วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 02: ไอชีวิต


"Forget - ลืมเลือน-"

02: ไอชีวิต 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



...รู้สึกว่าจะได้ของยุ่งยากมาอยู่ในมือแล้วจริงๆ

เจ้าหนูนี่เหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง ไม่พูดไม่จา ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์

"เจ้าหนู...พี่ชายน้อยท่านนี้ ไม่พูดไม่จาไม่ว่า แต่อย่างน้อยก็กินอะไรสักหน่อยเถอะ อย่าบอกนะว่านายเป็นเซียน ไม่ต้องกินข้าวกินปลา" ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหมดเรี่ยวหมดแรง ถึงวางอาหารให้เต็มโต๊ะเขาก็ไม่สนใจ ที่สำคัญคือแตะเนื้อต้องตัวเขาทีไรเป็นต้องรู้สึกหนาวสันหลังวาบทุกครั้ง

...หรือเขาจะเป็นทายาทเทพเจ้ากิเลนอะไรนั่นของอาสามจริงๆ

ผมส่ายหัว...น้อยๆ หน่อยเถอะ ตาแก่นั่นดูยังไงก็จงใจปั้นเรื่องชัดๆ ประวัติเด็กคนนี้ต้องไม่รวบรัดหมดจด แต่ไม่ว่าจะให้คนออกไปตามสืบอย่างไรก็ไม่ได้ร่องรอย

"หรือนายไม่ชอบอาหารพวกนี้? เอางี้ นายอยากกินอะไร...บอกมาคำเดียวฉันจะหามาให้" ผมตบอกตัวเอง ทว่าดวงตาคู่นั้นไม่มองผม ไม่สนใจผม...ไม่สนใจอาหาร

ไม่สนใจอะไรเลย

"หรือจะเป็นตุ๊กตาผีจริงๆ วะเนี่ย" ผมพึมพำกับตนเองขณะเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ จวบจนวางมือเบาๆ บนไหล่...ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนอุ้มเขากลับมา (เพราะหวังเหมิงหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมอุ้ม) รู้สึกเย็นวูบวาบไปทั้งตัว ตอนนี้ก็เหมือนกัน แค่แตะเบาๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวผมถูกแช่ในช่องแช่แข็ง เลือดลมแทบไม่ไหลเวียน

ผมกัดฟันออกแรงคว้าไหล่ของเขา พลางเอ่ย "เจ้าหนู นายทำแบบนี้ไปทำไมฉันไม่รู้ นายอาจจะไม่พอใจฉัน หรือยังไงก็ช่าง ตอนนี้นายอยู่ที่นี่ภายใต้การดูแลของฉัน อันที่จริงฉันไม่ต้องสนใจนายก็ได้ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าอาสามของฉัน ถ้านายยังดื้อด้านอีก ต่อจากนี้ถึงอดตายฉันก็ไม่สนใจแล้วนะ"

ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกขนลุกวาบจนต้องสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว เด็กคนนั้นยังคงไม่มองผม มาถึงขั้นนี้ ผมรู้สึกจนใจ

และในตอนที่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไร ตาแก่ต้นเรื่องก็โทรมาพอดี...ดี! ดีเยี่ยม! อาสามปิดโทรศัพท์หนีผมเป็นวัน ในที่สุดก็ยอมโผล่หางมาจนได้

"อาสาม เด็กของอาไม่ยอมกินข้าว" ผมรายงานเขาด้วยเสียงเนิบนาบ

ปลายสายตกใจเล็กน้อย คิดว่าตอนแรกเขาคงเตรียมใจถูกผมโวยวายใส่ ไม่คาดว่าผมจะรับมือเขาอย่างใจเย็นเช่นนี้ เขากระแอมไอ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "เด็กคนนี้มีสายเลือดพิเศษ ก่อนจะเลี้ยงแบบมนุษย์ธรรมดา แกต้องค่อยๆ ถ่ายไอชีวิตให้เขา"

"ช่วงนี้อาเอาหัวไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า" ผมถามด้วยเสียงอ่อนโยนสุดๆ

"ฉันไม่ได้บ้าเว้ย นี่พูดจริงทุกคำ" อาสามร้องเพ้ยออกมา "แกต้องถ่ายไอชีวิตของแกก่อน ไม่งั้นใช้การไม่ได้"

"โอเค ไอชีวิตก็ไอชีวิต ต้องทำยังไงบ้าง" ผมคร้านจะถกเถียงอะไรกับเขาแล้ว จึงได้แต่เออออห่อหมกไปก่อน

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น ตอนแรกฟังจากเสียงลมหายใจ ผมคิดว่าเรื่องที่จะได้ยินต่อจากนี้คงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แต่แล้วอาสามพลันเอ่ยมาเพียงหนึ่งพยางค์ถ้วน ไม่ขาดไม่เกินไปมากกว่านั้น

"จูบ"

"..."

...ผมคิดว่าตัวเองคงจะฟังผิด

"จูบซะไอ้หลานชาย"

...ตกลงไม่ผิดจริงๆ น่ะเหรอ

ผมถอนหายใจยาวเหยียด ดวงตากวาดไปรอบๆ ห้อง อีกมือเอื้อมไปแตะปืนพกที่เหน็บเอวอยู่ "อาสาม อาสารภาพมาเถอะว่าอาให้คนแอบอัดวิดีโอเทปในห้องผม กะจะเก็บภาพไปแบล็คเมล์"

"บ๊ะ ใส่ความ...ไม่เชื่อก็ตามใจแก ถ้าเขาตาย โลกนี้เกิดภัยพิบัติ ทั้งหมดเป็นความผิดแก" แล้วอาสามก็วางสายไปอีกครั้ง

ผมยืนถือหูโทรศัพท์แบบนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนค่อยๆ หันไปมองตุ๊กตามนุษย์ที่นั่งเหม่อลอยตัวนั้น

โลกเกิดภัยพิบัติ? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ คนแบบอาสามของผมไม่มีทางสนใจความเป็นไปของโลกใบนี้ เด็กนี่ต้องมีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น แต่ปัญหาคืออาสามไม่ยอมบอกผม

เช่นนั้นควรทำอย่างไร? ผมมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดนั่น พลางยืนคิดอยู่เนิ่นนาน

ถ่ายไอชีวิตงั้นหรือ...


+++

TBC
30/12/2014




วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Thank You

 

"Thank You"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)



**Spoiler Warning**


...ผมยังคงสงสัย

ปกติแล้วคนเราคอแข็งแค่ไหน อย่างไรก็ต้องรู้จักคำว่าเมาบ้าง คนคนหนึ่งยามเมาล้วนมีปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างกันออกไป ผมสงสัยว่าเสี่ยวเกอเวลาเมาจะเป็นเช่นไร

แต่ใครใช้ให้เขาเป็นพวกคอแข็ง กรอกเหล้าอย่างไรก็ไม่รู้สึกรู้สา ความอยากรู้อยากเห็นของผม ผ่านมาสิบปีก็แล้ว ยี่สิบปีก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นผลสำเร็จเสียที

จนกระทั่งนายอ้วนที่ตอนนี้ศีรษะหงอกขาว แต่ก็ยังสนุกกับการใช้ชีวิตปรากฏตัวขึ้น เขามาพร้อมตำรับสมุนไพรดองเหล้าปริศนาของเขา ไอ้หมอนี่ก็ดูเหมือนจะสนุกไปกับการทดลองของผม เรียกว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ก็ได้ แต่ที่น่าด่าคือเขาชอบเอาอะไรแปลกๆ มาให้ แต่สุดท้ายคนซวยรับเคราะห์ทั้งหมดกลับมีแค่ผม สวรรค์แม่งไม่ยุติธรรมเลยสักนิดเดียว

"จอกเดียว รับรองจอด" นายอ้วนพูดเช่นนี้

จอกเดียวไม่มีปัญหา ปัญหาคือจะให้เสี่ยวเกอกินเข้าไปได้อย่างไร ไอ้การจะชวนเขากินเหล้าแล้วผมไม่กินด้วยก็ไม่ได้ แต่จะกินด้วยก็มีหวังอดเห็นผลการทดลองกันพอดี คิดแล้วน่ากลุ้มใจเป็นบ้า

สุดท้ายนายอ้วน (อีกแล้ว) ที่เป็นคนเสนอแผน 'หนึ่งจอกแทนคำขอบคุณ' ให้ผม

ผมนั่งฟังแผนที่เขาร่ายจนหูตาลายไปหมด และอาจเพราะมีอายุแล้ว ธุรกิจทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมด ว่างงานถึงขีดสุด ถึงได้คิดว่าลองดูก็ไม่สมควรเป็นปัญหาอะไร

ดังนั้นผมจึงถือกาเหล้าและจอกใบหนึ่งเดินไปหาเสี่ยวเกอที่นั่งเหม่ออยู่

ผมวางจอกบนโต๊ะ รินเหล้าจากกาให้เขา จากนั้นก็ฟุ้งฝอยเรื่อยเปื่อย เสียดายทักษะการเจรจาชักแม่น้ำทั้งห้าของผมสู้นายอ้วนไม่ได้ ฉะนั้นจึงพาเขาอ้อมรอบโลกอยู่นานกว่าจะได้เข้าเรื่อง "ดังนั้น เหล้าจอกนี้ ขอขอบคุณนาย"

"เรื่องอะไร" เสี่ยวเกอถามกลับ

ไอ้หยา...เรื่องอะไรงั้นหรือ สมองผมทำงานอย่างรวดเร็ว "เรื่องที่นายช่วยฉันจัดการคดีเถ้าแก่หวงเมื่อสามเดือนก่อน"

"นั่นไม่จำเป็น" เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนกลับไปเหม่อต่อ หากเป็นสมัยก่อนผมคงโกรธกับคำตัดรอนน้ำใจของเขา แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ผมถึงเข้าใจว่าเขาเพียงแค่อยากบอกว่า 'ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉัน'

"งั้นก็ ขอบคุณคราวก่อนที่นายจัดการเรื่องไข่มุกซีหูน่าปวดหัวนั่นได้"

"นั่นก็ไม่จำเป็น" เสี่ยวเกอตอบ ดวงตาของเขาไม่แม้แต่เหลือบแลจอกเหล้าบนโต๊ะ

ผมเลยคุ้ยแคะคำพล่ามขอบคุณเขาไปเรื่อยๆ ยิ่งพูดยิ่งย้อนกลับไปไกล จนไปถึงเมื่อคราวที่ผมกับเขาพบกันครั้งแรก คิดถึงนายเมินโหยวผิงและด้วงศพแล้วทำให้รู้สึกวูบวาบในใจอย่างน่าประหลาด

ทว่าไม่ว่าผมจะพูดอย่างไร เสี่ยวเกอก็ยังคงไม่รับคำขอบคุณของผมไปอยู่ดี ผมคิดเรื่องขอบคุณจนเหนื่อย สุดท้ายก็นึกได้ว่าก่อน (หนี) ไป นายอ้วนทิ้งกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้ผม บอกว่าถ้านึกมุกขอบคุณเสี่ยวเกอไม่ออก ให้เปิดอ่านดู เขากำชับนักกำชับหนาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าหากไม่จำเป็น ห้ามเปิดออกเด็ดขาด

ผมคิดว่ายามนี้คงเรียกว่าเป็นความจำเป็นได้ จึงคลี่แผ่นกระดาษออกดู

บนกระดาษมีไม่กี่อักษร ผมกวาดตาไปพลาง อ่านไปพลาง

"ขอบคุณ...ที่...รัก...ฉัน"

กว่าผมจะรู้ตัวว่าอ่านอะไรออกไปก็เอ่ยไปจนถึงอักษรสุดท้ายแล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาต่อมาของผมจึงเป็นการก้มหน้าที่ร้อนฉ่าของตัวเอง มือควานเปะปะหาโทรศัพท์ เตรียมด่านายอ้วน เอาให้บรรพบุรุษในหลุมของเขาหนาวๆ ร้อนๆ เลยทีเดียว

ทว่าขณะที่ผมจะกดโทรออก หูพลันได้ยินเสียงทุ้มเนิบนาบเรียกชื่อของผม

"อู๋เสีย"

ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นโต๊ะว่างเปล่าก็ตกใจ ครั้นผงกศีรษะขึ้นอีกนิดก็เห็นเสี่ยวเกอยกจอกเหล้าถือไว้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มจางๆ ให้ผม

"...ขอบคุณที่ไม่ลืมฉัน"

จากนั้นเขาก็กรอกเหล้าลงคอ ในหัวของผมตอนนั้นขาวโพลน รู้สึกตัวอีกทีก็พุ่งประชิดเขา คว้าใบหน้า จากนั้นก็ประกบจูบ ใช้ปลายลิ้นแย่งชิงเหล้าในปากของเขามาเล็กน้อย รสขมปร่ากระจายไปทั่วโพรงปาก

กว่าสมองน้อยๆ ของผมจะสำนึกว่าแผนตั้งต้นคืออะไร ผมก็แลกริมฝีปากและของเหลวขมๆ กับเขาไปเรียบร้อย...สมุนไพรของนายอ้วนรสชาติบัดซบที่สุด แต่ดูเหมือนประสิทธิภาพของมันจะไม่เลวเลย ผมเริ่มรู้สึกคล้ายยามเมา ดวงตาเยิ้มไปหมด ทั้งร่างร้อนผ่าวจากภายใน

ผมฝืนตัวเอง มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเขา พลางคิดว่าช่างมันเถิด จากนั้นก็เลียริมฝีปากของคนตรงหน้าแผ่วเบาก่อนกระซิบ

"ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้...ข้างๆ ฉัน"

เสี่ยวเกอพลันยิ้มให้ผม "ต่อให้นายนึกอยากขอบคุณหรือไม่ ฉันก็ไม่มีทางไปจากตรงนี้"

เราสองคนแตะริมฝีปากเข้าหากัน จูบย้ำซ้ำๆ มือผมเกือบปัดถูกจอกเหล้าที่วางทิ้งไว้อย่างหมิ่นเหม่บนโต๊ะ เมื่อนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า อดยิ้มขันไม่ได้

ผมที่ไร้กำลังไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าจุมพิตเขาซ้ำๆ หนึ่งจูบแทนคำขอบคุณหนึ่งครั้ง เขาทำเพื่อผมมามากมาย หากต้องขอบคุณทั้งหมด ต่อให้จูบไปทั่วร่างกายก็อาจไม่เพียงพอ ถึงกระนั้นผมก็ยังจูบย้ำๆ

ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ

ทั้งชีวิตของเขา สิบปีอันยาวนาน แค่คำขอบคุณอาจไม่เพียงพอ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจไม่ขอบคุณ

หนึ่งชีวิต...สิบปีนั่นเพื่อผม ดังนั้นชีวิตที่เหลือของผมหลังจากนี้ ทั้งหมดย่อมเพื่อเขา

คำขอบคุณครั้งนี้ ถึงเขาไม่อยากรับ ผมก็จะยัดเยียดไปจนกว่าเขาจะรับ

"เสี่ยวเกอ...ขอบคุณนะ"


+++

END
22/12/2014






Talk Time:

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อุดหนุนฟิค [หนึ่งชีวิต สิบปี] นะคะ ตอนนี้ก็ปิดจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ

ในฐานะคนเขียน ดีใจมากๆ เลยล่ะค่ะ แต่นึกคำพูดสวยๆ ไม่เก่ง แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรด้วย ยังไงก็ขอขอบคุณเป็นฟิคก็แล้วกันนะคะ *หัวเราะ*

ส่วนความจริงที่ว่าแค่อยากเขียนฉากแย่งเหล้าในปากอะไรนั่น ไม่มีอยู่จริงนะคะ ← แล้วสารภาพทำไม!

อนึ่ง จะขอบคุณยิ่งๆ ขึ้นถ้าท่านทั้งหลายโอนแล้วแจ้งกันด้วยนะคะ โฮ

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 01: สินค้า


"Forget - ลืมเลือน-"

01: สินค้า 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



...สินค้าถูกขโมย แต่จับคนร้ายได้แล้ว

ตอนที่ลูกน้องแจ้งแบบนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความยุ่งยาก ผมแม้เป็นคนขี้เบื่อ ชมชอบเรื่องใหม่ๆ แต่รำคาญความยุ่งยาก ถึงกระนั้นไม่ไปจัดการก็ไม่ได้

ผมและลูกน้องเดินเข้าไปในห้องที่มีสภาพเละเทะ ชายคนหนึ่งถูกจับมัดเอาไว้ ใบหน้าบวมปูด ดูท่าหมอนี่คือหัวหน้าโจรปล้นสินค้าของผมไป ผมมองหน้าลูกน้อง พลางกะพริบตา "ไหนล่ะสินค้า?"

พวกเขาทำหน้าอึกอัก ก่อนชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง ผมแทบสำลักบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก

'สินค้า' ที่ว่าเป็นเด็กชายคนหนึ่ง เขายืนเงียบๆ กลมกลืนกับบรรยากาศจนผมไม่ทันสังเกตถึงตัวตนของเขา ประเมินผ่านๆ แล้วน่าจะอายุไม่เกินสิบปี กะด้วยสายตาน่าจะสูงเลยเอวผมมาหน่อย เส้นผมสีดำยาว ที่สะดุดตาคือใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวหนึ่ง ดวงตาดำขลับคู่นั้นว่างเปล่าชวนให้ขนลุกขนพอง

"นายล้อฉันเล่นอยู่หรือไง" น้ำเสียงผมแม้จะสงบ แต่ในใจกลับแตกตื่น ลอบด่าทอคนส่งสินค้ามาให้ผม...นี่อาของผมกำลังค้ามนุษย์อยู่หรือไง

ผมเดินเข้าไปใกล้เด็กคนดังกล่าว นอกจากใบหน้าสะดุดตาพอให้มีตาเฒ่ายายเฒ่าซื้อไปบำเรอกามแล้ว ผมก็ไม่เห็นคุณลักษณะเด่นอื่นใด "เจ้าหนูนี่มีอะไรดี"

ว่าแล้วผมก็เดินกลับไปใช้ขาเขี่ยเจ้าโจรกระจอกนั่น จากนั้นก็ถาม "เดี๋ยวนี้ตกต่ำขนาดลักพาตัวเด็กแล้วหรือไง"

"ไม่ใช่ เด็กคนนั้นพิเศษกว่าที่คุณคิด เขา เขา แค่เลือด...แค่เลือดของเขาสามารถต้านทานพิษและแมลงได้ทุกชนิด"

ผมฟังเขาจบ ปรบมือสองทีและร้องชมว่าวิเศษ ก่อนถามเสียงเรียบ "สรุปเจ้าหนูนี่เป็นยากันยุงแบบใหม่หรือไง?"

ไอ้หมอนั่นทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ "คุณอู๋ คุณไม่เข้าใจ นี่คือเลือดกิเลน มันมีสรรพคุณวิเศษมากมาย ต้านพิษ ต้านแมลง เหล่าปีศาจล้วนหวั่นเกรง...แล้วยังมี..."

ผมพยักหน้าหงึกๆ ไปเรื่อยๆ อันที่จริงหมดความสนใจจะฟังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายตาจับจ้องที่เด็กชายคนดังกล่าวสลับกับนายคนที่พยายามอวดสรรพคุณ จากนั้นก็โบกมือให้ลูกน้องเอาตัวเขาออกไป ส่วนตัวเองก็กดโทรศัพท์หาคนที่ส่งของมาให้

"มีอะไรไอ้หลานชาย ได้รับของแล้วใช่ไหม" ปลายสายถามผมด้วยน้ำเสียงเริงรื่น

"ตกลงอาส่งเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาให้ผม?"

"ใช่แล้ว มีอะไร" ...มีอะไรงั้นเหรอ ผมได้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้ ก่อนถามเสียงเรียบ

"แล้วอาส่งมาให้ผมทำไม"

คราวนี้อาสามกระแอมไอ ก่อนเอ่ยสั้นๆ "นี่เป็นเจ้าบ่าวของแก"

"หา" ผมยกหูโทรศัพท์ออก ทำท่าแคะหูสองสามครั้ง ก่อนแนบโทรศัพท์เข้าที่หูอีกรอบ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มนวล "ผมฟังผิดใช่ไหม อาส่งเด็กคนนี้มาเป็นบ่าวไพร่?"

"ไม่ใช่บ่าวไพร่ แต่เป็นเจ้าบ่าว" อาสามย้ำอีกรอบ ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มทะมึนขึ้นมา

"อาจะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย...เจ้าบ่าวเนี่ยนะ!"

