วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][吴邪+唐宋] Thanks

 

"ขอบคุณ (Thanks)" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (瓶邪 ผิงเสีย)
Note: ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตอนพิเศษ 2015 ออฟิเชียลของคุณหนานไพ่ฯ รบกวนแวะไปอ่านก่อนนะคะ


**Spoiler Warning**




ผมต้องขอบคุณเด็กคนนั้น

ถังซ่ง หรือไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอจะชื่ออะไรก็ตาม

ผมผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นหินโดยไม่รู้ตัว เวลาสิบปีขัดเกลาหัวใจของผมให้กลายเป็นด้านชา

วันเวลาสอนผมให้ต่อสู้วางแผน หากคิดจะงัดข้อกับพลังของสองตระกูลผู้เล่นกลควบคุมประวัติศาสตร์ มีแต่จะต้องทำตนให้แข็งแกร่งขึ้น ปกปิดจุดอ่อน ทำตัวให้ไร้หัวใจ

แววตาอย่างคนดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ของถังซ่ง คล้ายทำให้ผมระลึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง

สิ่งที่สำคัญมากๆ

สิ่งที่ผมอาจจะลืมหายไป



"เธอคิดว่าการมีชีวิตเป็นเรื่องที่ดีงามไหม?" ผมถามเธอ

มือบรรจงลูบบนศีรษะเด็กสาว ต้องใช้พลังมากมายในการควบคุมไม่ให้สั่นเทา

ผมบอกแผนการกับเธอ เมื่อได้รับฟังข้อแลกเปลี่ยนจากผม เด็กสาวพยักหน้า แล้วตอบ "ฉันทำได้"

การตอบรับของถังซ่งหนักแน่น ความกระหายการมีชีวิตอยู่ของเธอนั้นรุนแรง พลังใจของเธอเสียดแทงมากพอที่จะสะกิดปราการหินที่ห่อคลุมหัวใจของผมจนเกิดรอยแผล

เศษเล็กเศษน้อยคล้ายแตกออกหลุดล่อน แม้เป็นร่องรอยเพียงน้อยนิด แต่ก็พอให้แสงสว่างลอดผ่านเนื้อหินด้านชา เข้ามาถึงหัวใจอันแท้จริงที่ร้างราการสัมผัสต่อโลกภายนอกมานานแสนนาน

ผมมองส่งเสี่ยวฮัวที่แบกเธอออกไป ก่อนจะถอยกลับเข้าไปในความมืด บุหรี่ที่เพิ่งจุดยังไม่หมดมวน

ผมกลับไปยังห้องลับด้านบนระเบียงที่ถังซ่งใช้ซ่อนตัว แต่ละย่างก้าวล้วนรู้สึกหนักหน่วง มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกชาแปลบแล่นไปถึงหัวใจ

ที่ปลายแสงเล็ดลอด ผมรู้สึกราวกับเห็นใครคนหนึ่ง

ตัวตนแข็งแกร่งเย็นชาดุจหินผา ชายผู้เงียบงัน เรียบเฉย นิ่งสนิท เหมือนผืนทะเลสาบกระจกเงา เหมือนก้อนหินที่มีชีวิต ...แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่หินไปทั้งหมดจริงๆ

"ฉันจะช่วยเหลือแต่คนที่ไม่ยินยอมตายเท่านั้น หากคนคนนั้นมีสิทธิ์เลือกว่าจะตายหรืออยู่ แล้วยังเลือกความตาย ฉันก็จะไม่ยุ่ง" แว่วเสียงใครคนหนึ่งเคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้ว

วันนี้ผมเพิ่งได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ลึกซึ้งกว่าที่เคย



ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่หินไปทั้งหมดจริงๆ

เพราะแม้เงียบงันอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็ใส่ใจ



ผมจึงรู้ว่าหัวใจของผม ก็ไม่ใช่หินไปทั้งหมดจริงๆ เช่นกัน



+++

END
30/03/2015



#dmbjdaily 154 days left : ขอบคุณ (Thanks)



Talk Time:

ฟิคเดลี่ #DMBJdaily อันนี้เกิดจากความเสี้ยนค่ะ เรา อยาก อ่าน ฟิค ของ ตอนพิเศษ 2015!! 

...แต่คนเขียนน้อยจังเลย ฮือ *ลงไปนอนงอแงบนพื้น* ไม่มีใครเขียนเราเขียนเองก็ด้ะ! ตัวจีนหน้าตาไม่คุ้นที่ขึ้นในหัวเอนทรีนี้คือ อู๋เสีย + ถังซ่ง นะคะ ทีแรกเคยขึ้นเป็นผิงเสีย แต่อ่านไปมา เสี่ยวเกอโผล่มาแค่ในมโนแบบนี้ ใส่เป็นอู๋เสียกับถังซ่งแล้ววงเล็บผิงเสียเอาดีกว่า เลยขอแก้ชื่อบทความนะคะ (กลัวคนคาดหวัง 5555)

ก่อนอื่นต้องให้เครดิตต้นตอเชื้อหน่อแห่งความมโนจากภาพแฟนอาร์ตนี้ → Pixiv id 3314819 เลื่อนๆๆ ลงไปให้ถึงภาพสุดท้ายนะคะ ภาพนั้นแหละ! ภาพนั้นแหละ!

เราชอบมากค่ะ โฮววว ให้อารมณ์ว่านายน้อยกำลังเดินตามรอยเสี่ยวเกอเลย //w\\ ซึ่งจริงๆ มันอาจไม่ใช่เรื่องดี (หรือเปล่าหว่า...) แต่เรื่องก็มาถึงวันนี้แล้ว เราก็คิดว่านายน้อยเก่งขึ้น กร้านโลกขึ้น นอกจากนี้นายน้อยยังบอกเองในภาคตอนพิเศษสิบปี (สิบปีแล้ว) ว่าตัวเองกลับกลายเป็นหินโดยไม่รู้ตัว

แต่จาก ตอนพิเศษ2015 เราว่านายน้อยใจดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วค่อนข้างประทับใจสาเหตุที่นายน้อยตัดสินใจปล่อยถังซ่งไป คืออ่านวนไปวนมา รู้สึกว่าเท่มากๆ

แล้วพอกลับไปอ่านทวนเล่มสิบ (รอบที่อนันต์) อีกครั้ง...เฮ้ย ประเดี๋ยวก่อนสหายอู๋ นี่มัน...นี่มันคุ้นๆ นี่หว่า 55555

...ก็นั่นล่ะครับท่านผู้ชม นายน้อยเท่เหมือนใครเลยยย ไม่รู้น้อ~

ก็เลยทำให้อยากเขียนฟิคนี้ขึ้นมา เพื่อบอกว่า นายน้อยไม่ได้กำลังกลายเป็นหินไปจริงๆ หรอก เพราะนายน้อยยังมีคุณสมบัติเดียวกับที่นายเมินมี นั่นคือความใจดี ความใส่ใจ มันคือสิ่งเดียวกับที่นายน้อยได้รับจากนายเมินบ่อยๆ ทำให้นายก็รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่ก้อนหินใช่ม้า ประมาณนี้แหละค่ะ

โอ๊ย มันจุกอกค่ะ จุกในมิตรภาพ โฮ ท่องไว้ๆ มันคือมิตรภาพ


อันนี้แถมค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=fkzRnjfX_-Q

ฟังเพลงนี้ตลอดการเขียนฟิคเรื่องนี้เลยค่ะ

ส่วนคำแปล... แอบกระซิบว่า ด้วง L. แอบไปคุ้ยเจอบทแปลเพลงนี้ ที่นักแปลท่านหนึ่งเคยแปลลงบลอคเอาไว้เมื่อนานมาแล้วด้วยล่ะค่ะ แค่กกกกกกกกกกกกกกกกก *ไอหนักมาก* เพราะฉะนั้นก็ลองก็อปชื่อเพลงในคลิปไปเสิร์ชหาคำแปลดูนะคะ แค่กกกกกกกกกกกกกกกกก *ไอต่อเนื่องยาวนาน* แค่กกกกกกกกกกกกก

ด้วยรัก จากด้วง M.

[Daomu Drabble][瓶邪] Sorry

 

"ขอโทษ (Sorry)" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Super Spoiler Warning**

****มีเนื้อหา Spoiler เล่ม 10 ด้วยนะคะ อย่าลืมอ่านเล่ม 10 ก่อนน้าาา**  




ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง
ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากหลายต่อหลายครั้ง
ขอโทษที่ไม่เคยอธิบายให้เข้าใจ แล้วก็เดินจากไป

ขอโทษ...ที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกที่นายมอบให้ได้

ทั้งๆ ที่รู้ว่าสำคัญ และล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แต่กลับแสดงออกไปไม่ได้ . . .

