วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][吴邪] Wound

 

"เรื่องที่เสียใจที่สุด"


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: -


**(a little bit) Spoiler Warning**



นายอ้วนเคยถามผมอยู่ครั้งหนึ่ง หลังเกิดเรื่องพวกนั้นทั้งหมด ผมเคยเสียใจบ้างมั้ย

ผมตอบเขาไปว่า มาคิดดูแล้ว หลังรู้เรื่องพวกนั้นทั้งหมด ผมย่อมเคยนึกเสียใจ          

นายอ้วนถามผมต่อ ถ้าผมรู้ ผมยังคงเลือกแบบเดิมมั้ย

ผมตอบเขาไปว่า ถ้าผมรู้ ผมย่อมไม่เลือกแบบนั้นแน่นอน

นายอ้วนจึงถามผม ถ้าย้อนเวลาได้ ผมจะกลับไปแก้ไขสิ่งไหน

ผมตอบเขาไปว่า ถ้าย้อนเวลาได้ ผมจะไม่แก้ไขสิ่งไหนเลย

นายอ้วนสงสัยหนัก หาว่าผมพูดจาไม่รู้เรื่อง ทั้งที่มีเรื่องเสียใจ ทำไมไม่ยอมแก้ไข แบบนี้จะเป็นประชากรมีคุณภาพของชาติเราได้อย่างไร

ผมตอบเขาไปว่า ผมเคยคิดหลายครั้ง เรื่องเสียใจเหล่านั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่รู้ของผมก็เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมแก้ไขสิ่งหนึ่งก็ใช่ว่าจะไม่พลาดไปเกิดอีกเรื่องหนึ่งแทน ตอนนี้เห็นบาดแผลเหล่านั้นจนชินแล้ว อยู่ๆ จะให้แผลเหล่านั้นหายไปแต่ต้องเตรียมใจรับบาดแผลที่ใหม่ ผมทำใจไม่ลง

นายอ้วนส่ายหน้า บอกว่าผมเมาควันบุหรี่แล้ว

ผมตอบเขาไปว่า แม่เขาxxxxxxxx

พวกเราด่าทอกันเองสักพัก นายอ้วนก็ถอนหายใจ  "เสี่ยวอู๋ กว่าจะถึงวันนี้ พวกเราก็เกือบเดี้ยงกันหลายหน ช่วงนี้เสี่ยเห็นนายแล้วกินข้าวไม่ค่อยอร่อย แผลไหนเจ็บก็รักษาไปซะ อย่าเก็บมันไว้จนอักเสบ"

ผมดูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ พ่นควันใส่เขาก่อนตอบไปว่า "นายอาจรู้แล้วหรืออาจจงใจไม่สังเกต พูดตรงนี้อีกทีแล้วกัน ถ้าไม่นับเสี่ยวเกอ ฉันเองก็ขี้ลืมใช่ย่อย ไม่สิ จริงๆ แล้วคือสนใจแต่เรื่องตรงหน้าจนละเลยรอบด้านบ่อยๆ"  พูดถึงตรงนี้ นายอ้วนพลันทำสีหน้ากระจ่างแจ้งขึ้นมา ผมนึกหมั่นไส้แต่ปากยังคงพูดต่อ 

"หลายเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันเคยถามตัวเองบ่อยครั้งว่าถ้าให้เลือกใหม่จะเปลี่ยนใจไหม แต่คิดยังไงก็คงเลือกเหมือนเดิม ฉันถูกเลี้ยงมาแบบนี้ ตั้งแต่เกิดจนโต จำความได้ก็นิสัยแบบนี้แล้ว ต่อให้รู้ว่าจะต้องเสียใจ เอาเข้าจริงก็ห้ามตัวเองไม่ได้แน่นอน" ผมหยุดพูด สังเกตเห็นเถ้าปลายบุหรี่เริ่มยาวเลยเคาะทิ้งก่อนจะหล่นลวกตัวเอง 

"ถ้าฉันตัดใจได้จริงๆ ก่อนหน้านี้คงไม่ปล่อยตัวเองถลำลึกถึงขั้นนี้หรอก ไม่สิ จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งก็เพราะมีพวกนายอยู่ด้วย ฉันถึงกล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนไอ้โง่" ผมหัวเราะ นายอ้วนก็หัวเราะแต่ยังอุตส่าห์ช่วยแก้ตัวให้ว่าผมไม่ได้โง่ แค่ 'เทียนเจิน' เท่านั้น

"คิดไปคิดมา สุดท้ายแล้วฉันก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าเรื่องบัดซบที่ผ่านมาเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ การได้เจอกับพวกนายก็เป็นสิ่งดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้ว ส่วนเรื่องเสียใจที่สุด......ถ้ามีพวกนายอยู่มันก็พอทนไหว ดังนั้นจะแผลสดหรือแผลเป็นฉันก็จะเก็บไว้ เพราะต่อให้วันหนึ่งฉันกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเอง ทุกครั้งที่เห็นแผล จะได้นึกออกว่าวันเวลาที่ผ่านมายังอยู่ในตัวฉันเสมอ ทุกคนที่จากไปยังคงอยู่ในฉัน และฉันยังเหลือบางคนให้ต้องคิดถึงอยู่"

ผมหยุดพูดแค่นั้น นายอ้วนเองก็ไม่ได้พูดต่อ พวกเราใช้เวลาที่เหลือตลอดคืนไปกับการนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ ด้วยกัน


+++

END
30/08/2014







Talk Time:

ระหว่างที่อ่าน บันทึกจอมโจรฯ เล่ม 7 ก็สงสัยหลายทีว่า ถ้าหากนายน้อยไม่ได้ไปคว่ำกรวยครั้งนั้นกับอาสามตอนเล่ม 1 เรื่องทุกอย่างจะเป็นยังไง แล้วก็เห็นภาพ นายน้อย (โหมดหน้าแบบหลี่อี้เฟิง) นั่งหล่อเสียเปล่าไปวันๆ ริมทะเลสาบซีหู โรแมนติกซะไม่มี ♥

คิดไปคิดมาแล้วพบว่า...แบบนั้นเราก็ไม่ได้อ่านนิยายดีๆ เรื่องนี้น่ะสิ!! (ฮา) กว่าจะหานิยายตลกได้แบบ Daomu เนี่ย ต้องเสี่ยงดวงกับหลายเล่มเลยน้า (โดนฟาดด้วยแทค #บันทึกจอมโจรแห่งสุสานไม่ใช่นิยายตลก แง)

พอสงสัยว่าอู๋เสียคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เคยเสียใจบ้างมั้ย อยากย้อนเวลาให้ทุกอย่างกลับไปก่อนหน้านี้แล้วล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ขอข้องเกี่ยวเลยรึเปล่า แล้วเสี่ยอ้วนล่ะ!! เสี่ยวเกอล่ะ!? อู๋เสียตัดใจทิ้งได้ลงคองั้นเรอะ? ก็เลยกลายมาเป็นฟิควันช๊อตแบบด้านบน (แล้วไหงจบแบบอึนๆ ซะได้ล่ะ!! แง)

เอ๋? ไทม์ไลน์รึคะ? ไม่บอก เดาเอาน้า (แอร๊) จริงๆ อยากให้ออกมาเป็นฟีลรวมๆ ไม่อยากเจาะจงว่าช่วงไหน ถึงจะมีไทม์ไลน์อยู่ในใจแล้วก็เถอะ ヾ(*´∀`*)ノ  (โดนคนอ่านตบตี)

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] When I get drunk

 

"When I get drunk"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




...ผมเมาค้าง

เช้านี้ผมตื่นมาพบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ดูเหมือนเมื่อคืนจะเมามากจริงๆ ปกติผมไม่ค่อยทำให้ตัวเองเมา อันที่จริงคือไม่ค่อยได้กินเหล้า คอไม่แข็งนัก ดูท่าเมื่อคืนคงร้อนจนต้องเปลื้องผ้า โชคยังดีที่คลานกลับมานอนบนเตียงได้สำเร็จ