"ฉันไม่ได้ล้อแกเล่น คืองี้นะ ไอ้หลานชาย ตระกูลอู๋ของเราเนี่ย ก่อนนี้ไปทำสัญญากับเทพเจ้ากิเลนไว้ว่าจะยกลูกคนหนึ่งให้แต่งงานกับลูกหลานที่สืบเชื้อสายของท่าน หากไม่ทำเช่นนั้นบ้านเมืองจะเกิดคราวเคราะห์ ฟ้าฝนตกต้องไม่ตรงฤดูกาล..."

"บ้านเราไม่ได้ทำนา แล้งแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา" ผมเอ่ยเสียงเนิบๆ ขัดคอก่อนจะไปไกลกว่านี้ บทอาผมจะเฉไฉก็พล่ามไปได้เรื่อยๆ จริงๆ

"บ๊ะ ไอ้เด็กนี่ อย่าดูถูกข้าวที่แกกินทุกวันนี้ ถ้าเกิดภัยแล้งคิดว่าใครจะ..." อาสามพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว แต่ผมรีบเบรกไว้ก่อน "อาเลิกเล่นลิ้นได้แล้ว..."

"เอาเป็นว่าแกแต่งกับเขา จบ...เชิญเลี้ยงดูเจ้าบ่าวตามสบาย อยากให้โตมาแบบไหนก็แล้วแต่แก" ว่าแล้วอาสามก็วางสายไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ครั้นโทรไปหาอีกครั้งตาแก่สมควรตายนั่นก็ปิดเครื่องหนีไปแล้ว

...ผมหันไปมองเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจก่อนหันไปหาลูกน้อง "หวังเหมิง สนใจเลี้ยงเด็กไหม"

"...ผมมีแฟนแล้ว ไม่ต้องการเจ้าบ่าวแล้ว" หมอนั่นรีบปฏิเสธทำเอาผมฉุนกึก ก่อนนี้ตอนคุยโทรศัพท์ไม่น่าหลุดคำว่าเจ้าบ่าวออกไปเลยจริงๆ

"ใครจะให้เป็นเจ้าบ่าวกัน แค่เอาไปเลี้ยงเฉยๆ"

"ผมเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย จะให้ผมเลี้ยงเด็ก? ไล่ผมออกเถอะ" ลูกน้องหมายเลขหนึ่งยื่นคำขาด ผมถอนใจ ก่อนมองไปที่เจ้าหนูนั่นอีกครั้ง

"นายชื่ออะไร"

เขาไม่ตอบผม

"เฮ้...พี่ชายน้อย นายเข้าใจที่ฉันพูดไหมเนี่ย" ผมพยายามพูดด้วยเสียงอ่อนลง แต่เขาก็ยังอยู่เฉย มองผมนิ่งๆ ไม่เอ่ยคำ ผมถอนหายใจอีกรอบให้กับตัวเอง

เรื่องยุ่งยากหนอ...เรื่องยุ่งยาก


+++

TBC
20/12/2014


วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Ink Sun

 

"Ink Sun"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี || ดอกหมู่ตาน || ดอกเหมย || ดอกเบญจมาศ || ดอกอิง

**Spoiler Warning**


ผมมีเหตุให้ต้องมานั่งทำหน้าคล้ายคนจะเป็นลมอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองจางโจว

ภายในห้องมีเพียงผมและเสี่ยวเกอเพียงลำพัง บรรยากาศระหว่างพวกผมสองคนควรเรียกว่าเลวร้ายจนไม่รู้จะเลวอย่างไรแล้ว

ทำไมน่ะหรือ? แต่นอนว่าย่อมมีสาเหตุ เรื่องก่อนนี้มีอยู่ว่า...ผมเมา

ผมเมาไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือสิ่งที่ผมทำลงไปตอนเมา เริ่มจากปีนขึ้นไปบนตัวเสี่ยวเกอ ปลดเสื้อเขา แตะจูบบนร่างกายอย่างมุ่งมาด เขาจะขยับตัวก็ทำเสียงชี่ๆ เป็นการห้าม

ครั้นทำให้กิเลนปรากฏขึ้นบนร่างของเขาได้สำเร็จ ผมที่หอบหายใจหนักๆ ก็ค่อย ดึงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า...

แล้วผมก็บรรจงวาดริบบิ้นผูกบนเขากิเลนของเขา

"..." หลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบงัน



สภาพของคืนนั้นชีวิตผมจบลงเช่นไร ผมไม่ขอกล่าวถึง เพียงแต่ปากกาแท่งนั้นเป็นหมึกกันน้ำ เมื่อกิเลนหายไป บนผิวของเสี่ยวเกอก็ปรากฏริบบิ้นสีแดงบนผิวเนื้อสีขาว คิกขุไม่เข้ากับเขาเลยสักนิด แต่ผมรู้ดีว่าหากหัวเราะออกไป ผมคงไม่มีโอกาสได้หัวเราะอีกเป็นครั้งที่สอง

เรื่องราวชวนมึนตึงของผมยังไม่คลี่คลายดี ผมก็มีเหตุให้ต้องเดินทางมาจางโจว จึงได้แต่หอบเสี่ยวเกอมาด้วย หวังว่าจะใช้ช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยวปรับความเข้าใจ

เพียงแต่ความจริงบางครั้งสวนทางกับจินตนาการเสียเหลือเกิน

สภาวะของผมในยามนี้ หากต้องบรรยายคงคล้ายเหมือนมีใครจับผมกรอกน้ำร้อนลวก พร้อมแช่ทั้งร่างในช่องแช่แข็งในเวลาเดียวกัน

ด้านนอกฝนตกหนักจนออกไปไหนไม่ได้ ทางเลือกที่มีคือทนทุกข์ทรมานอยู่ในห้องอันแสนอึดอัดกับเขาเพียงลำพังสองต่อสอง ครั้นอยากเดินไปขอจองห้องเพิ่มก็พบว่าการจะเดินออกต้องตัดผ่านเสี่ยวเกอที่นั่งเหม่อขวางประตูไป ผมไม่สู้อยากทำเท่าไหร่

"ฝนตก แย่เลยนะ" ผมโพล่งออกมา

"..." ...เงียบ

"น่าเสียดายนะ ถ้าแดดออก เราจะได้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน"

"..." เป้าหมายยังคงเงียบใส่

"ที่นี่แม้จะไม่ใช่เมืองหลักของมณฑลฝูเจี้ยน แต่ก็มีที่ที่น่าสนใจไม่น้อย" ผมเริ่มพล่ามไปเรื่อย

"นายอยากเดินเล่นมาก?" ในที่สุดเขาก็ยอมคุยกับผม แต่น้ำเสียงฟังดูไม่สู้ดีเท่าไหร่

"เปล่า เปล่า...แค่อยู่เฉยๆ กลัวนายจะเบื่อ ฉันแค่อยากเห็นพระอาทิตย์น่ะ ใช่แล้ว...แค่อยากเห็นพระอาทิตย์" ท้ายประโยคผมเพียงงึมงำ

"ฉันไม่เบื่อ" เขาตอบ ก่อนจะกลับไปเหม่อลอยต่อ แม้ท่าทางนี้จะปกติ แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นทำเอาผมจะประสาทกิน

หลังทนกับบรรยากาศอึดอัดอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดผมก็ถึงคราวสติแตก

"เสี่ยวเกอ ฉันขอโทษ!" ผมร้องตะโกนออกมา จากนั้นก็หยิบเอาปากกาหมึกกันน้ำทั้งกำส่งให้เขาพร้อมยื่นอกที่ปลดกระดุมเสื้อเรียบร้อยแล้ว "มาเลย นายมาวาดรูปบนร่างกายของฉันได้ตามสบายเลย"

นี่เป็นวิธีการไถ่โทษที่ผมคิดเอาไว้ อันที่จริงรู้สึกงี่เง่าเล็กน้อยกับการไปนั่งเลือกปากกาสีมาเพิ่ม แต่มาถึงตอนนี้ เป็นไงเป็นกันแล้ว

"..." เสี่ยวเกอลุกขึ้น ก่อนเดินเข้ามาใกล้ผมที่ก้มหน้ามองพื้นโรงแรม

เดิมทีผมคิดว่าเสี่ยวเกอคงหันหลังให้ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ก็บอกว่า 'ไม่เป็นไร' แต่คราวนี้ผิดคาด เขารับปากกาทั้งกำไปจากผม จากนั้นก็เอ่ยสั้นๆ "นอนลง"

ผมตัวเกร็ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวนอนลงอย่างว่าง่าย จากนั้นเสี่ยวเกอก็ปีนขึ้นมาคร่อมทับบนร่างของผม จากมุมมองเช่นนั้น ผมรู้สึกหนาววูบไปหมด ในสมองเกิดมีจินตนาการอย่างเช่นเขาสามารถใช้ปากกาต่างมีด ทิ่มผมให้พรุนทั้งร่างได้

ความคิดของผมฟุ้งซ่านไปหมด จนกระทั่งได้ยินเสียงดังป๊อก ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบนหน้าท้องของตนเอง รู้สึกจักจี้เล็กน้อย

เมื่อมองดูก็เห็นเสี่ยวเกอกำลังวาดรูปอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาตั้งใจมากเสียจนผมไม่กล้าถาม

แล้วผมที่นอนว่างๆ สักพักก็เผลอหลับไป ในฝันมองเห็นภาพเสี่ยวเกอวาดฝูงลูกเจี๊ยบเป็นการแก้แค้น



ผมลืมตาตื่นอีกครั้งพบว่าเป็นยามเช้าแล้ว ฝนเองก็หยุดตกเป็นที่เรียบร้อย หลังนอนเหม่อลอยได้สักพัก ผมก็นึกขึ้นได้ รีบถกเสื้อของตนเองขึ้น มองดูหน้าท้อง

เดิมทีคิดว่าเสี่ยวเกอคงวาดรูปประหลาดแก้แค้น แต่ไม่ใช่...เป็นดอกไม้

ดอกไม้มีห้ากลีบ ใจกลางกลีบดอกรวมกันดูคล้ายรูปถ้วย ฝีมือทางศิลปะของเสี่ยวเกอนับว่าไม่เลวเลย มองปราดเดียวผมก็ดูออกว่าเป็นดอกอะไร

"สุ่ยเซียน?" ดูเหมือนเวลานี้จะเป็นช่วงที่ดอกไม้ชนิดนี้กำลังเบ่งบานพอดี ช่วงนี้จึงได้เห็นผ่านตาอยู่หลายครั้ง

ยังไม่ทันได้คิดสงสัยอะไร เสี่ยวเกอก็ออกมาจากห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเรียบร้อย เขาสบตาผม แต่ไม่พูดอะไร เพียงแต่อาจเพราะอยู่กับเขามานาน จึงสัมผัสได้ว่าความครุกรุ่นก่อนนี้สลายไปหมดสิ้นแล้ว

ผมจึงเป็นฝ่ายเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำบ้าง ขณะนั้นก็มองกำแพงโล้นๆ ตรงหน้าด้วยความฉงน

น่าแปลก? จากตำแหน่งตรงหน้า คล้ายก่อนหน้านี้เคยมีกระจกตั้งอยู่ แต่กลับเหลือเพียงกำแพงว่างเปล่า ผมคิดว่าเสี่ยวเกอไม่มีเหตุผลอันใดให้ต้องนำกระจกไปซ่อน จึงคาดเดาว่าแขกคนก่อนหน้าอาจออกอิทธิฤทธิ์ ทำกระจกแตกจึงต้องนำออกก็เป็นได้

เมื่อคิดดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า อดมองดอกสุ่ยเซียนที่วาดด้วยหมึกบนหน้าท้องตัวเองไม่ได้

สุ่ยเซียนฮวา...ทำไมถึงต้องเป็นดอกสุ่ยเซียน?

...เสี่ยวเกอคงไม่ได้จะบอกอะไรผมเป็นนัยๆ ใช่ไหมนะ

ภายในหัวผมเต็มไปด้วยความคิดเลอะเทอะ หมู่นี้ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเทอะหนักกว่าแต่ก่อน เพียงแต่เก็บสีหน้าได้ดีขึ้น จึงดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนสุขุม

ครั้นแต่งตัวเรียบร้อยก็ออกมาสบทบกับเสี่ยวเกอ จากนั้นก็ชวนเขาออกไปหาอาหารเช้า

วันนี้มีคนมองมาที่ผมเยอะเป็นพิเศษ ซ้ำยังหัวเราะคิกคัก ผมเริ่มเกิดความสงสัย ครั้นเหลือบมองเสี่ยวเกอ เขาก็ยังปกติดีทุกประการ เมื่อลองยกมือคลำศีรษะตนเองก็พบว่าไม่ได้มีเขางอกหรืออะไรทั้งสิ้น

หรือเสื้อผมจะโปร่งแสง มองเห็นภาพบนหน้าท้อง?...ผมถามตัวเองในใจก่อนก้มลงมองดูตนเอง ขณะนั้นเอง เงาสะท้อนรางๆ จากหัวเข็มขัดก็ทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้สะดุ้งโหยง

ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่องหน้า จากนั้นก็อ้าปากค้าง

...บนใบหน้าของผม บัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยคล้ายเด็กวาดเล่นดูน่าขันไปหมด

ร่างของผมสั่นระริก ทันใดนั้นก็นึกถึงกระจกที่หายไปในห้องน้ำ ก่อนร้องตะโกน

"จาง--ฉี่--หลิงงงงงงงงง!"




+++

END
17/12/2014





วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Red Fingerpaint

 

"Red Fingerpaint"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี || ดอกหมู่ตาน || ดอกเหมย || ดอกเบญจมาศ

**Spoiler Warning**



ครั้งนี้ผมมีธุระกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น แต่เพราะไม่ต้องการให้ข่าวรั่ว จึงตัดสินใจมากับเสี่ยวเกอเงียบๆ สองคน

เนื่องจากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ สองข้างทางจึงเต็มไปด้วยดอกอิง (ซากุระ) เบ่งบานละลานตา มีนักท่องเที่ยวให้เห็นอยู่ทุกที่ ชมดูจนตาลายไปหมด เห็นแล้วพาลให้คิดถึงหังโจวขึ้นมาเล็กน้อย ช่วงนี้ผู้คนพากันมาชมต้นไม้ดอกไม้รอบทะเลสาบซีหู บรรยากาศคึกคักน่าดูชม แต่ไม่รู้ทำไม ที่ร้านของผมยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย

ดอกอิงสารพัดสีและพันธุ์บานสะพรั่งอัดแน่นเสียจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า ผมเงยหน้าได้สักพักก็แสบตา จึงก้มลงมาจัดการกับอาหารในมือต่อ

เนื่องด้วยวันนี้ผมรีบร้อน และอาจเป็นอารมณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเพราะนายอ้วนโทรมาบ่นว่าอยากกินแฮมเบอร์เกอร์สูตรพิเศษกรอกหูเมื่อวันก่อน ผมจึงตัดสินใจแวะซื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่เคเอฟซีมากินแทนเขาเสียเลย

ในตอนที่มือหนึ่งผมหนีบแฮมเบอร์เกอร์และซองซอสมะเขือเทศ อีกมือหนึ่งพยายามฉีกซองซอสอย่างสุดความสามารถ อารามนั้นเกิดฉีกผิดท่า มีเสียงดังแผละ ก่อนที่ซอสมะเขือเทศสีแดงจะกระจาย "เหวอออ"

ผมลนลานจนเกือบทำแฮมเบอร์เกอร์ในมือร่วงลงพื้น ดีที่คว้าได้ทัน เพียงแต่สภาพดูไม่จืดเอาเสียเลย

หลังตั้งสติได้ ผมก็ใช้มือเกี่ยวเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทุลักทุเล ทีแรกพยายามไม่ให้มือที่เปื้อนซอสเลอะผ้าเช็ดหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่าถ้าหยิบออกมาอย่างไรเสียผมก็ต้องทำมันเลอะเทอะอยู่ดี จึงคว้าหมับแล้วดึงออกมาจัดการกับมือไม้และเสื้อผ้า

ครั้นเงยหน้ามองเห็นเสี่ยวเกอ ผมก็แผดเสียงหัวเราะออกมา

บนใบหน้าขาวซีดของเขายามนี้มีจุดสีแดงเล็กๆ แต้มอยู่ บวกกับลมพัดเอากลีบดอกอิงสองข้างทางโปรยปราย ดอกอิงดอกหนึ่งเกิดมีวาสนากับคนแซ่จาง ถูกซอสมะเขือเทศเชื่อมประสาน ติดหนึบอยู่ที่ข้างแก้มของเขา

ผมนึกอยากถ่ายรูป แต่มัวหัวเราะเสียจนพลาดโอกาสไป

เสี่ยวเกอดึงดอกไม้ที่แก้มออก ปาดซอสอย่างเชื่องช้า ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องผมเขม็ง ผมตกใจจนหยุดหัวเราะ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเขาใช้ปลายนิ้วแตะลงเบาๆ ที่กลางหน้าผากของผม

ทีแรกผมนึกถึงการทรมานแปลกๆ ของสกุลจาง แต่แล้วเสี่ยวเกอกลับขยับนิ้วไปมา สัมผัสนั้นทำเอาจักจี้เล็กน้อย

"สะ เสี่ยวเกอ" ผมทำหน้างุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก

"..." สายตาของเขาจับจ้องเพียงหน้าผากของผม

ไม่นานเขาก็ชักมือออก หมุนตัวเดินก้าวยาวๆ ไปทันที ผมยังจับต้นชนปลายไม่ทัน ได้แต่รีบสาวเท้าตามเขาไป ระหว่างนั้นหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้ต่างกระจกส่องหน้าตนเอง ผมก็แผดเสียงร้อง "จาง-ฉี่-หลิง!"

ยามนี้บนหน้าผากของผมถูกซอสมะเขือเทศแตะแต้มเป็นรูปดอกอิงเบ่งบาน

การวาดดอกไม้บนหน้าผากแบบนี้เป็นที่นิยมในบรรดาสตรียุคถังถึงซ่ง พอมาอยู่บนหน้าผากของตนเองแบบนี้แล้วรู้สึกประหลาดชอบกล แถมสีแดงที่แต้มไม่ใช่ชาด แต่เป็นซอสมะเขือเทศอีกต่างหาก

แต่ช้าก่อน! เทรนด์สาวงามราชวงศ์ถังมีแต่พวกอวบอ้วนไม่ใช่หรือไง

หรือหมอนี่อยากด่าผมอวบอ้วนทางอ้อมวะ!




+++

END
11/12/2014





วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 5 (end)

 

"hair"
ตอนที่ 5 (จบ)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3 || ตอนที่ 4

**Spoiler Warning**




เมินโหยวผิงตัดผมเสร็จ ทรงผมออกมาดูดีเหมือนทรงเดิมเป๊ะ ไม่ดูเป็นไอ้ตัวขยะนอนขี้เกียจไร้อนาคตจนผมเผ้ารุงรังแบบตอนกลับจากถ่ามู่ถัวแล้ว ผมถามเขาว่าทำไมถึงบังเอิญตัดผมออกมาได้เหมือนทรงเดิมเป๊ะ เขาบอกว่าไม่ได้บังเอิญ เรื่องบางเรื่องเขาก็จำได้บ้าง

ไอ้หยา ลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่เอาพื้นที่สมองมาใช้จำเรื่องไม่ใคร่จะมีสาระอย่างทรงผมของเพื่อนได้นี่ไม่ดีมั้ง เขาควรไปทุ่มเทจดจำเรื่องปริศนาลึกลับที่เขาไข่ เอ้ย เขียนทิ้งไว้ทั่วสุสานต่างๆ นานามากกว่า

ระหว่างที่ผมเอียงคอมองกระจก หันซ้ายหันขวาชื่นชมตัวเองและฝีมือของเมินโหยวผิง พ่อยอดช่างตัดผมจำเป็นก็เอาผ้าขนหนูออกไปสะบัด เปลี่ยนผืนใหม่เข้ามา

"ต่อไปตานาย"

"หา?"

ฉิบหาย!! ผมลืมความตั้งใจเริ่มแรกไปเสียสนิท จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะตัด (โกน) ผมเสี่ยวเกอนี่หว่า ไหงกลายเป็นเขามาตัดผมให้ผมไปเสียได้ ระหว่างทางมีเรื่องเยอะแยะมากมายจนลืมความตั้งใจเดิมไปเสียสิ้น

เขาเดินเข้าไปสระผมไวๆ แล้วกลับมา เหลือบมองอาการลุกลี้ลุกลนของผมด้วยสายตาสงสัยแวบหนึ่ง ...แม่ง ยิ่งผมเปียกยิ่งหลอน ดวงตาดำสนิทเป็นผืนน้ำนิ่งที่มองผ่านเส้นผมเปียกนั่นให้ความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ผมไม่กล้าเรียกว่าเซ็กซี่ เรียกว่าผีหลอกคงจะดีกว่า

ผมกลืนน้ำลายเอื้อก เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ แต่ตอนนี้เห็นภาพเมินโหยวผิงผีแม่ย่าทับซ้อนขึ้นมาอีกแล้ว เขานั่งนิ่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่ผมนั่ง อยู่ๆ มาทำตัวทื่อๆ ซื่อๆ อะไรกันตอนนี้ ไอ้ความรู้ใจตอนอยู่หน้าร้านทำผมนั่นหายไปไหนหมด!