รวบรวมคำขอโทษทั้งหมด บรรจุใส่ในการเดินทางครั้งนี้


ครั้งสุดท้าย เพื่อมอบทั้งชีวิต

แทนคำขออภัย



ต่อจากนี้นายจะไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว
ต่อจากนี้นายจะไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว
ต่อจากนี้นายคงเดินออกไปจากเรื่องราวนี้ได้อย่างปลอดภัย



มันควรจะเป็นเช่นนั้น



. . . ไม่คิดว่าลงจากรถ จะได้ยินเสียงเรียกนั้นอีก


คนคนเดิมยังคงตามมาจากข้างหลัง


ทำให้ตัดใจไม่ได้จริงๆ



+++

END
15/03/2015



#dmbjdaily 155 days left : ขอโทษ (Sorry)



Talk Time:

กลับ! มา! ตามคำเรียกร้อง! (ใครเรียกร้อง?) แล้วค่ะ ヾ(*´∀`*)ノ

แดรบเบิ้งอันนี้เป็น #DMBJdaily ที่เขียนเวิ่นเล่นส่วนตัวไว้ตั้งแต่วันที่ยังส่งเดลี่ทันกระโน้น~~~ *ลากเสียงยาว* มีลงในไว้ TwitLonger ตัวเอง กับในบอร์ดด้วย (เพราะฉะนั้นหากไปเห็นฟิคตอนนี้ ณ ที่อื่น อย่าเพิ่งวิ่งไปกระโดดเตะตัดก้านคอนะคะ ...นั่นเราเองค่ะ เราเอง 5555)

แต่ทีนี้ เราแอบมีโครงการจะเวิ่นต่อเป็นเซตตามจำนวนโจทย์เดลี่ที่ออกมาค่ะ พอเอาไปฟุ้งกาวให้สหายด้วง L. ฟัง สหายเลยบอกว่าให้เอามาลงในบลอครวมเลย ...ก็เลยเอามาลงในนี้ด้วย (ノ◕ヮ◕)ノ เสนอหน้าขัดจังหวะแม่นางกิเลนดื้อๆ เลยแบบนี้แหละค่ะ (/me โดนแม่นางกิเลนหน้าตายยืนข่มขวัญด้วยสองขาที่ยาวเป็นพิเศษ โทษฐานขัดจังหวะเข้าบ้านวันเปิดตัวคู่ครอง)

เรื่องนี้คือความรู้สึกที่ได้จากการอ่านเล่มสิบรอบที่อนันต์ รอบนี้อ่านด้วยฟีลเตอร์ฟุ (ที่หนาขึ้นเป็นพิเศษกว่ารอบก่อนหน้า) เพื่อค้นหาว่าทำไมประมุขหนานไพ่ซานซูถึงให้โอวาท (?) ว่า "ใช้ 'หนึ่งชีวิตของฉัน' แลกกับสิบปีอันไร้เดียงสาของนาย"

เราสงสัยมาตลอดเลย ว่าทำไมอะ ทำไมมันถึงหนึ่งชีวิตอะ!! น่าจะเป็นสิบปีแลกสิบปีสิ พออ่านอีกรอบแบบบิดฟีลเตอร์สุดพลังก็พบบางอ้อ ...มโนเองว่า ความตั้งใจตั้งต้น เสี่ยวเกอคงอยากใช้ "ทั้งชีวิต" เพื่อแทนที่อู๋เสียในประตูไปตลอดกาลแน่ๆ เลย (หมายถึงตอนก่อนที่จะมอบลัญจกร) เพราะทีแรกตอนมาลาที่หังโจวก็ไม่ได้บอกอะไร เรื่องสิบปีนี้เพิ่งมาพูดตอนที่นายน้อยตามไปถึงแถวประตูอะเนอะ ทีแรกสุดคงไม่คิดว่าจะบอกนายน้อยเรื่องให้รอสิบปีหรอก ก็มโนกาวฟุ้งดมถุงกาวจนออกมาเป็นแดรบเบิ้งเรื่องนี้แหละค่ะ ...โอ๋ๆ นะ เสี่ยวเกอนะ

ด้วยรัก จากด้วง M.

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 06: ขวัญเอย


 "006. ขวัญเอย"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

ระหว่างการขี่ม้ากลับบ้าน อู๋เสียครุ่นคิดอยู่ตลอดจนคล้ายเหม่อลอย รู้สึกตัวอีกทีก็ใกล้เข้าเขตตัวเมืองแล้ว เขาหยุดม้าหันไปพูดกับกิเลนที่วิ่งควบขนานกับม้าของเขามาตลอดทาง

"เจ้าหายตัวได้หรือไม่" เจ้ากิเลนยืนนิ่ง แม้ไม่เอ่ยคำ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขารู้สึกเหมือนมันกำลังขอคำอธิบาย

"ข้ามั่นใจว่าชาวบ้านแถบนี้ไม่เคยเห็นกิเลนตัวเป็นๆ มาหลายพันปีแล้ว เจ้าอาจทำให้คนขวัญอ่อนเป็นลมตายได้" อู๋เสียกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่เขายังไม่รู้เลยว่าจะพาว่าที่สะใภ้ไปแนะนำตัวกับมารดาอีท่าไหนดี

"อืม"

"อืม?"

"อืม"

อืมพ่อง! "ตกลงว่าเจ้าพรางร่างกายตัวเองได้หรือไม่ แม่นางกิเลน" อู๋เสียกัดฟันถามอีกรอบ

"ข้าจะลอง" มันพูดเพียงเท่านั้นแล้วยืนนิ่ง คุณชายน้อยนั่งมองจากบนหลังม้า เห็นมันยืนนิ่งไม่ขยับเป็นค่อนวันก็นึกโมโห กำลังจะขยับปากด่า หูพลันได้ยินเสียงบางอย่างเข้าก่อน

เสียงกร๊อบแกรบดังเป็นจังหวะพิลึกพิลั่นในอากาศ ประเดี๋ยวเบาประเดี๋ยวชัด คล้ายสัตว์ประหลาดร่างยักษ์กำลังเคี้ยวเหยื่อขนาดใหญ่ ใช้ซี่ฟันแข็งแรงบดขยี้กระดูกในปาก ไม่แยแสความเจ็บปวดของอาหารซึ่งยังไม่สิ้นสติดี

เขาเงี่ยหูเสาะหาต้นเสียง หันซ้ายขวาพักใหญ่จึงพบว่าดังมาจากข้างตัว

ตรงนั้นไม่มีแม่นางกิเลนผู้ยืนด้วยเท้ากีบทั้งสี่ข้างอีกต่อไป ข้อต่อที่เคยโค้งงอสวยงามถูกบิดจนเปลี่ยนรูป ลำตัวที่เคยขนานกับพื้น บัดนี้ตั้งตรงเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดา

สิ่งที่ปรากฏร่างอยู่ตรงนั้น คือแม่นางกิเลนผู้ยืนตัวตรงด้วยกีบเท้าหลังสองข้าง ใบหน้ายาวแบบสัตว์บัดนี้ลอยเหนืออู๋เสียที่นั่งบนม้าอยู่หลายคืบ ร่างนั้นเหยียดสูงจนสามารถบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ด้านหลัง กลายเป็นเงาดำทะมึนยืนชะโงกมองคุณชายน้อยแซ่อู๋อยู่กลางถนนในเขตเมืองร้าง


"......"

"...อู๋เสีย?"

"...ขอเวลาสักครู่ ขอข้าไปร้องไห้ด่าทอบรรพบุรุษก่อน แล้วค่อยมาคุยกับเจ้า"

"อืม"

อู๋เสียบังคับม้าให้หันไปทางตรงข้ามเพื่อความเป็นส่วนตัว เขารู้สึกหมดกำลังใจในการกลับบ้านแล้ว อยากร้องไห้หนักมาก ท่านแม่ช่วยข้าด้วย บุตรขอเป็นคนอกตัญญูได้หรือไม่ ข้าไม่อยากมีเมียที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!

เขาทำใจอยู่นานจนมั่นใจว่าสีหน้าตัวเองเป็นปกติแล้วจึงบังคับม้ากลับทิศเดิม หัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่เมื่อเห็นกิเลนด้านหลังยังคงยืนในท่าเดิมอยู่ ไม่รู้ว่าควรชื่นชมในความอดทนหรือควรกลัวอีกฝ่ายที่จ้องเขาเงียบๆ ราวกับสัตว์ร้ายจ้องเหยื่อ

เขาเป็นแค่บัณฑิตอ่อนแอ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีทางปกป้องตัวเองไหวแน่ เจอเรื่องแปลกพิลึกพรรค์นี้กับตัวเข้า ควรระแวงไว้ก่อนเป็นดี


"แม่นาง ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว การยืนสองขาไม่ทำให้เจ้ากลมกลืนกับมนุษย์หรอกนะ" ยิ่งน่าขวัญผวากว่าเดิมสิไม่ว่า "อย่างน้อยเจ้าก็ควรเป็นไก่ เป็นนก หรือไม่ก็มนุษย์ ถึงจะดูไม่ผิดกฏธรรมชาติ"

"เช่นนั้นเอง" มันยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่เสี้ยวอารมณ์หงุดหงิดที่ต้องยืนรอเขาอยู่นาน ทว่าความใจเย็นผิดธรรมดาเช่นนั้นกลับทำให้อู๋เสียรู้สึกระแวงมากขึ้น

"ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ลงมายืนสี่ขาก่อนเถิด อย่างน้อยมองจากระยะไกลก็ยังพอดูเหมือนกวางอยู่บ้าง" อู๋เสียให้เหตุผล กล่าวต่อว่าคืนนี้ช่วงฟ้ามืด อาศัยจังหวะที่ผู้คนเข้านอนหมดแล้วจึงค่อยเข้ารั้วบ้าน บ่าวรับใช้จะได้ไม่ตกใจจนขวัญบิน

เจ้ากิเลนรับคำแล้วค่อยๆ บิดร่างลงมายืนสี่ขาตามเดิม ครั้งนี้อู๋เสียได้เห็นทุกกระบวนการอย่างชัดแจ้ง ทั้งภาพทั้งเสียง เขาถึงกับวิตกว่าตนคิดดีแล้วรึไม่ที่สัญญาจะพาสิ่งมีชีวิตเช่นนี้กลับบ้าน บางทีมันอาจเป็นปีศาจสักชนิดบนภูเขาที่หวังล่อลวงมนุษย์หน้าโง่สักคนให้หลงเชื่อคำโป้ปด

หากเป็นเช่นนั้นจริง การพากิเลนตัวนี้เข้ารั้วบ้านอาจสร้างโศกนาฏกรรมเลือดขึ้น...ด้วยน้ำมือของเขาเอง




+++

TBC
24/03/2015






Talk Time:



แง จู่ๆ ก็เข้าโหมดเรื่องสยองขวัญซะงั้น 55555555555555 คนแต่งเสียสติค่ะ พยายามจะยัดทุกอย่างที่ชอบลงมาในฟิคเรื่องเดียวค่ะ 55555555555




กดจองด๋อยปู่แล้ว...ร้องไห้หนักมาก
ด้วง L.


วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 05: ยิ่งพิศยิ่งนึกรักเจ้า


 "005. ยิ่งพิศยิ่งนึกรักเจ้า"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

"ดูเหมือนข้าต้องเลือกระหว่างตายเป็นผีอกตัญญูหรือแต่งงานกับเจ้า ...นี่แทบไม่ใช่ทางเลือกด้วยซ้ำ" อู๋เสียขมวดคิ้ว ยืนพิจารณาว่าที่เจ้าสาวผู้แข็งแกร่งสง่างามผิดมนุษย์

กิเลนตรงหน้ามีร่างกายกำยำประหนึ่งอาชาขนาดย่อม เหนือลำคอยาวเพรียวคือใบหน้าค่อนกวางค่อนสุนัข น่าเอ็นดูอย่างประหลาดปนน่าเกรงขาม ทว่าผิวหนังทั่วตัวล้วนเป็นเกล็ดสีดำอมเขียวแบบอสรพิษ เมื่อต้องแสงแดดสามารถเปล่งประกายเหลือบทอง

รูปลักษณ์ชวนมอง ความแข็งแกร่งและกลิ่นไอน่าพรั่นพรึงถูกผสานลงตัวในสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ทว่าเขาไม่เคยนิยมสตรีที่เหมือนสัตว์พิสดาร แถมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากิเลนมีเกล็ดเพราะเป็นสัตว์น้ำรึเปล่า สีเขียวลางๆ นั่นอาจเป็นตะไคร่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าเขาต้องสละบ่อบัวหลังเรือนให้ว่าที่ภรรยานอนแช่น้ำกลางวันด้วยนะ

"ในเมื่อ 'กระดูกหลังมังกร' ในจดหมายคือเจ้า แล้วผู้เขียนอยู่ที่ใด เขาติดค้างคำอธิบายข้า ซ้ำยังหายหัวไปเกือบสองเดือน ท่านปู่เป็นห่วงจะแย่แล้ว" อู๋เสียแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการโบ้ยไปลงกับญาติผู้ใหญ่ของตนแทนก่อน

"เขาไปสถานที่ซึ่งเจ้าไม่ควรข้องเกี่ยว" มันตอบเพียงแค่นั้น แล้วปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใดอีกแม้เขาจะถามสักกี่หน อู๋เสียจึงตัดใจ ไม่เซ้าซี้ต่อ


ปฏิเสธตรงๆ ก็แล้ว หนีความจริงก็แล้ว ดูเหมือนเขาคงต้องยอมแพ้เพียงเท่านี้

"เช่นนี้ข้าคงต้องพาเจ้ากลับบ้านด้วยกัน" คุณชายน้อยลองหยั่งเชิง เจ้ากิเลนไม่ปฏิเสธอันใด หรือพูดให้ตรงกว่านั้น มันไม่มีปฏิกิริยาใดทั้งสิ้น คล้ายว่าเมื่อพูดเรื่องที่จำเป็นหมดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดอีก เพียงแค่ยืนนิ่งตรงนั้น...รอให้เขาไปสนทนาเกี้ยวพา...

อู๋เสียส่ายหน้า รู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตตัวเอง เขาต้องฝืนรสนิยมจากคนเป็นสัตว์กีบก็แย่พอแล้ว อีกฝ่ายยังไม่เอื้อให้เรื่องง่ายขึ้นเลย

"แม่นางกิเลน เจ้าชื่ออะไร"

"...ชื่อข้า...จะบอกเมื่อยอมตบแต่งกับเจ้า"

....โว้ยยยยย อีห่านี่!

ตลอดช่วงชีวิตยี่สิบหกปีของคุณชายอู๋เสีย ไม่มีครั้งไหนที่เขารู้สึกโมโหขนาดนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็โดนโยนลงใจกลางบ่อน้ำวนขนาดใหญ่ อะไรต่อมิอะไรถือโอกาสพากันประเคนใส่เนื้อตัวเขาในรวดเดียว หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น ทนเท่านั้น

คุณชายน้อยบ้านสกุลอู๋พยายามข่มกลั้นอารมณ์ ถามอีกรอบว่าในเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกันอีกนาน หากไม่มีชื่อเรียกคงไม่สะดวกนัก อีกทั้งยังเกี้ยวพาลำบาก เขาจึงควรมีคำเรียกอีกฝ่ายสักชื่อ

อธิบายเสียยืดยาว งวดนี้แม่นางผู้มีกีบยินยอมเอ่ยตอบเขาจนได้

"เอาที่เจ้าสบายใจ" ตอบแบบนี้ต่างอะไรกับไม่ตอบ! หืม!

"ได้" อู๋เสียกัดฟัน "ระหว่างนี้พวกเราไม่อาจห่างเกินสิบก้าว รบกวนแม่นางไปเป็นแขกที่บ้านข้าสักระยะแล้วกัน"

เจ้ากิเลนไม่เอ่ยสิ่งใด มันเดินไปทางต้นกุ้ยที่เขาผูกม้า อู๋เสียจึงต้องรีบตามไปด้วยเกรงว่าจะห่างเกินระยะที่กำหนด เดินไปครึ่งทางจึงเพิ่งรู้สึก ในมือยังกำหินก้อนหนึ่งไว้แน่นตั้งแต่เมื่อครู่ บทสนทนาไม่คาดฝันสร้างความตะหนกจนเขาลืมสนิท ไม่มีโอกาสได้ใช้ป้องกันตัว

อู๋เสียมองแผ่นหลังกิเลนที่เดินนำแหวกกอหญ้าสูงท่วมเอว หัวใจหนักอึ้งยิ่งกว่าหินในมือ

สิ่งมีชีวิตตรงหน้างามสง่าด้วยเท้าเพรียวระหงทั้งสี่ ศีรษะเชิดตรงราวกับตั้งใจอวดกิ่งก้านเขาด้านบน แผงคอสีดำประหนึ่งเส้นไหมชั้นดีพลื้วไสวตามจังหวะก้าวเดิน เกล็ดบนร่างสะท้อนประกายแดดวิบวับทุกการขยับ ทั้งเนื้อทั้งตัวแผ่รัศมีล้ำค่ายิ่งกว่าม้าชั้นเลิศที่เขาเคยมีวาสนาได้เห็น

เขามองกิเลนสลับกับหินในมือ พลางครุ่นคิด หากมีบุตรกับสิ่งมีชีวิตแบบนี้ได้จริง บุตรของเขาจะคลอดเป็นไข่หรือเป็นตัวกันแน่ หรือบางทีเขาควรใช้หินก้อนนี้กับหน้าผากตนเอง จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับความคิดพรรค์นี้อีก



+++

TBC
23/03/2015






Talk Time:


บางคนอาจสังเกตแล้วว่ามันเริ่มห่างไกลจากนิยายแนวย้อนยุคแล้ว... ค่ะ ตามนั้นค่ะ นี่คือแนวสุดแต่ใจจะไขว้ขา--- /ผิด! สุดแต่ใจจะไข่คว้า--- /ไม่ใช่! สุดแต่ใจจะไขว่คว้า!

/กรุณาเบลอการตบมุกอันเปลืองพื้นที่ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ บรรทัดบนไปนะคะ

อันที่จริงดำเนินเรื่องมาตั้งหลายตอน ยังไม่จบอินโทรเลย โฮ ตอนมันสั้นก็งี้ล่ะค่ะ แค่นี้ก็แต่งสองสามวันแล้ว.... *ร้องห้ายหนักมาก* 

ยังคงคอนเซปท์ว่าจะไม่อัพเดทลงทวิตจนกว่าจะมีชื่อเสี่ยวเกอโผล่ในแทค... ใครที่คิดว่าตัวเองตกข่าวก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ไม่ได้ประกาศ ฮือ อาย ขอแต่งให้พระเอกโผล่ก่อน แฮ่กกกกกกกกกก


ด้วยรักและปลาทู
ด้วง L.



วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 04: มีลาภเป็นสัตว์สี่เท้า


 "004. มีลาภเป็นสัตว์สี่เท้า"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 


กิเลนตรงหน้าเห็นมนุษย์น้อยไม่มีคำถามอันใดจึงเริ่มเล่าต่อ มันกล่าวว่าคืนนั้นรอจนผู้เฒ่าอู๋หลับสนิทแล้วจึงจำแลงกายเข้าไปพูดคุยกันในความฝัน เมื่อกล่าวถึงสิ่งแลกเปลี่ยน ฝ่ายนั้นกลับอ้ำอึ้ง ไม่ใช่พวกเขาอยากปฏิเสธ ทว่าหลานชายคนนี้เป็นทายาทสืบตระกูลคนสำคัญ

ตระกูลอู๋ฝั่งสายสกุลเขามีธรรมเนียมปฏิบัติสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง บุตรชายทุกคนจะแต่งเมียได้หนเดียวเท่านั้น ต้องเลือกคนเอง หย่าไม่ได้ ตายไม่ผ่อนผัน โชคร้ายที่ฮูหยินของอีฉยงผู้เป็นบุตรคนโตเคยเจ็บป่วยหนักอยู่หนหนึ่ง แทบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อหายดีกลับสูญเสียความสามารถในการตั้งครรภ์ไป

บุตรคนรองเอ้อร์ไป๋ก็ไม่มีทีท่าสนใจคุณหนูบ้านไหน ส่วนซานเสิ่งห่างไกลจากการแต่งงานเสียยิ่งกว่า อู๋เสียจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวในขณะนี้

หากหลานชายไม่สามารถแต่งสะใภ้เข้าบ้านเพื่อสร้างทายาทรุ่นถัดไปได้ สิ้นสุดสายเลือดกันเพียงรุ่นนี้ เกรงว่าพวกเขาทั้งบ้านตายไปก็ไม่พ้นตกนรกโทษฐานอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ

"ดังนั้นข้าจึงยอมเป็นสะใภ้แต่งเข้า" เจ้ากิเลนกล่าวหน้าตาเฉย น้ำเสียงราบเรียบสงบนิ่งประหนึ่งกำลังพูดคุยถึงเรื่องของคนอื่น

อู๋เสียตั้งใจฟังจนถึงจุดที่ทนไม่ได้อีกต่อไป เขากระแอมไอหนักมาก ในใจล้วนเต็มไปด้วยถ้อยคำสบถหยาบคาย

"เจ้า...เจ้าเป็นตัวเมียหรอกเรอะ!?" เขาตกใจแทบตายแล้ว! เสียงพูดนั่นฟังยังไงก็ไม่เหมือนสตรี!

