วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][瓶邪] Preview: hair 4

 

"hair"
ตอนที่ 4

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: เป็นพรีวิวของเรื่องยาวที่จะลงในเล่มค่ะ จะลงบนเว็บเฉพาะครึ่งแรกของเรื่องเท่านั้น ถ้าไม่กลัวค้างก็อ่านต่อได้เลยจ้ะ

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3

**Spoiler Warning**




ผมกำลังตะลึง ระหว่างนั้นก็โดนเขาฉุดลากฉุดจูงกลับเส้นทางเดิม เขาบอกผมว่าจะตัดผมเอง พฤติกรรมเช่นนี้แปลกประหลาดมาก เรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือจินตนาการของผมอย่างสิ้นเชิง ผมถามเขาว่าเขาตัดผมเป็นเหรอ (ไม่กล้าถามถึงเรื่องโกนหัว) เขาพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ผมไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะต้องให้คนความจำเสื่อมมาตัดผมให้ แต่ตัวผมตอนนั้นก็วิงเวียนมึนงงเกินกว่าจะโต้ตอบอะไรได้ หวังเหมิงดูตกใจที่พวกเรากลับมาเร็ว แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร เมินโหยวผิงดันตัวผมเข้าไปในห้องน้ำ

สีหน้าหวังเหมิงตอนเห็นเหตุการณ์ดูเหวอมากทีเดียว…คงไม่ได้ตีความไปในทางบ้าๆ หรอกใช่ไหมนั่น

รู้ตัวอีกทีก็มานั่งงงๆ อยู่บนเก้าอี้หน้ากระจกห้องน้ำร้านตัวเอง มีผ้าขนหนูคลุมไหล่ เมินโหยวผิงยืนถือกรรไกรอยู่ข้างหลัง มองแล้วรู้สึกจั๊กกะเดียมพิลึกพิกล นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน เมื่อครู่ยอดฝีมือในสุสานมานั่งเหม่อบนเก้าอี้เอนร้านผมก็ว่าขัดตาแล้ว ตอนนี้ยอดฝีมือคนนั้นกำลังยืนถือกรรไกรซอยเตรียมจะตัดผมให้กับผมเลยทีเดียว

พิลึก พิลึกสิ้นดี

แต่ผมก็ใช่จะมีทางเลือกมากมาย ถ้าไม่เข้าร้านทำผมก็เหลือแค่ทางเลือกนี้ หรือไม่ก็เรียกหวังเหมิงหรือนายอ้วนมาตัดผมให้...ไม่เอาดีกว่า เพราะฉะนั้นผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย



เมินโหยวผิงมือเบามาก ในทีแรกผมรู้สึกเกร็ง คิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดว่าคนมือหนักโหดดิบในสุสาน แม่งคงย่ำยีหัวผมกระจุยแน่ๆ ดีไม่ดีคนที่จะหัวล้านอาจกลายเป็นตัวผมเอง จะถอนตัวก็ไม่ทัน ผมถึงกับสวดไว้อาลัยให้ความหล่อของตัวเองในใจไปแล้ว แต่ก็พบว่าผมดูถูกจางฉี่หลิงมากไปหน่อย เขาใช้กรรไกรได้คล่องทีเดียว ท่าทางบางเบา เนิบช้า และระมัดระวัง เห็นแล้วก็คลายใจได้ในที่สุด มองเงาสะท้อนของเขาที่เคลื่อนไปมาในกระจกแล้วก็เพลินตาดี

เมินโหยวผิงฝีมือไม่เลว ก่อนหน้านี้เขามีความรู้เรื่องกลไกสุสานมากมายที่ผมไม่รู้ว่าเขาไปร่ำเรียนมาจากไหน วิชาตัดผมนี่ไม่รู้ว่าเป็นสุดยอดวิชาหนึ่งที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอด้วยอีกหรือเปล่า ในหัวผมคิดไปถึงทฤษฎีความทรงจำที่ตกค้างในอวัยวะคนอะไรเทือกนั้น เห็นได้ในซีรี่ส์บ่อยๆ ที่ว่าถึงจะไม่มีความทรงจำ แต่ร่างกายยังคงจดจำได้ เสี่ยวเกออาจเคยเป็นสุดยอดช่างตัดผมนักขุดสุสานมาก่อน ที่ทำอยู่นี่ล้วนมาจากสัญชาตญาณของสุดยอดช่างทำผมที่ฝังอยู่ในร่างกายทำให้ตัดผมเก่งโดยอัตโนมัติ คิดแล้วก็เข้าท่า สองนิ้วที่ยาวเป็นพิเศษของเขาอาจมีไว้จับปอยและซอยผมก็ได้ น่าเอาเรื่องนี้ไปลองหารือกับนายอ้วนดู