"นายจะให้ฉันตัดผมให้จริงๆ เรอะ" ผมถามเสียงต่ำ อัดความไม่แน่ใจใส่น้ำเสียงลงไปเยอะๆ หวังว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ แต่นึกดูอีกที คนที่เริ่มชวนให้เขาไปตัดผมก็ตัวผมเองนี่หว่า แม่งเอ๊ย ชีวิตบัดซบ!

ผมสูดหายใจลึก คว้ากรรไกรขึ้นมา ลองจับๆ แตะๆ ผมเปียกของเขาดูสองสามที ก็พบว่าทำใจไม่ได้ อาการกลัวเส้นผมของผมลึกซึ้งรุนแรง เมินโหยวผิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อย่างที่บอกว่าแค่เส้นผมตัวเองยังแทบทนจับไม่ไหว จะให้ผมทำธุระกงการที่เกี่ยวข้องกับผมคนอื่นได้อย่างไร

คิดแล้วรู้สึกขายขี้หน้าขึ้นมา เมื่อกี้ผมจะไปคาดคั้นเสี่ยวเกอเรื่องกระจกทำไมวะเนี่ย จริงๆ เขาอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ เมินโหยวผิงจิตใจแข็งแกร่งต่างกับผม น้ำหน้าอย่างผมไปพูดกับเขาได้ แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองล่ะก็ไปไม่รอด ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ ทำท่าทางน่าอายอยู่ด้านหลัง

ลองฝืนใจจับผมอีกสักปอยดู ลองสอดกรรไกรเข้าไป มือไม้ผมสั่นเทิ้ม นึกถึงผีแม่ย่าอาคุนในฝันขึ้นมา คิดในใจว่า เสี่ยวเกอ นายห้ามอยู่ๆ หันมาปล้ำฉันนะเว้ย

ฉับพลันทันใดเขาก็หันขวับมา ยึดคว้าข้อมือผมหมับ ผมแทบร้องจ๊ากในทันที

"นายไม่ต้องแล้ว" เขากล่าว "ถ้านายไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน"

แล้วเขาก็ผุดลุกขึ้น เดินออกจากห้องน้ำไป เหลือแต่ผมที่ยืนงงๆ อยู่คนเดียว

ยังคิดอะไรไม่ออกเลยเก็บข้าวของในห้องน้ำไปพลางๆ ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาไหม แต่การที่เขาไม่กลายสภาพ (?) ขึ้นมากลางคัน นับว่าเป็นเรื่องดี คิดไปคิดมาอีกที นั่นมันก็แค่ฝันเพ้อเจ้อ จางฉี่หลิงมีเลือดวิเศษ คงไม่กลายสภาพหรอก หรือต่อให้เขากลายเป็นผีแม่ย่าแบบพวกเหวินจิ่นไปจริงๆ เขาอาจจะเป็นผีแม่ย่าที่ใจดีกับผมกับนายอ้วนก็ได้

ผมมองกระจก นึกถึงเมินโหยวผิงเมื่อครู่ คิดว่าถ้าเป็นผีแม่ย่าที่ไม่ฝืนใจผมแบบนี้ก็คงดี คิดว่าคว่ำกรวยกับผีหนุ่มหล่อสไตล์ศิลปินไต้หวันก็ไม่เลว แต่ดีที่สุดคือไม่ว่าจะเป็นผีดุหรือไม่ ควรจับมาโกนหัวให้โล้นเสียก่อน ผีแม่ย่ากลัวไฟ แต่ปัตตะเลี่ยนนี่ไม่รู้จะกลัวไหม

"อู๋เสีย..."

ผมแทบร้องจ๊ากอีกครั้ง อยู่ๆ หมอนั่นก็ผลุบกลับเข้ามาในห้องน้ำ ไอ้บ้านี่ ถ้าบังเอิญผมกำลังฉี่อยู่นี่ผมต้องทำยังไง!?

เมินโหยวผิงมัดผมเป็นกระจุกด้านหลัง เดาเอาว่าคงไปยืมยางรัดมาจากหวังเหมิง เมินโหยวผิงที่รวบผมดูแปลกตา ทั้งยังช่วยให้ตอนมองไปไม่รู้สึกอยากบ้วนปากแล้ว แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น เขาถือแว่นตาเข้ามาด้วยหนึ่งอัน เป็นแว่นของผมเองที่ถอดทิ้งไว้บนโต๊ะ

"นายใส่แว่นเหรอ?" เป็นประโยคคำถามสั้นๆ สไตล์เมินโหยวผิง

ผมพยักหน้า รู้สึกแปลกใจที่เมินโหยวผิงมีความสงสัยในเรื่องของผม แต่ไหนแต่ไร ตอนก่อนจะเสียความทรงจำเขาดูไม่ใส่ใจผมด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นหลังเสียความทรงจำไปเขาก็ยังมึนๆ เรื่องที่จะทำให้เขาสนใจได้ต้องเกี่ยวข้องกับการตามหาความทรงจำของเขาเองเท่านั้น

"ใส่ แต่ไม่ได้ใส่ตอนลงกรวย ทำไมหรือ?"

ผมรับแว่นที่เขาส่งให้มา ท่าทางเขาดูร้อนรนแปลกๆ เอาล่ะสิ เมื่อกี้เรื่องเส้นผมของผม แล้วก็เรื่องกระจกของเขา นี่อย่าบอกนะว่านายปฏิเสธการมองมนุษย์ที่มีกระจกเลนส์แว่นตาเป็นส่วนประกอบด้วย

ผมลองใส่แว่นให้เขาดู เขาเดินใกล้เข้ามา มองพิจารณา แล้วก็จับที่คอ

...จับที่คอผม ลากผ่านเป็นเส้นตรงในแนวขวาง...

ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคย แต่ผมกลับนึกไม่ออกว่าคุ้นมาจากไหน สักพักเขาก็ผละจากไป

หลังจากนั้น เมินโหยวผิงเดินไปร้านตัดผมเอง ถึงเขาจะความจำเสื่อมแต่เขาก็จัดการตัวเองได้ ทำเอาที่ผมไปยืนอัดยาดมฟอดๆ อยู่หน้าร้านทำผม กับทุกข์ทรมานบุกฝ่าดงเส้นผมนรกไปนั้น รู้สึกเหมือนกลายเป็นไอ้โง่ไปเลย



+++

END
19/11/2014






Talk Time:

ฮิ♥ เป็นตอนสั้นๆ ที่เหมือนตอนแถม แต่ใส่เสี่ยวเกอผมเปียก เสี่ยวเกอมัดจุก และอู๋เสียใส่แว่นลงมาอย่างสนองนี้ดตัวเองสุดๆ!

เสี่ยวเกอในความคิดของเราเนี่ย ต่อให้ความจำเสื่อม แต่ก็ยังดูแลตัวเองได้นะ (นายน้อยยังบอกเองว่า "เสี่ยวเกอความจำเสื่อมแต่ไม่ได้ปัญญาอ่อนเสียหน่อย") แถมในเรื่องพี่แกก็ยังมีพลังงานเหลือเฟือมาดูแลนายน้อยได้อีกคนอีกต่างหาก กะเตงกันไปมาตอนอยู่ปาหน่าย โอ๊ย นายน้อยคะ อยู่ยังไงให้คนความจำเสื่อมต้องมาดูแลอีกแล้ว ฮรือออ โมเอะะะะ

เพราะฉะนั้น ต่อให้เอ๋อเจี๊ยบ (?) ยังไง เสี่ยวเกอก็คูลในสายตาเราอยู่ดีค่ะ OTL ← แฟนเกิร์ลตามืดบอด เพราะฉะนั้นจะให้เขียนยังไง้ยังไง ภาพเสี่ยวเกอในหัวของเราก็ไม่ปวกเปียกเท่าไหร่ ออกมาได้เสี่ยวเกอใจดีงงๆ ประมาณนี้แหละค่ะ เอ้า! ช่วงเวลาที่ปาหน่าย นี่เป็นเวลาทำแต้มของนายน้อยเลยนะ ตอนอ่านนี่เชียร์ตลอดเลย นายน้อยสู้ๆ สร้างแลนด์มาร์กใส่หัวใจหมอนี่ไว้เยอะๆ ซะระหว่างที่ตานี่ยังมึนๆ อยู่นะคะ (ฮา)

เอ๋? อะไรนะคะ? บทอาคุนเหรอคะ? "มีอีกค่ะ" ...จริงๆ ก็ไม่เชิงอาคุนอะน้า~ ยังคงใสๆ ค่ะ ไม่มีฟัดกันบนเตียง (เตือนก่อนจะได้ไม่คาดหวัง 555+) อยู่ครึ่งหลังของเซ็ตที่มีเรื่อง hair นี้ แต่ไว้เจอกันในเล่มนะคะ ♫ヽ(゜∇゜ヽ)♪ ♬(ノ゜∇゜)ノ♩

แปะลิ้งค์สั่งซื้อให้เผื่อยังตัดสินใจทัน : https://docs.google.com/forms/d/14y7ZLuSxEtE6mNDAAyzqigm54mRNwz1ASfBVteQGPXA/viewform

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 4

 

"hair"
ตอนที่ 4

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3

**Spoiler Warning**




ผมกำลังตะลึง ระหว่างนั้นก็โดนเขาฉุดลากฉุดจูงกลับเส้นทางเดิม เขาบอกผมว่าจะตัดผมเอง พฤติกรรมเช่นนี้แปลกประหลาดมาก เรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือจินตนาการของผมอย่างสิ้นเชิง ผมถามเขาว่าเขาตัดผมเป็นเหรอ (ไม่กล้าถามถึงเรื่องโกนหัว) เขาพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ผมไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะต้องให้คนความจำเสื่อมมาตัดผมให้ แต่ตัวผมตอนนั้นก็วิงเวียนมึนงงเกินกว่าจะโต้ตอบอะไรได้ หวังเหมิงดูตกใจที่พวกเรากลับมาเร็ว แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร เมินโหยวผิงดันตัวผมเข้าไปในห้องน้ำ

สีหน้าหวังเหมิงตอนเห็นเหตุการณ์ดูเหวอมากทีเดียว…คงไม่ได้ตีความไปในทางบ้าๆ หรอกใช่ไหมนั่น

รู้ตัวอีกทีก็มานั่งงงๆ อยู่บนเก้าอี้หน้ากระจกห้องน้ำร้านตัวเอง มีผ้าขนหนูคลุมไหล่ เมินโหยวผิงยืนถือกรรไกรอยู่ข้างหลัง มองแล้วรู้สึกจั๊กกะเดียมพิลึกพิกล นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน เมื่อครู่ยอดฝีมือในสุสานมานั่งเหม่อบนเก้าอี้เอนร้านผมก็ว่าขัดตาแล้ว ตอนนี้ยอดฝีมือคนนั้นกำลังยืนถือกรรไกรซอยเตรียมจะตัดผมให้กับผมเลยทีเดียว

พิลึก พิลึกสิ้นดี

แต่ผมก็ใช่จะมีทางเลือกมากมาย ถ้าไม่เข้าร้านทำผมก็เหลือแค่ทางเลือกนี้ หรือไม่ก็เรียกหวังเหมิงหรือนายอ้วนมาตัดผมให้...ไม่เอาดีกว่า เพราะฉะนั้นผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย



เมินโหยวผิงมือเบามาก ในทีแรกผมรู้สึกเกร็ง คิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดว่าคนมือหนักโหดดิบในสุสาน แม่งคงย่ำยีหัวผมกระจุยแน่ๆ ดีไม่ดีคนที่จะหัวล้านอาจกลายเป็นตัวผมเอง จะถอนตัวก็ไม่ทัน ผมถึงกับสวดไว้อาลัยให้ความหล่อของตัวเองในใจไปแล้ว แต่ก็พบว่าผมดูถูกจางฉี่หลิงมากไปหน่อย เขาใช้กรรไกรได้คล่องทีเดียว ท่าทางบางเบา เนิบช้า และระมัดระวัง เห็นแล้วก็คลายใจได้ในที่สุด มองเงาสะท้อนของเขาที่เคลื่อนไปมาในกระจกแล้วก็เพลินตาดี

เมินโหยวผิงฝีมือไม่เลว ก่อนหน้านี้เขามีความรู้เรื่องกลไกสุสานมากมายที่ผมไม่รู้ว่าเขาไปร่ำเรียนมาจากไหน วิชาตัดผมนี่ไม่รู้ว่าเป็นสุดยอดวิชาหนึ่งที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอด้วยอีกหรือเปล่า ในหัวผมคิดไปถึงทฤษฎีความทรงจำที่ตกค้างในอวัยวะคนอะไรเทือกนั้น เห็นได้ในซีรี่ส์บ่อยๆ ที่ว่าถึงจะไม่มีความทรงจำ แต่ร่างกายยังคงจดจำได้ เสี่ยวเกออาจเคยเป็นสุดยอดช่างตัดผมนักขุดสุสานมาก่อน ที่ทำอยู่นี่ล้วนมาจากสัญชาตญาณของสุดยอดช่างทำผมที่ฝังอยู่ในร่างกายทำให้ตัดผมเก่งโดยอัตโนมัติ คิดแล้วก็เข้าท่า สองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษของเขาอาจมีไว้จับปอยและซอยผมก็ได้ น่าเอาเรื่องนี้ไปลองหารือกับนายอ้วนดู

ผมคิดอะไรเพลินๆ มาสะดุ้งโหยงอีกทีตอนที่เขาจ่อหน้าเข้ามาใกล้ ดูเหมือนจะเริ่มขั้นตอนตัดผมหน้าของผมแล้ว

เชี่ย ใกล้ไป๊! พอเขาเห็นผมสะดุ้งพร้อมกับกลั้นหายใจดังฟื้ด เขาก็ผงะไปด้วย ดูเหมือนจะเผลอเข้าใกล้มากไปโดยไม่ตั้งใจจริงๆ

ผมรู้สึกขำ หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย จางฉี่หลิงขมวดคิ้ว ทำหน้าทำตาไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง คราวนี้เขาถอยออกไปอีกนิด เลือกยืนตรงหน้าผมพลางยื่นมือไม้เข้ามาจัดการอย่างเก้ๆ กังๆ แทน

เขายืนบังกระจกตรงหน้าผม  ย้ายตัวเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนองศาหลายที ขั้นตอนนี้ดูติดขัดมากมายนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ผมสงสัยว่าทำไม ลองคิดดูก็ตอบได้ไม่ยาก เพราะขั้นตอนการตัดผมของเมินโหยวผิงเมื่อเทียบกับช่างตัดผมมืออาชีพมีอย่างหนึ่งที่ขาดไป ไม่รู้ว่าเป็นหลักสูตรช่างทำผมประจำตระกูลที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอหรือเปล่า แต่แบบนี้มันประหลาดเกินไปจริงๆ

"เฮ้ย เสี่ยวเกอ" ผมเรียกพลางชี้มือไปข้างหน้า "ทำไมนายไม่มองกระจก"

เมินโหยวผิงชะงักและมองผม ผมพูดต่อ "ตัดเสร็จก็เงยหน้ามองในกระจกแทน จะได้ไม่ต้องก้มๆ เงย ๆ เดินอ้อมหน้าอ้อมหลังแบบนี้บ่อยๆ ไง" เพราะเขาไม่มองกระจก จึงทำให้พอจะตัดผมข้างหน้า ก็ต้องเดินอ้อมกลับไปกลับมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของทรงผมหลายที ยื่นหน้ามาทีก็ทำเอาผมผงะไปที รู้สึกน่ารำคาญใจมาก

เขาอ้าปากเหมือนจะตอบอะไร นิ่งค้างเหมือนครุ่นคิด แต่แล้วก็ส่ายหน้า บอกผมว่า "ไม่จำเป็น"

ส่ายหน้านี่หมายความว่าไงวะ? แล้วไม่จำเป็นคืออะไร? ผมงงหนักกว่าเดิม แต่เขาไม่ตอบผมแล้ว ก้มหน้าก้มตาง่วนกับการตัดผมโดยไม่มองกระจกต่อไป

ผมขมวดคิ้วมองภาพที่สะท้อนในบานกระจกตรงหน้า มีเพียงใบหน้าของผมที่จ้องกลับมา เมินโหยวผิงแทบไม่เงยหน้าขึ้นเลย รู้สึกประหลาด เหมือนเขามีปัญหาอะไรบางอย่างจึงเลี่ยงไม่มองไปในกระจก

พลันความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว บทสนทนาครั้งหนึ่งในชีวิตของผมกับเมินโหยวผิงที่เกินสี่สิบเอ็ดพยางค์นั่น



"คนอย่างฉัน หากหายตัวไปจากโลกก็ไม่มีใครรู้ เหมือนกับว่าฉันไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้มาก่อนเลย บางครั้งฉันส่องกระจกยังมักสงสัยว่าตัวเองมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ภาพลวงตาของใครสักคน"



โว้ย ไอ้บ้าเสี่ยวเกอ!

ผมเอื้อมไปคว้าจับมือเขาโดยอัตโนมัติ คิดแค่ว่าจะไม่ให้เขาหนีอีก ก่อนหน้านี้ผมโดนเขาหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามมาบ่อยมากเกินไป พอผมมีคำถามจะถามเลยต้องรีบจับตัวไว้ แม้รู้ว่าเขาในขณะนี้คงหนีหายไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ทั้งเพราะเขาไม่มีความทรงจำ ทั้งเพราะพวกเราเคาะกันแล้วว่าจะร่วมมือกันหาสืบหาภูมิหลังให้เสี่ยวเกอ อย่างไรเขาก็ต้องพึ่งพวกเรา ครั้นจะให้เขาหลบเลี่ยงหนีจากตรงนี้ ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่แล้วก็คงไม่มีทางไหนที่เข้าท่า จะให้กระโดดหนีลงชักโครกหรือก็คงจะเว่อร์เกินไป ถึงกระนั้นผมก็จับเขาเอาไว้แน่นอยู่ดี

มือที่จับกรรไกรของเขาหยุดชะงัก เห็นแววแปลกประหลาดใจระคนสงสัยปรากฏบนดวงหน้านิ่งเฉยนั้น

"เสี่ยวเกอ...นายไม่ชอบกระจกเหรอ?" ผมถาม

เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน ผมเองก็ไม่ยอมปล่อยมือ เราหยุดค้างในท่านั้นโดยที่ไม่ได้มองหน้ากันตรงๆ เขาก้มหน้ามองที่ผม ส่วนผมก็มองดูเขาผ่านบานกระจก เขาไม่กล้ามองกระจก ส่วนผมก็ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ

เขายังคงนิ่งเงียบ สีหน้ากลับไปนิ่งเฉยไร้อารมณ์ขณะให้คำตอบ "แค่ไม่มีความจำเป็น”

“ไม่จำเป็นอะไรของนายวะ พูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อย” ผมขมวดคิ้ว ตบตักตัวเอง ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อหันไปคุยกับเขาต่อหน้า แต่เขากลับใช้สองมือจับต้นคอผมไว้ กดตัวผมให้นั่งลงหันไปทางบานกระจกตรงๆ

"คนในนั้น นายเห็นใคร?" เขายืนอยู่ข้างหลังผม เอ่ยถามเสียงราบเรียบ ภาพที่ผมเห็นในกระจกตอนนี้คือตัวผมเองโดนเขาจับล็อกหลังคอกดขากรรไกรเอาไว้ นิ้วมือของเขาดันถูกใบหน้าของผม กลายเป็นผมกำลังนั่งทำแก้มตุ่ยใส่กระจกอยู่ โคตรผิดที่ผิดเวลา และเพราะเขาใช้สองมือจับคอของผมเอาไว้ มือผมที่กำรอบข้อมือของเขาอยู่ก็โดนลากไปแปะที่คอเช่นกัน ผมอยู่ในท่วงท่าประหลาดเช่นนี้ แต่ไอ้บ้าเมินโหยวผิงยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองกระจกอยู่ดี เขาก้มหน้าก้มตาตลอดขณะพูดคุยกับผม แบบนี้ขี้โกงนี่หว่า!