เมื่อคืนพวกผมกินเหล้ากันที่บ้าน

ที่เลือกกินกันที่บ้านผมก็เพราะคราวก่อนผมโดนแกล้งจนเมามาก ยืนกอดคอผู้พันแซOเดอร์ หน้าเคเอOซี พลางร้องครวญคราง "อาสาม ไม่เจอกันนาน อายังอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี มา...กลับบ้านกับผมเถอะ" จากนั้นก็พยายามจะแบกผู้พันกลับบ้าน พอยกไม่ไหวก็โวยวายด่าทอ "คุณคือเซี่ยเหลียนหวน คุณไม่ใช่อาสาม อาสามอยู่ไหน เอาอาสามของผมมา" พลางทุบตีผู้พันแซOเดอร์จนมือตัวเองแดงไปหมด

ฝ่ายนายอ้วนที่เมาไม่แพ้กันก็กอดเสาไฟฟ้าร้องไห้คร่ำครวญ มีแค่เมินโหยวผิงเท่านั้นที่ยืนเงียบๆ ปล่อยพวกผมสองคนบ้ากันให้เต็มที่ก่อนค่อยลากเรากลับบ้าน เขาเป็นคนคอแข็ง ดื่มยังไงก็ไม่เห็นเคยเมา ฉะนั้นจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเล่าเรื่องผมกับผู้พันแซOเดอร์ได้แบบละเอียดยิบ ทำเอาไม่กล้าเดินผ่านร้านสาขานั้นอีกเลย

สรุปแล้วจะเมาก็ไม่ควรเมาในที่สาธารณะ เมื่อคืนเลยมาตั้งวงที่บ้านผม

ผมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ไปที่ครัวเจอนายอ้วน เขาส่งน้ำแกงให้ ผมรับมาพลางพึมพำขอบคุณ ระหว่างยกขึ้นซด นายอ้วนก็ชวนคุย "เป็นไง เข้าหอกับเสี่ยวเกอเมื่อคืน เจ็บมากไหม"

ผมพ่นน้ำแกงในทันที ทำเอานายอ้วนสะดุ้งโหยง "เว้ย ทำอะไรของนายวะ น้ำแกงนี่เสียอ้วนอุตส่าห์ไปสั่งไก่ชั้นดีมาตุ๋นให้นายแต่เช้า เพราะเมื่อคืนน่าจะเสียกำลังไปเยอะ" เขาบ่นไม่หยุด แต่พอเห็นผมชักทำหน้าปุเลี่ยนๆ เขาก็ทำท่าลูบคาง ก่อนเอ่ย "อย่าบอกนะ ว่านายจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้"

ฉิบหายล่ะ...ผมสูดลมหายใจทั้งๆ ที่หัวยังปวดตุบๆ พลางบอกให้เขามีอะไรก็จงผายลมออกมา

นายอ้วนจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเขาเมามากก็จริง แต่ระหว่างสะลึมสะลือหลับๆ ตื่นๆ เขาได้ยินเสียงคนสองคนกำลังทำ 'อย่างว่า' กัน ซึ่งหนึ่งในนั้นเขาบอกว่า "เท่าที่ฉันรู้จักนายมาเป็นสิบปี เทียนเจิน นี่มันเสียงของนายแน่ๆ"

เสียงครางนี่ต้องใช้เวลารู้จักกันสิบปีเลยหรือไง ผมนึกโมโหจนอยากบีบคอใครสักคน...ไม่สิ คอนายอ้วนนี่แหละวะ!

"เป็นไปไม่ได้ ไม่...ฉัน" ผมพูด ก่อนจะชะงักไป ถึงจำอะไรไม่ได้แต่ร่างกายมันก็มีอะไรตะหงิดๆ อยู่ว่าเมื่อคืนมีบางอย่างเกิดขึ้น

"หน้าตาแบบนั้นแปลว่าพอนึกออกแล้วสินะ" นายอ้วนทำเสียงล้อ ก่อนจะฉวยถ้วยในมือผมไปเติมน้ำแกงเพิ่มให้

ผมนึกทบทวนอีกครั้ง เมื่อคืน...

เมื่อคืนนี้ ทุกคนเมาแอ๋กันหมด...ไม่สิ นายอ้วนเมาเป็นคนแรก ส่วนผมพยายามไม่เมา แต่สุดท้ายก็จอด จำได้แค่ว่าเสี่ยวฮัวดวลเหล้ากับเมินโหยวผิง คนที่ไม่เมามีแค่หวังเหมิง ผมเรียกมาคอยเป็นคนเก็บศพคนเมาแล้วก็เป็นเด็กวิ่งไปซื้อของมาเพิ่ม...ใช่แล้ว หวังเหมิง!

...หวังเหมิง







ปกติแล้วการตามหาลูกน้องของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่วันนี้จู่ๆ หวังเหมิงก็โทรมาบอกห้วนๆ ว่าขอลางานโดยไม่มีเหตุผล ผมจึงถ่อสังขารไปเตะประตูบ้านหมอนั่น จากนั้นก็เค้นหาคำตอบ "เมื่อคืนเกิดอะไรขี้น"

หวังเหมิงทำท่าอึกอัก หมุนตัวไปมา สีหน้าของเขาเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ...ฉิบล่ะ อย่าบอกว่าเมื่อคืนผมเมาจัดปลุกปล้ำลูกจ้างตัวเองนะ

"ว่ามา ไม่งั้นฉันจะไล่นายออก" ผมทำเสียงแข็งแต่ในใจงี้อ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ...ฉิบหาย ฉิบหาย อะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นหวังเหมิงเลย

"งั้นไล่ผมออกเถอะ" หวังเหมิงตอบด้วยเสียงเหมือนคนยอมแพ้ คราวนี้เลยกลายเป็นผมที่ต้องยอมแพ้เสียเอง ผมบอกเขาว่าจะขึ้นเงินเดือนให้เป็นพิเศษ ขอแค่ยอมบอกผมมาว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ผม...ผม" หวังเหมิงเสียงสั่น ผมภาวนาในใจว่าอย่าให้ผมทำอะไรลงไปเล้ยยย แต่พอเขาเริ่มประโยคต่อมา ผมก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย "ผมเห็นเจ้านาย"

...ขึ้นว่าผมเห็น แปลว่าไม่ได้ถูกทำอะไร แต่ก็โล่งใจได้แค่นั้น เพราะไอ้ที่เหลือมัน...

"ผมเห็นเจ้านายมะ ไม่ใส่เสื้อผ้า กะ กำลัง...กำลัง" หวังเหมิงหน้าแดงเถือก

"กำลังทำอย่างว่า" ผมช่วยเติมให้ด้วยเสียงที่เริ่มสั่นไม่แพ้กัน

ลูกจ้างจอมขี้เกียจของผมพยักหน้าเบาๆ ผมสูดลมหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม "กับใคร"

คราวนี้หวังเหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า

"นายไม่เห็น?"

เขาพยักหน้า พลางเอ่ย "ก็ จะ เจ้านายอยู่...อยู่ข้าง ข้างบน...แล้ว แล้วมัน คือ มันโดนบัง"

ผมไม่สนใจหวังเหมิงอีกต่อไป ผมอยู่ข้างบน... นี่ต้องไม่ได้หมายความว่าอยู่ชั้นบน...แต่ ข้างบน!