ผมคิดอะไรเพลินๆ มาสะดุ้งโหยงอีกทีตอนที่เขาจ่อหน้าเข้ามาใกล้ ดูเหมือนจะเริ่มขั้นตอนตัดผมหน้าของผมแล้ว

เชี่ย ใกล้ไป๊! พอเขาเห็นผมสะดุ้งพร้อมกับกลั้นหายใจดังฟื้ด เขาก็ผงะไปด้วย ดูเหมือนจะเผลอเข้าใกล้มากไปโดยไม่ตั้งใจจริงๆ

ผมรู้สึกขำ หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย จางฉี่หลิงขมวดคิ้ว ทำหน้าทำตาไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง คราวนี้เขาถอยออกไปอีกนิด เลือกยืนตรงหน้าผมพลางยื่นมือไม้เข้ามาจัดการอย่างเก้ๆ กังๆ แทน

เขายืนบังกระจกตรงหน้าผม  ย้ายตัวเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนองศาหลายที ขั้นตอนนี้ดูติดขัดมากมายนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ผมสงสัยว่าทำไม ลองคิดดูก็ตอบได้ไม่ยาก เพราะขั้นตอนการตัดผมของเมินโหยวผิงเมื่อเทียบกับช่างตัดผมมืออาชีพมีอย่างหนึ่งที่ขาดไป ไม่รู้ว่าเป็นหลักสูตรช่างทำผมประจำตระกูลที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอหรือเปล่า แต่แบบนี้มันประหลาดเกินไปจริงๆ

"เฮ้ย เสี่ยวเกอ" ผมเรียกพลางชี้มือไปข้างหน้า "ทำไมนายไม่มองกระจก"

เมินโหยวผิงชะงักและมองผม ผมพูดต่อ "ตัดเสร็จก็เงยหน้ามองในกระจกแทน จะได้ไม่ต้องก้มๆ เงย ๆ เดินอ้อมหน้าอ้อมหลังแบบนี้บ่อยๆ ไง" เพราะเขาไม่มองกระจก จึงทำให้พอจะตัดผมข้างหน้า ก็ต้องเดินอ้อมกลับไปกลับมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของทรงผมหลายที ยื่นหน้ามาทีก็ทำเอาผมผงะไปที รู้สึกน่ารำคาญใจมาก

เขาอ้าปากเหมือนจะตอบอะไร นิ่งค้างเหมือนครุ่นคิด แต่แล้วก็ส่ายหน้า บอกผมว่า "ไม่จำเป็น"

ส่ายหน้านี่หมายความว่าไงวะ? แล้วไม่จำเป็นคืออะไร? ผมงงหนักกว่าเดิม แต่เขาไม่ตอบผมแล้ว ก้มหน้าก้มตาง่วนกับการตัดผมโดยไม่มองกระจกต่อไป

ผมขมวดคิ้วมองภาพที่สะท้อนในบานกระจกตรงหน้า มีเพียงใบหน้าของผมที่จ้องกลับมา เมินโหยวผิงแทบไม่เงยหน้าขึ้นเลย รู้สึกประหลาด เหมือนเขามีปัญหาอะไรบางอย่างจึงเลี่ยงไม่มองไปในกระจก

พลันความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว บทสนทนาครั้งหนึ่งในชีวิตของผมกับเมินโหยวผิงที่เกินสี่สิบเอ็ดพยางค์นั่น



"คนอย่างฉัน หากหายตัวไปจากโลกก็ไม่มีใครรู้ เหมือนกับว่าฉันไม่เคยมีตัวตนบนโลกใบนี้มาก่อนเลย บางครั้งฉันส่องกระจกยังมักสงสัยว่าตัวเองมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ภาพลวงตาของใครสักคน"



โว้ย ไอ้บ้าเสี่ยวเกอ!

