่ฤดูหนาว ความสุขทั้งมวลของผมคือการได้นอนซุกตัวในที่นอนอุ่นๆ

เพียงแต่ชีวิตคนเรามักไม่ง่ายขนาดนั้น ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังหนาวอยู่ดี ขณะที่ผมอยากซุกตัวนอนเงียบๆ คนของผมกลับรายงานถึงปัญหาวุ่นวายบางอย่าง

รู้ตัวอีกทีก็ต้องสละที่นอนอุ่นๆ ถ่อมาถึงหนานจิง

เนื่องจากยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ บนจื่อจินซาน (ภูเขาม่วง) ดอกเหมยจึงเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอม ผมและเสี่ยวเกอเดินตามทางขึ้นเขา มองหาสัญลักษณ์ที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นหนึ่งในสิบจุดที่มีการทำเครื่องหมาย อีกเก้าจุดผมกระจายพวกลูกน้องออกไป

เดิมทีไม่คิดว่าต้องพะบู๊อะไร หรือถึงต้องสู้อย่างไรก็มีเสี่ยวเกออยู่ ทว่าเดินมาได้สักพัก ที่รอพวกผมอยู่กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสวมชุดดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในมือถือกระบองเหล็กที่ไม่เข้ากับชุดที่สวมใส่อยู่ บนกระบองสลักตราพยัคฆ์เอาไว้

เหมยสีชมพูอมแดงบานสะพรั่ง คนชุดดำสนิท...ช่างตัดกันจนน่าขำ

ผมมองกระบองในมือของพวกเขา พลางยิ้มขัน ก่อนแสร้งถาม "พี่ชายพวกนี้ ขึ้นเขาพกกระบอง เอามาทำอะไรหรือ"

พวกนั้นพากันแสยะยิ้ม ก่อนคนหนึ่งจะตอบผม "เอามาตี 'หนู' เสียหน่อยน่ะ"

"โฮ่" ผมเลิกคิ้ว ร่างกายอยู่ในสภาพระแวดระวังจนถึงขีดสุด  และถึงไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าเสี่ยวเกอเองก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน

พวกคนชุดดำพากันยิ้มร่า จากนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามา ผมมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจตรวจตรา แต่คนพวกนั้นกลับขัดขึ้นมา "ในรอบบริเวณมีแค่พวกเรา ไม่ต้องหาแล้ว"

จากนั้นพวกเขาก็เงื้ออาวุธ พุ่งมาทางผม ผมหลบ ก่อนร้องตะโกน "เสี่ยวเกอ!"

ในเวลานั้นมีคนสามคนเข้าไปรุมกลุ้มเสี่ยวเกอ ผมที่ต้องหาทางเอาตัวรอดก่อนไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น ผมจัดการคนแรกลงไปได้ จากนั้นก็แย่งกระบองของหมอนั่นมา

คนที่สองและสามพุ่งเข้ามา ผมใช้กระบองรับและสวนกลับ สอยไปได้คนหนึ่ง อีกคนเพียงแค่โดนแบบถากๆ เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะเชี่ยวชาญการใช้กระบอง ในสภาพเช่นนี้ ผมยังมีแก่ใจด่าทอเจ้าพวกมนุษย์กระบองในหัวที่มาตีคนเสือกขนมาแค่กระบอง ไม่รู้ว่าเห็นผมเป็นแค่หนูไม่ควรค่าแก่ความสนใจดี หรือแค่ปัญญาอ่อนดี

โรมรันพันตูกันสักพักกระบองในมือผมก็โดนปัดกระเด็น เปิดโอกาสให้เจ้าหมอนั่นแบบเต็มๆ

"ย้าก!" กระบองอยู่เหนือศีรษะผมซึ่งอยู่ในสภาพตั้งรับหรือปัดป้องไม่ทัน ได้แต่ทำใจว่าคงหัวร้างข้างแตกกันไปข้างหนึ่ง

ทว่าร่างผมกลับถูกกระชากไปด้านหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เสี่ยวเกอใช้แขนข้างหนึ่งของเขารับกระบองเหล็กแทนผม "เสี่ยวเกอ!"

แขนของเขาเกิดรอย ซ้ำยังดูปูดบวมผิดรูปคล้ายกระดูกจะหัก ทว่ายังคงรักษาสีหน้าได้เหมือนปกติ

"เสี่ยว..."

เสี่ยวเกอวาดมือข้างที่ยังใช้การได้เป็นไปเฉียงๆ เกิดเสียงดังเป๊าะ จากนั้นกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งก็ร่วงลงมา เขาถือมันไว้ในมือ จากนั้นก็วาดเท้า หมุนตัวด้วยท่วงท่าทรงพลัง ฟาดเอาคนชุดดำกระเด็นกระดอน พวกเขาที่เหลือส่งเสียงร้องย้าก ก่อนพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกระบองเหล็ก

ในมือของเสี่ยวเกอมีเพียงกิ่งเหมย แต่กลับรับมือคนพวกนั้นได้อย่างสบายๆ กระบองเหล็กฟาดลงมาอย่างรุนแรงดุดัน แต่กิ่งเหมยเล็กๆ กลับปัดป้องราวกับมันทำมาจากนุ่น

หากเป็นยอดจอมยุทธ์ แม้แต่กิ่งเหมยก็อาจใช้แทนกระบี่ได้...

ท่วงท่าของเสี่ยวเกองดงามหมดจดและทรงพลัง ทว่าอาจเพราะในมือของเขาคือดอกเหมย จึงดูคล้ายกับกำลังอยู่ในงานแสดงศิลปะการต่อสู้

ผมยืนอ้าปากค้าง สักพักก็นึกอยากมีเหล้าสักจอก ชมดูคนถือกิ่งเหมยร่ายรำ ถึงปกติคนรำจะเป็นสาวงามก็เถอะ เปลี่ยนมาดูหนุ่มรูปงามบ้างก็คงไม่ผิดนัก

ในที่สุดคนชุดดำทั้งหมดก็ร่วงไปกองกับพื้น แต่มีสองสามคนหนีไปได้ ผมตัดสินใจว่าจะลงเขาไปก่อน หากพวกเขาเรียกกำลังเสริมมาอีกคงจะลำบาก

ผมร้องเรียกเสี่ยวเกอ "เสี่ยวเกอ...เรารีบ"

ยังพูดไม่ทันจบผมก็โดนยกมือเป็นสัญญาณห้ามให้หยุด จากนั้นเขาก็ลากผมหลบเข้าข้างทางไปอย่างรวดเร็ว

จากมุมที่พวกผมอยู่มองเข้ามาเห็นได้ลำบาก แต่มองลอดออกไปสามารถเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน คนชุดดำอีกจำนวนหนึ่งมาพร้อมอาวุธครบมือ ทว่าทีนี้ไม่ใช่แค่กระบอง คงไม่ได้กะมาตีหนู แต่ฆ่ากันให้ตาย

พวกนั้นเห็นพวกผมหายไปก็วิ่งไปยังเส้นทางลงเขา สีหน้าแต่ละคนล้วนดุดัน มองผ่านๆ เห็นตราพยัคฆ์แบบเดียวกับที่เห็นบนกระบองก่อนหน้านี้อยู่หลายตำแหน่ง ผมถอนหายใจ งานนี้กลับไปคงต้องไปเคลียร์อีกหลายเรื่อง แต่ก่อนอื่นคงต้องลงเขาไปสมทบกับพวกลูกน้องเสียก่อน

ขณะกำลังครุ่นคิด เสี่ยวเกอดึงมือผม จากนั้นก็ชี้ไปอีกทางหนึ่ง "ทางนี้"

ผมเดินตามเขาไป ระหว่างนั้นก็อดถามไม่ได้ "แขนนาย...เราหยุด..."