รู้สึกเรื่องมันชักจะโอละพ่อไปกันใหญ่ ถ้าเมื่อคืนเป็นเมินโหยวผิงจริงๆ ผมทำยังไงถึงขึ้นไปอยู่ข้างบนได้โดยไม่โดนหักคอตายในกร็อบเดียววะ หรือจะ...โว้ย พอ! คิดแล้วก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่

หลังจากนั้นผมก็ตบกบาลหวังเหมิงไปสองสามทีก่อนจะบอกให้กลับไปทำงาน ส่วนผมก็มาไล่เลียงอีกครั้ง เมื่อวานที่นั่งกินเหล้ากัน มีผม เมินโหยวผิง นายอ้วน แล้วก็

...เสี่ยวฮัว







พูดถึงเสี่ยวฮัว...หมอนั่นไม่ล่ำไม่ลาก็หนีกลับปักกิ่งไปเสียเฉยๆ นายอ้วนสงสัยว่าหรือเมื่อคืนจะเป็นเสี่ยวฮัว ผมถึงกับมึนๆ เบลอๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง ทันทีที่คิดได้ ผมก็รีบโทรไปหาเขา แต่เขาไม่รับสาย...ทำเอาผมร้อนใจกว่าเดิม เมื่อติดต่อไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจจับเครื่องบินตามเขาไป พอเห็นหน้าผมเขาก็มีสีหน้าแปลกๆ

แต่ทันทีที่ผมกำลังจะอ้าปากเข้าเรื่อง เสี่ยวฮัวก็เปลี่ยนเรื่องชวนผมคุย พาผมออกไปกินอะไรอร่อยๆ เที่ยวชมปักกิ่งหน้าตาเฉย ทุกครั้งที่มีจังหวะให้ผมถาม เขาก็จะหาทางเลี่ยงทุกครั้งไป

สรุปกินจนอิ่ม ไปๆ มาๆ ก็ลืมหมดแล้วว่าจะถามอะไร ขอตัวกลับเสียอย่างนั้น ก่อนแยกกัน เสี่ยวฮัวเอื้อมมือมาแตะแก้มผมเบาๆ ขณะผมกำลังงงๆ เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย พลางกระซิบข้างหูพึมพำ "ฝากบอกด้วย...ไม่ยอมแพ้หรอกนะ"

ผมชะงักไป พอกำลังจะถาม กลับถูกกดจูบที่ข้างแก้ม ก่อนที่เสี่ยวฮัวจะหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วทำเอาผมงงไปหมด

ระหว่างขากลับมา ผมรู้สึกเสี่ยวฮัวก็น่าจะไม่ใช่...แต่ก็แปลก ไม่ยอมแพ้? หรือคราวนี้ผมกดเขา เขาเลยจะเอาคืน...เหวอ ไม่หรอกมั้ง ถ้าแบบนั้นไม่ต้องมาส่งผมกลับก็ได้นี่นา

ท้ายสุด ผมจึงบินกลับมาที่หางโจวพร้อมคำถามที่ชวนมึนงงกว่าเดิม ตอนกลับมาที่ร้านก็เห็นนายแซ่หวังทั้งสองคนกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ด้วยกัน พอเห็นผม หวังเหมิงก็หลบตาไปมองกำแพง...ส่วนนายอ้วนรีบปรี่เข้ามาถาม "เป็นไง"

ผมได้แต่ส่ายหัวว่าไม่ได้ความ

สุดท้าย ผมกับนายอ้วนนั่งสุมหัวกันหลังร้าน จากนั้นก็เริ่มเรียบเรียงเรื่องราวอีกครั้ง เขาเสนอให้หยิบกระดาษมาเขียนไล่รายละเอียด...ซึ่งบอกตามตรงว่ากับเรื่องพรรค์นี้ผมไม่อยากจะไล่เลยแม้แต่น้อย

"ดีล่ะ เรามาเรียบเรียงเรื่องที่รู้กัน" นายอ้วนเอ่ย ผมนึกอยากเอาหัวโขกกับผนัง ร่างสั่นระริกไปหมด เกิดมาชีวิตนี้ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่จะต้องมาถกปัญหากับนายอ้วนด้วยเรื่องที่ต่ำกว่าเข็มขัดแบบนี้ ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจผม เริ่มเขียนข้อความลงบนกระดาษ

- นายมีอะไรกับใครสักคน

"ข้อนี้คงไม่ผิด เทียนเจิน นายก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง หวังว่าคงไม่บอกว่าไม่รู้สึกตัวหรอกนะ"

ผมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ แหงละ ถึงจะไม่เคยจับมือสาวก็ใช่ว่าใสซื่อจนไม่เคยใช้มือไปทำอย่างอื่นเสียเมื่อไหร่

- ตัวเลือก: เสี่ยวเกอ เสี่ยวฮัว ลูกจ้างร้านนาย เสี่ยอ้วน

จากนั้นเขาก็ขีดฆ่าออกทีละชื่อ จนเหลือแค่เสี่ยวเกอและเสี่ยวฮัว

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอมาในวันนี้ที่ปักกิ่งให้เขาฟัง นายอ้วนตบเข่าฉาด พลางขีดฆ่าชื่อเสี่ยวฮัวทิ้งทันที "งั้นก็เหลือคนเดียวแล้ว"

"ทำไมกัน อาจจะเป็นเสี่ยวฮัวก็ได้นี่นา" ผมอธิบายความคิดของตัวเองให้เขาฟัง

"เหอะ เทียนเจินหนอเทียนเจิน เสี่ยวฮัวของนายใช่สัตว์กินพืชเสียเมื่อไหร่ นายอย่ามองแต่ความสวยของเสือดาวหิมะ สัตว์กินเนื้อยังไงเสียก็กินเนื้อ หมอนั่นไม่เหมือนน้องเสี่ยวเกอ นั่นน่ะนักล่าตัวจริง ถ้าเขมือบนายได้คงไม่พูดแบบนั้นแล้ว"

"..." ผมกะพริบตาปริบๆ พลางนึกถึงรอยยิ้มของเสี่ยวฮัว...ไม่ขนาดนั้นมั้ง ผมรู้ว่าเสี่ยวฮัวมีฝีมือสูงกว่าผมเยอะ วิชาฝีมือเป็นรองก็แค่เมินโหยวผิง แต่คิดว่าสูสีกับนายแว่นดำ ใช่ว่าผมมองเขาเป็นสัตว์กินพืชอ่อนโยนเสียเมื่อไหร่

นายอ้วนแค่นเสียงเหอะพลางพึมพำ "เทียนเจินอู๋เสีย...ไม่ผิดเลยสักนิด" ก่อนจะหยิบปากกามาเขียนข้อต่อไปลงในกระดาษ

- ร่างกายไม่ผิดปกติ

"นายไม่เจ็บตูดไม่เคล็ดขัดยอกอะไรสักนิดเลยใช่ไหม" นายอ้วนถามตรงๆ ผมนึกอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขารู้เรื่องพวกนี้นัก พอเค้นถามก็ได้คำตอบมาว่า "เห็นแก่ความรักของพวกนาย เสี่ยอ้วนคนนี้ก็ต้องศึกษาเรื่องของเพื่อนฝูงไว้บ้าง"

ผมด่าบรรพบุรุษเขาในทันที นายอ้วนตบหัวลูบหางผมอย่างเอาอกเอาใจ ก่อนถามซ้ำอีกครั้ง "ตกลงนายเจ็บตูดไหม"

ผมกลอกตาอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางขึงตาใส่เขา ก่อนจะส่ายหัว ตอนตื่นมาไม่ได้มีอาการอะไรมากกว่าเมื่อยหลังนิดๆ เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องออกไปตามค้นหาความจริงแล้ว ว่าแล้วก็นึกถึงเรื่องที่หวังเหมิงเล่าขึ้นมาได้

"อยู่บน? นายเนี่ยนะ" เสียงของนายอ้วนสูงปรี๊ดจนน่าฆ่า

"เออสิวะ" ผมทนไม่ได้ ในที่สุดก็ควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ

"งั้นก็สรุปได้แค่สองช้อยส์ A. นายเป็นคนทำ B. เสี่ยวเกอมีฝีมือล้ำเลิศมากจนนายไม่รู้สึกเจ็บ...ส่วนทำไมถึงอยู่บน คงไม่ต้องให้สอนมวยกันหรอกนะ แค่นี้นายก็เทียนเจินจนน่าขายหน้าแย่แล้ว"