"เห็นเมิน...เอ้อ เห็นนายไง เสี่ยวเกอ จางฉี่หลิง" ส่วนอีกคนที่หล่อกว่านั่นชื่ออู๋เสีย

"สำหรับฉันเขาเป็นคนที่ไม่มีตัวตน เป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก เป็นใครก็ไม่รู้ ที่ยืนอยู่กับนาย" เขาตอบเสียงแผ่ว สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันตา ผมเกือบตามไม่ทันว่าเขาหายเอ๋อตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมอยู่ๆ ก็พูดจาจริงจังขึ้นมาก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ยังเหม่อๆ มึนๆ อยู่เลยแท้ๆ

หรือว่าความทรงจำเขากลับมาแล้ว!

ผมจึงลองทดสอบเขาดู "ก่อนหน้านี้นายก็เคยพูดแบบนี้กับฉัน" ผมลองเชิงดูก่อน เขาเลิกคิ้ว ดูท่าทางสนใจ สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้ ความหวังที่ผุดวาบขึ้นมาเมื่อกี้ว่าความทรงจำเขาอาจกลับมาแล้วร่วงหล่นหายต๋อมไป แต่ผมก็ยังจะพูดต่อ "ตอนนั้น นายพูดเองเออเองว่าเหมือนนายไม่มีตัวตน เหมือนเป็นภาพลวงตาของใครสักคน นายรู้สึกแบบนี้อยู่หรือเปล่า"

เขาไม่ตอบผม สัมผัสที่จับต้นคอยังคงแผ่วเบา กราบขอบคุณที่เขาไม่ใช่พวกไม่พอใจแล้วบิดคอผมกร๊อบในทันที ไม่เช่นนั้นผมคงไม่รอดแน่ ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดผมไปเตะตาปลาเขาอยู่หรือเปล่า ไอ้หมอนี่ยิ่งหน้านิ่งหน้าตายอ่านอารมณ์ไม่ออกอยู่ด้วย

เห็นเขาไม่พูดอะไรผมจึงพูดต่อ "นายไม่ได้ไม่มีตัวตนเสี่ยวเกอ แล้วนายก็ไม่ได้เป็นภาพลวงตาด้วย นายมีตัวตนยืนอยู่ตรงนี้ ที่ฉันจับมือนายอยู่" ผมบอกเขา "ถ้านายยืนอยู่คนเดียว มองกระจก นายอาจจะคิดว่านั่นเป็นคนที่นายไม่รู้จัก แต่ถ้านายอยู่ตรงนี้ เราจับมือกันไว้ อยากให้นายจำไว้ อย่างน้อยฉันก็รู้จักคนในนั้น"

เมินโหยวผิงเงียบไป เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ไม่มีท่าทีของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ปรากฏขึ้นในตัวเขา อึดอัดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าที่ผมพูดไปได้เข้าหูเขาบ้างไหม

ผมรู้สึกเซ็ง ไม่ชอบใจเลยจริงๆ ที่ผมตั้งอกตั้งใจพูดอยู่ฝ่ายเดียว เอ่ยออกไปแล้วไม่มีการตอบกลับแบบนี้ กว่าจะเค้นพลังพูดอะไรที่เป็นสาระทางจิตใจแบบนี้ผมต้องเค้นความใจกล้าหน้าด้านออกมามากโข ปกติผมเป็นบัณฑิตสายวิชาการ หลักการใดๆ มักต้องมีแหล่งอ้างอิง ต่อให้เป็นทฤษฎีที่เพ้อเจ้อที่สุดก็ยังต้องมีหลักขบคิดบนหน้าหนังสือ ไอ้บทพูดปลอบใจที่อาศัยการไหลไปตามอารมณ์เรื่อยๆ นี่ บอกตรงๆ ว่าโคตรไม่ถนัด พูดออกมาเองยังรู้สึกโคตรน่าอาย ผมไม่ใช่นักพูดปลุกกำลังใจเสียหน่อย

"อู๋เสีย" เมินโหยวผิงเรียกชื่อผม "เงยหน้าขึ้น"

ผมผงกหน้าขึ้นตามที่เขาบอก พบว่าเขากำลังมองผมอยู่ ผ่านกระจกบานนั้น

"เสี่ยวเกอ" ผมเรียกเขา มองดวงตานิ่งสนิทที่มองกลับมา ตัวจริงเขายืนอยู่ข้างหลังผม แต่ผมมองเห็นใบหน้าของเขาได้ผ่านเงาสะท้อน เพราะเขาเงยหน้าขึ้นแล้ว เงยหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่รู้ว่าเขามองกระจกแล้ว เราสบตากันผ่านเงากระจกบานนั้น มือของเรายังจับกันอยู่ เขาไม่แสดงสีหน้าใด แต่ผมรู้สึกว่ามือที่จับผมแน่นกระชับขึ้นเล็กน้อย

"แบบนี้ใช้ได้ไหม?" เขาถาม

ผมมองรอยยิ้มของตัวเองในกระจก ผมยิ้มอยู่ฝ่ายเดียว เขายังคงทำหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม ผมดีใจเหลือเกิน "ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม แบบนี้ใช้ได้ไหม เสี่ยวเกอ"

ผมบีบมือที่จับกับเขา แม้เขาไม่ตอบผม แต่ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว



×××

TBC: Part 5





Talk Time:

อะ ก่อนอื่นก็แปะเพลง~ ♬(ノ゜∇゜)ノ♩



ฮึ้ชชช ยังไม่จบ! ยังมีอีกตอนสำหรับที่ตัดมาลงเว็บ

ระหว่างเขียนเรื่องนี้เนี่ย มีจุดที่อยากแซวเสี่ยวเกอเต็มไปโม้ดดด เต็มไปหมดค่ะ 5555

จะว่าไปเนต้าส่องกระจกเนี่ย เงียบเหงาจังเลยเนอะ มีด้วงไทยหยิบมาเล่นน้อยกันจัง T v T (ส่วนด้วงจีนนี่ไม่แน่ใจ ยังไม่เคยเห็น แต่เราก็อาจจะขุดไม่ถ้วนเอง) ถ้าพูดถึงฉากโกลมุดหรือทะเลทรายโกบี คนจะนึกถึง "ถ้านายหายไปอย่างน้อยฉันจะรู้" หรือ "ฉันอยู่ข้างนาย" มากกว่าอะเนอะ

สำหรับเราแล้ว ท่อนที่เสี่ยวเกอพูดถึงตัวเองในกระจก ที่ว่าส่องกระจกไปแล้วเห็นเงาสะท้อนที่ไม่แน่ใจว่าใช่ตัวเองที่มีตัวตนจริงๆ ไหม เป็นท่อนที่รวดร้าวมากเลยค่ะ ฮือออ คนไม่มีความทรงจำที่แม้แต่มองภาพตัวเองยังไม่คุ้นเนี่ย ต้องเหงามากแน่ๆ เลย T____T แต่ถึงจะเหงาขนาดนั้น แต่ก็ยังเข็มแข็ง แล้วก็ปกป้องคนอื่นอีกหลายๆ คน (รวมนายน้อยด้วย) ได้เนี่ย สุดยอดเลยเนอะ นายน้อยได้แฟนดีจังค่ะ

ก็เลยคิดว่าเป็นจุดที่จะต้องเอามาเล่นให้ได้ค่ะ และแล้วก็ได้โอกาสเขียนถึงเสียที (ดีใจ)

หวังว่านายน้อยอู๋เสียจะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ขาดไปได้บ้างนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากพูดคุยที่หน้ากองไฟกับอู๋เสียตอนนั้น เสี่ยวเกอจะยังรู้สึกกับภาพตัวเองในกระจกแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนไปบ้างไหม โฮ คุณหนานไพ่ซานซูคะ กรุณาเขียนให้สองคนนี้จบแบบแฮปปี้เอนด์ร่วมกันทีเถอะค่ะ! ← ลากเข้าประเด็นนี้ตลอด

("มันเป็นมิตรภาพครับ!" เสียงหนึ่งลอยลมมา 5555)
 

เอาละ กลับเข้าโหมดงานขาย สำหรับรวมเล่ม ยังคงเปิดให้จองกันอยู่ เหลือเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์จะปิดจองแล้วนะคะ คาดว่าน่าจะไม่มีรีพริ้นต์ และคงพิมพ์เผื่อนอกเหนือจำนวนจองไว้ไม่เยอะ เพราะฉะนั้นถ้าใครพลาดรอบจองนี้ไป ท่านอาจพลาดไปตลอดกาลนะ งุงิ

รายละเอียดการจองรวมเล่มเผื่อใครอยากไปตามส่อง แฟนฟิคบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน โดย ด้วงโกะ IronY Triangle 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" : จิ้มๆ

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 3

 

"hair"
ตอนที่ 3

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2

**Spoiler Warning**




ในที่สุด ผมกับเมินโหยวผิงก็มายืนทำหน้าเบลอกันอยู่หน้าร้านตัดผม ไม่ใช่แค่เมินโหยวผิงที่เบลอ แต่ผมก็เบลอด้วย

"อู๋เสีย..."

"เสี่ยวเกอ นายอย่าได้ใจร้อน ฉันรู้ว่านายอยากได้ความจำคืน แต่ศึกครั้งนี้หนักหนานัก เราต้องค่อยๆ ก้าวไปเหมือนกับดักในสุสาน"

"อู๋เสีย นายไหวไหม"

"ไหว..."

"เอายาดมไหม?"

"ก็ดี... อยู่ในกระเป๋าหลังช่องแรก นายเปิดให้หน่อย มือฉันแข็งไปหมดแล้ว"

เมินโหยวผิงเดินมาข้างหลัง รูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ของผม ค้นดูครู่หนึ่งก็หยิบยาดมหลอดหนึ่งยื่นมาให้ ยาดมหลอดนี้เป็นของฝากที่เพื่อนซื้อมาจากต่างประเทศ กลิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ยินว่าตอนไปซื้อต้องแย่งชิงกับลูกทัวร์จีนคนอื่นๆ ที่มุ่งมั่นจะกวาดกลับไปเป็นของฝากยังบ้านเกิดเหมือนกัน ชุลมุนวุ่นวายสารพัดจนร้านแทบแตก กว่าจะได้มายากเย็นนัก เดาว่าเจ้าของร้านที่นั่นคงถึงกับเกลียดลูกทัวร์จีนฝังใจไปเลย ส่วนตัวผมนับตั้งแต่กลับจากตำหนักทิพย์พิมานเมฆก็เรียนรู้ว่าร่างกายของผมอ่อนแอและอยู่ในภาวะเสี่ยงจะถูกน็อกเมื่อใดก็ได้ เพื่อความไม่ประมาท พกไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย

ผมรับมาสูดดม ทำใจให้สงบ พลางนวดคลึงขมับตัวเอง มองกองเส้นผมข้างหน้าด้วยสายตาละเหี่ยใจ ส่วนเมินโหยวผิงก็ชี้มือเรียกพนักงานในร้านทำผมให้จัดการปัญหาออกไป พนักงานหลังประตูกระจกหรูหราเดินมากวาดเส้นผมที่กองเต็มพื้นไปทิ้ง พลางมองพวกเราด้วยสายตาสงสัย ประมาณว่าพวกเอ็งมาทำอะไรกันแน่ ยืนยักแย่ยักยันอยู่หน้าร้านไม่เข้าไม่ออกเสียที แถมยังทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก

เรื่องจริงคือ ผมกับเมินโหยวผิงมายืนทำหน้ามึนที่หน้าร้านทำผมกันเกือบค่อนวัน โปรดนึกสภาพร้านทำผม (ที่แปลว่าร้านทำผมจริงๆ ไม่ใช่ซ่อง) ร้านใหญ่ในเมืองหังโจว คนใช้บริการมากมาย วันหนึ่งกรรไกรผ่านหลายหัว ย่อมต้องมีเศษผมที่กองพะเนินเทินทึกเต็มพื้นไปหมด ด่านแรกของผมคือกองขยะข้างหลอดไฟหมุนหน้าร้านที่มีเศษผมกองทิ้งไว้ แม่งเอ๊ย กว่าจะผ่านมาได้ก็ทรมานใจนัก พอมาถึงหน้าประตูก็เจอเส้นผมอีกมากมายที่โดนตัดทิ้งสดๆ ใหม่ๆ กองทิ้งบนพื้นนั่นอีก กำลังใจจะผลักประตูเข้าไปใช้บริการถึงกับเหือดหาย

พวกเรายืนค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นไม่ต่ำกว่าห้านาที คนทั่วไปคงมองไม่ออกว่าการเจอกองเส้นผมในร้านทำผมนั้นมันเป็นปัญหาอย่างไร แต่สำหรับผมที่มีประสบการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนกับผีแม่ย่ามาถึงสองครั้งสองครา แค่เส้นผมตัวเองยังไม่ค่อยอยากจะสัมผัส นับประสาอะไรกับผมคนอื่นที่ไม่รู้จัก แถมในกองยังมีผมเปียกผมหมาดปนอยู่ด้วย นับตั้งแต่กลับจากสุสานใต้สมุทร ผมก็เป็นโรคแพ้เส้นผมเปียกอย่างรุนแรง ไม่คิดว่าจะเจอซ้ำอีกทีที่โกลมุด คราวนี้ถึงกับหลอนเส้นผมทุกชนิดไปเลย ยิ่งเจอเส้นผมหลายแบบคละกันเป็นก้อนเดียวแบบนี้ยิ่งไม่ไหว ให้ฝืนใจย่ำผ่านไปผมต้องคันไปถึงลำไส้แน่ๆ

ผมสูดยาดมอีกหนึ่งฟอด แล้วก็รู้สึกซาบซึ้ง นึกขอบคุณสวรรค์ที่เสี่ยวเกอแม้ความจำเสื่อมแต่ก็ยังช่างสังเกต ยังรู้ใจช่วยชี้บอกพนักงานให้ ตอนนี้พนักงานเก็บกวาดไปแล้ว หนทางสะดวก ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องสู้ต่อ เพื่อไม่ให้น้ำใจของเขาต้องเสียเปล่า และเพื่อตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ด้วยหัวโล้นของเสี่ยวเกอให้จงได้

แต่แม่งเอ๊ย ก้าวเข้าไปยังไม่ถึงสามก้าวดี ก็พบอีกสิ่งที่น่าสะพรึงไม่แพ้กัน ทำเอาหัวใจแทบจะร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม คราวนี้ไม่ใช่กองผมที่หลุดจากศีรษะแล้ว แต่เป็นผมคนเป็นๆ ที่นั่งหน้าสลอนเรียงรายบนเก้าอี้ทำผมตลอดสองฝั่งทางเดิน ทั้งผมสระหมาด ผมสระไดร์ ผมทำสี ผมที่กำลังแปะแผ่นยืดผม แต่ละหัวหงายห้อยจากพนักที่นั่ง เส้นผมย้อยลงมาเป็นช่อๆ มาทรงเดียวกับผีแม่ย่าฮั่วหลิงที่โกลมุดเลยทีเดียว แค่มองก็อยากอาเจียนเวียนหัวนัก

สถานที่เดียวแต่กลับรวบรวมสิ่งที่ทำให้ผมขนลุกขนพองเข้าด้วยกัน ผู้หญิง ผู้หญิงผมยาว ผมเปียก กองเส้นผมขยุกขยุย จะขาดก็แค่วานรสมุทร ถ้าปล่อยให้ผมอยู่นานกว่านี้ต้องเป็นบ้าแน่ๆ

พนักงานร้านเดินมาต้อนรับ แต่ผมมือไม้แข็งไปหมดแล้ว รู้สึกพะอืดพะอมมาก ภาพความฝันเมื่อคืนกับความรู้สึกระดับ HD โผล่แทรกเข้ามาในสมองเป็นระยะ พลันใบหน้าเดียวกับที่เห็นในฝันก็โผล่หน้ามาทับซ้อนเข้ากับภาพในหัวพอดี เมินโหยวผิงเดินมาตรงหน้า จากนั้นก็ฉวยข้อมือผมพาเดินออกจากร้าน

"เดี๋ยวสิ" ผมไม่ทันตั้งตัว เพิ่งได้สติตอนที่เขาพาเดินออกมาได้หลายเมตร เขาตัวบางกว่าผม ผมที่แข้งขายังสั่นๆ โดนเขาลากเดินไปไม่รู้เรื่องรู้ราว ก้าวตามจังหวะเดินของเขาก็ไม่ค่อยจะทัน คนตัวเล็กลากคนตัวใหญ่จึงเป็นภาพที่แปลกประหลาดพิกล

"ไม่ต้องแล้ว"

"อะไรไม่ต้อง?" ผมสงสัย

"ถ้านายไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน กลับไปที่บ้าน ฉันจะตัดผมเอง"



×××

TBC: Part 4






Talk Time:

ตอนนี้มาแบบสั้นๆ ค่ะ เซ็ตนี้ใสๆ เน่อ~ ヽ༼ ˵ ° ᗜ ° ˵ ༽ノ

เรื่องยาดมของนายน้อยเนี่ย... ทำเอาคนเขียนเนี่ยแหละปวดหัวเรียกหายาดมซะเองไปเลย เพราะเราเขียนไปก่อนแล้วค่อยมานึกได้ว่ารู้สึกประเทศอื่นเขาจะไม่ได้มียาดมกันทุกประเทศ! แล้วประเทศจีน (โดยเฉพาะหังโจว) จะมีมั้ยเนี่ย! ว่าแต่ก่อนอื่น ยาดมภาษาจีนเรียกอะไร! (ถ้าไม่มีคีย์เวิร์ดก็นึกไม่ออกว่าจะถามพี่กูเกิ้ลยังไงอยู่ดี) จะเปิดดิคก็นึกคำว่ายาดมภาษาอังกฤษไม่ถูกอีก แล้วฉันจะเสิร์ชเยี่ยงไร! *ร้องกรี๊ดใส่ต้นฉบับ* แต่สุดท้ายก็งมจนเจอแหละนะคะ เสิร์ชพบว่ามีแบรนด์ท้องถิ่นอยู่บ้างแหละนะ

ตอนหลังเพิ่งนึกได้ว่ามีแหล่งข้อมูลใกล้ตัว เลยไปกระตุกชายเสื้อถามมิตรสหายด้วงอีกคนมาค่ะ ได้ความว่า หังโจวจะมียาดมมั้ยไม่รู้ รู้แต่ยาดมไทยฮิตฮอตที่นั่นมากเลยนะ! เห็นว่าชอบมากวาดจากไทยกลับไปเป็นของฝากเลยทีเดียว โอเชค่ะ ...งั้นเขียนล้อทัวร์จีนที่ชอบมาลงเที่ยวที่ไทยซะเลย (จริงๆ อยากลงดีเทลกว่านี้ แต่เดี๋ยวเวิ่นเว้อ ล้อแค่นี้พอนะ 555) โฮฮฮฮ

สั้นๆ เนอะตอนนี้ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้จะอัพให้ไวเลยค่ะ แฮ่ ตอนหน้าเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ > v <)ノ

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 2

 

"hair"
ตอนที่ 2

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1

**Spoiler Warning**




เมื่อคืนผมนอนไม่พอ...เพราะนายอ้วนคนเดียว

อ้อ ไม่สิ ไอ้โล้นฉู่เกอนั่นก็เป็นสาเหตุด้วย

เรื่องมีอยู่ว่าพวกนายอ้วนกับเมินโหยวผิงแวะมาหาผม ตามแผนการคร่าวๆ คือมารวมพลที่หังโจวสองสามวันก่อนจะไปปาหน่ายพร้อมกัน

นายอ้วนตบอกกล่าวว่า ถึงคราวนี้เราแค่จะไปสืบหาภูมิหลังของเมินโหยวผิง ไม่ได้ไปคว่ำกรวย แต่ก็ยังมีของที่ต้องเตรียมไว้ก่อนเพื่อความรอบคอบ เขาจึงใช้ร้านของผมเสมือนที่พักกระเป๋า ทิ้งสัมภาระเรือพ่วงตัวถ่วงเอาไว้ ส่วนตัวเขาจะออกไปซื้อของพร้อมถือโอกาสพบปะเพิ่มพันธมิตรทางการค้าหน้าด่านทางใต้ แต่ดูจากข้าวของที่เขาหมั่นมากองทิ้งไว้ที่ร้าน กวาดตามองรอบเดียวก็รู้ว่าเขาแค่ออกไปเที่ยวระเริงในหังโจวตัวปลิวมากกว่า

เมื่อคืนนายอ้วนกลับมาพร้อมเครื่องยาตุ๋นห่อใหญ่ บอกว่าจะทำต้มเห็ดอะไรสักอย่าง ชื่อเมนูไม่คุ้น ชื่อเห็ดก็ไม่คุ้น อร่อยก็จริงแต่แม่งทำให้ท้องอืด ท้องอืดแล้วก็นอนไม่หลับ กว่าจะข่มตานอนได้ก็ค่อนคืน หลับก็หลับไม่สนิท ตามมาด้วยฝันร้าย