บางทีเขาคงรวบรัดไปเองถึงได้ลืมตัวใช้มาตรฐานของคนมาเทียบกับสัตว์ แต่พอฉุกใจคิดอีกที นี่ไม่ใช่ต้องให้เขาไปจุดจุดจุดกับสัตว์ตัวเมียรึ!

"อย่าบอกนะว่าท่านปู่ยอมมีสะใภ้เป็นสัตว์ตัวเมีย ท่านคาดหวังให้หลานชายมีความสามารถสูงส่งถึงเพียงไหนกัน!" อู๋เสียรู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มพูดคุยกับกิเลนตัวนี้มา บทสนทนายิ่งเพิ่มความสิ้นหวังให้เขาขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ไม่เพียงเป็นลูกหนี้ชีวิต เขายังต้องแต่งกิเลนเป็นเมีย คบหาดูแลไปชั่วอายุขัย ทั้งยังต้องผลิตทายาทสืบสกุลกับเมียผู้ยืนด้วยเท้ากีบทั้งสี่ข้างอีกด้วย!

"ปู่ของเจ้ากล่าวว่า 'ชายหญิงแต่งงานควรมีใจปฏิพัทธ์' นี่เป็นคำสั่งของบรรพบุรุษ ห้ามฝ่าฝืน ดังนั้นจึงกำหนดให้เจ้าเกี้ยวพาข้าให้ได้ก่อนแต่งงาน"

"...ข้าคงฟังผิด รบกวนแม่นางพูดซ้ำอีกหนด้วย"

"อู๋เสีย" เจ้ากิเลนใช้ดวงตากลมโตสีดำสนิทของมันจับจ้องเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกนุ่มนวลเหมือนเคย "เจ้าต้องตามจีบข้า"


ช่วงนี้ย่างเข้าฤดูอวี๋สุ่ยสักพักแล้ว บางวันน้ำฝนจะลงเม็ด แต่ก็มีบ้างที่แดดออกฟ้าแจ้งไปตลอดวัน เช้านี้ท้องฟ้ามีเมฆหนา อู๋เสียกะด้วยความรู้สึกว่าฝนน่าจะตกภายในสองวัน สายลมที่พัดโชยแตะจมูกนำพากลิ่นดินชื้นมาด้วย ขณะนี้บรรยากาศดีมาก ไม่ร้อนไป ไม่หนาวไป ทว่าเหตุใดอู์เสียถึงรู้สึกหนาวเยือกจนตัวสั่นไปวูบใหญ่

"ข้า...ข้าควรต้องจีบกิเลนด้วยรึ"

สัตว์เทพเจ้าขยับใบหน้าขึ้นลงวูบหนึ่ง อาจแปลเท่ากับการพยักหน้าของมนุษย์ได้

"แล้วถ้าข้าไม่จีบ"

"ข้าก็แต่งกับเจ้าไม่ได้"

เช่นนั้นข้าควรดีใจมิใช่รึไง! อู๋เสียได้แต่คิด ปากกลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เจ้ายังสาวยังสวย รูปร่างก็แข็งแรงได้สัดส่วน น่าจะหาผู้ชายดีๆ สักคนมาแต่งงานด้วยได้ไม่ยาก" ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวข้า

คราวนี้สัตว์เทพเจ้ากลับถอนหายใจแรง "ข้าให้อู๋ซานเสิ่งตามเจ้ามาพบก็เพราะใกล้ถึงกำหนดแล้ว หลังจากวันนี้จนกระทั่งคืนงานแต่ง ถ้าข้าห่างจากเจ้าเกินสิบก้าว เจ้าจะตาย เช่นนี้แล้วเจ้าจะเกี้ยวพาข้ารึไม่"

น้ำเสียงมันไม่มีเค้าของการล้อเล่นแม้แต่น้อย ลมหนาวไร้ที่มาพัดวูบจนอู๋เสียตัวสั่น

เกี้ยวพาเจ้า?

...ถุย! อาศัยฐานะของคุณชายน้อยแซ่อู๋ เกิดมาข้ายังไม่เคยเกี้ยวสตรีสักคนด้วยซ้ำ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปตามเกี้ยวสัตว์กีบสี่เท้าให้แต่งงานด้วย! ตอบ!






+++

TBC
20/03/2015






Talk Time:




ค่ะ ชื่อที่แท้จริงของฟิคเรื่องนี้คือ "เจ้าสาวกิเลน" ค่ะ 55555555555+ แต่ใครจะเป็นเจ้าสาวยังไงท่าม้าแมวอะไรนี่ยังแต่งไม่ถึงค่-------แค่กๆ



สังคมอุดมกาว
ด้วง L.




วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 03: ไม่แต่งไม่ได้

 

 "003. ไม่แต่งไม่ได้"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

"เจ้า...เจ้า...เจ้า" อู๋เสียไม่เคยฝึกวรยุทธ์ แต่เรื่องเมื่อครู่ทำให้เขาสร้างสถิติก้าวถอยหลังได้เร็วที่สุดในชีวิต แผ่นหลังชนกำแพงเย็นเยียบในพริบตา มือหนึ่งกุมแก้มข้างที่โดนเลีย อีกมือก็ชี้หน้าผู้ถือวิสาสะสัมผัสใกล้ชิดเขา

กิเลนหน้าเหม็น! คู่ของเจ้ากับผีสิ! เจ้าสัตว์วิปริตผิดธรรมชาติ! อู๋เสียบริภาษยืดยาวในใจ เขาโกรธจนมือไม้สั่น ไหนเลยจะสามารถสางความคิดเรียงถ้อยคำเพื่อสื่อความหมายให้ตรงใจได้ ยืนพูดอยู่นานสองนาน ที่ออกจากปากล้วนคือคำสั้นๆ ว่า 'เจ้า'

"อู๋ซานเสิ่งยังไม่ได้เล่าหรือ?" กิเลนไม่เพียงไม่โกรธที่โดนมนุษย์น้อยแสดงท่าทีรังเกียจ มันยังทำน้ำเสียงฉงน เอียงคอพิเคราะห์อู๋เสียอย่างใจเย็นยิ่ง

...สมควรตาย! นี่ข้องเกี่ยวกับตาแก่ที่บ้านข้าด้วยรึ!

"ท่านอาสามควรเล่าอะไรให้ข้ารู้!?" ยามเลือดขึ้นหน้า อู๋เสียเกิดแรงฮึด เห็นช้างตัวเท่าหมู เห็นกิเลนตัวเท่าหมา แทบจะปราดเข้าไปจับคอสัตว์เทพเจ้าเขย่าให้พูด

"สมัยเด็ก เจ้าเคยเกือบตายแล้วหนหนึ่งเพราะโดนสาหร่ายพันข้อเท้าระหว่างว่ายน้ำ จำได้หรือไม่" มันเอ่ยตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง

อู๋เสียขมวดคิ้ว เหตุการณ์นั้นเขาจำไม่ได้ชัด แต่ใคร่ครวญแล้วรู้สึกคุ้นอยู่มาก บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุให้เขารู้สึกแย่ทุกครั้งยามมองทะเลสาบหรือบ่อน้ำที่ไม่สามารถเห็นข้างใต้ได้

"เจ้าถูกช่วยขึ้นมาได้ทัน แต่กลับไม่ยอมฟื้น ปู่เจ้านำลูกชายและสะใภ้ตระเวนกราบไหว้ศาลเจ้าทั่วเมืองอยู่หลายวัน จนมาถึงศาลบูชาของข้า กราบไหว้รูปสลักหินของข้า อธิษฐานว่าขอเพียงให้อู๋เสียฟื้น พวกเขายินดีทำทุกอย่าง ยินดีแลกด้วยทุกอย่าง..."

คุณชายน้อยแซ่อู๋รู้ว่าตนเองเป็นคนสำคัญของบ้าน แต่ไม่เคยตระหนักถึงความหมายแท้จริงของมันจนชั่วขณะนี้ สิ่งที่ได้ฟังทำให้เขาเกิดอาการปวดร้าวในอก ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าเช่นไร

อีกทั้งยังเข้าใจบางอย่างขึ้นมาในบัดดล ปกติท่านอาสามไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ต่อให้เวลาเจอพระสงฆ์องค์เจ้า แค่เขาไม่ชักสีหน้าหยามเหยียดใส่ก็ถือว่าสวรรค์ช่วยแล้ว ตาแก่คนนั้นไม่มีทางเล่าเด็ดขาดว่าเคยตระเวนไหว้เจ้ารอบเมืองกับคนทั้งครอบครัวอยู่หลายวัน...เพื่อเขา

ไม่พูดออกจากปากตนก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่คนอื่นในบ้านไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้เขาได้ยินแม้ครึ่งคำก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อู๋เสียเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางบางอย่างจากเรื่องที่กำลังฟัง

"เจ้าคงไม่ใช่ตอบรับคำขอนั่น...แลกกับอะไรบางอย่าง...เช่นตัวข้า?" เขากลั้นใจถามออกไป หวังเพียงได้ยินคำตอบกลับมาว่า 'ไม่ใช่' ทว่าน่าเสียดายที่คำตอบนั้นชัดเจนจนไม่ต้องรอได้ยินกับหู เขาถามทั้งที่คาดเดาบทลงเอยได้ น้ำเสียงที่ออกมาจึงเจือความสิ้นหวังเจ็ดส่วน ความตกตะลึงสามส่วน

กิเลนตัวนั้นจับจ้องเขาด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม หากแต่คราวนี้อู๋เสียรู้สึกเหมือนดวงตาดำราวกับบ่อน้ำไร้ก้นคู่นั้นกำลังมองเขาด้วยอารมณ์บางอย่าง จนใจที่อู๋เสียเคยแต่เลี้ยงสุนัข ไม่เคยเลี้ยงกิเลน จึงไม่รู้ว่าควรตีความสีหน้าเช่นนี้ว่าอย่างไร

"ถ้าข้าช่วยเจ้ากลับจากยมโลก เจ้าก็ถือว่าไม่ใช่คนของโลกนี้แล้ว ไม่นานก็ต้องโดนพาตัวกลับไปอีก มีแต่ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโลกอื่นเท่านั้นจึงจะทำให้อายุยืนยาวถึงทุกวันนี้ได้"

"ชะ เช่นนั้นให้ข้าเป็นบุตรบุญธรรมก็พอนี่" เพราะได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ช่วยชีวิตตนเอง หนำซ้ำยังหวังดีขนาดกลัวเขาจะอายุสั้น อู๋เสียจึงไม่กล้าตัดรอนเสียงแข็งเช่นทีแรก จำใจอ่อนข้อลงหลายส่วน

"ข้าเป็นตัวสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ ไม่มีแม้แต่คู่ จะมีบุตรได้อย่างไร" สิ่งมีชีวิตตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดขีด "เอาไว้เจ้าเป็นคู่ให้ข้าแล้วจึงค่อยรับบุตรเพิ่มได้" มันเสริม

อู๋เสียรู้สึกแน่นหน้าอกจนอยากกระอักเลือด กิเลนตัวนี้ตั้งใจพูดกวนหรือว่าแค่ทึ่มสุดขีดกันแน่ เจ้าให้ข้าเป็นคู่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งลอยๆ รึไง ไม่ต้องจัดงานแต่ง ไม่ต้องเข้าหอ แบบนั้นจะตำแหน่งไหนก็เหมือนกันล่ะเฟ้ย!