"..." ในสมองผมตอนนี้กำลังคิดวิธีการฆ่าคนแบบอำพรางร่องรอยออกมาได้ประมาณสามสิบวิธี

"อ๊ะๆ อย่าดูถูกไป" นายอ้วนจุ๊ปาก "ผู้ชายด้วยกันยิ่งกว่าดูออก นายมันเทียนเจินของแท้ แต่เสี่ยวเกอเนี่ย เสี่ยอ้วนขอบอกเลยว่าคนละระดับ เห็นนิ่งๆ ไม่สีหญิงแบบนั้นอย่าเอาไปเหมารวมกับไก่อ่อนแบบนายเชียว"

"อะไรวะ" ผมนึกโมโห ถึงผมจะไม่เคยจับมือสาว แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่อย่างนายเมินโหยวผิงนั่น...เขาแยกผู้หญิงกับผู้ชายออกหรือเปล่าผมยังไม่รู้เลย

"นายคิดดู เขาเป็นคนที่ถูกฝึกมามาอย่างดีทุกด้านนะ ยังไงก็ต้องได้รับการฝึกเรื่องบนเตียงมา"

"หมอนั่นตายด้านจะตาย" ผมค้าน ก็ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเขาสนใจผู้หญิงคนไหนสักนิด...แต่เออ ตอนจูบผมเขาก็เก่งจริงๆ นั่นแหละ ขนาดผมที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ยังรู้สึกได้

"เขาเรียกว่าฝึกมาดี เชื่อสายตาเสี่ยเถอะ เห็นตายด้านแบบนั้นรับประกันว่าความรู้เรืองบนเตียงแน่นปึ้ก ดีไม่ดีบรรลุขั้นปรมาจารย์ จนเมินเฉยต่อสิ่งยั่วยุภายนอกไปแล้ว"

ผมกลอกตา ก่อนจะกลับไปมองรายการบนกระดาษ พลันนึกอะไรขึ้นได้ "ไม่ก็...มีอีกอย่าง" ว่าพลางฉวยปากกามาจากมือนายอ้วน จากนั้นก็เติมลงไปท้ายข้อสอง ...ผี

"ผีอีกแล้ว ทำไมทำไอ้นี่ทีไรมีแต่ผีทุกที" นายอ้วนบ่น

"ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่มีแต่ผีถึงจะทำได้น่ะสิ" ผมลากปากกาวงย้ำที่คำว่าผี

"เสี่ยวอู๋เอ๋ย เลิกหลอกตัวเองเถอะ งานนี้จะมีผีก็มีแค่ผีผ้าห่ม ยอมรับมาเถอะว่าปริศนาเรื่องนี้มีแค่นายทำเสี่ยวเกอ หรือเสี่ยวเกอทำนายเท่านั้นแหละ" นายอ้วนตบไหลผมปุๆ ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขารีบเอ่ย "ตอนนายอาบน้ำ เห็นร่องรอยอะไรบนตัวหรือเปล่า"

ผมชะงักไป ก่อนจะส่ายหัว

"แน่นะ" นายอ้วนถามย้ำอีกครั้ง

ผมพยักหน้า หลังจากนายอ้วนกับหวังเหมิงยืนยันแบบนั้น ผมก็รีบไปสำรวจร่างกายตัวเองในทันที ถึงขั้นยอมทิ้งความอายสำรวจแข้งขาของตัวเองแทบทุกจุด รอยอะไรสักนิดก็ไม่มี ยกเว้นแผลเดิมที่หลงเหลือจากการคว่ำกรวยของผม

"...งั้นก็ สงสัยนายคงเป็นคนทำ...เหรอ เหวอ ประหลาดชะมัด แบบนั้นเสี่ยวเกอน่าจะฆ่านายทิ้งไปแล้ว" นายอ้วนทำหน้าประหลาดใจสุดๆ ผมอดไม่ได้ต้องด่าเขาออกมา จากนั้นเราสองคนก็วนเวียนเถียงกันอีกครั้ง

คุยกันไปมาสรุปไม่ได้คำตอบ นายอ้วนมีธุระต่อจึงขอตัวไปก่อน ทิ้งให้ผมกลับบ้านด้วยหัวใจอันหนักหน่วง






ครั้นถึงบ้าน เปิดเข้าไปก็เห็นเสี่ยวเกอนั่งรออยู่ ผมจึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตอนไปหาเสี่ยวฮัว ไปขลุกกับนายอ้วนไม่ได้บอกเขาก่อน ที่ผ่านมาเขาหายตัวไปไม่บอกผม แต่ผมจะไปไหนจะบอกเขาทุกครั้ง...มีครั้งหนึ่งลืมบอก เขาออกไปตามหาผม ทำให้คลาดกัน เล่นเอาวุ่นวายยกใหญ่ สุดท้ายผมจึงตกลงกับเขาว่าถ้าไม่พบผม ให้รอผมที่บ้าน หายแบบไม่แจ้งเกินหนึ่งอาทิตย์ถึงค่อยวิ่งไปตามหา แต่ผมสัญญาว่าถ้าจะไปไหนจะบอกเขาก่อน

คิดได้ดังนั้น ผมจึงพึมพำขอโทษก่อนถามด้วยความเป็นห่วง "นายกินอะไรบ้างหรือยัง"

เขาส่ายหัว ผมรีบบอกว่าจะทำอะไรให้กิน ให้เขาไปอาบน้ำอาบท่าก่อน เขาจึงพยักหน้ารับ

ผมได้แต่มองตาม ขณะสลัดเรื่องก่อนหน้านี้ออกไปจากหัว เอาเถิด จะเขาได้ผมหรือผมได้เขา หรือจริงๆ แล้วผมได้กับผี อย่างไรเสียผมก็สัญญาจะรับผิดชอบชีวิตเขาไปแล้ว ใครได้ใครย่อมไม่สำคัญ คิดแบบนั้นผมจึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย

ในตอนที่ผมกำลังคุ้ยหาของในตู้เย็นก็นึกได้ว่าวันก่อนผมดึงผ้าเช็ดตัวออกไปซัก จึงรีบหยิบเอาผ้าเช็ดตัวไปเคาะประตูห้องน้ำ ก่อนจะถือวิสาสะเปิดเข้าไป

เมินโหยวผิงหันหลังให้ผม กำลังจะถอดกางเกง ทีแรกผมไม่คิดอะไร จนกระทั่งเห็นแผ่นหลังของเขา

บนผิวขาวซีดของเมินโหยวผิงปรากฏรอยสีแดงเล็กๆ เหมือนรอยครูดของเล็บนับไม่ถ้วน ฝ่ายเมินโหยวผิงเห็นผมชะงักจึงเรียก "อู๋เสีย?"

เขามองผมครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย "นายจำไม่ได้?"

ผมใจหายวูบ เป็นเสี่ยวเกอจริงๆ ด้วย! ตายหอง...ตกลงมันข้อ A. หรือ B. กันแน่ ว่าแล้วก็นิ่งไป...ผมพยายามหาคำตอบจากสายตาของเขา แต่ไม่ได้คำตอบ สุดท้ายจึงได้แต่ส่ายหัว "ไม่เลยสักนิด"

"ฉันบอกว่าถ้านายสร่างเมาเดี๋ยวก็ลืม" เขาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ "แต่นายสัญญาว่าต่อให้สร่างเมาแล้วก็จะไม่ลืม"

ผมรู้สึกตัวสั่นระริกไปหมด ขณะจะเอื้อมมือไปคว้าลูกบิดประตูก็ถูกมือยาวๆ จัดการปิดประตูดังตึง ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่ที่ข้างหู ขณะอีกฝ่ายกระซิบด้วยเสียงทุ้มพร่า "นายบอกว่า ถ้านายลืม...ก็ช่วยทำให้จำได้ที"

จากนั้นผมก็จำ...จำได้ทุกบททุกตอนละเอียดยิบเสียยิ่งกว่าตำราประวัติศาสตร์ แต่เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจดลงในสมุดบันทึกเป็นอย่างยิ่ง แค่จำไว้ก็พอแล้ว ไม่ควรถึงขั้นต้องจดไว้ทวน เอาเป็นว่าผมจำได้ก็พอแล้วก็แล้วกัน

หลังจากนั้นเห็นนายอ้วนทีไร อดไม่ได้นึกอยากตอบเขาว่า "ข้อ B." แต่คิดแล้วไม่ตอบไปน่าจะดีกว่า ผมไม่อยากจะมานั่งอธิบายว่านิ้วยาวๆ ของจางฉี่หลิงไม่ได้มีแค่เอาไว้จัดการกับกลไกสุสาน...