แม่ง ฝันว่าเมินโหยวผิงเป็นผีแม่ย่าจะมาทำมิดีมิร้ายผม บ้าบอห่าฮี้หมีแพนด้าที่สุด แถมเรื่องก็จบลงแบบสยองขวัญสุดขั้ว คือคลื่นเส้นผมหมอนั่นเป็นยวงทะลวงเข้ามาทางปากผม มาครบทั้งความรู้สึกและสัมผัสอย่างไม่รู้แม่งจะ HD ไปหาอะไร ตอนที่ผิวสัมผัสของกองเส้นผมดำลื่นหยุบหยึยอัดเข้ามาเต็มช่องปาก แข่งกันไต่พันลงคอหอยเหมือนสิ่งมีชีวิตนี่แหละที่โคตรจะสะเทือนขวัญยิ่งกว่าเนื้อหาส่วนที่ฝันเห็นเมินโหยวผิงโป๊เปลือยเป็นผีแม่ย่า

ผมถึงกับแหกปากร้องลั่นตอนที่สะดุ้งตื่น รู้สึกขนลุกขนพองเหมือนหนังทั้งตัวจะระเบิดกลับด้านออกมา รีบลุกไปแปรงฟันกลั้วปาก หยิบผิดหยิบถูกเกือบเอาน้ำยาซักผ้ามากลั้วคอ หวิดได้ไปฟอกไตด้วยเหตุผลที่อายไปชั่วลูกชั่วหลาน (ไอ้ที่ว่ามีคนทนโรคคันไม่ได้ถึงขั้นฆ่าตัวตาย ท่าจะไม่ได้โกหก บางทีเรื่องจริงกับเรื่องเล่าก็ห่างกันแค่เส้นคั่นนิดเดียว) จากนั้นผมก็นอนไม่หลับอีกเลยตลอดคืน ให้นับกันตอนนี้ ตั้งแต่ตื่นมาก็บ้วนปากแปรงฟันไปห้ารอบแล้ว

แม่ง ต้องเพราะข้อมูลเรื่อง "อาคุน" ที่ไอ้จิ้งจอกโล้นฉู่เล่าให้ฟังวันก่อนแน่ๆ พอได้ยินว่าเป็นเมินโหยวผิงเวอร์ชั่นผมปล่อยกระเซิง สมองของผมซึ่งพักนี้ก็ขยันผลิตฝันร้ายมาให้บ่อยๆ อยู่แล้วคงหยิบข้อมูลใหม่มาจับแพะชนแกะจากตรงนั้น แต่ไม่รู้ผสมออกมาอีท่าไหนเหมือนกัน ออกมาได้ผีแม่ย่าตัวผู้ตราจางฉี่หลิงเสียอย่างนั้น เชี่ยแม่ง ไม่รู้ว่าผมควรเป็นฝ่ายขอโทษเขาหรือควรลากตัวเขามาขอโทษผมดี

คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกคันข้างในคอยุบๆ ยิบๆ ขึ้นมาอีกรอบ อาการคันคอแบบนี้ทรมานมาก อยากเกาแต่ก็เกาไม่ได้ ผมถอดแว่นตาออกนวดหว่างคิ้ว ตัดสินใจลุกไปแปรงฟันอีกหนเป็นรอบที่หกของวัน

ในตอนที่หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาใกล้เสร็จก็ได้ยินเสียงหวังเหมิงรับแขกที่หน้าร้าน ได้ยินเสียงเขาเชิญ "นายท่าน" ให้เข้ามานั่งรอด้านในอย่างนบนอบผิดปกติก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ไม่ผิดคาด เดินออกไปก็เห็นเมินโหยวผิงนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้เอนที่นั่งประจำของผมในร้านชั้นใน

"นายอ้วนล่ะ?" ผมถาม

"ไปเตรียมของ"

ผมพยักหน้า เหมือนเดิม ไประเริงเหมือนเดิม เอานายเรือพ่วงมาทิ้งไว้เหมือนเดิม ส่วนนายเรือพ่วงพอตอบคำถามเสร็จแล้วก็นั่งเหม่อเหมือนเดิม

ผมลากเก้าอี้มานั่ง เคาะนิ้วบนโต๊ะทำงานพลางเท้าคางมองเขาซึ่งนั่งทับที่ประจำของผมอยู่ตรงนั้น ภาพนี้ไม่คุ้นตา ปกติผมมักคุ้นกับภาพเมินโหยวผิงตอนอยู่ในกรวย หากพูดถึงเขา ผมจะนึกถึงเรื่องแนวภูตผีปีศาจหรือซากศพ นึกถึงสีหน้าของเขายามเจอปัญหาในสุสาน ณ จังหวะนั้นยิ่งเห็นร่องตรงระหว่างคิ้วชัด ยิ่งแสดงถึงปัญหาร้ายแรงที่ตามมา จนระยะหลัง เวลาที่บุกป่าฝ่าดงด้วยกันร่างกายผมมีปฏิกิริยาอัตโนมัติต่อหว่างคิ้วของเมินโหยวผิงไปเสียแล้ว

ส่วนเก้าอี้เอนหลังที่เขาใช้นั่งตัวตรงอยู่ (แม่งใช้ผิดวิธี! ดูหมิ่นศักดิ์ศรีเก้าอี้หวายของผมมาก) ปกติผมมักนั่งๆ นอนๆ อ่านสมุดบันทึกของปู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ช่วงหน้าหนาวก็ใช้หลับสบาย หลับได้หลับดี วันไหนอากาศเป็นใจก็ลากออกไปข้างนอกนอนกระดิกเท้ามองทะเลสาบซีหู

เมินโหยวผิงที่ให้ความรู้สึกที่โคตรอันตราย กับเก้าอี้เอนหลังนั่งนอนโคตรสบาย พอจับมาอยู่รวมกันแล้วเป็นภาพสุดแสนจะไม่คุ้นตา มองไปแล้วรู้สึกเหมือนสิ่งที่เห็นเป็นแค่ความเพ้อเจ้อประการหนึ่ง ทำไมยอดฝีมือในกรวยถึงจะมานั่งเหม่อจุ้มปุกบนเก้าอี้เอนในร้านของผม ภาพนี้ช่างดูห่างไกลความจริงไม่ต่างจากความฝันเมื่อคืน

เสียแต่ว่านี่คือความเป็นจริง อีกทั้งสาเหตุที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เหตุอันพึงประสงค์นัก เขาตามเหวินจิ่นเข้าไปในอุกกาบาต แล้วกลับออกมาคนเดียวในสภาพไร้ความทรงจำ เหวินจิ่นไม่กลับออกมา ตัวเขาเองก็จำอะไรไม่ได้ ช่วงเวลายาวนานหลายวันเมินโหยวผิงพบเจอกับอะไรในนั้น เป็นเรื่องที่นายอ้วนและผมสุดจะหยั่งรู้

ผมเหม่อไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเมินโหยวผิงกำลังหันมองมาทางผม สายตาว่างเปล่าล่องลอย ในทีแรกผมคิดว่าเขาสนใจแผ่นลอกลายบนชั้นที่อยู่ด้านหลังผม อย่างไรเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในกรวยสุสานมาก่อน อาจมีความหลังกับของโบราณบางชิ้น ผมอาจช่วยเขาได้บ้าง กำลังว่าจะหันไปหยิบให้ แต่ดันมีอีกความคิดที่รบกวนผมมากกว่าผุดขึ้นแทรก ทำให้ลืมเรื่องแผ่นลอกลายทิ้งไปหมดสิ้น

ผม

ผมไอ้หมอนี่ยาวขึ้น...

มันไม่ใช่เรื่องอาถรรพ์ลี้ลับแต่ประการใด เมินโหยวผิงก็คนคนหนึ่ง แม้จะไม่เฒ่าไม่แก่ลง แต่ข้าวปลาก็ต้องกิน เส้นผมก็ต้องงอกยาวตามปกติ นับตั้งแต่กลับจากถ่ามู่ถัว เขานอนโรงพยาบาลก็เป็นเดือน ระหว่างนั้นถ้าผมไม่ยาวขึ้นเลยสิแปลก ว่าตามตรงคือผมของเขาตอนนี้ยาวพอจะทำทรงเดียวกับบรรดานักร้องไต้หวันที่กำลังนิยมกันอยู่ช่วงนี้ได้เลยทีเดียว คิดแล้วนึกถึงพานจื่อกับนายอ้วนขึ้นมา ตัดอาสามทิ้งไป ก็รวมตัวกันครบสี่คนได้พอดี

เมินโหยวผิงผมยาวแล้วดูดีถือเป็นเรื่องดี แต่ผมนี่แหละที่ตะขิดตะขวงใจ พอบังเอิญหันไปเห็นแล้วครั้งหนึ่ง มองผ่านครั้งต่อไปก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด ยิ่งเพิ่งผ่านความฝันเมื่อคืนมา มองหน้าไอ้หมอนี่ทีไรก็ขนลุกเกรียวไปถึงสันหลัง คันคอหอยยุบยิบจนอยากลุกไปบ้วนปากกลั้วคอทุกที

การเห็นหน้าคนๆ หนึ่งแล้วอยากบ้วนปาก คิดยังไงก็ไม่ใช่มารยาทที่ดี แม้เมินโหยวผิงคงไม่สนใจ แต่ผมจะปล่อยให้ความคิดเช่นนี้รบกวนจิตใจไม่ได้ ไม่ได้การแล้ว! ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

ผมตบโต๊ะลุกขึ้น บอกกับเขา "เสี่ยวเกอ ผมนายยาวแล้ว นายควรไปตัดผมเสียหน่อย"

เขาขยับตัว เงยหน้ามองผมเล็กน้อย มือก็เอื้อมไปจับปลายผมตัวเอง ท่าทางเชื่องช้าครุ่นคิด ผมนึกหาเหตุผลดีๆ มาประกอบเพื่อกล่อมเมินโหยวผิง จะบอกเขาว่ากลับบ้านทั้งที ถ้าผมยาวรุงรัง เผื่อไปเจอญาติสนิทมิตรสหายในอดีตเข้าคนอื่นเขาจะจำไม่ได้เอา ก่อนหน้านี้ตอนผมเจอกับเขาครั้งแรกที่ร้านอาสาม ผมของเขาเคยสั้นกว่านี้ เพราะฉะนั้นก่อนจะกลับไปที่หมู่บ้านปาหน่ายควรตัดผมให้คล้ายเดิมที่สุดก่อน แต่คิดดูอีกที บอกให้ช่างโกนหัวเขาไปเลย แล้วอำว่าเขาหัวโล้นมาตั้งแต่แรกก็เข้าที

ระหว่างคิดไปก็เอามือแตะท้ายทอยตัวเองไป

เชี่ย...ผม

ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่ได้เข้าร้านตัดผมเลย ความเหนื่อยล้าจากการบุกป่าฝ่าดงคราวนั้น ทำเอาผมกลายเป็นตัวขี้เกียจ ลืมดูแลตัวเองไปเสียสนิท

ผมยาวเร็วจนน่าหงุดหงิด แค่ปลายผมพันนิ้วได้รอบหนึ่งก็รู้สึกขยะแขยงหนังหัวตัวเองแล้ว อาการแบบนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ

"งั้นเราไปตัดผมด้วยกันทั้งคู่กัน" ผมตัดสินใจเช่นนั้น

จากนั้นก็สั่งให้หวังเหมิงดูแลร้าน บอกว่าจะไปตัดผมกับเพื่อน เขาถึงกับงอแง ท้วงว่าทีตัวเขาตอนเจอลูกค้าสาวๆ หรือน้องฉินไห่ถิงหลานเฒ่าไห่มาส่งของ ขอตัวไปเอาน้ำเสยผมเสริมหล่อสามนาทียังไม่ให้เลย พอเป็นเจ้านายนึกอยากไปในเวลางานก็ไป ...ไอ้ลูกน้องเชี่ยนี่ เดี๋ยวนี้เกรียนนัก ผมจึงใช้เสียงดุใส่หวังเหมิง บอกว่าผมจ้างมาให้เฝ้าร้าน ไม่ใช่ให้หาแฟน ถ้าอยากหาแฟนก็อย่ามาหาแฟนแถวนี้ ที่นี่สำหรับทำงาน อยากหามากนักให้ไปที่อื่น

หวังเหมิงอ้าปากจะเถียงสักพักก็ยอมแพ้เหมือนจนใจ พยักหน้าร้อง "คร้าบ" แล้วเอาคางเกยโต๊ะคอมพิวเตอร์ นั่งจิ้มเกมเรียงไพ่อะไรนั่นของเขาต่อ ผมนึกหมั่นไส้เจ้าลูกน้องจอมขี้เกียจแล้วยังติดเกมในใจ สักวันเอ็งต้องสายตาเสีย ขอแช่งให้สักวันเอ็งต้องอยู่กับแว่นตาไปชั่วชีวิต

ตอนผมเดินออกไป ไอ้บ้านี่ยังอุตส่าห์ร้องส่งผม "เจ้านายก็ระวังเตี่ยของเจ้านายจับได้ด้วยนะคร้าบ"

ระวัง? ...ระวังอะไร และระวังทำไมวะ? ผมหันไปมองเมินโหยวผิงที่เดินตามมาข้างหลัง เขาก็ไม่ได้ออกความเห็นใดดังเช่นปกติ ผมส่ายหน้าแล้วเกาหัวไม่เข้าใจ...เชี่ย!! เผลอไปจับโดนเส้นผมอีกแล้ว!


×××

TBC: Part 3






Talk Time:

ตอนหน้าจะไปลงดันเจี้ยนร้านทำผม ไปตัดผมกันค่ะ

ไทม์ไลน์ (ที่แท้จริง) ของตอนนี้ อยู่ในช่วงรอยต่อขึ้นภาคใหม่ตอนเล่ม 6 ค่ะ สามสหายเยือนหังโจววว! ヽ(゜∇゜)ノ มาจากไม่กี่บรรทัดของบันทึกนายน้อย ที่บอกว่านายอ้วนกับเสี่ยวเกอมาพักผ่อนที่หังโจว (ที่ตั้งร้านของอู๋เสีย) กันประมาณสองสามวัน ขอยอมรับว่าตอนอ่านถึงบรรทัดนี้ ด้วงตัวนี้ถึงกับดีใจสยายปีกเลยทีเดียวค่ะ! ← ยัยคนที่เชียร์ให้นายน้อยพาผู้ชายเข้าบ้านตั้งแต่เล่มต้นๆ ในที่สุดเขาก็พาเข้าบ้าน เอ้ย! พาเข้าร้านแล้ว เฮฮฮ~ *ชูมือเป็นท่าวิ่งกูลิโกะเข้าเส้นชัย* ไหนๆ ก็เป็นโมเม้นต์ที่ออฟิเชียลใส่มาแบบหลวมๆ แล้ว ก็ขอเอามาเขียนถึงเสียหน่อยค่ะ U v U,,

และอย่างที่บอกว่าช่วงนี้ ฟิคที่นำมาลงบลอคจะเป็นพรีวิวเรื่องยาวที่จะลงในรวมเล่ม (รายละเอียดรวมเล่ม 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" ยังเปิดจองอยู่นะ : จิ้มๆ) ซึ่งแปลว่าบรรดาเรื่องที่จั่วหัวไว้ว่าเป็น Preview จะลงเน็ตไม่หมดนั่นเองค่ะ และยังมีอีกหลายส่วนที่จะไปเจอกันเฉพาะในรวมเล่มนะคะ

สำหรับเพื่อนด้วงที่เพิ่งมาเจอบลอคนี้ใหม่ และยังไม่ตัดสินใจเรื่องซื้อเล่ม ถ้าอยากอ่านฟิคผิงเสียอื่นๆ ที่จบในตัวก็มีอยู่ในบลอคนี้เช่นกันค่ะ แนะนำเป็นพวกวันช็อต-เรื่องยาวที่ลงจบไปแล้วเรื่องเก่าๆ ของเรา สามารถไปย้อนอ่านได้ที่หน้าสารบัญค่ะ : จิ้มๆ ไปหน้าสารบัญ

สำหรับเรื่อง hair นี้ แล้วเจอกันตอนหน้า Part 3  นะคะ >v<

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 1

 

"hair"
ตอนที่ 1

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ส่วนที่เหลือเจอกันในเล่มค่ะ ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ


**Spoiler Warning**




เรื่องนี้ไม่มีหัวมีท้าย กล่าวคือรู้ตัวอีกทีผมก็พบว่ากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ริมระเบียงห้องนอน เสื้อผ้ายับยู่หลุดลุ่ย เข็มขัดเหวี่ยงกองอยู่กับพื้น

ถัดจากเข็มขัดบนพื้นไปคือเตียง และบนเตียงมีร่างเปลือยเปล่ากำลังหลับสนิท นอนหลับตาพริ้ม จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเขาคนนั้น...

เมินโหยวผิง

ไม่สิ จะเรียกว่าเมินโหยวผิงก็คงไม่ถูก แม้ร่างนั้นจะเป็นคนคนเดียวกับนายจางฉี่หลิง แต่กลับไม่ใช่เมินโหยวผิงหรือเสี่ยวเกอที่ผมรู้จักเสียทีเดียว เพราะชายที่นอนหลับอยู่ตรงนั้นมีผมเผ้ายาวสยาย เส้นผมสีดำทอดแผ่บนเตียงตามความยาวของร่างกาย ตัวของเขาผอมบอบบาง มองผ่านๆ เหมือนสาวน้อยที่โดนคำสาปให้หลับใหล นอนหลับตานิ่งเหนือผืนพรมสีดำสนิท รอใครสักคนมาปลุกจากห้วงนิทราที่กินเวลาอดีตกาลนานปี

นี่มันเหมือนกับฉากในละคร แถมเป็นฉากฟันแล้วทิ้งเสียด้วย

ผมนิ่งค้างกับภาพที่เห็น อย่างที่ผมรู้คือเรื่องนี้ไม่มีหัวมีหาง ผมมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร...หมอนี่มานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร...แล้วทำไมพวกเราถึงอยู่ในสภาพนี้ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด

แต่ผมกลับไม่ตื่นตูมอย่างที่คิด เหมือนร่างกายได้รับการฝึกฝนจนชินให้ต้องเผชิญกับเรื่องชวนใจหายใจคว่ำบ่อยๆ จนรู้สึกคุมสติอยู่ได้แล้ว แค่เจอเมินโหยวผิงผมยาวนอนเปลือยในห้องตัวเองยังน่ากลัวน้อยกว่าเจอแต่ละศพแต่ละบ๊ะจ่างตอนลงกรวยแน่นอน ผมจึงยังใจเย็น ใช้เวลาอัดบุหรี่เข้าปอดก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโค้ตหนาสีน้ำตาลที่แขวนไว้ริมห้องมาคลุมให้เขา

แต่เข้าไปใกล้ได้ไม่กี่ก้าวผมก็พบว่าตัวเองหยุดนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายของผมหยุดชะงัก มือไม้เกร็งจนขยับไม่ออก สิ่งนี้คือปฏิกิริยาอัตโนมัติเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ถัดไปจากร่างของเมินโหยวผิง

มันคือเส้นผม

เส้นผมยาวสยายจากด้านหลังของเขาแผ่กินพื้นที่ไปครึ่งเตียง ในทีแรกผมยังไม่รู้สึกอะไร เพราะคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็แค่เมินโหยวผิงเวอร์ชั่นผมยาว ชะล่าใจไปว่าผมยาวบนหัวคนเป็นคงทำอันตรายต่อจิตใจผมได้ไม่เท่าไหร่ แต่กลับลืมคิดไปว่าพอเป็นท่านอนแล้วผมจะแผ่ยาวสยาย ดูชอนไช ดูพร้อมเจาะทะลุทุกสิ่งได้ปรุโปร่ง ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งทำให้ผมวิตกกังวลหนัก

โดยเฉพาะเมื่อร่างตรงหน้ามีผิวขาวซีด นอนนิ่งตัวแข็งทื่อเหมือนคนตาย แถมผมทุกเส้นก็ยาวเฟื้อยผิดธรรมดา ภาพตรงหน้ากำลังปลุกความทรงจำอันน่าสะพรึงที่ซีซาและโกลมุด ภาพใกล้ชิดแทบจ่อลูกตาตอนที่เผชิญหน้ากับผีแม่ย่าหน้าซีดขาวกำลังไหลบ่าเข้ามาในหัว เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ

ถึงปู่จะสอนว่าจะทำอะไรต้องเป็นฝ่ายรุก แต่มีเรื่องนี้เท่านั้นที่ผมรุกไม่ลง เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางคลุมตัวให้เขาแน่ ถ้าเขาจะคลุมต้องลุกขึ้นมาหยิบไปคลุมเองเท่านั้น

"เสี่ยวเกอ...เสี่ยวเกอ"

ผมลองเรียก ไม่มีปฏิกิริยาจากร่างนั้น ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ด้วยสภาพการณ์ ในห้องเงียบกริบ อีกร่างนอนนิ่งไม่ไหวติง ผมเริ่มสงสัยว่าคนตรงหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนผมนอนกับศพจางฉี่หลิงหรอกนะ

"เสี่ยวเกอ! จางฉี่หลิง! นายเหม่งจาง!" เรียกแม่งให้ครบทุกชื่อ "นักศึกษาเสี่ยวจาง! คนใบ้จาง! อาคุน!!"