ผมเอื้อมไปคว้าจับมือเขาโดยอัตโนมัติ คิดแค่ว่าจะไม่ให้เขาหนีอีก ก่อนหน้านี้ผมโดนเขาหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามมาบ่อยมากเกินไป พอผมมีคำถามจะถามเลยต้องรีบจับตัวไว้ แม้รู้ว่าเขาในขณะนี้คงหนีหายไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ทั้งเพราะเขาไม่มีความทรงจำ ทั้งเพราะพวกเราเคาะกันแล้วว่าจะร่วมมือกันหาสืบหาภูมิหลังให้เสี่ยวเกอ อย่างไรเขาก็ต้องพึ่งพวกเรา ครั้นจะให้เขาหลบเลี่ยงหนีจากตรงนี้ ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่แล้วก็คงไม่มีทางไหนที่เข้าท่า จะให้กระโดดหนีลงชักโครกหรือก็คงจะเว่อร์เกินไป ถึงกระนั้นผมก็จับเขาเอาไว้แน่นอยู่ดี

มือที่จับกรรไกรของเขาหยุดชะงัก เห็นแววแปลกประหลาดใจระคนสงสัยปรากฏบนดวงหน้านิ่งเฉยนั้น

"เสี่ยวเกอ...นายไม่ชอบกระจกเหรอ?" ผมถาม

เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน ผมเองก็ไม่ยอมปล่อยมือ เราหยุดค้างในท่านั้นโดยที่ไม่ได้มองหน้ากันตรงๆ เขาก้มหน้ามองที่ผม ส่วนผมก็มองดูเขาผ่านบานกระจก เขาไม่กล้ามองกระจก ส่วนผมก็ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ

เขายังคงนิ่งเงียบ สีหน้ากลับไปนิ่งเฉยไร้อารมณ์ขณะให้คำตอบ "แค่ไม่มีความจำเป็น”

“ไม่จำเป็นอะไรของนายวะ พูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อย” ผมขมวดคิ้ว ตบตักตัวเอง ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อหันไปคุยกับเขาต่อหน้า แต่เขากลับใช้สองมือจับต้นคอผมไว้ กดตัวผมให้นั่งลงหันไปทางบานกระจกตรงๆ

"คนในนั้น นายเห็นใคร?" เขายืนอยู่ข้างหลังผม เอ่ยถามเสียงราบเรียบ ภาพที่ผมเห็นในกระจกตอนนี้คือตัวผมเองโดนเขาจับล็อกหลังคอกดขากรรไกรเอาไว้ นิ้วมือของเขาดันถูกใบหน้าของผม กลายเป็นผมกำลังนั่งทำแก้มตุ่ยใส่กระจกอยู่ โคตรผิดที่ผิดเวลา และเพราะเขาใช้สองมือจับคอของผมเอาไว้ มือผมที่กำรอบข้อมือของเขาอยู่ก็โดนลากไปแปะที่คอเช่นกัน ผมอยู่ในท่วงท่าประหลาดเช่นนี้ แต่ไอ้บ้าเมินโหยวผิงยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองกระจกอยู่ดี เขาก้มหน้าก้มตาตลอดขณะพูดคุยกับผม แบบนี้ขี้โกงนี่หว่า!

"เห็นเมิน...เอ้อ เห็นนายไง เสี่ยวเกอ จางฉี่หลิง" ส่วนอีกคนที่หล่อกว่านั่นชื่ออู๋เสีย

"สำหรับฉันเขาเป็นคนที่ไม่มีตัวตน เป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก เป็นใครก็ไม่รู้ ที่ยืนอยู่กับนาย" เขาตอบเสียงแผ่ว สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันตา ผมเกือบตามไม่ทันว่าเขาหายเอ๋อตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมอยู่ๆ ก็พูดจาจริงจังขึ้นมาก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ยังเหม่อๆ มึนๆ อยู่เลยแท้ๆ

หรือว่าความทรงจำเขากลับมาแล้ว!