คิดแล้วอยากด่าสกุลจางขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล กับงานคว่ำกรวย...ฝึกตัวประหลาดพรรค์นี้ขึ้นมาแค่วิชาการต่อสู้ก็พอแล้ว จะสอนเรื่องพรรค์นี้ทำไมฟะ!

แน่นอนว่าก่อนนี้เคยถามเจ้าตัว (ด้วยความโมโห) ไปแล้ว ก็ได้ความว่า ในการแทรกซึมเข้าไปกับฝูงชน บางทีก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการขึ้นเตียงบ้าง...ก็แบบที่นายอ้วนเดาจริงๆ นั่นแหละ แต่ผมที่โดนเขาสูบแรงจนหน้ามืดฟังแล้วรู้สึกจี๊ดขึ้นมา "ตอนนี้ไม่ได้ต้องแทรกซึม แล้วจะขึ้นเตียงทำไม!"

เสี่ยวเกอมองผม ก่อนคลี่ยิ้มแบบที่ทำไม่ค่อยบ่อยนัก พลางเอ่ย "เพราะฉันชอบนาย"

ผมรู้สึกคล้ายในอกเกิดการระเบิดดังตู้ม รู้สึกเหมือนจะเป็นโรคหัวใจขึ้นมากะทันหัน จางฉี่หลิง...จางฉี่หลิง นายมันร้ายกาจ! พูดแบบนี้แล้วฉันจะกล้าโกรธนายได้ยังไงกัน! บัดซบเอ๊ย!

ว่าแล้วก็คิดถึงคำพูดของเสี่ยวฮัว ก่อนนี้นายอ้วนพูดเรื่องกินพืชกินเนื้ออะไรไม่เข้าใจสักนิด แต่คิดว่าคงเป็นคำพูดที่ฝากมาให้เมินโหยวผิง จึงเล่าให้เขาฟัง จากนั้นผมก็มานึกเสียใจที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะจู่ๆ บรรยากาศก็กดดันขึ้นมา จากนั้นผมก็ถูกจูบย้ำๆ ซ้ำๆ ไฟที่มอดลงเมื่อครู่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางเสียงหอบหายใจของตัวเอง เหมือนได้ยินเสียงของเสี่ยวเกอกระซิบเบาๆ "ฝากกลับไป...ได้ทุกเมื่อ"

โอ๊ย พอแล้ว พอ เห็นฉันเป็นเครื่องรับฝากข้อความหรือยังไงกัน มีอะไรพวกนายไปพูดกันเองเถอะ! ผมคิดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงขณะปล่อยให้ตัวเองถูกอีกฝ่ายชักนำ สรุปแล้วคืนนั้นผมไปทำอะไรไว้ก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าถูกทำอะไรลงไป คราวนี้พอกันที หัวเด็ดตีนขาดผมก็จะไม่ยอมเมาอีกเป็นครั้งที่สอง!

ผมครางเสียงต่ำขณะจิกเล็บบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย รอยสักรูปกิเลนปรากฏทั่วร่างกายที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อทำให้รู้สึกใจสั่น ใบหน้าของเขายังคงนิ่งดุจสวมหน้ากากศิลา ไม่ต่างอะไรกับเวลาเขาฟาดฟันกับฝูงบ๊ะจ่าง ผมพยายามเอื้อมมือไปสัมผัส พลางถามด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นด้วยความสงสัย "นาย...ไม่ รู้...ฮึก รู้สึกอะไร...เลยเหรอ"

เขาเอื้อมมือมากุมมือของผมเอาไว้ จากนั้นก็จูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามือ มันไม่เหมือนจูบก่อนๆ ที่เขาจูบริมฝีปากของผม หรือพรมจูบบนร่างกาย มันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกกว่านั้น...จนผมรู้สึกคล้ายคนกำลังจะสำลักตาย ร่างกายร้อนวูบขึ้นมาตั้งแต่ฝ่ามือที่ถูกจูบ ลามไปจนถึงปลายเท้า

...คิดแล้วไม่เมาอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ควรออกบวชเป็นนักพรต ฝึกวิชาเป็นเซียน ตัดโลกีย์ไปเลยน่าจะดี!




+++

END
28/08/2014







Talk Time:

ผู้พันแซOเดอร์นี่เป็นมุกที่มาระหว่างการแชทเรื่องเมาๆ (ฮา) ตลกมาก ไม่ไหวแล้ว น่าขายหน้าขั้นสุด เป็นคุณชายอู๋เมาแล้วเรื้อนซะงั้น

อันนี้ถือเป็นช่วงคั่นเวลานะคะ อ่านแต่เอยูอย่างเดียวคงไม่ดี ← จริงๆ ก็แค่อยากเขียนฟิคที่มันหนุบหนับหยุบหยับบ้างเท่านั้นเอง

สำหรับเราแล้ว ความพยายามในการกดเสี่ยวเกอที่ถึงแม้ในนิยายเล่มแรกจะเขียนว่าเป็นหนุ่มตัวบางเนี่ย มันโคตรยาก โอกาสโดนหักคอก่อนเนี่ย รู้สึกจะสูงเกินไป อีกอย่าง ในนิยายเราอ่านมุมมองของนายเทียนเจิน เห็นได้ชัดว่าฮีไม่เคยคิดอะไรชู้สาวจริงจัง โอกาสวิ่งไปหื่นพุ่งใส่เสี่ยวเกอฟังดูประหลาดอยู่ /โดนปาไม้พายใส่

แต่กับเสี่ยวเกอที่เราไม่เคยเห็นในหัวเลย ฮีออกมาปกป้องอู๋เสียอยู่ตลอดเนี่ย รู้สึก (เอาเอง) ถึงความรักค่ะ ฮา เราเป็นพวก เสี่ยวเกอ → อู๋เสีย (ลูกศรแสดงความสัมพันธ์) ด้วยแหละน้า ก็ถ้าให้เป็นอุเคะที่รักเสะทึ่มข้างเดียว แถมยอมทุกอย่างเพื่อปกป้องเสะ (ที่ส่วนมากไร้ประโยชน์ในการต่อสู้) เนี่ย เสี่ยวเกอน่าสงสารออก

จริงๆ เขียนเรื่องเมาเพราะอยากเขียน อู๋เสีย → เสี่ยวเกอ (ไม่ได้กลับข้าง แค่อู๋เสียแสดงความรู้สึกบ้าง) นี่หว่า เอาเข้าจริงไหงออกทะเล 5555+ เอาไว้จะกลับมาย้อนนะคะ ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ฮา


วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] ตำนานเรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด


"003. ตำนานเรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

ตอนก่อนหน้า: ชมรมของผม || หัวหน้าห้องแซ่จาง || ลูกน้องหกร้อยหยวน

**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**





ในคืนวันหนึ่งอันสุขสงบ คุณชายเชิ้ตชมพูพลันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ แย้มยิ้มงดงาม พลางเอ่ย

รู้ไหม ที่โรงเรียนของเรามีตำนานสยองขวัญอยู่เจ็ดเรื่อง

...เจ็ดเรื่อง?