เสี่ยวเกอไม่ขยับ ผมเครียดหนัก เริ่มสงสัยว่าคนคนนี้อาจไม่ใช่เมินโหยวผิง เพราะหากใช่เขาควรมีปฏิกิริยาทันที เสี่ยวเกอไม่ใช่คนหลับลึก ถ้านี่ไม่ใช่ศพของจางฉี่หลิง ก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นใครสักคนที่ใส่หน้ากากหนังมนุษย์มานอนอยู่ตรงนี้ ...ไอ้ฉิบหาย แล้วสภาพเลอะเทอะเละเทะในห้องนอนแบบนี้ผมจะอธิบายยังไง เมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น (ไม่ว่าจะเกิดอะไร กับใคร และใครเป็นฝ่ายทำอะไรใคร) ใช่ไหม? ผมอยากให้ร่างตรงหน้าลุกขึ้นมายืนยันกับผมไม่ว่ามันจะเป็นใคร

พลันผมเกิดความคิดอันสุดโต่งขึ้นมา ทำเป็นมองข้ามเส้นผมที่แผ่นิ่งสงบบนเตียง ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ร่างที่หลับใหลนั้น ไม่กล้าแม้แต่สูดหายใจลึก

คนเราก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีความกลัวกังวลที่หนักอกกว่า ปัญหาเก่าก็พลันกลายเป็นเรื่องเล็กกระจิริด

"ขอโทษนะ เสี่ยวเกอ" ผมกระซิบ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่หลังใบหูของชายที่หลับสนิท

ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในสายตาของผมคือศีรษะหมอนั่นขยับหนีมือผม แต่ในชั่วพริบตาต่อมา ผมก็รับรู้ว่าเป็นมือของผมต่างหากที่โดนดึงออกไป ชายผมยาวลุกขึ้นจากเตียงแทบจะในทันที พร้อมกับฉวยคว้าข้อมือของผมเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงดุจคีมเหล็ก ถ้าเขาออกแรงอีกนิด กระดูกแขนผมอาจหักละเอียดคามือ

บัดนี้ชายผมยาวลืมตา สายตาเย็นยะเยียบดุดันดั่งสัตว์ร้ายจ้องเขม็ง ในหัวผมส่งสัญญาณร้องเตือน แบบนี้ไม่ดีแล้ว! ผมสะบัดมือออก เตรียมเผ่นเต็มที่ แต่ไม่เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนั้น มือของเขาที่มีสองนิ้วยาวยังล็อกข้อมือผมอยู่กับที่ กลับกลายเป็นผมที่อยู่ในท่วงท่าตลกประหลาด จะวิ่งหนีก็ไม่ขยับ จะเผชิญหน้าก็ยิ้มไม่ออก ดูไม่เข้าที

"...เสี่ยวเกอ ตื่นแล้วเหรอ" ผมฝืนตีหน้าซื่อกลบเกลื่อน เสียงแหบแห้งติดขัดในลำคอ หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึบตึบก้องในหัว ร่างกายเตรียมพร้อมเข้าโหมดใส่เกียร์หมาวิ่งสี่คูณร้อยเมตรในชั่วพริบตา

"นายเป็นใคร?" ร่างนั้นถามกลับเสียงต่ำ

เสียงของเขาแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่เป็นการกระซิบด้วยความดุดันเหมือนขู่คำราม แตกต่างสุดขั้วกับน้ำเสียงราบเรียบของนายเมินโหยวผิงหน้าง่วงที่ผมเคยชิน ในใจผมกรีดร้องไปอีกระดับ ไอ้ฉิบหายวายป่วง ทักคนผิดเป็นแน่แล้ว!

"ฉัน..." ยังตอบไม่ทันจบคำก็พบว่าโลกหมุนพลิกกลับ

ผมโดนนายนั่นเหวี่ยงลงไปที่เตียง เส้นผมยาวสยายของเขา ผ้าห่มบนเตียง ตลอดจนเสื้อคลุมในมือของผมเองเหวี่ยงเปะปะปนกันจนมองอะไรเป็นอะไรไม่รู้เรื่อง รู้ตัวอีกที มืออีกข้างที่เหลือของผมก็โดนเข่าเปล่าเปลือยของเขากดทับ ไหล่ของผมโดนมืออีกข้างของเขากดตรึงลงกับเตียง กลายเป็นขยับเขยื้อนไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

"ไอ้บัดซบ! นาย...มึง" ผมกัดฟันกรอด

ใบหน้าที่เหมือนเมินโหยวผิงจ้องมองกลับมา สายตาคู่นั้นยังคงไม่ลดความอันตราย ภายในสีดำนั้นช่างว่างเปล่าเหมือนหลุมลึกที่อาจเชื่อมต่อไปถึงนรก ผมทนมองได้แค่เพียงผ่านๆ ไม่กล้าสบตาเขาเต็มๆ ตา

นี่มันไม่ใช่เมินโหยวผิง สายตาว่างเปล่าของเมินโหยวผิงไม่ใช่หลุมนรกกลวงเปล่าแบบนี้!

ผมเผลออ้าปากค้าง ชั่วขณะที่ยังนึกคำด่าไม่ออกใบหน้านั้นก็โน้มลงมาใกล้ ผมรู้สึกได้ถึงอันตรายจึงรีบหุบปาก กัดฟันแน่น คิดในใจว่ามึงลองเข้ามาใกล้อีกสิ กูจะกัดจมูกมึงให้แหว่ง

แล้วเขาก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ผมจริง แต่ไม่ได้ก้มลงมาตรงๆ ใบหน้านั้นขยับเอียงไปใกล้ๆ ดวงตาผม ใช้ปลายจมูกดุนดันแว่นตาของผมสองสามทีจนแว่นหลุดผล็อยไปด้านหลัง ลมหายใจที่เป่ารดใบหน้าและสันจมูกที่ชนกันเบาๆ ทำให้ผมจักจี้จนเผลอตีเข่าใส่ร่างที่อยู่ด้านบน แต่ไอ้หมอนี่ไม่สะทกสะท้าน สักพักก็ขยับขาอีกข้างขึ้นทับ กดขาผมกลับลงไปอย่างง่ายดาย

ผมร้องในใจ ตายละวา เรื่องเมื่อคืนเกิดอะไรยังไม่ทันได้รู้เรื่องชัด แม่งจะเกิดเหตุแทรกซ้อนอะไรขึ้นนักหนา รู้งี้ตอนยังใจเย็นยืนสูบบุหรี่ หยิบปืนมาสักกระบอก ลั่นโป้งใส่ให้จบเรื่องไปก็ดี

ระหว่างที่คลื่นความคิดในสมองหมุนวนราวพายุบ้าคลั่ง ผมพบว่าชายตรงหน้าก็หยุดชะงักไปเหมือนกำลังเพ่งพิจารณาตัวผม ผมเห็นเป็นโอกาสดี งูที่ทำได้เพียงเลียนเสียงภาษาคนนั้นเจรจาไม่ได้ แต่หมอนี่รู้ภาษาคน อาจเจรจาได้

"นาย..."

หมอนั่นพุ่งหน้าเขาใส่ผมอีกครั้ง รวดเร็วและรุนแรง รอบนี้เขากดหน้าลงบริเวณซอกคอผม ปลายจมูกและริมฝีปากซุกไซ้เวียนวน เพียงพื้นที่เล็กๆ ที่ถูกสัมผัสก็ส่งผ่านความสะท้านแผ่ไปทั่วร่างกาย ผมตัวเกร็ง พยายามหดคอหนี ด่าทอในใจว่ายังพูดไม่จบคำเลยว้อย!!

เขาเวียนวนซุกหน้าเข้าๆ ออกๆ แถว ลำคอและช่วงใต้คางของผมหลายครั้ง ใบหน้าเขาแตะโดนแถวลูกกระเดือกทีผมก็เสียวที ลมหายใจผมขาดห้วง ทุกจังหวะที่เผลอกลั้นหายใจก็เหมือนถูกกระชากทุกสัมผัสอารมณ์ลึกลงไปถึงช่วงท้อง ว่ากันตามตรง ถ้าหมอนี่ไร้เรี่ยวแรงสมกับขนาดตัวสักหน่อยป่านนี้คงโดนผมดีดขาเตะกลิ้งโค่โล่ไปหลายรอบแล้ว ท่วงท่านั้นเสมือนสัตว์ที่กำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจบางสิ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทดลองสูดกลิ่น แตะ สัมผัส เวียนวน ...ดีนะแม่งไม่ชิมรสกูด้วย

ผมพลันก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา ไอ้หมอนี่ท่าจะติดใจลำคอผม แต่ติดใจอะไรล่ะ? ผมขืนตัวพยายามก้มมอง เขานึกว่าผมจะดิ้นหนี ยิ่งเพิ่มแรงที่กดผมมากขึ้นอีกโดยที่ยังคงสำรวจลำคอผมด้วยความสนอกสนใจต่อเนื่อง ท่าทางแบบนั้นทำให้นึกถึงเมินโหยวผิงตอนสำรวจสุสาน ตอนที่จุดตะบันไฟ ยื่นมือชะโงกหน้าไปสำรวจโพรงถ้ำหรือหลืบซอกต่างๆ โดยเมินเฉยต่อสภาวะรอบข้างและบรรดาคนรอบตัวโดยสิ้นเชิง

รู้ตัวอีกทีเขาก็ปล่อยมือจากหัวไหล่ สองนิ้วยาวยกขึ้นมาสัมผัสที่กลางลำคอของผมแทน เล่นเอาผมถึงกับช็อกจนตัวแข็งเพราะนึกว่าจะโดนบิดคอตายในวินาทีนั้น

เมื่อสองนิ้วลูบไล้ไป ผมก็รู้สึกเหมือนมีเส้นเนื้อนูนพาดขวางที่กลางคอตามเส้นทางที่นิ้วของเขาลากไปด้วย ไม่รู้ว่ามีอยู่ก่อนแล้วหรือเขาทำอะไรกับผม รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ผมก้มหน้าลงไปมองอีกครั้ง เราสบตากัน

"เสี่ยวเกอ" ผมหลุดปากเรียกเช่นนั้น

พลันเขาก็โถมตัวเข้ากอดร่างของผม เชี่ย หนัก หนักโว้ย! โดนล็อกจนแทบไม่มีแรงอยู่แล้วยังจะทับลงมาอีก ไอ้บ้านี่สมองยังดีอยู่หรือเปล่า

"นาย...โปรด...กอดฉัน" เสียงทุ้มต่ำแหบพร่ากระซิบที่ข้างใบหู ชายผมยาวกดริมฝีปากเข้าที่ขมับของผมเหมือนกำลังจุมพิต ผมพยายามเหลือบตามอง ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไร แล้วริมฝีปากของเขาก็ย้ายมาแตะๆ ที่แก้ม ที่ใต้คาง ไล่มายังริมฝีปากล่างของผม

เหมือนกำลังเรียกร้องให้ผมจูบ...

ไอ้บ้านี่ประสาทกลับแน่ๆ แต่ผมเองคงประสาทกลับยิ่งกว่าที่มึนเมาไปกับการสัมผัสนั้น ผมเผยอปากตอบรับ พลันสิ่งหนึ่งก็สอดเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

มันคือกลุ่มเส้นผมมหาศาล

"ไอ้xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx!!"




×××

TBC: Part 2






Talk Time:

ยังเป็นผิงเสียค่ะ ยังเป็นผิงเสีย *หัวเราะ* มีเหม่งจางไปแล้ว มีนักศึกษาจางไปแล้ว ทายออกมั้ยคะว่าหนุ่มผมยาวคนนี้เป็นร่างไหน (เหอ?) ของเมินโหยวผิง...แอ๊ะ จริงๆ ไม่ต้องทายก็ได้ มีอยู่คนเดียวค่ะที่ผมย้าวยาวแถมไม่ใส่เสื้อผ้า อาคุนแหละค่ะ อาคุน *อุดกำเดา* (ถึงตอนจบจะตัดตอนแบบพาแหกโค้งลงข้างทางก็ตาม สวัสดีผีแม่ย่า)

ส่วนตอนจบ ถ้านึกไม่ออกว่าล้ออะไร ลองกลับไปเปิดบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน เล่ม 1 ตำหนักหลู่หวังเจ็ดดารา ตรงบทที่ 37 ในอุโมงค์โจร ดูนะคะ♥

แง พอพูดถึงผมยาวปุ๊บ ก็นึกถึงฉากนี้ปั๊บเลยค่ะ คือเราคิดว่า ถ้าเป็นเทียนเจินอู๋เสียเนี่ย พอเจออาคุน ต้องเป็นซีนขยะแขยงเส้นผมยาวเฟื้อยมากกว่ามานั่งโรแมนติกแน่ๆ เพราะฉะนั้นต่อให้เคลิ้มแค่ไหนก็ต้องโดนตัดฟีล ไซด์โค้งพุ่งลงข้างทางแหงแก๋ค่ะ อุแหะ *โดนคนอ่านโห่ไล่* จะว่าไปเรื่องนี้เขียนก่อนที่จะเห็นพรีวิวของมังฮวาบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน (คอมิคจีน) เล่ม 6 อีกค่ะ อันนั้นผีแม่ย่าสวยเข้มมาก เห็นแล้วนึกถึงอาคุนเหมือนกัน *โดนเสี่ยวเกอบนปกเอาปืนยิงยัยด้วงนี่ทิ้ง*

ก็...เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องยาว (คิดว่ายาวนะ) ที่จะลงในรวมเล่มฟิคของ IronY Triangle ค่ะ ตั้งใจจะตัดตอนลงเป็นพรีวิวในบลอคเฉพาะ 5 ตอนแรกของเรื่อง hair ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องฝั่งเทียนเจิน ส่วนในเล่มจะมีต่ออีกนิดหนึ่งค่ะ เป็นเนื้อเรื่องส่วนที่กั๊กไว้เจอกันในเล่มนะคะ

(แปลความหมายย่อหน้าข้างบนแบบตรงไปตรงมา: เรื่อง hair นี้จะลงไม่จบ อยากอ่านจนจบก็ซื้อสิจ๊ะ → ลิงก์รายละเอียดการพรีออเดอร์) หรือถ้าหากยังไม่ตัดสินใจ เรายังมีพรีวิวอีก 4 ตอนให้ท่านอ่านประกอบการตัดสินใจค่ะ จะทยอยมาอัพนะคะ (/・ω・)/ ~

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Snow petal

 

"Snow petal"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี || ดอกหมู่ตาน || ดอกเหมย

**Spoiler Warning**



ผมพบว่าตัวเองมีทัศนคติที่ไม่ดีเท่าไรนักต่อฤดูใบไม้ร่วง...คล้ายเรียกได้ว่าเกลียด แต่ไม่ถึงขั้นชัง

วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ณ เมืองที่มีศาลของท่านเปาบุ้นจิ้นผู้ผดุงความยุติธรรม ผมกลับมาเจรจาธุรกิจ ได้รับการสอดสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ...ที่จำนวนไม่น้อยนักมาจากฝ่ายตรงข้าม

คิดแล้วก็น่าขัน ด้วยอาชีพเช่นผม หากเป็นยุคอดีต บางทีอาจถูกลากตัวไปประหารแล้วก็เป็นได้

หลังการเจรจาเรียบร้อยก็เป็นช่วงเวลาของการบริโภค ฝ่ายเจ้าบ้านเลี้ยงรับรองผมด้วยอาหารท้องถิ่นของเหอหนาน กินไปพลางฟังคนอธิบายถึงความเป็นมาไปพลาง นับว่าไม่เลวนัก

มีครั้งหนึ่งคนพูดเหลือบมองเสี่ยวเกอที่นั่งกินอยู่เงียบๆ ก่อนจะส่งสายตามาหาผมคล้ายจะถามว่าเขาทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ผมจึงรีบโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องสนใจ

อากาศทางตอนเหนือเริ่มหนาวเย็น ผมซดซุปจากหม้อไฟดอกเบญจมาศ พลางมองออกไปด้านนอก ช่วงนี้เป็นเทศกาลดอกเบญจมาศ เมืองไคเฟิงจึงเต็มไปด้วยสีสันละลานตา ทั้งเหลือง ขาว ชมพู ม่วง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่พากันมาชมดอกไม้ ทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกหงุดหงิดหัวใจเล็กน้อยยามคิดว่านี่เป็นฤดูใบไม้ร่วง ความรู้สึกนี้ผมนึกหาเหตุผลไม่ออก คล้ายมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ ท้ายสุดได้แต่มุ่งความสนใจของตัวเองไปกับการจัดการของกินที่อยู่ตรงหน้า

ครั้นกินเสร็จ คนพากันแยกย้าย ผมที่บรรลุเป้าหมายในการถ่อมาถึงที่นี่ก็หันไปเอ่ยกับคนข้างกาย "เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เดินชมดอกไม้สักหน่อยก็ไม่เลว"

เสี่ยวเกอไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าอย่างทุกที

ในขณะเดียวกับที่ผมเดินออกมานอกร้าน ก็เห็นคนเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยกลีบดอกเบญจมาศขาวเต็มสองตะกร้าผ่านไป จังหวะที่ผมละสายตา ก็เกิดเสียงดังประหลาด ครั้นหันกลับไปมองก็เห็นตะกร้าทุกใบลอยขึ้นสูง รถเข็นพลิกคว่ำ ตัวการคืออะไรผมก็ไม่รู้ได้ เพียงแต่ยามนี้กลีบดอกเบญจมาศขาวในตะกร้าพลันโปรยปราย

ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนหันไปมองคนข้างกาย กลีบดอกไม้สีขาวกางกั้นระหว่างเราสองคนเอาไว้

อา...ในที่สุดก็นึกออก เหตุผลที่ผมเกลียดฤดูใบไม้ร่วงนัก

ฤดูใบไม้ร่วง บนภูเขา หิมะโปรยปราย...เขาพลันจากผมไป

ยามนี้กลีบดอกเบญจมาศทั้งหมดร่วงหล่นเต็มพื้น คนเข็นรถทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะมองตะกร้าอันว่างเปล่า รู้สึกตัวอีกทีเสี่ยวเกอก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เอื้อมมือมา ค่อยๆ ดึงกลีบดอกไม้ที่ติดบนศีรษะของผมออก ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาแผ่วเบายิ่งนัก ระมัดระวังยิ่งนัก ราวกับผมเป็นสิ่งของที่บุบสลายได้โดยง่าย

ครั้นมองเหม่อได้สักพัก ผมถึงค่อยสังเกตว่าเขาเองก็มีกลีบดอกไม้ติดเต็มตัวไปหมด ผมสีดำขลับตัดกับดอกไม้สีขาวอย่างน่าประหลาด จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปทำแบบเดียวกับที่เขาทำให้ผมบ้าง

ขณะดึงกลีบดอกเบญจมาศออกจากเส้นผมของเขาทีละกลีบ ผมพลันนึกขึ้นได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสเส้นผมของเขาแบบนี้ จึงรู้สึกกระดากเล็กน้อย การเคลื่อนไหวจึงช้าลงไปอีก เสี่ยวเกอที่จัดการกับกลีบดอกไม้ทั้งหมดบนศีรษะผมแล้วก็มาปัดๆ ตามเนื้อตัวให้

เสี่ยวเกอมองผมที่นิ่งค้าง พลางเอ่ย "อู๋เสีย?"