"ตอนนี้ไม่ได้" เสี่ยวเกอตอบสั้นๆ พลางสาวเท้าเร็วขึ้น ผมมองแขนของเขา อดคิดถึงเมื่อนานมาแล้วที่เขาเคยกลับมาช่วยผมจนแขนบาดเจ็บไม่ได้...ท่าทางผมกับแขนเขานี่จะมีกรรมต่อกันจริงๆ

"...เจ็บไหม"ผมถามเขาเสียงแผ่ว

"ไม่เป็นไร" เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"นายเนี่ย เคยรู้สึกเจ็บกับเขาไหมเนี่ย" ผมขมวดคิ้ว หมอนี่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดออกมา

"เคย" เขาเอ่ย จากนั้นก็ลดฝีเท้า หันกลับมามองผม

ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นคล้ายมีมนตร์สะกด ผมเหม่อมองจนเกือบหยุดเดิน เสี่ยวเกอคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "ตอนนายบาดเจ็บ"

จากนั้นพวกเราก็เดินกันต่อโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก

บนจื่อจินซานมีดอกเหมยสีชมพูอมแดงบานสะพรั่งเหมือนมีใครใช้ปลายพู่กันแตะแต้มลงไป ครั้นแหงนมอง ผมคล้ายรู้สึกพวกมันกำลังแย้มขันสองแก้มของผม

...ที่ในยามนี้มีสีสันไม่ต่างอะไรกับดอกเหมยที่กำลังผลิบาน





+++

END
26/11/2014







วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Silent touch

 

"Silent touch"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี

**Spoiler Warning**


เดือนเมษายน ดอกไม้พากันเบ่งบานรับฤดูใบไม้ผลิ ผมจากหังโจวมาลั่วหยาง

งานนี้เป็นการรับส่งของที่ออกจะวุ่นวายอยู่สักเล็กน้อย ก่อนนี้ผมไหว้วานพวกลูกน้องสามครั้ง ล้วนประสบปัญหาทั้งสามครั้ง สุดท้ายนัดแนะกันกับอีกฝ่ายได้เป็นครั้งที่สี่ ผมจึงตัดสินใจลงมือเอง

ลั่วหยางในยามนี้มีดอกหมู่ตาน (โบตั๋น) ผลิบานสะพรั่ง นักท่องเที่ยวพากันมาชมดอกไม้

ผมและเสี่ยวเกอวันนี้แต่งตัวปะปนอยู่กับนักท่องเที่ยว อันที่จริงดูประหลาดไม่น้อยสำหรับผู้ชายแบบพวกผมมาเดินชื่นชมดอกไม้ด้วยกันสองต่อสอง แต่เพราะเขาไม่สนใจอะไร ส่วนผมก็หน้าหนาจนไม่รู้จะหนาไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว จึงไม่คิดอะไรมาก

ครั้นมาถึงจุดที่ต้องการ ผมเดินไปตามโพยที่ได้รับมาเพื่อหาของ "ซ้ายสาม ขวาสอง..."

เมื่อดินมาตามคำบอกจนถึงจุดสุดท้าย ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหมู่ตาน นอกจากดอกไม้แล้วไม่เห็นอย่างอื่น ได้แต่มึนงงเล็กน้อย จนกระทั่งเสี่ยวเกอสะกิดผม ชี้ไปทางดอกหมู่ตานสีชมพูเข้มดอกหนึ่ง เมื่อหรี่ตามองดีๆ จึงเห็นความผิดปกติของมัน

ที่แท้แล้วนั่นเป็นดอกไม้ปลอม เพียงแต่ทำได้ประณีตมาก ซ้ำยังอยู่ในตำแหน่งที่หากมองผ่านๆ ไม่มีทางมองออก ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก "มาซ่อนอยู่นี่เองเรอะ"

ผมเดินเข้าไปใกล้ มองไปรอบๆ เพื่อดูต้นทาง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ดอกหมู่ตานดอกดังกล่าว จากนั้นก็พยายามจะแกะมันออกมาแบบไม่ดูกระโตกกระตาก ทว่าพยายามดึงอยู่นาน ทำอย่างไรก็เอาไม่ออก จนกระทั่งมีมือมาแตะบ่าผม เสี่ยวเกอขยับตัวมานั่งยองๆ ข้างๆ "ฉันเอง"

จากนั้นเขาก็ใช้ปลายนิ้วคล่องแคล่วขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ทุกท่วงท่าดูนุ่มนวล ทว่าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่า ครู่หนึ่งก็สามารถปลิดดอกไม้ปลอมดังกล่าวออกมาได้สำเร็จ จากนั้นก็ส่งให้ผม

จังหวะที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้นมา ผมร้องเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตื่นตกใจ เสี่ยวเกอชะงักและจ้องมองผมที่รีบโบกไม้โบกมือ "อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งขยับนะ"

ที่รีบเอ่ยอย่างลนลานก็เพราะขณะนี้เหนือศีรษะของเสี่ยวเกอ ดอกหมู่ตานดอกใหญ่อยู่เหนือศีรษะเขาพอดี พาลให้คิดถึงเครื่องประดับศีรษะของสาวยุคโบราณ ผมรีบควานหาโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงกลั้วขัน "เอ้า ยิ้มหน่อย"

หากเป็นเมื่อก่อน ผมมั่นใจว่าเสี่ยวเกอคงสะบัดหน้าหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาเพียงมองผมนิ่งๆ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ผมเพียงผู้เดียว ทำเอามือไม้สั่นเล็กน้อย โชคดีโทรศัพท์สมัยนี้เทคโนโลยีไม่เลวเลย ต่อให้มือสั่นเล็กน้อยก็ยังถ่ายออกมาได้สวยงาม

ผมมองภาพดังกล่าว ตั้งใจจะใช้เป็นภาพหน้าจอ แต่แล้วกลับนึกอะไรขึ้นได้ ร้องบอกเสี่ยวเกอที่กำลังจะขยับตัวให้หยุดอีกครั้ง จากนั้นตนเองก็ขยับเข้าไปใกล้เขา พลางปรับกล้องโทรศัพท์ให้เป็นกล้องหน้า อันที่จริงผมใช้เจ้าผลไม้นี่ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ซิ่วซิ่วเป็นคนสอนผมพลางบ่นว่าผมเหมือนคนแก่

ครั้นเลื่อนตำแหน่งภาพจนพอใจ ผมก็ยิ้มให้กล้อง พลางเอ่ยกับคนข้างตัว "ยิ้มหน่อย"

แว่วเสียงกล้องทำการเก็บภาพ ในเสี้ยววินาทีนั้น เสี่ยวเกอที่อยู่ข้างผมแย้มยิ้มเล็กน้อย...

เสียงของผู้คนดังมาจากที่ไกลๆ เราสองหันไปสบตากัน...

ท่ามกลางกลิ่นหอมหวานของดอกหมู่ตาน ริมฝีปากของเราสัมผัสกันอย่างเงียบงัน





+++

END
25/11/2014








วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Fall apart

 

"Fall apart"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**


เนื่องจากมีธุระเล็กน้อยที่ให้ลูกน้องตกลงแทนไม่ได้ ผมจึงต้องมาที่เฉิงตู ก่อนนี้เคยมากับเสี่ยวฮัว ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว เรื่องราวเริ่มรางเลือน

ครั้งนี้ผมมากับเสี่ยวเกอสองคน เดิมทีจะทิ้งเขาไว้ที่บ้าน แต่นึกครึ้มอยากพาเขาออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง จึงกึ่งลากกึ่งชวนมาด้วย อย่างน้อยเขาเป็นผู้ช่วยด้านเจรจาไม่ได้ ก็เป็นบอร์ดี้การ์ดให้ได้

หลังจัดการงานเสร็จ ผมกับเขาก็พากันเดินเล่น คราวนี้มาแถบซินจิน ช่วงฤดูใบไม้ผลิมีดอกหลีสีขาวบานสะพรั่งตลอดแนวถนน ยามลมพัดมาก็ปลิดปลิว ดูคล้ายกับหิมะโปรยปราย

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสดอกหลีที่ตกลงบนอุ้งมือแผ่วเบา

สถานที่นี้งดงาม แต่คิดว่าคงไม่เป็นที่โปรดปรานของบรรดาคู่รักเท่าไหร่ ดอกหลี...หลีคือพรากจาก คงไม่มีคู่รักไหนชมชอบการพรากจาก