ใช่ เจ็ดเรื่อง










เรื่องที่หนึ่ง...มีเสื้อนักเรียนอยู่ตัวหนึ่งที่ใครใส่เข้าไปแล้วอยู่ได้ครบกำหนดเวลา จะได้ความฉลาดไม่จำกัด แต่หากถอดก่อนเวลาล่ะก็ เนื้อหนังจะเปื่อยยุ่ย กลายเป็นศพโลหิต ไล่ฉีกกินเนื้อคนเป็นๆ เพื่อดับกระหาย

สอง...ในโรงเรียนของเรามีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ต้นหนึ่งที่หากเอาเลือดสดๆ ของมนุษย์ไปสังเวยก็จะสามารถขอพรอะไรก็ได้...หนึ่งชีวิต หนึ่งคำขอ

สาม....ที่ตึกเรียนสีขาว ด้านในสุดมีประตูห้องที่ทำจากสำริด ข้างในมีบางสิ่งสิ่งบางอย่างที่ว่ากันว่าเก็บซ่อนความลับของ "ทุกสรรพสิ่ง" เอาไว้

สี่...ที่ห้องใต้ดินของตึกร้างหลังโรงเรียน หากหลุดเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้ เว้นแต่จะหากระจกเก่าๆ บานหนึ่งให้พบ...จากนั้นก็นั่งสางผมจนกว่าคนนำทางจะปรากฏกาย

ห้า...ที่สวนหลังโรงเรียนในเวลากลางคืนบางครั้งจะมีหมอกลงจัด ภายในหมอกนายจะได้ยินเสียงกระซิบมากมายดังจากทุกทิศทาง ถ้ามัวแต่ฟังเสียงเหล่านั้น สุดท้ายก็จะกลับออกมาไม่ได้อีกเลย

หก...มีห้องเรียนห้องหนึ่ง...ว่ากันว่านักเรียนถูกฆ่าตายกันยกห้องโดยภารโรงคนหนึ่ง แต่วันต่อมาทุกคนกลับปรากฏตัวมายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนปกติ ถ้าหลุดเข้าไปเมื่อไหร่ จะพบกับการถูกฆ่าแล้วฟื้นเวียนวนไม่รู้จบ

เจ็ด...ในบางครั้ง หากเดินไปตามตึกเรียนในตอนกลางคืน อย่าให้เงาที่เดินไปเดินมาอยู่ในกำแพงเห็นเราเป็นอันขาด ถ้าเริ่มมันเห็นเราครั้งหนึ่ง มันจะค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน ขอแค่ยังมีพื้นที่ให้เงาพาดผ่าน มันจะตามไป








และในเวลานี้ ตำนานนั้นจะกลับมาอีกครั้ง

สะ...เสี่ยวฮัว

...ฮึ ล้อเล่นน่า

แต่ระวังตัวอย่าตกเป็นเหยื่อก็แล้วกันนะ สหาย




+++

TBC
28/08/2014






Talk Time:

ปรากฏเปิดบทนำเสร็จพรุ่งนี้หนีไปเขียนเรื่องอื่น ผ่าง! มุกนี้ได้มาตอนเม้าท์โม้กันเรื่องตำนานที่หกค่ะ (ฮา) คิดว่าจะเขียนไล่ไปทีละเรื่อง มั้งนะ ดูสภาพก่อนค่ะ คือเอาตรงๆ เราเองก็ใช่ว่าจะว่างงานอะลัลล้าหรอกนะคะ (ฮา) มาเขียนนี่ความรักล้วนๆ ค่ะ ไม่มีหื่นเจือปน อั่ก /โดนฟาด

ถ้าใครอ่านนิยายฉบับไทยจนครบเจ็ดเล่ม คิดว่าคงทราบแล้วว่าแต่ละฉากมาจากอะไรบ้าง (ฮา) ถ้ายังอ่านไม่ครบ แนะนำเลือกอ่านเฉพาะตอนที่ตัวเองอ่านแล้วก็ได้ค่ะ (เราจะเรียงให้ตามเล่มเน้ จะได้ไม่สปอยล์)

ตั้งใจว่าจะเขียนสนุกๆ เป็นภาคๆ ไปค่ะ ภาคก่อนคือภาค "ชมรมคัดอักษร" (เดี๋ยวคงมีมาอีก) ส่วนภาคนี้คือ "เรื่องสยองขวัญทั้งเจ็ด" ยังมีภาค "งานโรงเรียน" "ทัศนศึกษา" "การสอบ" ตามมาอีกหลายชุดค่ะ แน่นอนว่าล้อเลียนล้วนๆ ไม่มีหื่นเจื ----- เลิกเล่นได้แล้ว! /โดนฟาดอีกรอบ

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] ลูกน้องหกร้อยหยวน


"001.5. ลูกน้องหกร้อยหยวน"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

ตอนก่อนหน้า: ชมรมของผม || หัวหน้าห้องแซ่จาง

**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



หากพูดถึงหวังเหมิง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่สะดุดตาผู้คน ขนาดลูกพี่ใหญ่ของเขายังต้องใช้เวลาเกือบสิบห้านาทีในการนึกว่าจะอธิบายหน้าตาเขาอย่างไร เขาเป็นคนไม่มีบทบาทหน้าที่อะไรนัก ถามชื่อนี้ไปคนส่วนใหญ่ย่อมไม่ค่อยรู้จัก แต่หากบอกว่า "ลูกไล่ของประธานอู๋แห่งชมรมคัดอักษร" คนจะร้องอ๋อขึ้นมาในทันที พร้อมต่อว่า "นายหกร้อยหยวนน่ะเหรอ"

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสาวๆ ภายในโรงเรียนมีการจัดลำดับชายหนุ่มกันอย่างลับๆ ผู้ชายทุกคนตั้งแต่ผู้อำนวยการยันภารโรงล้วนมีค่าตัวกันทั้งสิ้น บัญชีนี้จะบอกว่าลับก็ลับ จะบอกว่าเปิดเผยก็เปิดเผย อย่างน้อยหน่วยข่าวกรองประจำโรงเรียนหรือคุณชายเชิ้ตชมพูผู้มีใบหน้างดงามคนนั้นก็สามารถบอกค่าตัวของผู้ชายทุกคนได้อย่างถูกต้อง ไม่ขาดไปแม้แต่สตางค์แดงเดียว

หนุ่มๆ ทั้งหลายถึงจะอย่างไรก็ล้วนแล้วแต่อยากรู้ราคาของตนเองทั้งสิ้น จึงเวียนวนกันไปถาม แต่การจะซื้อข่าวกับหน่วยข่าวกรองเช่นคุณชายคนนี้จำต้องมีของแลกเปลี่ยนที่อีกฝ่ายพึงพอใจเท่านั้น ยกเว้นเพียงคนเดียวคือหวังเหมิง ราคาของเขาถูกแสนถูกเสียจนคุณชายที่แสนดีถึงกับยอมบอกให้ฟรีๆ แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย

ประธานอู๋ของหวังเหมิงฟังปุ๊บก็ขำก๊ากทันที จากนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มแซวเขาเป็นนายหกร้อยหยวน...ซึ่งหวังเหมิงก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ฉายานี้ไม่รู้ทำไมไปๆ มาๆ ทุกคนก็รู้จักกันทั้งโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นที่จำชื่อจริงเขาไม่ได้ก็พากันเรียกเขาเป็นนายหกร้อยหยวน แม้แต่อาจารย์บางคนเองก็ยังเรียกเขาแบบนั้น...ซึ่งหวังเหมิงก็ขี้เกียจจะสนใจอีกนั่นแหละ

ในแต่ละวัน งานประจำของหวังเหมิงคือเข้าไปหลับในห้องชมรม ไม่ก็เล่นเกมคอมพิวเตอร์

แต่วันนี้ ที่หน้าคอมเครื่องประจำของเขา กลับมีสาวน้อยหน้าแฉล้มคนหนึ่งนั่งพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอย่างตั้งอกตั้งใจ

สาวน้อยคนนี้คือฮั่วซิ่วซิ่ว หลานสาวของอาจารย์ฮั่ว...หรือที่ทุกคนเรียกกันด้วยความเกรงกลัวว่าท่านอาจารย์ย่า ปกติแล้วเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสตรีไม่ห่างจากที่นี่มากนัก บางครั้งมีเวลาก็แวะมาเยี่ยมเยียนพี่ๆ ที่รู้จัก

แล้วเธอมานั่งทำอะไรที่คอมพิวเตอร์ของชมรมคัดอักษร? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อราวๆ ครึ่งชั่วโมงก่อน