ผมจึงลองทดสอบเขาดู "ก่อนหน้านี้นายก็เคยพูดแบบนี้กับฉัน" ผมลองเชิงดูก่อน เขาเลิกคิ้ว ดูท่าทางสนใจ สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้ ความหวังที่ผุดวาบขึ้นมาเมื่อกี้ว่าความทรงจำเขาอาจกลับมาแล้วร่วงหล่นหายต๋อมไป แต่ผมก็ยังจะพูดต่อ "ตอนนั้น นายพูดเองเออเองว่าเหมือนนายไม่มีตัวตน เหมือนเป็นภาพลวงตาของใครสักคน นายรู้สึกแบบนี้อยู่หรือเปล่า"

เขาไม่ตอบผม สัมผัสที่จับต้นคอยังคงแผ่วเบา กราบขอบคุณที่เขาไม่ใช่พวกไม่พอใจแล้วบิดคอผมกร๊อบในทันที ไม่เช่นนั้นผมคงไม่รอดแน่ ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดผมไปเตะตาปลาเขาอยู่หรือเปล่า ไอ้หมอนี่ยิ่งหน้านิ่งหน้าตายอ่านอารมณ์ไม่ออกอยู่ด้วย

เห็นเขาไม่พูดอะไรผมจึงพูดต่อ "นายไม่ได้ไม่มีตัวตนเสี่ยวเกอ แล้วนายก็ไม่ได้เป็นภาพลวงตาด้วย นายมีตัวตนยืนอยู่ตรงนี้ ที่ฉันจับมือนายอยู่" ผมบอกเขา "ถ้านายยืนอยู่คนเดียว มองกระจก นายอาจจะคิดว่านั่นเป็นคนที่นายไม่รู้จัก แต่ถ้านายอยู่ตรงนี้ เราจับมือกันไว้ อยากให้นายจำไว้ อย่างน้อยฉันก็รู้จักคนในนั้น"

เมินโหยวผิงเงียบไป เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ไม่มีท่าทีของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ปรากฏขึ้นในตัวเขา อึดอัดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าที่ผมพูดไปได้เข้าหูเขาบ้างไหม

ผมรู้สึกเซ็ง ไม่ชอบใจเลยจริงๆ ที่ผมตั้งอกตั้งใจพูดอยู่ฝ่ายเดียว เอ่ยออกไปแล้วไม่มีการตอบกลับแบบนี้ กว่าจะเค้นพลังพูดอะไรที่เป็นสาระทางจิตใจแบบนี้ผมต้องเค้นความใจกล้าหน้าด้านออกมามากโข ปกติผมเป็นบัณฑิตสายวิชาการ หลักการใดๆ มักต้องมีแหล่งอ้างอิง ต่อให้เป็นทฤษฎีที่เพ้อเจ้อที่สุดก็ยังต้องมีหลักขบคิดบนหน้าหนังสือ ไอ้บทพูดปลอบใจที่อาศัยการไหลไปตามอารมณ์เรื่อยๆ นี่ บอกตรงๆ ว่าโคตรไม่ถนัด พูดออกมาเองยังรู้สึกโคตรน่าอาย ผมไม่ใช่นักพูดปลุกกำลังใจเสียหน่อย

"อู๋เสีย" เมินโหยวผิงเรียกชื่อผม "เงยหน้าขึ้น"

ผมผงกหน้าขึ้นตามที่เขาบอก พบว่าเขากำลังมองผมอยู่ ผ่านกระจกบานนั้น

"เสี่ยวเกอ" ผมเรียกเขา มองดวงตานิ่งสนิทที่มองกลับมา ตัวจริงเขายืนอยู่ข้างหลังผม แต่ผมมองเห็นใบหน้าของเขาได้ผ่านเงาสะท้อน เพราะเขาเงยหน้าขึ้นแล้ว เงยหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่รู้ว่าเขามองกระจกแล้ว เราสบตากันผ่านเงากระจกบานนั้น มือของเรายังจับกันอยู่ เขาไม่แสดงสีหน้าใด แต่ผมรู้สึกว่ามือที่จับผมแน่นกระชับขึ้นเล็กน้อย

"แบบนี้ใช้ได้ไหม?" เขาถาม

ผมมองรอยยิ้มของตัวเองในกระจก ผมยิ้มอยู่ฝ่ายเดียว เขายังคงทำหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม ผมดีใจเหลือเกิน "ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม แบบนี้ใช้ได้ไหม เสี่ยวเกอ"

ผมบีบมือที่จับกับเขา แม้เขาไม่ตอบผม แต่ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว



×××

TBC: Part 5





Talk Time:

อะ ก่อนอื่นก็แปะเพลง~ ♬(ノ゜∇゜)ノ♩



ฮึ้ชชช ยังไม่จบ! ยังมีอีกตอนสำหรับที่ตัดมาลงเว็บ

ระหว่างเขียนเรื่องนี้เนี่ย มีจุดที่อยากแซวเสี่ยวเกอเต็มไปโม้ดดด เต็มไปหมดค่ะ 5555

จะว่าไปเนต้าส่องกระจกเนี่ย เงียบเหงาจังเลยเนอะ มีด้วงไทยหยิบมาเล่นน้อยกันจัง T v T (ส่วนด้วงจีนนี่ไม่แน่ใจ ยังไม่เคยเห็น แต่เราก็อาจจะขุดไม่ถ้วนเอง) ถ้าพูดถึงฉากโกลมุดหรือทะเลทรายโกบี คนจะนึกถึง "ถ้านายหายไปอย่างน้อยฉันจะรู้" หรือ "ฉันอยู่ข้างนาย" มากกว่าอะเนอะ

สำหรับเราแล้ว ท่อนที่เสี่ยวเกอพูดถึงตัวเองในกระจก ที่ว่าส่องกระจกไปแล้วเห็นเงาสะท้อนที่ไม่แน่ใจว่าใช่ตัวเองที่มีตัวตนจริงๆ ไหม เป็นท่อนที่รวดร้าวมากเลยค่ะ ฮือออ คนไม่มีความทรงจำที่แม้แต่มองภาพตัวเองยังไม่คุ้นเนี่ย ต้องเหงามากแน่ๆ เลย T____T แต่ถึงจะเหงาขนาดนั้น แต่ก็ยังเข็มแข็ง แล้วก็ปกป้องคนอื่นอีกหลายๆ คน (รวมนายน้อยด้วย) ได้เนี่ย สุดยอดเลยเนอะ นายน้อยได้แฟนดีจังค่ะ

ก็เลยคิดว่าเป็นจุดที่จะต้องเอามาเล่นให้ได้ค่ะ และแล้วก็ได้โอกาสเขียนถึงเสียที (ดีใจ)

หวังว่านายน้อยอู๋เสียจะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ขาดไปได้บ้างนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากพูดคุยที่หน้ากองไฟกับอู๋เสียตอนนั้น เสี่ยวเกอจะยังรู้สึกกับภาพตัวเองในกระจกแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนไปบ้างไหม โฮ คุณหนานไพ่ซานซูคะ กรุณาเขียนให้สองคนนี้จบแบบแฮปปี้เอนด์ร่วมกันทีเถอะค่ะ! ← ลากเข้าประเด็นนี้ตลอด

("มันเป็นมิตรภาพครับ!" เสียงหนึ่งลอยลมมา 5555)
 

เอาละ กลับเข้าโหมดงานขาย สำหรับรวมเล่ม ยังคงเปิดให้จองกันอยู่ เหลือเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์จะปิดจองแล้วนะคะ คาดว่าน่าจะไม่มีรีพริ้นต์ และคงพิมพ์เผื่อนอกเหนือจำนวนจองไว้ไม่เยอะ เพราะฉะนั้นถ้าใครพลาดรอบจองนี้ไป ท่านอาจพลาดไปตลอดกาลนะ งุงิ

รายละเอียดการจองรวมเล่มเผื่อใครอยากไปตามส่อง แฟนฟิคบันทึกจอมโจรแห่งสุสาน โดย ด้วงโกะ IronY Triangle 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" : จิ้มๆ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ9 ธันวาคม 2557 เวลา 08:03

    เห็นคำว่า มือเบามาก แล้วบังเกิดความฟินขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ด้วงนี่มันด้วงผิดประเด็นจริง ๆ เลยนะคะ ผู้ชายสองคนนี้หวานกันได้ทุกที่ทุกเวลาจริง ๆ ทะเลทรายเอย สุสานเอย ห้องน้ำเอย ก็ดีเหมือนกัน เสี่ยวเกอเข้าประตูไปไม่มีอะไรทำจะได้นั่งฟินกับความทรงจำย้อนหลังไปได้ตลอดสิบปี

    ตอบลบ