เพียงแต่ไม่พราก ย่อมแปลว่าไม่ได้พบ ผมเหลือบมองคนข้างตัว ดวงตาของเขามุ่งตรงไปข้างหน้าคล้ายโลกรอบตัวนั้นไม่สลักสำคัญ...สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมคิดถึงเขาเมื่อก่อน นายเมินโหยวผิงเรือพ่วงที่เคลื่อนไหวเลื่อนลอยไร้ทิศทาง

"เสี่ยวเกอ"

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผม เขาจึงหันกลับมา ทันใดนั้นผมก็ได้เห็น ในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น สะท้อนเพียงภาพของผม ผมคลี่ยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "ถึงนายหายไปอีก ฉันก็จะไปตามกลับมา"

ผมเปลี่ยนแปลง เขาเปลี่ยนแปลง โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่อาจหยุดวันเวลาได้

พรากจากเป็นอย่างไร นั่นไม่สำคัญ มีพบต้องมีพราก หากพรากแล้วใช่ไม่อาจพานพบอีกครั้ง เราสองคนถูกกางกั้นด้วยกาลเวลาสิบปี ประตูสำริดหนักอึ้ง หน้าที่ที่ต้องแบกรับ แต่ท้ายที่สุดก็สามารถกลับมาเดินทอดน่องด้วยกันเช่นนี้

เสี่ยวเกอมองผม ก่อนคลี่ยิ้มจางๆ "ฉันไม่ไปไหนแล้ว"

ผมเบิกตามองเขา พลางยิ้มตอบ คำสัญญาจากยอดนักหายตัวมืออาชีพเชื่อถือได้แค่ไหนไม่รู้ แต่ผมจะถือว่าเขาสัญญาแล้ว หรือต่อให้ผิดสัญญาก็เพียงแค่ไปตีหัวลากกลับมาก็หมดเรื่อง

สิบปีที่แล้วเป็นเช่นไร ต่อจากนี้อีกสิบปีให้หลังจะเป็นเช่นไรล้วนไม่สลักสำคัญ ท่ามกลางดอกหลีโปรยปรายราวหิมะกลางฤดูใบไม้ผลิ ในยามนี้เราสองคนเดินเคียงคู่กัน...เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่อได้พานพบกันแล้ว ไยต้องกลัวการพรากจาก?





+++

END
21/11/2014






วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][黑盟] He does not love me 2

"He does not love me"

ชุดที่ 2

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)

ต่อจาก: ชุดที่1

**Spoiler Warning*




"ฉันกำลังจะตาย" ผู้ชายคนนั้นบอกเขาแบบนั้น


-6-

ในวันที่ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า เขายังคงนั่งๆ นอนๆ ตามปกติ บางทีก็ชวนให้สงสัยว่าการที่อยู่ร้านไหนก็ไม่เคยมีลูกค้าเป็นเพราะดวงกุดเจอเถ้าแก่แย่ๆ หรือเพราะตัวเขาเองมีดวงไล่ลูกค้ากันแน่

และอาจเพราะว่างงานจนเกินไป พวกเขาจึงเริ่มคุยกัน บทสนทนาไม่รู้เริ่มต้นจากตรงไหน แต่จู่ๆ เขาก็ถูกถามว่า "นายมีแฟนหรือยัง"

"เคยมี"

"เลิกไปแล้ว?"

"วันๆ ติดตามเจ้านายแบบนั้น ถึงไม่อยากเลิกก็โดนบอกเลิกอยู่ดี" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ คร้านจะประกาศต่อว่านอกจากโดนบอกเลิกแล้วยังโดนตบฉาดใหญ่ แถมหลังๆ เจ้านาย...คนเก่าคนนั้นใช้เขาเป็นเบ็ดไปตกเหยื่อสาวๆ อีกต่างหาก "คุณล่ะ?"

"ฉัน" อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเลื่อนเปื้อนให้เขา "ฉันไม่คิดมีคนรัก"

"ทำไม?" เขาเลิกคิ้ว

"เพราะฉันกำลังจะตาย" นั่นคือคำตอบที่หนักแน่น ทว่าใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากการบอกเล่าประโยคทั่วไป

เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าให้ "ผมเองก็ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่เหมือนกัน"

เฮยเสียจื่อฟังเขา จากนั้นก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่ "ไม่ใช่อย่างนั้น...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วจริงๆ"

...แล้วยังไง? เขาเอียงคอมองฝ่ายนั้น "ทำไมคุณไม่ไปหาหมอ"

"หมอช่วยฉันไม่ได้แล้ว"

"มีใครช่วยคุณได้อีกไหม"

ฝ่ายนั้นยิ้มพลางส่ายหัว "ไม่มี นี่เป็นชะตากรรมของฉัน...แต่ถ้านายอยากเป็นอาสาสมัครบริจาครัก ฉันก็ยินดีรับเอาไว้นะ"

ปลายนิ้วเย็นเฉียบแสร้งช้อนคางของเขาให้แหงนหน้า หากเป็นเมื่อก่อน หรืออย่างน้อยก็ตอนที่พบกับผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก เขาคงกลัวจนตัวสั่น ร้องวิงวอนขอให้ปล่อยเขาไป อย่าฆ่าเขาเลย

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาพบเจออะไรหลายอย่างจนรู้สึกว่าเพื่อนประหลาดของเจ้านายคนนี้ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องหวาดกลัว

"นั่นสินะ" เขาตอบรับง่ายๆ กลายเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้างุนงงใส่แทน "ผมไม่รักคุณ คุณไม่รักผม นั่นง่ายกับคุณมากกว่า"

ฝ่ายนั้นหัวเราะออกมา "ไม่คิดว่าฉันต้องการเรียนรู้ความรักก่อนตายหน่อยเหรอ"

เขามองใบหน้ายิ้มแย้มก่อนส่ายหัว "คุณไม่ได้ขาดความรักนี่นา"

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยก็แจกจ่ายความรักให้ฉันหน่อยไม่ได้หรือไง"

เขายังคงส่ายหัว "ผมให้รักไม่ได้ แต่ผมทำให้คุณได้อย่างหนึ่ง"

"?"

"ร้องไห้" เขายิ้มให้อีกฝ่าย "ผมเป็นคนอ่อนแอ...แต่คุณน่ะแข็งแกร่ง คนรอบตัวคุณก็มีแต่คนที่แข็งแกร่ง วันที่คุณตายไป พวกเขาอาจคิดถึงคุณ...แต่ไม่มีวันร้องไห้เพื่อคุณ ผมรักคุณไม่ได้ แต่ร้องไห้เพื่อคุณได้"

เฮยเสียจื่อมองเขา จากนั้นก็คลี่ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ "นั่นคือวิธีการขายของของนายงั้นเหรอ"

"จะขายของก็ต้องเสนอจุดเด่น...แต่ผมไม่ขายตัวเองให้คุณหรอก!"

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ขยับตัวมาโอบเขาไว้หลวมๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน

"มิน่า ร้านเจ้าของเก่านายถึงได้ยอดขายติดลบแบบนั้นน่ะ เหมิงเหมิง"


-7-

ลมหนาวของทางเหนือทำเขาต้องห่อกายด้วยความหนาวเหน็บ เขาจามออกมา

"กลางคืนเตียงฉันเย็นมาก อยากเข้ามาให้ความอบอุ่นหน่อยไหม" มีคนถามเขาแบบนี้

"ผมเป็นสัตว์เล็ก โดนคุณกินทีเดียวก็ตายแล้ว...เก็บผมไว้เล่นก่อนดีกว่าไหม" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนจามออกมาเป็นครั้งที่สอง

"เห...สัญญาว่าจะกินนายเบาๆ รับรองว่าไม่ถึงตายน่า"

เขาเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้ "เป็นสัตว์กินเนื้อที่รอเหยื่อเข้ามาหาเอง ขี้เกียจจังนะครับ"

เฮยเสียจื่อยิ้มให้เขา...เป็นรอยยิ้มอภิมหาชวนขนลุกขนพอง


-8-

"..."