เริ่มจากสาวน้อยแซ่ฮั่วมาหาพี่ชายอู๋เสียแต่เจ้าตัวไม่อยู่ เพราะมัวแต่ไปไล่ตื๊อหัวหน้าห้องแซ่จางให้เข้าชมรม เธอจึงเจอแค่หวังเหมิงที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่

"พี่อู๋เสียไปไหนหรือคะ" เธอเอียงคอมองด้วยดวงตาใสซื่อ หวังเหมิงแม้จะขี้เกียจปานใดก็ยอมรวบรวมพลังงานเล่าให้ฟัง ปกติแล้วเวลาเรียนเขาอยู่คนละห้องกับลูกพี่ก็จริง แต่ชื่อของหัวหน้าห้องแซ่จางค่อนข้างโด่งดัง ทำให้เขาเองก็รู้จักอีกฝ่าย ระหว่างเล่าๆ ไป เขาก็หยุดและชี้ออกไปนอกหน้าต่าง

"นั่นไง...หัวหน้าห้องแซ่จาง"

ในเวลานั้น ให้บังเอิญชายคนที่เป็นหัวข้อในการสนทนาเดินผ่านมาพอดี จางฉี่หลิงกำลังเดินดุ่มๆ ผ่านสนามหน้าห้องชมรมของพวกเขาไป ด้านหลังมีท่านประธานอู๋ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะรั้งตัวไว้...ภาพนี้หวังเหมิงเห็นมาหลายวันแล้ว คาดว่าลูกพี่ของเขาตราบเท่าที่ไม่ได้ตัวสมาชิกคนนี้มาคงไม่ยอมเลิกรา

ฮั่วซิ่วซิ่วมองตามที่อีกฝ่ายชี้ แล้วจู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้นมาว่า "ขอยืมคอมพิวเตอร์ได้ไหมคะ"

ถึงจะงงๆ แต่หวังเหมิงก็ยอมสละเครื่องให้อีกฝ่าย ส่วนตัวเองไปนั่งหลับอยู่แถวๆ โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยกองสมบัติของลูกพี่ อันที่จริงเขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ แต่ฮั่วซิ่วซิ่วมีสีหน้าแน่วแน่มากจนเขาไม่กล้าขัด

หลังจากนั้น ช่วงเวลาที่ลูกพี่ของเขาไล่ตามนายแซ่จางนั่น ฮั่วซิ่วซิ่วก็มักจะมาขลุกในห้องชมรมและใช้งานคอมพิวเตอร์ บางวันถึงกับขนสิ่งที่ดูคล้ายกับกระดานวาดภาพมาต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้วก็ลงมือวาดอะไรใหญ่ เธอเคยบอกเขาว่าเพราะ "กลัวว่าถ้าใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว ท่านย่าจะพบเข้า" หวังเหมิงเลยไม่แน่ใจว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่เพราะขี้เกียจจะไปละลาบละล้วง เขาจึงไม่ได้ถามอะไร

สุดท้ายแล้วช่วงเวลาสุดพิลึกของเขากับแม่สาวน้อยซิ่วซิ่วก็สิ้นสุดลงไปแบบงงๆ เห็นว่าเธอติดสอบวิชาสำคัญ แต่ก็ให้อีเมลตัวเองทิ้งไว้ พร้อมกำชับว่าถ้าลูกพี่ของเขากับหัวหน้าห้องแซ่จางคนนั้นทำอะไรก็ให้ช่วยบอกเธอด้วย

หวังเหมิงยังคงงงๆ แต่ก็ตอบรับคำไปเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร อย่างไรเสียลูกพี่เขาก็เอ็นดูน้องสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย

สุดท้ายแล้วหัวหน้าแซ่จางคนนั้นก็ยอมตกลงมาเป็นสมาชิกของชมรมคัดอักษร บางวันก็โผล่มานั่งเหม่อในห้องชมรมบ้าง นั่งหลับบ้าง สำหรับหวังเหมิงแล้วอะไรก็ไม่สำคัญ ขอแค่ได้นอนกับเล่นเกมก็พอแล้ว แต่ปกติแล้วหวังเหมิงสนใจแค่เล่นเกมจึงไม่เคยเปิดดูแม้แต่น้อยว่าแม่สาวน้อยน่ารักคนนั้นทิ้งอะไรไว้ให้เขา...ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้สักนิดว่าภายในคอมพิวเตอร์ของชมรมคัดอักษร มีระเบิดลูก...ไม่สิ นับสิบลูกแอบซ่อนอยู่ และลูกพี่ของเขาก็เผลอเหยียบโดนไปหนึ่งลูกแล้วด้วย ซ้ำยังเขาใจผิดว่าเขาเป็นคนวางระเบิด

แน่นอนว่าเรื่องบางเรื่อง ไม่รู้เสียย่อมดีกว่า



+++

TBC
27/08/2014






Talk Time:

คั่นกันด้วยเรื่องธรรมดากันบ้างค่ะ (ฮา) เมื่อตอนที่แล้วปล่อยผี (ทะเล) ตัวนี้ร้ายกาจมาก กีบลาดำก็เอาไม่อยู่ /____\ ← จริงๆ ตัวเธอนั่นแหละคือประมุขผี (ทะเล) น่ะ!

ขอพูดอีกรอบว่าเซ็ตนี้จะเขียนแบบเรื่อยเปื่อย อาจจะกระโดดช่วงเวลาไปเลย ไม่ก็ย้อนไปย้อนมา แล้วแต่อยากจะเขียน อ้อ แล้วก็คงลงสลับกับอย่างอื่นบ้างแหละนะคะ

ใครมีอะไรเสนอมาได้นะคะ ยังคงเปิดรับ (บอกแล้วว่าเขียน AU ทั้งทีต้องให้คุ้ม) แต่มีนโยบายเล็กน้อยคือนี่เป็นเว็บเปิดค่อนข้างสาธารณะ คงไม่ถึงขั้นมีฉากผีผ้าห่มจริงจังอะไรขนาดนั้น *ยังไม่อยากไปแก้บลอคให้คนอ่านต้องกดยอมรับก่อนว่า 18 แล้วน่ะค่ะ ฮา* ถ้ามีคงถีบลงรวมเล่มสถานเดียวค่ะ ขอแจ้งกันตรงๆ เน้อ เดี๋ยวจะหาว่าคิดจะขายของขายฉากอย่างเดียว คงหนุบหนับได้ประมาณหัวหน้าจาง (บวกกว่านั้นอีกพองาม) แหละค่ะ อย่างแย่ก็คงแพนกล้องไปที่บ๊ะจ่างข้างฝาผนัง (เป็นจิ้งจกเรอะ!)

จะว่าไปแล้ว เขียนแบบนี้แล้วรู้สึกโลกเจิดจ้าเกินไป อ๊า ขอจูบอีกสักรอบเถอะค่ะหัวหน้าจาง!

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] หัวหน้าห้องแซ่จาง


"002. หัวหน้าห้องแซ่จาง"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)

ตอนก่อนหน้า: ชมรมของผม

**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



อู๋เสีย
วันที่ x เดือน O

การตามหาหัวหน้าห้องแซ่จางไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เขามันเป็นจอมหายตัว ผมต้องถามคนเป็นสิบกว่าจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

ในที่สุดผมก็เจอเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนของโรงเรียน กำลังเขียนอะไรบางอย่างในสมุดจด ทันทีที่ผมเข้าไปใกล้ เขาคล้ายรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นมามอง



หัวหน้าห้องแซ่จางเป็นคนที่มีใบหน้าเด่นสะดุดตา ดวงหน้าของเขาสามารถใช้คำว่างดงามมาบรรยายได้พร้อมๆ กับหล่อเหลา ที่สำคัญคือดวงตาว่างเปล่าเลื่อนลอยของเขาคล้ายมีบางอย่างดึงดูดให้ผมไม่อาจละสายตาไปได้ เขามองผมนิ่งๆ คล้ายจะรอให้ผมเป็นฝ่ายเอ่ย

ผมจึงอธิบายเรื่องทั้งหมด ก่อนเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก "นาย...นายช่วยเข้าชมรมของฉันได้ไหม"