เสียงทุ้มต่ำดังกึกก้อง ผมพลันสะท้านในอก ก่อนยิ้มให้เขา และได้รอยยิ้มบางเบาตอบกลับมา

ยามนั้นโลกรอบตัวคล้ายถูกตัดขาด มีเพียงผมกับเขาสองคน

...บางทีผมอาจไม่ได้เกลียดฤดูใบไม้ร่วง เพียงแค่เกลียดการที่ต้องจากลาเขาก็เป็นได้




+++

END
30/11/2014







วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Blooming shyness

 

"Blooming shyness"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี || ดอกหมู่ตาน

**Spoiler Warning**


ยามหังโจวเข้าสู่ฤดูหนาว ความสุขทั้งมวลของผมคือการได้นอนซุกตัวในที่นอนอุ่นๆ

เพียงแต่ชีวิตคนเรามักไม่ง่ายขนาดนั้น ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังหนาวอยู่ดี ขณะที่ผมอยากซุกตัวนอนเงียบๆ คนของผมกลับรายงานถึงปัญหาวุ่นวายบางอย่าง

รู้ตัวอีกทีก็ต้องสละที่นอนอุ่นๆ ถ่อมาถึงหนานจิง

เนื่องจากยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ บนจื่อจินซาน (ภูเขาม่วง) ดอกเหมยจึงเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอม ผมและเสี่ยวเกอเดินตามทางขึ้นเขา มองหาสัญลักษณ์ที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นหนึ่งในสิบจุดที่มีการทำเครื่องหมาย อีกเก้าจุดผมกระจายพวกลูกน้องออกไป

เดิมทีไม่คิดว่าต้องพะบู๊อะไร หรือถึงต้องสู้อย่างไรก็มีเสี่ยวเกออยู่ ทว่าเดินมาได้สักพัก ที่รอพวกผมอยู่กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสวมชุดดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในมือถือกระบองเหล็กที่ไม่เข้ากับชุดที่สวมใส่อยู่ บนกระบองสลักตราพยัคฆ์เอาไว้

เหมยสีชมพูอมแดงบานสะพรั่ง คนชุดดำสนิท...ช่างตัดกันจนน่าขำ

ผมมองกระบองในมือของพวกเขา พลางยิ้มขัน ก่อนแสร้งถาม "พี่ชายพวกนี้ ขึ้นเขาพกกระบอง เอามาทำอะไรหรือ"

พวกนั้นพากันแสยะยิ้ม ก่อนคนหนึ่งจะตอบผม "เอามาตี 'หนู' เสียหน่อยน่ะ"

"โฮ่" ผมเลิกคิ้ว ร่างกายอยู่ในสภาพระแวดระวังจนถึงขีดสุด  และถึงไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าเสี่ยวเกอเองก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน

พวกคนชุดดำพากันยิ้มร่า จากนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามา ผมมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจตรวจตรา แต่คนพวกนั้นกลับขัดขึ้นมา "ในรอบบริเวณมีแค่พวกเรา ไม่ต้องหาแล้ว"

จากนั้นพวกเขาก็เงื้ออาวุธ พุ่งมาทางผม ผมหลบ ก่อนร้องตะโกน "เสี่ยวเกอ!"

ในเวลานั้นมีคนสามคนเข้าไปรุมกลุ้มเสี่ยวเกอ ผมที่ต้องหาทางเอาตัวรอดก่อนไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น ผมจัดการคนแรกลงไปได้ จากนั้นก็แย่งกระบองของหมอนั่นมา

คนที่สองและสามพุ่งเข้ามา ผมใช้กระบองรับและสวนกลับ สอยไปได้คนหนึ่ง อีกคนเพียงแค่โดนแบบถากๆ เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะเชี่ยวชาญการใช้กระบอง ในสภาพเช่นนี้ ผมยังมีแก่ใจด่าทอเจ้าพวกมนุษย์กระบองในหัวที่มาตีคนเสือกขนมาแค่กระบอง ไม่รู้ว่าเห็นผมเป็นแค่หนูไม่ควรค่าแก่ความสนใจดี หรือแค่ปัญญาอ่อนดี

โรมรันพันตูกันสักพักกระบองในมือผมก็โดนปัดกระเด็น เปิดโอกาสให้เจ้าหมอนั่นแบบเต็มๆ

"ย้าก!" กระบองอยู่เหนือศีรษะผมซึ่งอยู่ในสภาพตั้งรับหรือปัดป้องไม่ทัน ได้แต่ทำใจว่าคงหัวร้างข้างแตกกันไปข้างหนึ่ง

ทว่าร่างผมกลับถูกกระชากไปด้านหลัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เสี่ยวเกอใช้แขนข้างหนึ่งของเขารับกระบองเหล็กแทนผม "เสี่ยวเกอ!"

แขนของเขาเกิดรอย ซ้ำยังดูปูดบวมผิดรูปคล้ายกระดูกจะหัก ทว่ายังคงรักษาสีหน้าได้เหมือนปกติ

"เสี่ยว..."

เสี่ยวเกอวาดมือข้างที่ยังใช้การได้เป็นไปเฉียงๆ เกิดเสียงดังเป๊าะ จากนั้นกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งก็ร่วงลงมา เขาถือมันไว้ในมือ จากนั้นก็วาดเท้า หมุนตัวด้วยท่วงท่าทรงพลัง ฟาดเอาคนชุดดำกระเด็นกระดอน พวกเขาที่เหลือส่งเสียงร้องย้าก ก่อนพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกระบองเหล็ก

ในมือของเสี่ยวเกอมีเพียงกิ่งเหมย แต่กลับรับมือคนพวกนั้นได้อย่างสบายๆ กระบองเหล็กฟาดลงมาอย่างรุนแรงดุดัน แต่กิ่งเหมยเล็กๆ กลับปัดป้องราวกับมันทำมาจากนุ่น

หากเป็นยอดจอมยุทธ์ แม้แต่กิ่งเหมยก็อาจใช้แทนกระบี่ได้...

ท่วงท่าของเสี่ยวเกองดงามหมดจดและทรงพลัง ทว่าอาจเพราะในมือของเขาคือดอกเหมย จึงดูคล้ายกับกำลังอยู่ในงานแสดงศิลปะการต่อสู้

ผมยืนอ้าปากค้าง สักพักก็นึกอยากมีเหล้าสักจอก ชมดูคนถือกิ่งเหมยร่ายรำ ถึงปกติคนรำจะเป็นสาวงามก็เถอะ เปลี่ยนมาดูหนุ่มรูปงามบ้างก็คงไม่ผิดนัก

ในที่สุดคนชุดดำทั้งหมดก็ร่วงไปกองกับพื้น แต่มีสองสามคนหนีไปได้ ผมตัดสินใจว่าจะลงเขาไปก่อน หากพวกเขาเรียกกำลังเสริมมาอีกคงจะลำบาก

ผมร้องเรียกเสี่ยวเกอ "เสี่ยวเกอ...เรารีบ"

ยังพูดไม่ทันจบผมก็โดนยกมือเป็นสัญญาณห้ามให้หยุด จากนั้นเขาก็ลากผมหลบเข้าข้างทางไปอย่างรวดเร็ว

จากมุมที่พวกผมอยู่มองเข้ามาเห็นได้ลำบาก แต่มองลอดออกไปสามารถเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน คนชุดดำอีกจำนวนหนึ่งมาพร้อมอาวุธครบมือ ทว่าทีนี้ไม่ใช่แค่กระบอง คงไม่ได้กะมาตีหนู แต่ฆ่ากันให้ตาย

พวกนั้นเห็นพวกผมหายไปก็วิ่งไปยังเส้นทางลงเขา สีหน้าแต่ละคนล้วนดุดัน มองผ่านๆ เห็นตราพยัคฆ์แบบเดียวกับที่เห็นบนกระบองก่อนหน้านี้อยู่หลายตำแหน่ง ผมถอนหายใจ งานนี้กลับไปคงต้องไปเคลียร์อีกหลายเรื่อง แต่ก่อนอื่นคงต้องลงเขาไปสมทบกับพวกลูกน้องเสียก่อน

ขณะกำลังครุ่นคิด เสี่ยวเกอดึงมือผม จากนั้นก็ชี้ไปอีกทางหนึ่ง "ทางนี้"

ผมเดินตามเขาไป ระหว่างนั้นก็อดถามไม่ได้ "แขนนาย...เราหยุด..."

"ตอนนี้ไม่ได้" เสี่ยวเกอตอบสั้นๆ พลางสาวเท้าเร็วขึ้น ผมมองแขนของเขา อดคิดถึงเมื่อนานมาแล้วที่เขาเคยกลับมาช่วยผมจนแขนบาดเจ็บไม่ได้...ท่าทางผมกับแขนเขานี่จะมีกรรมต่อกันจริงๆ

"...เจ็บไหม"ผมถามเขาเสียงแผ่ว

"ไม่เป็นไร" เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"นายเนี่ย เคยรู้สึกเจ็บกับเขาไหมเนี่ย" ผมขมวดคิ้ว หมอนี่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดออกมา

"เคย" เขาเอ่ย จากนั้นก็ลดฝีเท้า หันกลับมามองผม

ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นคล้ายมีมนตร์สะกด ผมเหม่อมองจนเกือบหยุดเดิน เสี่ยวเกอคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "ตอนนายบาดเจ็บ"

จากนั้นพวกเราก็เดินกันต่อโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก

บนจื่อจินซานมีดอกเหมยสีชมพูอมแดงบานสะพรั่งเหมือนมีใครใช้ปลายพู่กันแตะแต้มลงไป ครั้นแหงนมอง ผมคล้ายรู้สึกพวกมันกำลังแย้มขันสองแก้มของผม

...ที่ในยามนี้มีสีสันไม่ต่างอะไรกับดอกเหมยที่กำลังผลิบาน





+++

END
26/11/2014







วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Silent touch

 

"Silent touch"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

เซ็ตเทศกาลชมดอกไม้: ดอกหลี

**Spoiler Warning**


เดือนเมษายน ดอกไม้พากันเบ่งบานรับฤดูใบไม้ผลิ ผมจากหังโจวมาลั่วหยาง

งานนี้เป็นการรับส่งของที่ออกจะวุ่นวายอยู่สักเล็กน้อย ก่อนนี้ผมไหว้วานพวกลูกน้องสามครั้ง ล้วนประสบปัญหาทั้งสามครั้ง สุดท้ายนัดแนะกันกับอีกฝ่ายได้เป็นครั้งที่สี่ ผมจึงตัดสินใจลงมือเอง

ลั่วหยางในยามนี้มีดอกหมู่ตาน (โบตั๋น) ผลิบานสะพรั่ง นักท่องเที่ยวพากันมาชมดอกไม้

ผมและเสี่ยวเกอวันนี้แต่งตัวปะปนอยู่กับนักท่องเที่ยว อันที่จริงดูประหลาดไม่น้อยสำหรับผู้ชายแบบพวกผมมาเดินชื่นชมดอกไม้ด้วยกันสองต่อสอง แต่เพราะเขาไม่สนใจอะไร ส่วนผมก็หน้าหนาจนไม่รู้จะหนาไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว จึงไม่คิดอะไรมาก

ครั้นมาถึงจุดที่ต้องการ ผมเดินไปตามโพยที่ได้รับมาเพื่อหาของ "ซ้ายสาม ขวาสอง..."

เมื่อดินมาตามคำบอกจนถึงจุดสุดท้าย ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหมู่ตาน นอกจากดอกไม้แล้วไม่เห็นอย่างอื่น ได้แต่มึนงงเล็กน้อย จนกระทั่งเสี่ยวเกอสะกิดผม ชี้ไปทางดอกหมู่ตานสีชมพูเข้มดอกหนึ่ง เมื่อหรี่ตามองดีๆ จึงเห็นความผิดปกติของมัน

ที่แท้แล้วนั่นเป็นดอกไม้ปลอม เพียงแต่ทำได้ประณีตมาก ซ้ำยังอยู่ในตำแหน่งที่หากมองผ่านๆ ไม่มีทางมองออก ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก "มาซ่อนอยู่นี่เองเรอะ"

ผมเดินเข้าไปใกล้ มองไปรอบๆ เพื่อดูต้นทาง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ดอกหมู่ตานดอกดังกล่าว จากนั้นก็พยายามจะแกะมันออกมาแบบไม่ดูกระโตกกระตาก ทว่าพยายามดึงอยู่นาน ทำอย่างไรก็เอาไม่ออก จนกระทั่งมีมือมาแตะบ่าผม เสี่ยวเกอขยับตัวมานั่งยองๆ ข้างๆ "ฉันเอง"

จากนั้นเขาก็ใช้ปลายนิ้วคล่องแคล่วขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ทุกท่วงท่าดูนุ่มนวล ทว่าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่า ครู่หนึ่งก็สามารถปลิดดอกไม้ปลอมดังกล่าวออกมาได้สำเร็จ จากนั้นก็ส่งให้ผม

จังหวะที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้นมา ผมร้องเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตื่นตกใจ เสี่ยวเกอชะงักและจ้องมองผมที่รีบโบกไม้โบกมือ "อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งขยับนะ"

ที่รีบเอ่ยอย่างลนลานก็เพราะขณะนี้เหนือศีรษะของเสี่ยวเกอ ดอกหมู่ตานดอกใหญ่อยู่เหนือศีรษะเขาพอดี พาลให้คิดถึงเครื่องประดับศีรษะของสาวยุคโบราณ ผมรีบควานหาโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงกลั้วขัน "เอ้า ยิ้มหน่อย"

หากเป็นเมื่อก่อน ผมมั่นใจว่าเสี่ยวเกอคงสะบัดหน้าหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาเพียงมองผมนิ่งๆ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ผมเพียงผู้เดียว ทำเอามือไม้สั่นเล็กน้อย โชคดีโทรศัพท์สมัยนี้เทคโนโลยีไม่เลวเลย ต่อให้มือสั่นเล็กน้อยก็ยังถ่ายออกมาได้สวยงาม

ผมมองภาพดังกล่าว ตั้งใจจะใช้เป็นภาพหน้าจอ แต่แล้วกลับนึกอะไรขึ้นได้ ร้องบอกเสี่ยวเกอที่กำลังจะขยับตัวให้หยุดอีกครั้ง จากนั้นตนเองก็ขยับเข้าไปใกล้เขา พลางปรับกล้องโทรศัพท์ให้เป็นกล้องหน้า อันที่จริงผมใช้เจ้าผลไม้นี่ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ซิ่วซิ่วเป็นคนสอนผมพลางบ่นว่าผมเหมือนคนแก่

ครั้นเลื่อนตำแหน่งภาพจนพอใจ ผมก็ยิ้มให้กล้อง พลางเอ่ยกับคนข้างตัว "ยิ้มหน่อย"

แว่วเสียงกล้องทำการเก็บภาพ ในเสี้ยววินาทีนั้น เสี่ยวเกอที่อยู่ข้างผมแย้มยิ้มเล็กน้อย...

เสียงของผู้คนดังมาจากที่ไกลๆ เราสองหันไปสบตากัน...

ท่ามกลางกลิ่นหอมหวานของดอกหมู่ตาน ริมฝีปากของเราสัมผัสกันอย่างเงียบงัน





+++

END
25/11/2014








วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Fall apart

 

"Fall apart"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**


เนื่องจากมีธุระเล็กน้อยที่ให้ลูกน้องตกลงแทนไม่ได้ ผมจึงต้องมาที่เฉิงตู ก่อนนี้เคยมากับเสี่ยวฮัว ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว เรื่องราวเริ่มรางเลือน

ครั้งนี้ผมมากับเสี่ยวเกอสองคน เดิมทีจะทิ้งเขาไว้ที่บ้าน แต่นึกครึ้มอยากพาเขาออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง จึงกึ่งลากกึ่งชวนมาด้วย อย่างน้อยเขาเป็นผู้ช่วยด้านเจรจาไม่ได้ ก็เป็นบอร์ดี้การ์ดให้ได้

หลังจัดการงานเสร็จ ผมกับเขาก็พากันเดินเล่น คราวนี้มาแถบซินจิน ช่วงฤดูใบไม้ผลิมีดอกหลีสีขาวบานสะพรั่งตลอดแนวถนน ยามลมพัดมาก็ปลิดปลิว ดูคล้ายกับหิมะโปรยปราย

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสดอกหลีที่ตกลงบนอุ้งมือแผ่วเบา

สถานที่นี้งดงาม แต่คิดว่าคงไม่เป็นที่โปรดปรานของบรรดาคู่รักเท่าไหร่ ดอกหลี...หลีคือพรากจาก คงไม่มีคู่รักไหนชมชอบการพรากจาก

เพียงแต่ไม่พราก ย่อมแปลว่าไม่ได้พบ ผมเหลือบมองคนข้างตัว ดวงตาของเขามุ่งตรงไปข้างหน้าคล้ายโลกรอบตัวนั้นไม่สลักสำคัญ...สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมคิดถึงเขาเมื่อก่อน นายเมินโหยวผิงเรือพ่วงที่เคลื่อนไหวเลื่อนลอยไร้ทิศทาง

"เสี่ยวเกอ"

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผม เขาจึงหันกลับมา ทันใดนั้นผมก็ได้เห็น ในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น สะท้อนเพียงภาพของผม ผมคลี่ยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "ถึงนายหายไปอีก ฉันก็จะไปตามกลับมา"

ผมเปลี่ยนแปลง เขาเปลี่ยนแปลง โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่อาจหยุดวันเวลาได้

พรากจากเป็นอย่างไร นั่นไม่สำคัญ มีพบต้องมีพราก หากพรากแล้วใช่ไม่อาจพานพบอีกครั้ง เราสองคนถูกกางกั้นด้วยกาลเวลาสิบปี ประตูสำริดหนักอึ้ง หน้าที่ที่ต้องแบกรับ แต่ท้ายที่สุดก็สามารถกลับมาเดินทอดน่องด้วยกันเช่นนี้

เสี่ยวเกอมองผม ก่อนคลี่ยิ้มจางๆ "ฉันไม่ไปไหนแล้ว"

ผมเบิกตามองเขา พลางยิ้มตอบ คำสัญญาจากยอดนักหายตัวมืออาชีพเชื่อถือได้แค่ไหนไม่รู้ แต่ผมจะถือว่าเขาสัญญาแล้ว หรือต่อให้ผิดสัญญาก็เพียงแค่ไปตีหัวลากกลับมาก็หมดเรื่อง

สิบปีที่แล้วเป็นเช่นไร ต่อจากนี้อีกสิบปีให้หลังจะเป็นเช่นไรล้วนไม่สลักสำคัญ ท่ามกลางดอกหลีโปรยปรายราวหิมะกลางฤดูใบไม้ผลิ ในยามนี้เราสองคนเดินเคียงคู่กัน...เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่อได้พานพบกันแล้ว ไยต้องกลัวการพรากจาก?





+++

END
21/11/2014






วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][黑盟] He does not love me 2

"He does not love me"

ชุดที่ 2

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 黑盟 เฮยเหมิง (เฮยเสียจื่อxหวังเหมิง)

ต่อจาก: ชุดที่1

**Spoiler Warning*




"ฉันกำลังจะตาย" ผู้ชายคนนั้นบอกเขาแบบนั้น


-6-

ในวันที่ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า เขายังคงนั่งๆ นอนๆ ตามปกติ บางทีก็ชวนให้สงสัยว่าการที่อยู่ร้านไหนก็ไม่เคยมีลูกค้าเป็นเพราะดวงกุดเจอเถ้าแก่แย่ๆ หรือเพราะตัวเขาเองมีดวงไล่ลูกค้ากันแน่

และอาจเพราะว่างงานจนเกินไป พวกเขาจึงเริ่มคุยกัน บทสนทนาไม่รู้เริ่มต้นจากตรงไหน แต่จู่ๆ เขาก็ถูกถามว่า "นายมีแฟนหรือยัง"

"เคยมี"

"เลิกไปแล้ว?"

"วันๆ ติดตามเจ้านายแบบนั้น ถึงไม่อยากเลิกก็โดนบอกเลิกอยู่ดี" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ คร้านจะประกาศต่อว่านอกจากโดนบอกเลิกแล้วยังโดนตบฉาดใหญ่ แถมหลังๆ เจ้านาย...คนเก่าคนนั้นใช้เขาเป็นเบ็ดไปตกเหยื่อสาวๆ อีกต่างหาก "คุณล่ะ?"