"ถูกนายหาว่าขี้เกียจ ฉันเสียใจนะ"

"...ครับ ขยันมาก ขยันมากๆ พี่เฮย คุณเถ้าแก่เฮยขยันเป็นที่สุด" เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รู้สึกหมดแรงที่จะพูดอะไรแล้วจริงๆ ตอนนี้ร่างกายแห้งผากไปหมด จะน้ำอะไรก็โดนรีดไม่มีเหลือ โดยเฉพาะน้ำตา อีกฝ่ายล้อเลียนว่าเขามีดีแค่ร้องไห้ เพราะงั้นก็ขอทดสอบสินค้าเสียเลย

ตอนนี้เขาแสบตาไปหมดแล้ว ลืมตาแทบไม่ขี้นแล้ว จริงๆ ไม่ใช่แค่ตา ให้ยกนิ้วเขายังไม่แน่ใจเลยว่าจะยกขึ้นหรือเปล่า

"น้ำเสียงนายมันไม่จริงใจเอาซะเลย เจ้าของเก่าไม่ได้สอนหรือไงว่าถึงไม่พอใจยังไงก็ต้องเก็บสีหน้าท่าทางเอาไว้น่ะ" ว่าแล้วก็ดีดหน้าผากเขาดังป๊อก "คิ้วขมวดหมดแล้ว"

...การค้าที่ขาดทุนแบบนี้ ยังต้องเก็บสีหน้าด้วยงั้นหรือ เขานึกอยากโต้เถียงกลับ แต่หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดรัดเอาไว้ใต้ผ้าห่ม

"เตียงอุ่นแล้ว ดีจริงๆ"

...พรุ่งนี้เขาจะออกไปซื้อกระเป๋าน้ำร้อน!


-9-

ปักกิ่งเกิดพายุหิมะรุนแรง การจราจรเป็นอัมพาตไปทั้งเมือง

"ปิดร้านนอนก็แล้วกัน" เจ้าของร้านเอ่ยด้วยเสียงเนือยๆ

"อยากนอนก็นอน ลากผมมาด้วยทำไม"

"อื๋อ ไม่เอาน่า ก็เห็นนายชอบนอน เราก็มานอนกันเถอะ"

"แล้วถอดเสื้อผ้าผมทำไม!" เขารู้สึกว่าเส้นอะไรสักอย่างในหัวขาดดังผึง

"อุ่นเตียงก่อนนอนไง ฮึบ"

...พรุ่งนี้ต่อให้ออกไปแล้วแข็งตายอยู่ข้างนอก เขาก็จะออกไปซื้อกระเป๋าน้ำร้อน!




+++

END
18/11/2014







Talk Time:
คอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ยังไงก็ตามชื่อเรื่อง คือเขาไม่รักฉัน ซึ่งมาจากชื่อเพลง 他不爱我 http://www.youtube.com/watch?v=frq1dpY9E8M นี่แหละค่ะ เพราะงั้นก็เลยตีความตามชื่อเรื่องออกมาเป็นแบบนี้แหละเนะ ไม่ตรงกับเนื้อเพลงหรอกค่ะ ฮา (เผื่อใครอยากอ่านคำแปลนะคะ )

ในบรรดาคนทั้งหมด หวังเหมิงไม่ได้เรื่องที่สุด เพราะงั้นก็คงให้รักที่เข้มแข็งไม่ได้ ให้ได้แค่นี้แหละค่ะ

ตอนแรกว่าจะไม่ขึ้นเตียง หรือขึ้นก็คงอีกนาน แต่ไหนๆ ก็ขายหน้าไปกับแฮมทาโร่แบบสนุกสนานแล้ว ช่างมันเต๊อะ ช่างมันเต๊อะ ← ปลงได้ในสามสิบวินาที

อย่างที่เคยประกาศไปว่าจะเป็น Slice of Life (ที่แปลว่าเหมิงเหมิงโดนหั่นเป็นชิ้นๆ *เดี๋ยว*) เพราะงั้นก็คงเป็นช็อตไปเรื่อยๆ แหละค่ะ มีตอนจบที่อยากไปให้ถึงแล้ว แต่แวะเดินเล่นก่อน ฮา



วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][二环] After 9:45

 

"After 9:45"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 二环/2×O เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋ x เซี่ยเหลียนหวน)


**Spoiler Warning**


อู๋เอ้อร์ไป๋เพิ่งพบว่า 'ใบหน้า' ของน้องชายเป็นสิ่งที่นำความบันเทิงมาให้เขาได้ไม่น้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบโทรศัพท์ เลือกหมายเลขเดียวจากในสมุดบันทึก จากนั้นก็กดโทรออก

พักใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะยอมรับโทรศัพท์ เบอร์นี้เป็นเบอร์ส่วนตัว มีเพียงพวกเขาที่รู้กันแค่สองคน เกือบยี่สิบปีแล้วที่ไม่เคยถูกโทรออก ไม่คิดว่าละครตลกตรงหน้าจะทำให้เขายอมติดต่อคนที่เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่

ทันทีที่ได้ยินเสียงว่าปลายสายกดรับ เขาก็เอ่ย "คิดจะขู่ฉัน... ไอ้หลานคนนี้นี่มัน"

"..." ฝ่ายตรงข้ามยังคงเงียบ

"ถ้าเดาไม่ผิด คงคิดว่า 'คนใจแข็งอย่างอารอง ทนได้อย่างน้อยถึงนิ้วที่สาม'" อู๋เอ้อร์ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเจือขบขันขณะมองหลานชายที่กำลังสวมหน้ากากของน้องชายเขาทำหน้าเครียดมองมือซ้ายของตัวเอง

"ได้เวลากดจรวดนำวิถี ระเบิดหลานชายนายได้แล้วมั้ง" ในที่สุดปลายสายก็ยอมตอบเขา แม้น้ำเสียงจะฟังออกยากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูแล้วก็คงกำลังบันเทิงไม่แพ้เขา

...ก็แน่ล่ะ ภาพตรงหน้า ร้อยทั้งร้อย...ขอเพียงรู้จักอู๋ซันเสิ่ง ให้ใจแข็งเป็นหินอย่างไรก็ต้องอดหัวร่อไม่ได้

อู๋เอ้อร์ไป๋ยกชาขึ้นจิบ ก่อนเอ่ย "ปล่อยมันเลือกนิ้วก่อน จะข่มขู่ฉันทั้งที ดันเลือกมือข้างที่ไม่ถนัด แถมเล็งแต่นิ้วที่ไม่ค่อยได้ใช้ ความเด็ดขาดยังไม่ได้เรื่อง"

"หึ แล้วจริงๆ นายจะใจแข็งทนดูนิ้วของหลานชายได้งั้นเหรอ...ที่จริงแล้วอารองของเขาทนได้กี่นิ้วกัน"

ยามนี้ครึ้มอกครึ้มใจ อู๋เอ้อร์ไป๋อดหยอกไม่ได้ "เรื่องนั้นไม่รู้ รู้แค่กับนาย...ไม่ต้องถึงนิ้วที่สามก็ร้องครวญครางแล้ว"

แว่วเสียงสบถด่าเขามาตามสายโทรศัพท์ ดูเหมือนจะซึมซับนิสัยเสียๆ ของน้องชายเขามาจริงๆ

"ฉันจะวางสายแล้ว"

"เฮ้ ไม่เอาน่า ตอนนี้หลานชายกำลังวางมือบนเขียงแล้วนะ" เขาหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องมากดอัดคลิปวิดีโอ ภาพของอู๋ซันเสิ่งทำหน้าเครียด มือหนึ่งถือมีด อีกมือหนึ่งวางบนเขียง นับเป็นภาพที่น่าสนใจจริงๆ

"...นายนี่มัน"

"ยังไงนายก็กำลังเขียนจดหมายอธิบายเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวหลานชายจะเหลือแค่เจ็ดนิ้วไปฟรีๆ นะ"

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียด ตามด้วยเสียงกดโทรศัพท์ ก่อนกรอกเสียง "วางมีดลง มองมานอกหน้าต่าง"

อู๋เอ้อร์ไป๋รอให้อีกฝ่ายคุยจนจบ วางสาย ฟังเสียงหมอนั่นหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ จึงค่อยเอ่ย "พรุ่งนี้ฉันจะไปรับ"

ฝ่ายนั้นหยุดหัวเราะ ก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง "...ไม่ต้อง"

"ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ นายจะเล่นเป็นใครฉันไม่สน พรุ่งนี้หลังเก้าโมงสี่สิบห้า ฉันต้องการเซี่ยเหลียนหวนที่บ้าน"

"..."