+++

TBC
18/03/2015






Talk Time:


ค่ะ ก็ยังคงกาวอย่างต่อเนื่องค่ะ ฮืออออ พักนี้ก็คงจะกาวไปเรื่อยๆ จนกว่ากระป๋องจะแห้ง *กระแอม* พอดีว่านานๆ ทีถึงจะปลุกไฟขึ้นมาได้ เลยถีบตัวเองมาแต่งให้มันเสร็จๆ ไปก่อนจะไฟมอดอีกรอบ...

/อยู่ในโหมดหนีความจริงว่าดองทีสิสไว้ขณะที่เพื่อนคนอื่นใกล้จะทำเล่มแล้ว..

/แต่ก็ยังอู้มาแต่งฟิคแทนที่จะไปทำงาน!

/อาสามน่ารักจุงเบย


ถังกาวหนักมาก แต่ถือไปนานๆ ก็วางไม่ได้แล้ว
ด้วง L.

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 02: ดวงตาใสซื่อคู่นั้น

 

"002. ดวงตาใสซื่อคู่นั้น"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



ไม่มีชาวจงหยวนผู้ใดไม่รู้จักกิเลน สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ถูกเชิดชูประหนึ่งเทพเจ้า มีอิทธิฤทธิ์เหนือฟ้าดิน จิตใจเมตตา เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์และกล้าหาญ

เพียงแต่...มันควรเป็นแค่รูปปั้นหินหน้าวัดมิใช่หรือ? คุณชายน้อยถามใจตัวเองดู พบว่ายากจะเชื่อได้ว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือเรื่องจริง ไม่ใช่เขาเหนื่อยจนเป็นลมแล้วฝันไป

"เจ้าทำอะไรอยู่ มนุษย์" สิ่งมีชีวิตที่หน้าตาคล้ายกิเลนราวกับแกะตรงหน้าพูดขึ้น

ไม่ถูกต้อง อันที่จริงมันคล้ายกิเลน มิได้คล้ายแกะ ถึงจะมีเขาเหมือนแพะก็ตาม มันก็ยังไม่ใช่แพะเช่นกัน อู๋เสียแก้คำผิดในใจตัวเองจนวุ่นวาย ไม่ยอมตอบคำถามเสียที สิ่งมีชีวิตที่คล้ายกิเลนตรงหน้าจึงเยื้องย่างกีบเท้าอันแสนสูงส่งเข้ามาหนึ่งก้าว ชะโงกหน้าเข้าใกล้จนจมูกแทบสัมผัสติ่งหูเขา เอ่ยถามด้วยคำเดิมอีกครั้งราวกับเวทนาสัตว์โลกตัวน้อยที่โง่งม ไม่ได้ยินคำพูดของมัน

ทั้งที่ใกล้ชิดจนแทบสัมผัสผิวกาย อู๋เสียกลับไม่รู้สึกถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ประหนึ่งร่างตรงหน้าเป็นแค่ภาพมายากลางฤดูร้อน ทว่าไอลมแผ่วเบาจากเสียงกระซิบริมหูกลับสลายความลังเลสงสัยจนสิ้น ภาพลวงตาไม่สามารถสร้างรสสัมผัสแบบนี้ได้ ร่างกายกำยำปกคลุมด้วยเกล็ดตรงหน้าเป็นของจริงแท้แน่นอน

"ข้...ข้าจะเข้าบ้านท่านอาสาม" คุณชายน้อยแซ่อู๋รู้สึกเหมือนสมองไม่ยอมทำงาน สุดท้ายจึงหลับหูตาพูดความคิดแรกที่ผุดเข้ามาในหัว

"ไยไม่ใช้ประตู" สิ่งมีชีวิตเจ้าของเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลยังคงกระซิบถามเขาในตำแหน่งเดิม ...เพ้ย! อู๋เสียลอบสบถในใจ รู้สึกมือเท้าชา เหมือนเลือดทั้งตัวต่างพากันวิ่งขึ้นมากระจุกที่ศรีษะ

เจ้ากิเลนสมควรตาย! ช่วยถอยออกไปยืนที่เดิมได้รึไม่! ข้าไม่ได้หูตึง!

"ประตูหน้าปิดตายล่ามโซ่ ข้าไม่มีกุญแจ จึงต้องเข้าทางประตูลับ" พูดไปเขาก็จัดการเพิ่มระยะห่างด้วยการถอยเองเสียสามก้าว ใบหน้าของฝ่ายนั้นจึงกลับเข้ามาในระยะสายตาอีกครั้ง อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทำเพียงจับจ้องมาด้วยดวงตาดำอันปราศจากตาขาวคู่นั้น

อู๋เสียประสานสายตากับมันพลันพบเรื่องประหลาดใจ เมื่อแรกเห็นเขารู้สึกว่าดวงตาคู่นี้น่ากลัวนัก ดำสนิทราวกับบ่อน้ำไร้ก้นซึ่งแอบซ่อนบางสิ่งไว้ในความมืด เป็นบ่อน้ำซึ่งกลืนกินชีวิตคนนับไม่ถ้วนในนิทานก่อนนอนของท่านปู่ ทว่าเมื่อพิจารณายามที่สติเขาครบถ้วนสมบูรณ์ กลับพบว่าดวงตาดำสนิทตรงหน้าช่างดูไม่ต่างกับกวางป่าตัวน้อยกำลังจ้องมาด้วยความอยากรู้อันใสซื่อ อู๋เสียรู้สึกว่าบางทีตนอาจลองเจรจากับมันได้เหมือนอีกฝ่ายเป็นมนุษย์จริงๆ

"เจ้าเป็นกิเลนตัวจริงหรือ" เขาลองเปิดบทสนทนาด้วยคำถามที่โง่เขลาที่สุด

"ข้าถูกเรียกเช่นนั้น" มันตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง

"เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้าไม่ใช่สมควรเป็นรูปปั้นหินประดับหรอกรึ" คำถามที่สองยิ่งโง่เขลากว่าเดิมเสียอีก ทว่าด้วยสติของมนุษย์ที่กำลังเผชิญเรื่องซึ่งค้านความเชื่อตลอดชีวิตของเขาอยู่ สิ่งที่อู๋เสียทำก็ไม่นับว่าแย่เกินไป

"ข้าไม่ใช่รูปปั้นหิน ข้ามาที่นี่เพื่อรอคอย" กิเลนยังคงตอบด้วยอารมณ์เยือกเย็น ไม่ถือสาว่ามนุษย์ผู้หนึ่งเพิ่งจะพูดจาดูหมิ่นมัน

"รอคอย? รอคอยสิ่งใด" อู๋เสียเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว

อันที่จริงคุณชายน้อยผู้นี้ แต่ไรมาก็แสนจะถนอมร่างกายตัวเองยิ่งกว่าอะไร ทว่าน่าเสียดายที่ลูกโคแรกเกิดย่อมไม่กลัวพยัคฆ์ เขาเป็นทารกน้อยแสนฉลาดที่ถูกเลี้ยงมาดีเกินไป สุดท้ายจึงโตมาเป็นบุรุษผู้ทนเรื่องค้างคาใจมิได้ อย่างไรก็ต้องหาทางสนองความต้องการของตัวเอง...จนไม่ตระหนักถึงอันตรายที่อาจตามมา

คำถามนี้เองก็เช่นกัน หากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่อุตริถามออกไป...แม้ผลลัพท์อาจไม่ต่างกันเลยก็ตาม

"คู่" กิเลนตรงหน้าพูดแค่คำเดียวสั้นๆ แน่นอนว่าคุณชายผู้เอ่ยคำถามโง่เขลาออกไปถึงสองรอบติดกันย่อมไม่มีทางเข้าใจ กิเลนผู้ตอบก็เหมือนจะรู้จากสีหน้าขมวดคิ้วของมนุษย์น้อย จึงเอ่ยขยายความให้

"คู่ของข้า คือเจ้า" มันพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาเลียแก้มอู๋เสีย

เขารู้สึกถึงลิ้นอุ่นร้อนที่ลากไล้ผิว สัมผัสแผ่วเบานั้นให้ความรู้้สึกสากราวกับลิ้นแมว

...มารดามันเถอะ!!!



+++

TBC
17/03/2015






Talk Time:


*ฟืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด*

ค่ะ กาวค่ะ กาวล้วนๆ 5555555555555555555555555555555555

คิดว่าตั้งกะตอน 2 เป็นต้นไป จะพยายามแต่งให้ไม่ยาวมาก จะได้ลดความขี้เกียจ ; q ; คิดซะว่าตอน 1 ที่ยาวๆ นั่นคือเป็นตอนเปิด เลยได้เพิ่มโควต้าหน้าเยอะพิเศษแบบการ์ตูน JUMP เวลาขึ้นซีรีส์ใหม่ไปแล้วกันนะคะ *เก็กขรึม*


ด้วยรักและถังกาว
ด้วง L.