"ฉัน" อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเลื่อนเปื้อนให้เขา "ฉันไม่คิดมีคนรัก"

"ทำไม?" เขาเลิกคิ้ว

"เพราะฉันกำลังจะตาย" นั่นคือคำตอบที่หนักแน่น ทว่าใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากการบอกเล่าประโยคทั่วไป

เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าให้ "ผมเองก็ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่เหมือนกัน"

เฮยเสียจื่อฟังเขา จากนั้นก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่ "ไม่ใช่อย่างนั้น...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วจริงๆ"

...แล้วยังไง? เขาเอียงคอมองฝ่ายนั้น "ทำไมคุณไม่ไปหาหมอ"

"หมอช่วยฉันไม่ได้แล้ว"

"มีใครช่วยคุณได้อีกไหม"

ฝ่ายนั้นยิ้มพลางส่ายหัว "ไม่มี นี่เป็นชะตากรรมของฉัน...แต่ถ้านายอยากเป็นอาสาสมัครบริจาครัก ฉันก็ยินดีรับเอาไว้นะ"

ปลายนิ้วเย็นเฉียบแสร้งช้อนคางของเขาให้แหงนหน้า หากเป็นเมื่อก่อน หรืออย่างน้อยก็ตอนที่พบกับผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก เขาคงกลัวจนตัวสั่น ร้องวิงวอนขอให้ปล่อยเขาไป อย่าฆ่าเขาเลย

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขาพบเจออะไรหลายอย่างจนรู้สึกว่าเพื่อนประหลาดของเจ้านายคนนี้ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องหวาดกลัว

"นั่นสินะ" เขาตอบรับง่ายๆ กลายเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้างุนงงใส่แทน "ผมไม่รักคุณ คุณไม่รักผม นั่นง่ายกับคุณมากกว่า"

ฝ่ายนั้นหัวเราะออกมา "ไม่คิดว่าฉันต้องการเรียนรู้ความรักก่อนตายหน่อยเหรอ"

เขามองใบหน้ายิ้มแย้มก่อนส่ายหัว "คุณไม่ได้ขาดความรักนี่นา"

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยก็แจกจ่ายความรักให้ฉันหน่อยไม่ได้หรือไง"

เขายังคงส่ายหัว "ผมให้รักไม่ได้ แต่ผมทำให้คุณได้อย่างหนึ่ง"

"?"

"ร้องไห้" เขายิ้มให้อีกฝ่าย "ผมเป็นคนอ่อนแอ...แต่คุณน่ะแข็งแกร่ง คนรอบตัวคุณก็มีแต่คนที่แข็งแกร่ง วันที่คุณตายไป พวกเขาอาจคิดถึงคุณ...แต่ไม่มีวันร้องไห้เพื่อคุณ ผมรักคุณไม่ได้ แต่ร้องไห้เพื่อคุณได้"

เฮยเสียจื่อมองเขา จากนั้นก็คลี่ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ "นั่นคือวิธีการขายของของนายงั้นเหรอ"

"จะขายของก็ต้องเสนอจุดเด่น...แต่ผมไม่ขายตัวเองให้คุณหรอก!"

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ขยับตัวมาโอบเขาไว้หลวมๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน

"มิน่า ร้านเจ้าของเก่านายถึงได้ยอดขายติดลบแบบนั้นน่ะ เหมิงเหมิง"


-7-

ลมหนาวของทางเหนือทำเขาต้องห่อกายด้วยความหนาวเหน็บ เขาจามออกมา

"กลางคืนเตียงฉันเย็นมาก อยากเข้ามาให้ความอบอุ่นหน่อยไหม" มีคนถามเขาแบบนี้

"ผมเป็นสัตว์เล็ก โดนคุณกินทีเดียวก็ตายแล้ว...เก็บผมไว้เล่นก่อนดีกว่าไหม" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนจามออกมาเป็นครั้งที่สอง

"เห...สัญญาว่าจะกินนายเบาๆ รับรองว่าไม่ถึงตายน่า"

เขาเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้ "เป็นสัตว์กินเนื้อที่รอเหยื่อเข้ามาหาเอง ขี้เกียจจังนะครับ"

เฮยเสียจื่อยิ้มให้เขา...เป็นรอยยิ้มอภิมหาชวนขนลุกขนพอง


-8-

"..."

"ถูกนายหาว่าขี้เกียจ ฉันเสียใจนะ"

"...ครับ ขยันมาก ขยันมากๆ พี่เฮย คุณเถ้าแก่เฮยขยันเป็นที่สุด" เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รู้สึกหมดแรงที่จะพูดอะไรแล้วจริงๆ ตอนนี้ร่างกายแห้งผากไปหมด จะน้ำอะไรก็โดนรีดไม่มีเหลือ โดยเฉพาะน้ำตา อีกฝ่ายล้อเลียนว่าเขามีดีแค่ร้องไห้ เพราะงั้นก็ขอทดสอบสินค้าเสียเลย

ตอนนี้เขาแสบตาไปหมดแล้ว ลืมตาแทบไม่ขี้นแล้ว จริงๆ ไม่ใช่แค่ตา ให้ยกนิ้วเขายังไม่แน่ใจเลยว่าจะยกขึ้นหรือเปล่า

"น้ำเสียงนายมันไม่จริงใจเอาซะเลย เจ้าของเก่าไม่ได้สอนหรือไงว่าถึงไม่พอใจยังไงก็ต้องเก็บสีหน้าท่าทางเอาไว้น่ะ" ว่าแล้วก็ดีดหน้าผากเขาดังป๊อก "คิ้วขมวดหมดแล้ว"

...การค้าที่ขาดทุนแบบนี้ ยังต้องเก็บสีหน้าด้วยงั้นหรือ เขานึกอยากโต้เถียงกลับ แต่หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดรัดเอาไว้ใต้ผ้าห่ม

"เตียงอุ่นแล้ว ดีจริงๆ"

...พรุ่งนี้เขาจะออกไปซื้อกระเป๋าน้ำร้อน!


-9-

ปักกิ่งเกิดพายุหิมะรุนแรง การจราจรเป็นอัมพาตไปทั้งเมือง

"ปิดร้านนอนก็แล้วกัน" เจ้าของร้านเอ่ยด้วยเสียงเนือยๆ

"อยากนอนก็นอน ลากผมมาด้วยทำไม"

"อื๋อ ไม่เอาน่า ก็เห็นนายชอบนอน เราก็มานอนกันเถอะ"

"แล้วถอดเสื้อผ้าผมทำไม!" เขารู้สึกว่าเส้นอะไรสักอย่างในหัวขาดดังผึง

"อุ่นเตียงก่อนนอนไง ฮึบ"

...พรุ่งนี้ต่อให้ออกไปแล้วแข็งตายอยู่ข้างนอก เขาก็จะออกไปซื้อกระเป๋าน้ำร้อน!




+++

END
18/11/2014







Talk Time:
คอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ยังไงก็ตามชื่อเรื่อง คือเขาไม่รักฉัน ซึ่งมาจากชื่อเพลง 他不爱我 http://www.youtube.com/watch?v=frq1dpY9E8M นี่แหละค่ะ เพราะงั้นก็เลยตีความตามชื่อเรื่องออกมาเป็นแบบนี้แหละเนะ ไม่ตรงกับเนื้อเพลงหรอกค่ะ ฮา (เผื่อใครอยากอ่านคำแปลนะคะ )

ในบรรดาคนทั้งหมด หวังเหมิงไม่ได้เรื่องที่สุด เพราะงั้นก็คงให้รักที่เข้มแข็งไม่ได้ ให้ได้แค่นี้แหละค่ะ

ตอนแรกว่าจะไม่ขึ้นเตียง หรือขึ้นก็คงอีกนาน แต่ไหนๆ ก็ขายหน้าไปกับแฮมทาโร่แบบสนุกสนานแล้ว ช่างมันเต๊อะ ช่างมันเต๊อะ ← ปลงได้ในสามสิบวินาที

อย่างที่เคยประกาศไปว่าจะเป็น Slice of Life (ที่แปลว่าเหมิงเหมิงโดนหั่นเป็นชิ้นๆ *เดี๋ยว*) เพราะงั้นก็คงเป็นช็อตไปเรื่อยๆ แหละค่ะ มีตอนจบที่อยากไปให้ถึงแล้ว แต่แวะเดินเล่นก่อน ฮา



วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][二环] After 9:45

 

"After 9:45"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 二环/2×O เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋ x เซี่ยเหลียนหวน)


**Spoiler Warning**


อู๋เอ้อร์ไป๋เพิ่งพบว่า 'ใบหน้า' ของน้องชายเป็นสิ่งที่นำความบันเทิงมาให้เขาได้ไม่น้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบโทรศัพท์ เลือกหมายเลขเดียวจากในสมุดบันทึก จากนั้นก็กดโทรออก

พักใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะยอมรับโทรศัพท์ เบอร์นี้เป็นเบอร์ส่วนตัว มีเพียงพวกเขาที่รู้กันแค่สองคน เกือบยี่สิบปีแล้วที่ไม่เคยถูกโทรออก ไม่คิดว่าละครตลกตรงหน้าจะทำให้เขายอมติดต่อคนที่เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่

ทันทีที่ได้ยินเสียงว่าปลายสายกดรับ เขาก็เอ่ย "คิดจะขู่ฉัน... ไอ้หลานคนนี้นี่มัน"

"..." ฝ่ายตรงข้ามยังคงเงียบ

"ถ้าเดาไม่ผิด คงคิดว่า 'คนใจแข็งอย่างอารอง ทนได้อย่างน้อยถึงนิ้วที่สาม'" อู๋เอ้อร์ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเจือขบขันขณะมองหลานชายที่กำลังสวมหน้ากากของน้องชายเขาทำหน้าเครียดมองมือซ้ายของตัวเอง

"ได้เวลากดจรวดนำวิถี ระเบิดหลานชายนายได้แล้วมั้ง" ในที่สุดปลายสายก็ยอมตอบเขา แม้น้ำเสียงจะฟังออกยากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูแล้วก็คงกำลังบันเทิงไม่แพ้เขา

...ก็แน่ล่ะ ภาพตรงหน้า ร้อยทั้งร้อย...ขอเพียงรู้จักอู๋ซันเสิ่ง ให้ใจแข็งเป็นหินอย่างไรก็ต้องอดหัวร่อไม่ได้

อู๋เอ้อร์ไป๋ยกชาขึ้นจิบ ก่อนเอ่ย "ปล่อยมันเลือกนิ้วก่อน จะข่มขู่ฉันทั้งที ดันเลือกมือข้างที่ไม่ถนัด แถมเล็งแต่นิ้วที่ไม่ค่อยได้ใช้ ความเด็ดขาดยังไม่ได้เรื่อง"

"หึ แล้วจริงๆ นายจะใจแข็งทนดูนิ้วของหลานชายได้งั้นเหรอ...ที่จริงแล้วอารองของเขาทนได้กี่นิ้วกัน"

ยามนี้ครึ้มอกครึ้มใจ อู๋เอ้อร์ไป๋อดหยอกไม่ได้ "เรื่องนั้นไม่รู้ รู้แค่กับนาย...ไม่ต้องถึงนิ้วที่สามก็ร้องครวญครางแล้ว"

แว่วเสียงสบถด่าเขามาตามสายโทรศัพท์ ดูเหมือนจะซึมซับนิสัยเสียๆ ของน้องชายเขามาจริงๆ

"ฉันจะวางสายแล้ว"

"เฮ้ ไม่เอาน่า ตอนนี้หลานชายกำลังวางมือบนเขียงแล้วนะ" เขาหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องมากดอัดคลิปวิดีโอ ภาพของอู๋ซันเสิ่งทำหน้าเครียด มือหนึ่งถือมีด อีกมือหนึ่งวางบนเขียง นับเป็นภาพที่น่าสนใจจริงๆ

"...นายนี่มัน"

"ยังไงนายก็กำลังเขียนจดหมายอธิบายเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวหลานชายจะเหลือแค่เจ็ดนิ้วไปฟรีๆ นะ"

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียด ตามด้วยเสียงกดโทรศัพท์ ก่อนกรอกเสียง "วางมีดลง มองมานอกหน้าต่าง"

อู๋เอ้อร์ไป๋รอให้อีกฝ่ายคุยจนจบ วางสาย ฟังเสียงหมอนั่นหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ จึงค่อยเอ่ย "พรุ่งนี้ฉันจะไปรับ"

ฝ่ายนั้นหยุดหัวเราะ ก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง "...ไม่ต้อง"

"ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ นายจะเล่นเป็นใครฉันไม่สน พรุ่งนี้หลังเก้าโมงสี่สิบห้า ฉันต้องการเซี่ยเหลียนหวนที่บ้าน"

"..."

"ฉันจะไปรับ" เขากล่าวย้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ชิงเอ่ยก่อนวางสาย "แล้วเจอกัน"

...หลังจากนี้ เราสามารถมีรักที่ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ได้ไหม?



หลังเก้าโมงสี่สิบห้า เปลวไฟเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน

เรื่องของหลานชายหลังจากนั้น เขาได้รับรู้ผ่านทางคนของเขาและพี่ชายที่โทรมาปรึกษาเรื่องลูกชายอาจจะอกหักครั้งยิ่งใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม ช่วงหนึ่งถึงขั้นกังวลว่าลูกชายอาจหนีไปฆ่าตัวตายสังเวยรักล้มเหลว เขาได้แต่ปลอบไปว่าหลานชายคนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าฆ่าตัวตาย ไม่ต้องเป็นกังวล

คนเป็นน้องชายเกือบหลุดปากไปหลายทีว่าขนาดจะตัดนิ้วข่มขู่เขา ลูกชายของพี่ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ทำหน้าเครียดมองมือตัวเองบนเขียง เลิกคิดเรื่องฆ่าตัวตายไปได้เลย

สุดท้ายเขาได้เจอหลานชายอีกครั้งตอนฝ่ายนั้นวิ่งมาขอคำปรึกษาเขาเรื่องการจัดการธุรกิจที่อาสามของเขาทิ้งเอาไว้ คนเป็นอารองจึงได้เห็นประกายในตาคู่นั้น

'พรากจาก' ...ดวงตาของหลานชายบอกเขา

สิบปี...อู๋เอ้อร์ไป๋เพียงแค่ยิ้มขัน

สิบปีเพียงแค่นี้...ตัวเขารอมาเป็นยี่สิบปี ยังไม่เคยปริปากบ่นใดๆ ช่างเป็นหลานชายที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

เอาเถิด...เวลาอันแสนยาวนานของหลานชายเพิ่งเริ่มต้น ส่วนของเขา ในที่สุดการรอคอยก็จบลง เดิมทีกำหนดของเขาไม่ใช่แค่สิบปี ยี่สิบปี แต่เป็น 'ไม่มีกำหนด' ตราบเท่าที่องค์กรนั่นยังอยู่ ภารกิจยังไม่จบลง พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ารอ

"ทุกอย่างจบแล้ว"

"อืม จบแล้ว"

ทุกอย่างล้วนส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ ชะตากรรมต่อจากนี้เป็นอย่างไร พวกเขาถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้พวกเขาสามารถตื่นเช้ารำไท่เก๊กด้วยกัน เดินหมาก ถกเรื่องราวในหนังสือวิชาการ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไป

เว้นเพียงอย่างเดียว...

"เหล่าเอ้อร์" คนที่ยืนหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของเขาชะงักเท้า ก่อนหันกลับมาส่งยิ้มให้

"หืม"

"...เดินเล่นด้วยกันสักหน่อยไหม"

เขามองอีกฝ่าย...แม้จะเป็นการ 'รับกลับ' แต่ก็ต้องใส่หน้ากาก เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่หน้ากากของอู๋ซันเสิ่ง แต่เป็นคนธรรมดาๆ ไร้ประวัติใดๆ ภายใต้หน้ากากหน้ามนุษย์ สิ่งเดียวที่สะท้อนความจริงคือดวงตาคู่นั้น เมื่อมองสบแล้วก็เข้าใจเรื่องราว เขาจึงตอบรับ "เอาสิ"

ความจริงก็คือ เรื่องราวจบลงแล้ว...แต่ใช่ว่าพวกเขาสามารถยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เหมือนเก่า ก่อนนี้ชีวิตของเซี่ยเหลียนหวนอยู่ภายในห้องใต้ดินอันอุดอู้เพื่อปกปิดร่องรอย ยามนี้แม้ได้อยู่ภายในตัวบ้านโอ่โถง แต่ก็ต้องเผชิญความจริงอย่างหนึ่ง

นี่เป็นเพียง 'กรง' แห่งใหม่

ดังนั้นเขาจึงเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ก่อนเดินเข้ากรงที่จะไม่มีวันได้กลับออกมาชั่วชีวิต เพียงแค่วันนี้ เพียงแค่ตอนนี้ ต้องการจะเดินบนท้องถนนเฉกเช่นคนธรรมดาบ้าง

"คนตายแล้วก็คือคนตายแล้ว ไม่อาจกลับมามีชีวิตได้" เซี่ยเหลียนหวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ

"ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัวผีดิบ"

"อย่าเอากีบลาดำมายัดปากกันก็แล้วกัน"

"เสี่ยวหวน ฉันไม่ทำอะไรน่าเสียดายแบบนั้นกับปากนายหรอกน่า...เฮ้ ทำไมเดินถอยไปซะไกลแบบนั้น กลับมา!"



หลังจากนั้น วันเวลาของพวกเขาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตเป็นไปตามปกติ พวกเขาไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องเก่า ทุกการกระทำคล้ายว่าช่วงเวลาที่แยกจากกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

เพียงแต่...มีหลายคืนที่คนข้างตัวของเขาตื่นเพราะฝันร้าย...สองมือสั่นสะท้าน เขาได้แต่กอดอีกฝ่ายไว้เงียบๆ อู๋เอ้อร์ไป๋รู้ดีว่าสิ่งที่คนในอ้อมกอดของเขาต้องการไม่ใช่คำพูดปลอบประโลมใดๆ

...นี่คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจไปแล้ว ได้เลือกลงไปแล้ว

มีครั้งหนึ่งฝ่ายนั้นถามเขาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย "ทุกอย่างจบหรือยัง"

เขานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบปฏิเสธ "ยัง"

ดวงตาตื่นตระหนกมองเขา อู๋เอ้อร์ไป๋เพียงคลี่ยิ้มมุมปาก เคลื่อนกายเข้าใกล้ แตะจูบปลอบประโลม

"เรื่องของเราเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น"

ท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงของฤดูใบไม้ร่วง สองร่างเพียงตระกองกอดกัน แลกเปลี่ยนไออุ่นจากร่างกาย

เมื่อวานผ่านพ้นไปแล้ว...วันนี้มีคนอยู่เคียงข้าง

พรุ่งนี้หรืออนาคตจะเป็นเช่นไรล้วนไม่สลักสำคัญ





+++

END
13/11/2014






Talk Time:

ตอนนี้กึ่งๆ ต่อกันนิดหน่อยจาก "กลเก้าห่วง" ค่ะ
จริงๆ ตอนแรกแค่จะล้ออู๋เสียบนเขียงค่ะ (เป็นฉากสุดประทับใจ) พอดีไปฟังเพลงมา จำชื่อไม่ได้แล้ว ประมาณว่า ถูกตัวเองลักพาตัว ตอนนั้นคิดว่าคนแบบไหนจะถูกตัวเองลักพาตัวกันฟะ ก่อนนึกออกอยู่หนึ่งชื่อ อะ...มีนี่หว่า ไอ้คนแบบนั้นที่วางแผนการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ (?) ตัวเอง -______-;;

ประจวบกับด้วงอีกนางเคยโยนมุก "นิ้วของอารอง" ให้ ฮว่า เอามาใช้ซะเลย

ตัวออริจินอล (ดราฟต์แรก) ไม่มีท่อนตรงกลาง แต่คิดว่าต่อให้กลับมาอยู่กับอารอง ก็ใช่ว่าจะสามารถมาเดินโชว์ตัวได้ สุดท้ายก็เป็น 'อีกกรง' เพียงแต่เราคิดว่าคราวนี้นกคงเต็มใจจะโดนขังกรงแหละเน้~

ส่วน 9 โมง 45 นาทีนี่เพราะไป...ไปทำอะไรสักอย่างมานี่แหละ ติดตา (ตัวจีน) ซะงั้น

แต่ไอ้เพลงถูกตัวเองลักพาตัวเนี่ย เนื้อจริงไม่ได้ติ๊งต๊องแบบคุณอู๋หรอกนะคะ แฮ่ม *ไปหามาเลยดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว*

อ๊ะ เจอเลี้ยว ลองไปดูใน เว็บนี้ ดูนะคะ จริงๆ แล้วคนที่เหมาะสมกับเพลงนี้น่าจะเป็นอาเซี่ยมากกว่านะ *หัวเราะ*

ต้องทำเรื่องที่ไม่ใช่ตัวเอง จนสุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่ลักพา 'ตัวเอง' ไป...ก็คือตัวเราเองนั่นแล

ช่วงนี้บ้าฟังเพลงจีนค่ะ (ฮา) เพราะทำรวมเล่มด้วยแหละน้า

เจอกันโอกาสหน้าค่ะ ทอล์คจะยาวกว่าเนื้อเรื่องแล้ว!