"ฉันจะไปรับ" เขากล่าวย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ชิงเอ่ยก่อนวางสาย "แล้วเจอกัน"

...หลังจากนี้ เราสามารถมีรักที่ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ได้ไหม?



หลังเก้าโมงสี่สิบห้า เปลวไฟเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน

เรื่องของหลานชายหลังจากนั้น เขาได้รับรู้ผ่านทางคนของเขาและพี่ชายที่โทรมาปรึกษาเรื่องลูกชายอาจจะอกหักครั้งยิ่งใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม ช่วงหนึ่งถึงขั้นกังวลว่าลูกชายอาจหนีไปฆ่าตัวตายสังเวยรักล้มเหลว เขาได้แต่ปลอบไปว่าหลานชายคนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าฆ่าตัวตาย ไม่ต้องเป็นกังวล

คนเป็นน้องชายเกือบหลุดปากไปหลายทีว่าขนาดจะตัดนิ้วข่มขู่เขา ลูกชายของพี่ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ทำหน้าเครียดมองมือตัวเองบนเขียง เลิกคิดเรื่องฆ่าตัวตายไปได้เลย

สุดท้ายเขาได้เจอหลานชายอีกครั้งตอนฝ่ายนั้นวิ่งมาขอคำปรึกษาเขาเรื่องการจัดการธุรกิจที่อาสามของเขาทิ้งเอาไว้ คนเป็นอารองจึงได้เห็นประกายในตาคู่นั้น

'พรากจาก' ...ดวงตาของหลานชายบอกเขา

สิบปี...อู๋เอ้อร์ไป๋เพียงแค่ยิ้มขัน

สิบปีเพียงแค่นี้...ตัวเขารอมาเป็นยี่สิบปี ยังไม่เคยปริปากบ่นใดๆ ช่างเป็นหลานชายที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

เอาเถิด...เวลาอันแสนยาวนานของหลานชายเพิ่งเริ่มต้น ส่วนของเขา ในที่สุดการรอคอยก็จบลง เดิมทีกำหนดของเขาไม่ใช่แค่สิบปี ยี่สิบปี แต่เป็น 'ไม่มีกำหนด' ตราบเท่าที่องค์กรนั่นยังอยู่ ภารกิจยังไม่จบลง พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ารอ

"ทุกอย่างจบแล้ว"

"อืม จบแล้ว"

ทุกอย่างล้วนส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ ชะตากรรมต่อจากนี้เป็นอย่างไร พวกเขาถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้พวกเขาสามารถตื่นเช้ารำไท่เก๊กด้วยกัน เดินหมาก ถกเรื่องราวในหนังสือวิชาการ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไป

เว้นเพียงอย่างเดียว...

"เหล่าเอ้อร์" คนที่ยืนหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของเขาชะงักเท้า ก่อนหันกลับมาส่งยิ้มให้

"หืม"

"...เดินเล่นด้วยกันสักหน่อยไหม"

เขามองอีกฝ่าย...แม้จะเป็นการ 'รับกลับ' แต่ก็ต้องใส่หน้ากาก เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่หน้ากากของอู๋ซันเสิ่ง แต่เป็นคนธรรมดาๆ ไร้ประวัติใดๆ ภายใต้หน้ากากหน้ามนุษย์ สิ่งเดียวที่สะท้อนความจริงคือดวงตาคู่นั้น เมื่อมองสบแล้วก็เข้าใจเรื่องราว เขาจึงตอบรับ "เอาสิ"

ความจริงก็คือ เรื่องราวจบลงแล้ว...แต่ใช่ว่าพวกเขาสามารถยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เหมือนเก่า ก่อนนี้ชีวิตของเซี่ยเหลียนหวนอยู่ภายในห้องใต้ดินอันอุดอู้เพื่อปกปิดร่องรอย ยามนี้แม้ได้อยู่ภายในตัวบ้านโอ่โถง แต่ก็ต้องเผชิญความจริงอย่างหนึ่ง

นี่เป็นเพียง 'กรง' แห่งใหม่

ดังนั้นเขาจึงเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ก่อนเดินเข้ากรงที่จะไม่มีวันได้กลับออกมาชั่วชีวิต เพียงแค่วันนี้ เพียงแค่ตอนนี้ ต้องการจะเดินบนท้องถนนเฉกเช่นคนธรรมดาบ้าง

"คนตายแล้วก็คือคนตายแล้ว ไม่อาจกลับมามีชีวิตได้" เซี่ยเหลียนหวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ

"ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัวผีดิบ"

"อย่าเอากีบลาดำมายัดปากกันก็แล้วกัน"

"เสี่ยวหวน ฉันไม่ทำอะไรน่าเสียดายแบบนั้นกับปากนายหรอกน่า...เฮ้ ทำไมเดินถอยไปซะไกลแบบนั้น กลับมา!"



หลังจากนั้น วันเวลาของพวกเขาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตเป็นไปตามปกติ พวกเขาไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องเก่า ทุกการกระทำคล้ายว่าช่วงเวลาที่แยกจากกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

เพียงแต่...มีหลายคืนที่คนข้างตัวของเขาตื่นเพราะฝันร้าย...สองมือสั่นสะท้าน เขาได้แต่กอดอีกฝ่ายไว้เงียบๆ อู๋เอ้อร์ไป๋รู้ดีว่าสิ่งที่คนในอ้อมกอดของเขาต้องการไม่ใช่คำพูดปลอบประโลมใดๆ

...นี่คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจไปแล้ว ได้เลือกลงไปแล้ว

มีครั้งหนึ่งฝ่ายนั้นถามเขาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย "ทุกอย่างจบหรือยัง"

เขานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบปฏิเสธ "ยัง"

ดวงตาตื่นตระหนกมองเขา อู๋เอ้อร์ไป๋เพียงคลี่ยิ้มมุมปาก เคลื่อนกายเข้าใกล้ แตะจูบปลอบประโลม

"เรื่องของเราเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น"

ท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงของฤดูใบไม้ร่วง สองร่างเพียงตระกองกอดกัน แลกเปลี่ยนไออุ่นจากร่างกาย

เมื่อวานผ่านพ้นไปแล้ว...วันนี้มีคนอยู่เคียงข้าง

พรุ่งนี้หรืออนาคตจะเป็นเช่นไรล้วนไม่สลักสำคัญ





+++

END
13/11/2014






Talk Time:

ตอนนี้กึ่งๆ ต่อกันนิดหน่อยจาก "กลเก้าห่วง" ค่ะ
จริงๆ ตอนแรกแค่จะล้ออู๋เสียบนเขียงค่ะ (เป็นฉากสุดประทับใจ) พอดีไปฟังเพลงมา จำชื่อไม่ได้แล้ว ประมาณว่า ถูกตัวเองลักพาตัว ตอนนั้นคิดว่าคนแบบไหนจะถูกตัวเองลักพาตัวกันฟะ ก่อนนึกออกอยู่หนึ่งชื่อ อะ...มีนี่หว่า ไอ้คนแบบนั้นที่วางแผนการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ (?) ตัวเอง -______-;;

ประจวบกับด้วงอีกนางเคยโยนมุก "นิ้วของอารอง" ให้ ฮว่า เอามาใช้ซะเลย

ตัวออริจินอล (ดราฟต์แรก) ไม่มีท่อนตรงกลาง แต่คิดว่าต่อให้กลับมาอยู่กับอารอง ก็ใช่ว่าจะสามารถมาเดินโชว์ตัวได้ สุดท้ายก็เป็น 'อีกกรง' เพียงแต่เราคิดว่าคราวนี้นกคงเต็มใจจะโดนขังกรงแหละเน้~

ส่วน 9 โมง 45 นาทีนี่เพราะไป...ไปทำอะไรสักอย่างมานี่แหละ ติดตา (ตัวจีน) ซะงั้น

แต่ไอ้เพลงถูกตัวเองลักพาตัวเนี่ย เนื้อจริงไม่ได้ติ๊งต๊องแบบคุณอู๋หรอกนะคะ แฮ่ม *ไปหามาเลยดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว*

อ๊ะ เจอเลี้ยว ลองไปดูใน เว็บนี้ ดูนะคะ จริงๆ แล้วคนที่เหมาะสมกับเพลงนี้น่าจะเป็นอาเซี่ยมากกว่านะ *หัวเราะ*

ต้องทำเรื่องที่ไม่ใช่ตัวเอง จนสุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่ลักพา 'ตัวเอง' ไป...ก็คือตัวเราเองนั่นแล

ช่วงนี้บ้าฟังเพลงจีนค่ะ (ฮา) เพราะทำรวมเล่มด้วยแหละน้า

เจอกันโอกาสหน้าค่ะ ทอล์คจะยาวกว่าเนื้อเรื่องแล้ว!