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 01: คุณชายแซ่อู๋

 

"001. คุณชายแซ่อู๋"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

หากพูดถึงคนดังในเมืองหลินอัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชื่อบุรุษบ้านสกุลอู๋โผล่ขึ้นในบทสนทนา อันดับทั้งด้านดีและร้ายล้วนถูกคนบ้านนี้ยึดครองตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น

เริ่มจากอู๋เหลาโก่ว เจ้าบ้านคนปัจจุบันที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญด้านสัตว์ ว่ากันว่าสุนัขที่ผ่านมือผู้เฒ่าอู๋ล้วนแต่เฉลียวฉลาด ดุร้ายและแข็งแกร่งเท่าทหารหาญห้าสิบคน หากผู้ใดอยากครอบครองสุนัขชั้นเลิศสักตัวย่อมต้องนึกถึงสุนัขของผู้เฒ่าอู๋ ถึงขั้นเดินทางข้ามแคว้นเพื่อมาซื้อลูกสุนัขจากบ้านท่านผู้เฒ่าก็เคยมีมาแล้ว

คนถัดมาคืออู๋อีฉยง คุณชายใหญ่ผู้สนใจแต่เรื่องธุรกิจค้าขายและสิ่งปลูกสร้าง ผู้คนต่างกล่าวว่า ที่สมบัติพัสถานสกุลอู๋เพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าในเวลาไม่กี่สิบปี ก็เพราะความสามารถของเขา

ตามด้วยคุณชายรองอู๋เอ้อร์ไป๋ บัณฑิตหนุ่มมากความสามารถผู้รับหน้าที่ดูแลสกุลอู๋แทนบิดาตั้งแต่อายุเพิ่งย่างเข้าวัยรุ่น หากไม่เพราะเหล่าแม่สื่อต่างพ่ายแพ้ต่อฝีมือปฏิเสธของคุณชายรองหมดทั้งเมืองไปนานแล้ว คาดว่าป่านนี้บันไดหินหน้าบ้านสกุลอู๋คงสึกหายไปหลายหุน [1]

ยังมีคุณชายสามอู๋ซานเสิ่งผู้เกเรผิดกับพี่ชาย เขาทำหมดทุกอย่างตั้งแต่แย่งขนมเด็ก เตะหมา ท้าผู้หญิงต่อย สอยคนแก่ รังแกคนท้อง เป็นคุณชายผู้มีชื่อเสีย(ง)ที่สุดในหลินอัน อาจพูดได้ว่าถ้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงคุณชายสามสกุลอู๋ ก็ไม่นับว่าถึงหลินอันแล้วจริงๆ

และคุณชายสามผู้นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...



- ห้าสิบวันหลังจากคุณชายสามกลับบ้านหนสุดท้าย -


"...เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ท่านอาสามหายตัวไป?" บุรุษผู้นั้นทวนคำรายงานของลูกน้องอีกรอบ ในใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้สิบร้อยพันประการ

"ขอรับ คุณชายรองฝากจดหมายมาถึงคุณชายน้อยหนึ่งฉบับ กำชับว่าต้องมอบให้ถึงมือเท่านั้น"

พอเขาเอื้อมมือไปรับจดหมาย เด็กรับใช้ของเรือนหลักก็ขอตัวกลับทันที ...น่าสงสัยอย่างยิ่ง! เขาถึงกับเกิดลางสังหรณ์บางอย่างในใจ ไม่อยากเปิดอ่าน เสียแต่ว่าจดหมายหรือถ้อยคำของท่านอารอง เขาผู้เป็นหลานชายอาจเกรงกลัวได้แต่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

‘ท่านอาสามหายตัวไปแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย!’

บุรุษหนุ่มฮึดฮัดโวยวายอยู่ในใจเมื่อคิดถึงน้องสามของบิดาตน สังหรณ์ร้ายในใจพยายามสั่งให้เขาเผาของอัปมงคลในมือทิ้ง แต่เพราะไม่ใช่เด็กแล้วเขาจึงรู้ดีกว่านั้น กระดาษเผาได้ คำสั่งยังอยู่ ชะตากรรมนี้จะอย่างไรก็ต้องทนรับ

จนเมื่อเขาแกะครั่งผนึกออกแล้วกางกระดาษอ่านข้อความนั่นล่ะ อาการร้อนรนจึงหายสิ้น สีหน้าเยียบเย็นขึ้นสิบหน่วยในฉับพลัน

“อู๋เสีย ข้าฝากกระดูกหลังมังกรไว้กับเจ้า ดูแลให้ดี ลงชื่อ อาสามผู้หล่อเหลาของเจ้าเอง…กับผีน่ะสิ!” เขาสบถเสียงดัง เผลอกำกระดาษจดหมายแน่นจนยับย่นคามือ

ตาเฒ่านั่น! เขารู้ว่าข้าจะไม่เปิดอ่านจดหมายของเขาแน่ๆ คราวนี้ถึงกับใช้เล่ห์กลอ้างชื่ออารอง เพราะรู้ว่ายังไงข้าก็ไม่กล้าไม่เปิด ชั่วช้าสิ้นดี!

ทันใดนั้นอู๋เสียจึงนึกได้ถึงเรื่องที่ทำให้ตนหนังตากระตุกยิบมาตั้งแต่เมื่อครู่ ...เจ้าเด็กส่งจดหมายนั่นกลายเป็นพยานเสียแล้ว! คราวนี้ต่อให้เผาจดหมายทิ้งก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด อู๋เสียได้แต่สบถว่าตัวเองพลาดท่าครั้งใหญ่จนได้

สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะระบายความคับข้องใจนี้ที่ไหน คุณชายน้อยสกุลอู๋จึงขยุมกระดาษในมือแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นหน่อย ใจก็คิดว่าของในมือเป็นตาแก่มากเล่ห์ผู้มักเอาเรื่องปวดกบาลมาให้เขาอยู่เนืองนิจ

กระดูกหลังมังกรกับผี! ตั้งแต่เขาสืบทอดร้านคัดอักษรเล็กๆ ที่เป็นงานอดิเรกของท่านปู่ ท่านอาสามก็มักชวนเขาเที่ยวเตร่ ทว่าแปดในสิบมักทิ้งให้เขาจ่าย หนี้ทุกชั่งทุกตำลึงอู๋เสียยังจดลงม้วนกระดาษไว้ รอวันไถ่ถอน หากคลี่ออกตอนนี้ก็อาจยาวจนพันรอบกำแพงเมืองได้แล้ว ‘กระดูกหลังมังกร’ ดังกล่าวก็คงไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนของเขาอีกประการ

ยิ่งครุ่นคิดยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง หลังเผาเศษกระดาษจนกลายสภาพเป็นขี้เถ้าเรียบร้อย อู๋เสียรีบเดินจ้ำไปคอกม้า ระหว่างทางเห็นเด็กรับใช้กำลังกวาดพื้นอยู่ จึงฝากคำสั่งไปยังพ่อบ้านว่าเขาจะไปบ้านท่านอาสามเสียหน่อย ใครมาหาให้บอกปัดทั้งสิ้น

ประตูบ้านของอู๋ซานเสิ่งยังคงปิดตายเงียบกริบ ขื่อคานถูกทิ้งร้างนานจนหยากไย่ขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเล่ห์กลของคุณชายสามสกุลอู๋ ท่านอาสามของเขา

อู๋เสียควบม้าไปกำแพงด้านหลัง ผูกเชือกล่ามม้าไว้กับต้นกุ้ยที่ดูแข็งแรง จากนั้นก็มองหาประตูลับที่เจ้าของบ้านเคยชี้บอกในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนหลายปีก่อน

ก่อนหน้านี้หลายปี อู๋ซานเสิ่งทำตัวเป็นอันธพาลหัวไม้เสียจนทางบ้านยื่นคำขาดกับเขา คุณชายสามสกุลอู๋จึงประกาศแยกตัวออกจากเรือนใหญ่ จากนั้นก็หายสาบสูญไปหลายปีก่อนกลับมายังหลินอันพร้อมลูกน้องกลุ่มหนึ่ง เกวียนสัมภาระของพวกเขาบรรทุกหีบกลับมาหลายใบ ทุกใบล้วนปิดกุญแจล่ามโซ่แน่นหนา จากนั้นเขาก็กว้านซื้อที่ดินราคาถูกท้ายเมืองซึ่งเป็นย่านชุมชนของคนยากจน สร้างคฤหาสถ์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นมาหลังหนึ่ง

ทีแรกชาวบ้านต่างพากันซุบซิบถึงของในหีบที่พวกเขาบรรทุกไว้บนเกวียน ลากอวดไปทั่วเมือง บ้างว่าเป็นเงินทองจากการปล้นชิง บ้างว่าเป็นอัญมณีและผ้าไหมที่เขาค้าขายได้มา ทว่าเมื่ออู๋ซานเสิ่งเริ่มปลูกเรือนของตนไปสักระยะ ชาวเมืองก็พบกับปริศนาชวนให้ว้าวุ่นใจยิ่งกว่าเรื่องของวัตถุในหีบ

คฤหาสถ์ของคุณชายสามสกุลอู๋มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตั้งอยู่ส่วนท้ายของที่ดินซึ่งไกลจากตัวเมืองที่สุด ทั้งที่มีเงินกว้านซื้อที่จนอาณาบริเวณกว้างกว่าเรือนหลักสกุลอู๋หลายเท่าตัว แต่รอบด้านกลับปล่อยทิ้งเป็นพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ ส่วนใดเคยเป็นที่นาก็ปล่อยไว้ ส่วนใดเป็นเรือนเจ้าของที่เดิมก็ปล่อยไว้ ไม่แตะต้องอะไรทั้งสิ้น มีเพียงบางส่วนที่ถางหญ้าปูแผ่นหินเพื่อทำทางเดินจากประตูรั้วสู่ตัวเรือน

ถ้าเพียงแค่นั้นผู้คนอาจพอคิดได้ว่าคุณชายสามคงหมดทุนรอน ไม่เหลือค่าจ้างให้ช่างแล้ว ไม่ก็วางแผนปลูกพืชหรือเผื่อพื้นที่ไว้สร้างเรือนอื่นภายหลัง ทว่าสิ่งที่สร้างความค้างคาใจให้เพื่อนบ้านร่วมอาณาเขตท้ายเมืองอย่างแท้จริงคือการสร้างกำแพงหินที่สูงกว่าผู้ชายตัวโตๆ ถึงสองเท่าไว้รอบพื้นที่รกร้างทั้งหมดที่เขากว้านซื้อไว้ ราวกับต้องการปิดบังความลับบางอย่าง