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Shade

 

"Shade" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 จ้า**




ผมไม่ใช่คนกลัวความมืด

อันที่จริงผมแค่ไม่ชอบความรู้สึก ‘ไม่รู้’ ตอนที่ตัวเองตกอยู่ในความมืด ไม่รู้ว่าช่วงเวลาระหว่างเปลี่ยนจากมืดไปสว่าง สิ่งที่ไม่เคยอยู่ตรงหน้าจะมาปรากฏตรงหน้าแบบกระทันหันรึไม่ ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอาศัยขั้นตอนที่ผมมองไม่เห็นเพื่อสร้างความตกใจให้ผมรึเปล่า

ทว่าก่อนนี้ที่ไปลุยสุสานกลางดึกบ้าง ทั้งที่ไปมุดถ้ำลุยป่าจนเจออะไรต่อมิอะไรมากมาย อะไรที่ไม่อยากเจอในความมืด ผมคิดว่าเจอมาครบแล้ว โดนสถานการณ์บังคับให้เห็นทุกอย่างที่ไม่อยากเห็น สิ่งที่ผ่านตาสั่งสมจนถึงตอนนี้ ต่อให้กลัวแค่ไหนก็กลายเป็นชินชาในที่สุด

แต่กลางคืนมาถึงทีไร ผมก็มักนอนจ้องเพดานด้วยความสงสัย หากหลับตาลงจะมีเส้นผมเปียกชื้นลากผ่านใบหน้ารึไม่ จะมีแมลงไต่แขนมุดเข้าปากตอนไหน ตู้เสื้อผ้าปิดแน่นสนิทรึยัง มีรูร่องให้สัตว์จำพวกงูมุดเข้าห้องรึเปล่า

ผมคิดว่า บางที...สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีคือใจคน ก็สามารถหมายถึงเรื่องนี้ได้ด้วยเช่นกัน

ผมจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ตัวเองผุดลุกขึ้นนั่งกลางดึก จ้องมองเพดานภายใต้ความมืดของห้อง สุดท้ายก็นอนไม่หลับ ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกมวนสองมวน ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ไม่อาจแก้ไข ไม่อาจเปลี่ยนแปลง คนที่อยู่เพียงในใจแต่ไม่อาจหวนกลับมา คิดจนไม่เหลืออะไรให้คิด แล้วค่อยทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อนอนต่อ รักษาร่างกายให้ทำหน้าที่ต่อไปในวันพรุ่ง

ผมไม่กลัวความมืด แต่ความมืดมักย้ำให้ผมคิดถึงเรื่องที่คล้ายดั่งแผลเป็น แผลเป็นที่ยังคงระบมอยู่และจะจารึกบนตัวผมไปชั่วชีวิตไม่ว่ายามหลับหรือตื่น

กระนั้น ผมก็ไม่คิดรบกวนนายอ้วน ไม่นึกอยากพูดคุยกับเขาเรื่องนี้เพื่อเปลื้องออกจากใจ ด้านเขาแม้ไม่แสดงออก ผมรู้ว่าเขาเองก็ได้รับผลจากเรื่องหยุนไฉ่จนถึงปัจจุบัน ไม่อยากรบกวนเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ นี่เป็นปัญหาของผมเอง

จึงไม่คาดคิดว่า กลางดึกคืนหนึ่งที่ผมสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย จะได้เห็นคนนั่งอยู่ใกล้ๆ เตียงตัวเอง

จางฉี่หลิงผู้ทำหน้านิ่งเป็นรูปสลักหินตลอดปีชาติคนนั้น

ตั้งแต่ผมตื่น เขาไม่พูดสักคำ ไม่แม้แต่ปรายตามอง เขาแค่นั่งเฉยๆ ตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกที่มีแต่ความมืด

"ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในป่า นายไม่ต้องเฝ้ายามก็ได้"

"ฉันไม่ได้เฝ้ายาม"

เมินโหยวผิงตอบกลับมาโดยยังอยู่ท่าเดิม ผมมองตามสายตาเขา ถึงได้เห็นว่าคืนเดือนมืดเช่นนี้ ด้านนอกแทบจะไร้แสงไฟ แต่ท้องฟ้าด้านบนเต็มไปด้วยแสงดาวมากมาย ประหนึ่งคนโปรยเพชรเม็ดเล็กเท่ากรวดทรายทั้งกำมือลงบนผืนผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม

ตอนนั้นเองที่ผมนึกได้ถึงสิ่งที่ลืมเลือนไปตั้งแต่เมื่อใดยังไม่ทันรู้ตัว ท้องฟ้ายามค่ำยิ่งมืดมิด มองไม่เห็นแม้มือตัวเองก็จริง แต่ยิ่งขับให้แสงสว่างจากดาวดวงเล็กยิ่งเด่นจับตา

ผมลืมเลือนไปเสียนาน...ความรู้สึกปลอดภัยเช่นนี้

นับจากนั้น แม้ผมไม่ได้พูด เขาก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนผมทุกคืน สุดท้ายผมก็ได้แต่หลอกตัวเองไม่ให้เสียหน้า ว่านี่คือการป้องกันไม่ให้เขาหายตัวไปไหนอีก ทำเป็นไม่คิดถึงความจริงที่ว่า ฝีมืออย่างเขา ต่อให้ผมคุกเข่ากอดขาเขาเอาไว้ เขาอยากไปเมื่อใดก็แค่ใช้สองนิ้วยาวๆ นั่นคีบผมทิ้งเท่านั้นเอง

ถ้าคิดแบบนั้นแล้ว...แปลว่าตอนนี้ผมก็กำลังถูกสองนิ้วนั่นคีบเก็บไว้ข้างๆ ตัวเขาอยู่รึเปล่านะ


+++


END
08/11/2014



#dmbjdaily 282 days left : สอง



Talk Time:

#DMBJdaily ค่ะ อีก 282 วัน!! ヽ(゜∇゜)ノ

ถึงจะบอกว่าสปอล์ยเล่ม 10 แต่ไทม์ไลน์ในเรื่องนี่เลยไปไกลแล้วค่ะ ฟีลลิ่งว่าไปรับกลับมาอยู่ร่วมบ้านแล้ว แง *ชูป้ายมโนคือชนะ*

ก่อนหน้านี้เคยเจอเนต้าว่าอู๋เสียมักคิดมากจนมีปัญหากับการนอน บวกกับเราชอบโมเมนต์ที่คนมีปัญหากับการนอนสามารถนอนหลับได้สนิทแม้วันคิดมากเพราะมี "คนที่เชื่อใจได้ คนที่พึ่งพิงทางใจได้" อยู่ใกล้ๆ รู้สึกว่าโรแมนติกดีนะ (≧▽≦) ก็เลยอยากลองแต่งฟิคตอนนี้ขึ้นมาค่ะ (จริงๆแค่อยากหาเรื่องให้เสี่ยวเกออยู่ในห้องนอนอู๋เสีย 5555555555)

คิดๆ แล้วก็สงสารอู๋เสียพิกล จากคุณชายหน้าแบ๊วนั่งๆ นอนๆ ในร้านไปวันๆ ดันต้องมามุดดินคว่ำกรวยจนเจอเรื่องที่ชวนให้นอนแบบขวัญผวา โดนคน (และผี) รังแกจนกลายเป็นคุณชายเทียนเจินที่ไม่ค่อยจะเทียนเจินไปซะแล้ว โธ่...อี้เฟิง *เดี๋ยวๆๆๆ*

ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าถึงเสี่ยวเกอจะดูอินดี้ไปนิด แต่เฮียแกก็แคร์อู๋เสียในแบบของตัวเอง (มั้งนะ...แคร์แล้วแหละ นี่น่าจะแคร์แล้ว 55555)  จากคนที่ปกติไม่เคยสนใจชาวบ้าน ตอนนี้ (ในเล่ม10) ก็ถึงกับแสดงความรั--- *แค่ก* แสดงความเป็นห่วง..? ห่วงใย? จะเรียกว่าอะไรดี นึกไม่ออกเลยค่ะนอกจากคำว่า "สายสัมพันธ์" อืมมม ระบุประเภทได้ยากจริงๆ 55555

*ได้ยินเสียงคนตะโกนตัดมุกมาว่า "มิตรภาพครับ" จากที่ไกลๆ *

ฮือออ สรุปว่าที่พ่อเรือพ่วงเมินโหยวผิงยังชอบทำหน้าเย็นชาไปนิดก็ช่วยไม่ได้ รบกวนนายน้อยสามสั่งสอนเรื่องแสดงอารมณ์ให้เขาเยอะๆ นะคะ สักวันก็คงใช้การได้ดีเอง แบบเดียวกับที่ซาxึเกะสารภาพรักกับนาxุโตะน่ะค่ะ แอร๊ *เดี๋ยวๆๆ*

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][二环] กลเก้าห่วง

 

"กลเก้าห่วง"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 二环/2×O เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋ x เซี่ยเหลียนหวน)


**Spoiler Warning**


ตอนที่เซี่ยเหลียนหวนเข้ามาในห้องหนังสือ อู๋เอ้อร์ไป๋กำลังเดินหมากกับตนเอง

ขณะนี้ที่บ้านของเขามีสมาชิกใหม่มาอีกสอง อันที่จริงมองภายนอกมีคนเดียวคือน้องชายของเขาที่แวะมาขอพักอาศัยเนื่องจากกำลังต่อเติมบ้าน แต่แท้จริงแล้วกลับมีอีกคนพ่วงติดมาด้วย

เขาเคยเห็นอีกฝ่ายไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นแค่การมองผ่านๆ นึกไม่ถึงว่าชะตากรรมจะเล่นตลกกับตระกูลของพวกเขาได้ขนาดนี้

ฝ่ายนั้นตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขา "ฉันแค่มาหาหนังสืออ่าน ไม่รบกวนแล้ว"

ว่าแล้วก็หมุนกายเดินกลับไป อู๋เอ้อร์ไป๋หัวเราะในใจ...ท่าทางเหมือนแมวขี้ตื่นแบบนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา ท่านพ่อของเขาคือราชาสุนัขแห่งฉางซา พี่คนโตเป็นสุนัขเรียบร้อย น้องชายคนเล็กเป็นสุนัขบ้าป่าเถื่อน...เพิ่งเคยเจอแมวแบบนี้เป็นครั้งแรก

ด้วยนึกสนุก เขาจึงเอ่ยชักชวน "เดี๋ยว ได้ยินว่านายแก้กลเก้าห่วงได้แต่อายุยังน้อย...เล่นหมากรุกได้ไหม"

คำถามนี้อันที่จริงถามเล่นๆ มีความจริงจังไม่ถึงสามส่วน ทว่าฝ่ายนั้นหันกลับมามองเขา ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเดินมานั่งลง จากนั้นก็เล่นหมากรุกกับเขาเงียบๆ ระหว่างเล่นกันอยู่ จู่ๆ อู๋เอ้อร์ไป๋ก็ถามด้วยเสียงเนิบนาบ "สนใจไทเก๊กไหม"

"..." น้องชายคนใหม่ไม่ตอบคำ เพียงแต่เช้าวันถัดมาก็มีคนตื่นมาด้อมๆ มองๆ เขา จึงหาเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยน รำมวยด้วยกัน ระหว่างพวกเขาสองคนพูดคุยกันน้อยมาก ซึ่งอู๋เอ้อร์ไป๋รู้สึกพึงพอใจมากกว่ามานั่งฟังน้องชายจอมโวยวายของตนเอง ไม่รู้ป่านนี้เตลิดไปตักทรายคว่ำกรวยอยู่แถวไหนแล้ว

ว่าไปแล้วเซี่ยเหลียนหวนนับได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา ใบหน้าเรียกว่าคล้ายน้องชายเขาอยู่หกเจ็ดส่วน แต่ที่ต่างกันชัดเจนคือดวงตาคู่นั้น อู๋ซันเสิ่งน้องชายเขาไม่เคยมีดวงตาแบบนั้น

เขาพูดไม่ถูกว่าควรเรียกว่าอะไร บางทีอาจเป็นความหนักหน่วงของเรื่องราวที่ต้องแบกรับเอาไว้

หลังจากนั้นพวกเขาสองคนจึงนั่งเล่นหมารุกด้วยกันทุกวัน เทียบกับน้องชายที่เล่นด้วยกันทีไรมีแต่หาเรื่องโกงเพื่อให้ได้รับชัยชนะ คนตรงหน้าเขาสุขุมกว่า เพียงแต่ความลังเลมากกว่า...และทุกครั้งที่ปรากฏความลังเลจนเพลี่ยงพล้ำ ท่าทางของฝ่ายนั้นจะพลิกผัน กลับมาเหี้ยมโหดดุดัน คล้ายเด็กน้อยที่สะดุ้งตกใจที่เผลอแสดงความเป็นเด็กออกไป จึงกลบเกลื่อนด้วยท่าทางแบบผู้ใหญ่

...หมอนี่กำลังแบกอะไรอยู่?

มีครั้งหนึ่งเขาเห็นคิ้วของอีกฝ่ายกดลึกจนแทบเป็นร่อง ไม่รู้เกิดความคิดอะไรจึงเอื้อมมือไปสัมผัสและนวดคลึงให้แผ่วเบา ดวงตาที่มองเขาในตอนนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ท่าทางแบบนั้นทำให้เขาโน้มตัวเข้าไป ประทับริมฝีปากแผ่วเบา

ฝ่ายนั้นรับจูบของเขาอย่างเงียบงัน พวกเขาเพียงมองตากัน จูบนั้นจบลงที่เตียง

"ฉันไม่เคยถอดกลเก้าห่วงมากก่อน" เขาพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ

เซี่ยเหลียนหวนตอบกลับด้วยการถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออก "งั้นนายก็ลองดู"

กลเก้าห่วงอันแสนซับซ้อน ต้องถอดแล้วใส่กลับเข้าไปหลายขั้นตอนจึงจะปลดได้สำเร็จ บางทีอาจวุ่นวายสับสนเหมือนความรู้สึกของพวกเขาสองคนในเวลานี้ ภายในอ้อมกอดของกันและกัน พวกเขาทั้งคู่ยังคงพูดกันน้อยมากเช่นเดิม

ราวกลับกลัวว่าถ้าพูดออกไป เรื่องราวทั้งหมดของพวกเขาจะเป็นเพียงภาพลวงตา



วันเวลาอันแสนสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขายังคงเช้ารำไทเก๊ก ตกบ่ายเล่นหมากรุก ถกตำรา ต่อกลอน ยามเย็นก็จบลงที่เตียง ไม่เคยมีคำพร่ำพรรณาให้มากความ เพียงแค่มองตากัน จากนั้นก็สัมผัสกันอย่างเงียบงัน

บางทีอู๋เอ้อร์ไป๋ก็สงสัย ที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมา บางทีอาจเพราะหวาดกลัวว่าคำพูดนั้นอาจทำให้โลกของพวกเขาพังทลายก็เป็นได้

"...เหล่าเอ้อร์ เหวอ พวกนายสนิทกันเร็วดีนะ" คำพูดนี้เป็นของน้องชายร่วมสายเลือดจอมแสบของเขา ปากก็บอกซ่อมบ้านและย้ายมาอยู่กับเขา แต่ความจริงคือน้องผู้ไม่เคยอยู่สงบเสงี่ยมของเขาออกร่อนไปทั่ว เขาได้ข่าวไม่สู้น่าฟังนักมาจากข้างนอก ได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รับไม่รู้เอาไว้

"บอกว่าห้ามเรียกเหล่าเอ้อร์ ให้เรียกพี่รอง" เขาย้ำประโยคเดิมๆ และค่อนข้างมั่นใจว่าประเดี๋ยวน้องชายก็จะลืมเช่นเดิม

คนที่เดินหมากกับเขาเหลือบมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับมาสนใจเกมบนกระดาน น้องชายเขาก้าวฉับๆ เข้ามาใกล้ มองกระดานหมาก จากนั้นก็ถือวิสาสะขยับตัวหมากของคู่แข่งของเขาหน้าตาเฉย

"เหล่าซาน แกอย่าเสียมารยาท" เขาตำหนิน้องชาย ฝ่ายนั้นยักไหล่ "ไม่เอาน่า ยังไงเราสองคนสุดท้ายก็ต้องใช้ชื่อเดียวกัน ใครเล่นก็เหมือนกันนั่นแหละ"

อู๋เอ้อร์ไป๋เห็นไหล่ของคนที่นั่งตรงข้ามกระตุกเบาๆ มือที่แตะขอบโต๊ะออกแรงกำแน่น

การสูญเสียตัวตน หลบอยู่ภายใต้ชื่อของอีกคนหนึ่งนั้นเป็นความรู้สึกเช่นไรกันนะ? ตามแผนการคือทำให้ผู้คนสับสน คิดว่าเซี่ยเหลียนหวนที่ตายไปเป็นคนร้ายสวมชื่อของอู๋ซันเสิ่ง แต่ท้ายที่สุดคนขับเคลื่อนทุกสิ่งก็ยังคงเป็นอู๋ซันเสิ่งอยู่ดี

...แล้วเขาคืออะไร? ชื่อของเซี่ยเหลียนหวนดูเหมือนมีความหมาย แต่แท้จริงแล้วไม่มี

การเล่นละครเป็นใครอีกคนฟังดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วน้ำหนักที่ต้องแบกรับนั้นไม่ได้เบาเลย โลกนี้มีใครบ้างอยากสูญเสียตัวตนของตนเองกันเล่า?

คืนนั้นแขนที่โอบกอดเขาไว้บีบรัดแน่นกว่าเดิมราวกับกลัวจะสูญเสียที่ยึดเหนี่ยว เขาได้แต่กระซิบเรียกชื่อของอีกฝ่ายซ้ำๆ ท้ายสุดได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มอันแสนปวดร้าวและเสียงแหบพร่า

'...นั่นเป็นชื่อของคนที่ตายไปแล้ว'





ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย 'บ้าน' เสร็จสมบูรณ์...

"พรุ่งนี้ฉันจะไม่ใช่ฉันอีกต่อไป" ฝ่ายนั้นเอ่ยแผ่วเบา กำหนดที่จะต้องใส่หน้ากากมาถึงแล้ว และต่อจากนี้ เขาไม่วันกลับคืนสถานะเดิมได้อีก และว่ากันว่าหน้ากากใบหน้ามนุษย์หากใส่นานๆ เข้าจะไม่สามารถถอดออกได้อีก

ท้องฟ้าในยามนี้ขมุกขมัว พวกเขาแหงนมองท้องฟ้าด้วยกัน จิบชา พูดคุยเรื่องราวเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกๆ วัน...เพียงแต่หัวข้อสนทนาในวันนี้ของพวกเขาคือเรื่องที่ทั้งคู่ต่างพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

"บางทีฉันอาจอยากเป็นแค่คนธรรมดา เปิดโรงน้ำชา วันๆ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมา วันๆ เล่นหมากรุก อ่านตำรา" ดวงตาคู่นั้นทอดมองออกไปไกลแสนไกล ก่อนจะค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า "แต่ก็เป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ"

"ฉันจะรอ" อู๋เอ้อร์ไป๋เอ่ยเพียงประโยคเดียว ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากกว่านี้ พวกเขามองตากันเงียบๆ จากนั้นก็จูบกัน

คืนนั้นอาจพูดได้ว่าเหมือนทุกๆ คืน...แต่ก็ไม่เหมือนโดยสิ้นเชิง คนในอ้อมกอดเขาคล้ายแก้วเปราะบางที่พร้อมจะพังทลายหากบีบแรงๆ บางทีนี่อาจเป็นตัวตนที่แท้จริง...อ่อนแอ เปราะบาง แต่เพราะน้ำหนักที่ต้องแบกรับใหญ่หลวงเกินไป ไม่อาจคุดคู้ตัวสั่นร้องไห้ได้

โลกนี้ไม่เหลือทางถอยให้ฉัน...เซี่ยเหลียนหวนกระซิบด้วยเสียงสะอื้น นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้ และเขารู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...ไม่มีทางให้ถอยแล้วจริงๆ

เดิมทีเขาควรยืนอยู่ในตำแหน่งของน้องชายในขณะนี้ สืบทอดงานของท่านพ่อ แต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว อู๋ซันเสิ่งคือคนที่ต้องเคลื่อนไหว ส่วนเขากลับกลายเป็นตัวหมากครึ่งๆ กลางๆ บนกระดาน ซึ่งคิดแล้วก็น่าขัน

"จำฉันแทนตัวฉันที" ฝ่ายนั้นร้องขอเขาอย่างเงียบงัน

เขาไม่ได้ตอบคำ เพียงจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

กลเก้าห่วงถูกถอดเป็นชิ้นๆ การใส่กลับเองก็ต้องใช้เวลา...แต่ไม่มีเวลาสำหรับพวกเขาอีกต่อไป





ภายหลังเขาจึงมีน้องชายทั้งหมดสองคน ตอนแรกการแยกอีกฝ่ายเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าอู๋ซันเสิ่งนั้นมีเพียงคนเดียว อีกคนเป็นเพียงเงาวูบวาบที่จับต้องไม่ได้

พวกเขาสองคนเจอหน้ากันเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา ถกเถียงกันตามบทบาท ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวเกินความจำเป็น ไม่เคยคุยกันเรื่องอดีต ไม่มีการทวงถามถึงสัญญา...ทุกสิ่งคล้ายภาพลวงตา เพียงพริบตาเดียวก็จางหายไป

ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสองล้วนรู้ดี

 
...หน้ากากบางใบสวมไว้นานเกินไปจึงแกะไม่ออกแล้ว



+++

END
02/11/2014






Talk Time:

นึกไม่ออกแล้วว่าจะทอล์คอะไร (ฮา) พล็อตนี้อยากเขียนมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาส เมื่อวานถล่มฟังเพลงจีนเยอะไป อิน 55555+

ก็ ถือเป็นความสัมพันธ์ของสองคนนี้ในมุมมองของเราแหละค่ะ เพียงมองกัน ไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย เทียบกับอาสามที่โผงผาง เราชอบอาเซี่ยที่สุขุมล่ะนะคะ ← บทฮีก็มีให้เห็นแค่นั้นแหละ -w-;;

แต่ก็อย่างที่บอก เราเข้าใจผิดเรื่องเซี่ยเหลียนหวนกันมาหลายเล่ม ท้ายสุดคนที่เราเห็นก็คืออู๋ซันเสิ่งอยู่ดี ตัวตนของเขา อันที่จริงเบาบางจนแทบจับไม่ได้ เลยเอาประเด็นนี้มาเขียนแหละค่ะ

กว่านี้เราก็นึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรเหมือนกัน (รู้สึกเนต้าอฟช. ท่านให้มาแถวๆ นี้) แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากเขียนต่อ ชอบเขียนบรรยากาศแบบเหงาๆ นิดๆ ค่ะ *ช่วงนี้อินบรรยากาศเฉยๆ แหละ lol*

อนึ่ง ตอนนี้ปั่นต้นฉบับหรรษาอยู่ แต่คิดว่าถ้าเรียบร้อยก็จะกลับไปซบเอยูไร้แก่นสารเหมือนเดิมแหละนะคะ...อื๋อ เหมือนมีแฮมทาโร่ยังค้างไว้อีกตัว *ไอโขลก* จริงๆ มีเอยูอีกเรื่อง แต่ยังไม่เรียบร้อย -v-;; เอาไว้จะมาลงกันในภายหลัง