อยู่ใกล้เพื่อนบ้านซึ่งดูมีลับลมคมในอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครก็ต้องกังวล แถมเจ้าของบ้านดังกล่าวยังเป็นอันธพาลคนดังของเมืองซึ่งอยู่ๆ ก็ร่ำรวยกะทันหัน ทั้งยังพากลุ่มคนหน้าตาราวกับโจรป่าติดสอยห้อยตามมาด้วย ทุกอย่างช่างชัดเจนเสียจนไม่ต้องพิจารณาให้นาน คนโง่ที่สุดในเมืองยังรู้ว่าขาดแค่แขวนป้าย ‘ซ่องโจร’ ไว้เหนือประตูเท่านั้น

สุดท้ายชาวบ้านยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้กำแพงหินของอู๋ซานเสิ่งก็ทยอยย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันหมด ย่านท้ายเมืองจึงเต็มไปด้วยเรือนร้างสภาพซ่อมซ่อ

พื้นที่ส่วนกำแพงหลังบ้านอู๋ซานเสิ่งติดกับตีนเขา สุดสายตาซ้ายขวาคือพื้นราบเล็กๆ ก่อนกลายเป็นเนินลาดขึ้นเขา

แม้อู๋เสียจะเคยนอนค้างที่เรือนของท่านอาสามหลายหน แต่เขาเคยมาบริเวณนี้แค่สองหนเท่านั้น ครั้งแรกคือวันที่ท่านอาสามพาเขามาดูประตูลับด้านหลัง ส่วนอีกครั้ง เขาเป็นฝ่ายแอบมาเองคนเดียว

อู๋เสียยังจำวันนั้นได้ดี รอบตัวเขามีแต่หญ้าป่างอกสูงราวกับท้องทะเลสีเขียว แต้มประกายด้วยสีม่วงสดของดอกหญ้า เป็นวันที่ทำให้คุณชายน้อยสกุลอู๋ได้ความรู้ใหม่ แท้จริงแล้วต้นหญ้าใต้ฝ่าเท่าก็สามารถเติบใหญ่จนสูงเลยหัวตนได้ อีกทั้งยัง...

อู๋เสียสะบัดหน้า รู้สึกเหมือนครุ่นคิดฟุ้งซ่านไม่เข้าเรื่อง เขาแหวกกอหญ้าริมกำแพงครู่หนึ่งถึงเจอ ‘ประตูลับ’ ที่กำลังตามหา

เมื่อเขาตั้งใจพิจารณาประตูลับตรงหน้าก็เผลอตัวขมวดคิ้ว ความรู้สึกเมื่อตนโตขึ้นแล้วมาเห็นอีกทีช่างต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง หากจะให้อธิบายถึงลักษณะของสิ่งนี้ พูดให้สวยหรูคือทางเข้าอันเกิดจากการกร่อนของดินหินตามธรรมชาติ แต่หากพูดแบบชาวบ้าน...

สิ่งนี้ก็คือ ‘รูหมาลอด’ ดีๆ นี่เอง

ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้หางตากระตุก สุดท้ายอู๋เสียก็ได้แต่บ่นงึมงำในใจคนเดียวระหว่างย้ายกองหินออกจากร่องแตกของกำแพง

ความจริงแล้วสิ่งนี้ไม่ควรผ่านมาตรฐานประตูลับไม่ว่าของสำนักไหน แต่เพราะสภาพแวดล้อมซึ่งด้านหนึ่งคือลานดินที่เต็มไปด้วยหญ้าสูงท่วมเอวเขา งอกปกคลุมทุกพื้นที่แทบทุกฤดูกาลราวกับใส่ปุ๋ยบำรุงชั้นดีไว้ อีกด้านคือกำแพงหินสูงล้ำ ไร้ร่องรูหน้าต่างหรือช่องวางคบไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนกำแพงคุกก็มิปาน มิหนำซ้ำเจ้าของสถานที่ยังโดนชาวบ้านหวาดระแวงขนาดย้ายบ้านหนีมาแล้ว ช่องว่างโง่เขลาตรงหน้าจึงไม่เคยถูกค้นพบกระทั่งปัจจุบัน

"ทำไมไม่ปีนข้ามไป" เขาโดนถามระหว่างย้ายกองหินออกมาได้ครึ่งทาง
"พูดเป็นเล่น แต่ไรมาสุดด้อยค่าคือบัณฑิต คุณชายหนอนหนังสือเช่นข้ามีวรยุทธ์ซะที่ไหนกัน" อู๋เสียตอบตามจริง

เขาเป็นทายาทสายตรงคนเดียวของบ้านหลักสกุลอู๋ สมัยเด็กร่างกายอ่อนแอจึงโดนครอบครัวทะนุถนอมไม่ต่างจากไข่ในหิน โชคดีที่พอผ่านไปเกือบสิบปี สุขภาพก็แข็งแรงขึ้น ไม่สามวันดีสี่วันจับไข้เหมือนเคย ผู้ใหญ่ในบ้านจึงค่อยหย่อนการจับตาลงไป

ทว่าแม้แต่ขณะนี้ที่เขาอายุเลยเบญจเพสมาแล้วหมาดๆ ของหนักสุดที่คุณชายน้อยแซ่อู๋เคยถือ...ก็คือแท่นฝนหมึกบนโต๊ะเรียน

งานออกแรงเยี่ยงกรรมกรเช่นนี้ทำให้เขาเหนื่อยมากจนสมองหยุดทำงานชั่วคราว กว่าอู๋เสียจะเอะใจว่าคำถามเมื่อครู่มาจากไหน หูก็ได้ยินเสียงหญ้าโดนแหวกดังสวบสาบจากทางด้านหลังแล้ว ราวกับเจ้าของคำถามกำลังรุกคืบเข้ามาใกล้

อู๋เสียรีบหันกลับไปดู พบว่าไม่รู้โดนสิ่งนั้นยืนประชิดด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ โครงหน้าของมันยืดยาว กล้ามเนื้อสีคล้ำปูดโปนต่างจากมนุษย์ปกติโดยสิ้นเชิง ดวงตาดำสนิทไร้ตาขาวประสานตากับเขา ผิวหนังบอบบางของคุณชายน้อยรู้สึกได้ถึงไอลมจากจมูกยับย่นตรงหน้า ชั่วขณะนั้นบังเกิดความเย็นแล่นวูบจากปลายเท้าถึงหัวสมอง อู๋เสียถึงกับหยุดหายใจไม่รู้ตัว

สิ่งนั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าคน แต่ก็ไม่ใช่สัตว์ ส่วนที่ควรจะเป็นผิวหนังล้วนปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆ สีดำแกมเขียว ดวงตาซึ่งไร้พื้นที่ตาขาวจับจ้องมาที่เขาราวกับฉงน ส่วนสูงของมันเมื่อยืดตัวตรงน่าจะสูงกว่าเขาอยู่หลายศอก เส้นขนสีดำยาวกระเซิงปกคลุมลำตัวและใบหน้าที่ราวกับอสูรร้าย อีกทั้งบนหัวก็มีอวัยวะคล้ายกระดูกโผล่ยืดยาวออกมา

เขารู้จักสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตาของมัน เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเด็ก

มันคือ 'กิเลน'



+++

TBC
15/03/2015



[1] หุน - น. ชื่อมาตราวัดหรือชั่งของจีน ในมาตราวัด ๑ หุน หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕ ใน ๑๖ ของนิ้ว



Talk Time:

ตอนแรก... ก็ว่าจะเขียนเป็นวันช็อตเอยูค่ะ... *เงยหน้ามองคำว่า 01 ด้านบน* ค่ะ อยู่ๆ มันก็งอกกลายเป็นซีรีส์ค่ะ 5555555555555+

จริงๆ ช่วงนี้อ่านนิยายจีนเยอะมาก โดยเฉพาะโซน มากกว่ารัก ของแจ่มใส เลยอยากแต่งอะไรแนวท่านจอมยุทธ์มานานแล้ว แต่ไม่ได้โอกาสซะที ฮือ ไหงพอแต่งทีก็ดันกลายเป็นเรื่องยาวไปได้ orz

ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนจบมีแล้ว ....ถ้าแต่งระหว่างทางไปถึงตรงนั้นได้นะคะ 5555555 *โดนด้วง M. โบก*

เรื่องนี้ไม่เครียดค่ะ ตั้งแต่บรรทัดที่เขียนคำว่า กิเลน เป็นต้นไป เรื่องนี้จะมีแต่กาวค่ะ กาวล้วนๆ กาวจริงจัง กาวแบบรสนิยมคนแต่งมีอะไรก็ยัดลงไปหมด------แค่กๆๆ เอาเป็นว่า อย่าคาดหวังความจริงจังหรือเนต้าเลยค่ะ โฮ นานๆ ทีก็อยากแต่งอะไรที่ไม่ต้องเซิร์ชกูเกิ้ลบ้าง (แต่ถ้าทำแบบนั้น คำผิดจะผุดกระจายเป็นเห็ดราในห้องน้ำแน่ค่ะ กร๊าก)


ด้วยรักและก้อนขน
ด้วง L.

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Drabble][吴邪] Uncle-Nephew

  
"Uncle-Nephew"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: -



อู๋เสียมองกองสัมภาระของอู๋ซันเสิ่งด้วยสายตาตกตะลึง

"อาสาม...อาเอาตู้เย็นมาขุดสุสาน!?"

"เงียบไปเลย" อู๋ซันเสิ่งนิ่วหน้าใส่หลานชาย "ไอ้หนูอย่างแกจะรู้อะไร มือใหม่ไร้ประสบการณ์ก็เห็นเป็นแค่ตู้เย็นเท่านั้นล่ะ"

เขาลูบหนวด มองเจ้าหลานตัวดีที่เกาะขางอแงจะมาลงกรวยคว่ำดินเสียให้ได้ ไอ้หนูนี่ฟังนิทานของปู่มันทุกคืนจนจินตนาการว่าการขุดสุสานพลิกศพเป็นเรื่องสนุกไปเสียแล้ว

"...อากำลังจะบอกว่า..." อู๋เสียกดเสียงต่ำ เอ่ยแผ่วเบาเหมือนกระซิบ ขณะที่เบิกตากลมโตของตัวเองจนโตขึ้นกว่าเดิม "นี่คือตู้เย็นที่หุ้มทองคำไว้!? ตู้เย็นราชวงศ์หมิง!!"

"หมิงพ่อง!"




+++

END
23/11/2014







Talk Time:

ถึงตอนนี้แล้ว...ขอสารภาพว่า โมเมนต์ทั้งหมดในเรื่องนี้...เราชอบตอนที่อู๋เสียอยู่กับอาสามมากที่สุดเลยค่ะ ตลกคาเฟ่อาหลาน โฮฮฮฮ *ชูป้ายแฟนคลับอาสามซันเสิ่ง*

ตอนอ่านเล่ม 10 ดีใจมากที่มีตอนพิเศษของบ้านสกุลอู๋ด้วย เคยไปคุ้ยเว็บจีนสมัยลงแดงตอนอ่านบันทึกโจรสุสานเล่ม 6 จบแล้วอยากรู้ว่าเสี่ยอ้วนโยนอะไรขึ้นมาจากน้ำ พยายามแงะจีนครั้งแรกหลังจากไม่ได้แตะมา 10++ ปี กว่าจะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เนื้อหาเล่ม 7 ก็อ่านไปครึ่งเรื่อง (ของตอนพิเศษ) แล้ว ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

อ่านอยู่ทั้งวัน ...รู้เรื่องแค่เฉพาะโมเมนต์โมเอะ เรื่องทริคบ้าบอหอยขม ไม่เข้าใจเลยค่ะ 55555555555

จำได้ว่าฟินมาก น่ารัก อาสามซื้อผักดอง แอร๊ อู๋เสียก็โดนยืมตังค์รัวๆ นินทาอาตัวเองตลอดเรื่อง ฮือ น่ารักกกก

อ่านจบ ฟิน เลิกคุ้ยต่อเลยว่าเนื้อหาที่ต่อจากเล่ม 6 คืออะไร นั่งรอเล่ม 7 ไทยออกแบบเงียบๆ ต่อเหมือนเดิม... orz

ทั้งหมดที่ว่ามา... แค่อยากจะบอกว่า ประทับใจแคสติ้งของอาสามพี่จางจื้อเหยามากเลยค่ะ แง เลิฟฟฟฟ *ตั้งหน้ารอวันซีรีส์ฉาย*


ด้วง L. อิสแฮปปี้ ด้วง L. อิสแฮปปี้


ปล. นี่เป็นอีกแดรบเบิ้ลที่ดองไว้ตอนปั่นเล่มผิงเสียค่ะ ตอนนี้มีเวลาแล้ว เลยทยอยเอามาลงในบลอค เผื่อใครอาจเอะใจสงสัยกับวันที่ที่ลงตรงท้ายเรื่อง 555

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] Wish


"Wish" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 **




ผ่านปีใหม่มาแล้วหลายวัน เรื่องที่สมควรทำผมก็ทำไปหมดแล้ว  เหลือแต่เรื่องที่ควรรอ ก็ทำได้เพียงรอ

ช่วงนี้เป็นวันหยุดยาว โดยทั่วไปควรใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและญาติพี่น้อง หลายวันมานี้ ผมอยู่บ้านได้แต่นั่งๆ นอนๆ กินอิ่มแล้วว่างจัด คืนนี้จึงออกมาเดินตากลมหนาวนอกบ้าน สร้างบรรยากาศให้ชีวิตมีสาระจริงจังขึ้นมาอีกนิด

ระหว่างทาง ผมเอาแต่ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนมาถึงสวนสาธารณะใกล้บ้านนั่นละ ถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่าใกล้เทศกาลหยวนเซียวแล้ว ตามสถานที่ต่างๆ จึงเริ่มประดับโคมไฟไว้ประปราย รอถึงวันเทศกาลเมื่อไหร่ ทุกหนแห่งในเมืองจะเต็มไปด้วยแสงสีสดใส รูปลักษณ์โคมก็สวยแปลกตาขึ้นทุกปี

หน้าสวนสาธารณะมีป้ายประกาศ แผ่นที่ใหญ่ที่สุดคือโปสเตอร์เชิญชวนร่วมงานคืนเทศกาลโคมไฟ ส่งท้ายเทศกาลฉลองปีใหม่ ข้อความบนโปสเตอร์ให้ความรู้สึกคุ้นตา

คิดถึงสมัยก่อน ผมเคยอ่านเจอว่ามียุคหนึ่ง หนุ่มสาวจะใช้คืนหยวนเซียวเพื่อบอกความในใจกับคนที่แอบชอบ อุปกรณ์ก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล ก็คือโคมไฟที่ใช้ในเทศกาลนี่เอง เป็นโอกาสบอกรักปีละหนอันสุดแสนโรแมนติกของยุคสมัยที่สังคมเคร่งจารีต

เทศกาลโบราณ ตกทอดมาถึงทุกวันนี้ ยุคที่คำบอกรักออกจากปากผู้คนง่ายเหมือนเทน้ำทิ้ง จึงกลายเป็นคืนเทศกาลที่คู่รักเกี่ยวแขนตระกองกอดกันเดินถนนจนแทบจะสิงกันเป็นร่างเดียวแทนไปเสียแล้ว

ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางเท้า มองเทียบความอลังการระหว่างโคมไฟหน้าอาคารพาณิชย์สองหลัง พลันรู้สึกตัวขึ้นมาถึงเรื่องที่ค้างคาใจเมื่อครู่

หยวนเซียวปีนี้ตรงกับวันเกิดผม

พอคิดถึงวันเกิดตัวเอง ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ วันเกิดปีนี้ผมได้ใช้เวลากับคนที่บ้าน ส่วนปีหน้า...ยังไม่แน่ใจนัก

หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันเกิดตัวเองเท่าไร บางครั้งที่ต้องออกเดินทางรอนแรมข้างนอกเป็นเวลานาน ผมยังลืมวันคืนเอาเสียดื้อๆ ด้วยซ้ำ จำได้อีกทีตอนกลับบ้านมาเปิดตู้จดหมายแล้วเจอการ์ดอวยพรจากเพื่อนบางคน ตามด้วยโทรศัพท์บ่นจากแม่ที่เป็นของขวัญบังคับให้รับทุกปี

ไหนๆ ก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ถึงวันเกิดปีหน้ารึเปล่า ปีนี้จึงควรให้ความสำคัญกับวันเกิดเป็นพิเศษหน่อย

ผมเคยสงสัยว่าความคิดบางอย่างของตัวเองดูเหมือนจะศักดิ์สิทธิ์เกินไป เรื่องที่เผลอคิดเล่นๆ ก็เลยดันเป็นความจริงขึ้นมา กลายเป็นคำสาปประเภทหนึ่ง ปีนี้ผมจะลองเอาปาฏิหาริย์ทั้งหมดในโควตาตัวเองมาใช้กับการอธิษฐานตอนวันเกิดดูสักครั้ง

...เพื่อแก้คำสาปให้เมินโหยวผิง ชื่อที่ผมแอบตั้งให้เสี่ยวเกอ

ผมที่ทำงานด้านอักษร ตราหน้าเขาด้วยคำว่าเมิน ซึ่งเขียนด้วยอักษร "หัวใจ" โดน "ประตู" ครอบไว้ จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าผมไม่มีวันรู้ แต่ที่เขายอมโดนขังไว้ในนั้นแทนตัวผม เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

ของขวัญวันเกิดปีนี้ ผมไม่ต้องการอะไรมาก แค่หัวใจในประตูกลับคืนมาหาผมได้ก็เพียงพอแล้ว ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

ส่วนเรื่องฉลองปีใหม่กับหยวนเซียวปีหน้าด้วยกัน เอาไว้คิดหลังจากนั้นก็ยังไม่สาย



+++

END
01/03/2015 



#dmbjdaily 169 days left : ของขวัญวันเกิด (Birthday Gift)



Talk Time:

Warning - กาวมากค่ะ!

อยู่ๆ ก็อยากแต่งขึ้นมาตอนเห็นหัวข้อเดลี่คืนนี้ แต่เหมือนจะไม่ค่อยเข้ากะหัวข้อเท่าไหร่เลย 555555+ (แง เค้าอยากกาว เค้าอยากโรแมวติก *ลงไปดิ้นที่พื้น*)

แต่งสด กูเกิ้ลข้อมูลสดๆ โต้รุ่งด้วยแรงกาวล้วนๆ *ฟืดดดดดดดดดดด*


ส่วนเรื่อง "เมิน (หรือเมิ่น)" ในชื่อของเมินโหยวผิง อันนี้สังเกตเห็นนานแล้ว อยากจะออกไปกรี๊ดกาวลงทวิตมาก แต่มันสปอล์ยเล่ม 10 (ตอนนั้นของไทยเพิ่งออกถึงราวๆ เล่ม 6 เองค่ะ โฮฮฮฮฮ อยากหาคนมากรี๊ดกาว ทำไม่ได้ เป็นสปอยล์เลเวลกระอักเลือดพุ่งออกปาก...)

ตัวเมินที่ว่าคือ 闷 (ตัวเต็มเขียน 悶)เกิดจากการเอา 心 (หัวใจ a.k.a. kokoro แบบงานโคโคโระ) บวกกะ 門 ที่แปลว่าประตู

คนที่คุ้ยจีนมาคงรู้หมดแล้ว แต่ตอนเราเพิ่งลงเสียมขุดตัวอ่านจีนแล้วค้นพบ นี่อึ้งมาก ทำไม นพซซ. เขียนตัวนี้ นายมีความหมายแฝงอะไรในชีวิตจริงรึเปล่า! แง (และมาพบทีหลังว่า...มีจริงๆ...*กระอักเลือด*)



ลงชื่อ
ซอมบี้ด้วง L. ผู้นอนไม่พอตลอดเวลา