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย "ถ้าได้จูบนาย ฉันจะยอมเข้าชมรมให้ก็ได้"

ผมงุนงงไปหมด ในขณะที่เขากลับยืนขึ้นและเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่นั้นมองผมคล้ายจะถามว่าตกลงไหม

"นาย...จูบฉัน"

เขาพยักหน้า

...ไอ้หมอนี่มีรสนิยมอย่างว่างั้นเหรอ ผมมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ...หน้าตาดีแท้ๆ

เขามองหน้าผม อาจเป็นเพราะสีหน้าผมบอกชัด เขาถึงเอ่ยออกมาห้วนๆ "ไม่งั้นก็ไม่ตกลง"

ผมชะงัก ก่อนมองซ้ายมองขวา ในเวลานี้ไม่มีคนอยู่...เงินชมรมแลกกับจูบเดียวฟังดูไม่เท่าไหร่ ถึงอย่างไรผมก็ผู้ชาย เขาก็ผู้ชาย จูบกันก็ไม่ทำให้ท้องเสียเมื่อไหร่...คิดแล้วผมเลยตอบตกลง "ได้"

ทันทีที่พูดจบ ผมก็ถูกแขนผอมบางของเขาตวัดร่างให้เข้าไปหา จากนั้นก็จูบผม จูบของเขานุ่มนวลมากเสียจนผมเคลิบเคลิ้ม

...แต่หากเรื่องทั้งหมดจบลงแค่จูบเดียวก็คงดี

เขาจูบผมอยู่เนิ่นนาน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกตัวอีกที แผ่นหลังของผมสัมผัสกับผืนหญ้า มีร่างของเขาคร่อมทับอยู่ด้านบนและกำลังฉกฉวยริมฝีปากของผมอย่างไม่รู้อิ่ม แต่แล้วเขาก็ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย พอผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่และโล่งใจที่ทุกอย่างจบลง ริมฝีปากของเขากลับค่อยๆ เลื่อนต่ำลง จากริมฝีปากของผมไล่ลงไปยังซอกคอ ผมตกใจ รีบเอ่ยด้วยเสียงละล่ำละลัก "นะ ไหนว่าแค่จูบ"

เขาไม่ตอบคำ แต่กลับเลื่อนริมฝีปากลงต่ำไปกว่านั้น จากนั้นก็ใช้ฟันค่อยๆ กัดกระดุมเสื้อของผมจนหลุด ดวงตาสีดำว่างเปล่าเลื่อนลอยเหลือบขึ้นมาสบกับดวงตาของผม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มพร่า "...ก็จูบ"

ว่าแล้วริมฝีปากร้อนๆ ของเขาก็สัมผัสบนผิวกายของผม ทุกที่ที่เขาฝังรอยจูบ ผมรู้สึกคล้ายมีใครเอาไฟมาสุม ร่างกายคล้ายสูญเสียการควบคุม สองมือปัดป่ายด้วยความอึดอัด ท้ายสุดเขาดึงมือผมไปคล้องไว้ที่คอหลวมๆ ผมพรูลมหายใจ ได้แต่ปล่อยให้เขาเป็นผู้ชักนำ ขณะหลับตา กลับได้ยินเสียงกระซิบ "มองฉัน"

ร่างของผมสั่นเทิ้ม ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นมองเขา...เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน เสื้อสีขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองเห็นทะลุข้างใน บนร่างของเขามีรอยสีเข้มที่ดูคล้ายกับรอยสักของอะไรบางอย่าง...

เราสองคนสบตากัน ก่อนที่มือของเขาจะค่อยๆ เลื่อนลง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

.
.
.
.
.


"หวังเหมิ -----------------------------------ง"

ผมตะโกนเสียงดังลั่น พลางรู้สึกเจ็บแปลบที่มือขวา ที่แท้แล้วปากกาในมือถูกผมบีบเสียแหลกละเอียด ผมในเวลานี้ยืนตัวสั่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏตัวอักษรเป็นพืด...อ่านต่อไม่ไหวแล้วโว้ย อ่านต่อไม่ไหวแล้ว!

ไอ้นิยายประโลมโลกในคอมของชมรมคือห่าอะไร!!!

ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องชมรมกับนายหัวหน้าห้องแซ่จางคนที่ว่า หลังจากตัดสินใจจะจับเขามาเป็นพวก คืนนั้นผมเตรียมบทพูดไว้มากมาย ถึงขั้นแอบไปถามข้อมูลของเขากับอาสาม แต่ไม่ได้ความอะไรเท่าไหร่ อาสามเตือนผมว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับหมอนั่นมาก ก่อนจะตบท้ายว่าแต่ถ้าชมรมไปไม่รอดเขาจะคิดบัญชีกับผม

สุดท้ายผมรวบรวมความกล้าไปคุยกับหมอนั่น...จาง...จาง...จางจ่างจ้างจ๊างจ๋าง...จางอะไรไม่รู้ เอาเป็นว่าเขาคือหัวหน้าห้องแซ่จาง หมอนั่นมองผม ก่อนจะตอบปฏิเสธ ผมอาศัยลูกตื๊ออยู่สามสัปดาห์เต็มๆ จนในที่สุดเขาก็อ่อนอกอ่อนใจ บอกว่าจะยอมลงชื่อเป็นสมาชิกชมรมของผม แต่ไม่ทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่มีชื่อมาก็พอแล้ว

ผมเลยพาเขามาที่ห้องชมรมเพื่อพริ้นต์ใบสมัครเข้าชมรม ตอนมาถึงหวังเหมิงไม่อยู่ ผมเลยเปิดคอมพิวเตอร์ ปกติคอมเครื่องนี้หวังเหมิงเป็นคนใช้ (เล่นเกม) เสียส่วนใหญ่ ผมจึงหาอะไรไม่ค่อยจะเจอ คุ้ยหาอยู่นานสุดท้ายก็เจอไฟล์เอกสาร  พอคลิกเข้าไปดู แทนที่จะเป็นเอกสารสมัครเข้าชมรม กลับเป็นนิยาย...นิยายห่าอะไรไม่รู้ ทำไมตัวเอกเสือกเป็นประธานชมรมไปขอให้หัวหน้าห้องที่เสือกแซ่จางเหมือนกันอีก นี่ยังไม่พูดถึงเนื้อหานิยายนะ...นี่มันอะไรกันวะ!

แล้วใคร! ใครมันวาดภาพประกอบ! อย่าบอกนะว่าไอ้เจ้าหวังเหมิงสมควรตายนั่น

ผมได้แต่แช่งชักหักกระดูกไปยันบรรพบุรุษรุ่นที่สิบแปดของหมอนั่น กะว่าคราวนี้เจอหน้าเมื่อไหร่ ผมจะจัดการให้หลาบจำ

หัวหน้าแซ่จางหันมามองผมด้วยดวงตาว่างเปล่าเลื่อนลอย เชี่ย เหมือนคำบรรยายในนิยายประโลมโลกของไอ้เจ้าสมาชิกจอมขี้เกียจนั่นไม่มีผิด เขามองผมนิ่งๆ แบบนั้น ก่อนเอ่ย "ถ้าเข้าชมรม ก็จะได้จูบนาย?"

ผมแทบล้มหงายหลัง ขณะที่กำลังจะอ้าปากด่าว่าแม่นายสิวะ...ไปเอาอะไรกับนิยายพรรค์นั้น ผมกลับถูกเขารวบตัวเอาไว้ จากนั้น...จากนั้นเขาก็ประกบจูบลงมา ผมในตอนนั้นช็อคไปหมด

เขาจูบผม...แม่งเอ๊ย ผมถูกจูบ เกิดมานอกจากหมาของปู่ผมก็ไม่เคยถูกจูบมาก่อน แถมอีกฝ่ายดูเป็นผู้ชำนาญการ จูบของเขาทำเอาผมหัวหมุนไปหมด...ไหนในนั้นบอกว่าจูบอ่อนโยนไงวะ...แล้วผมจะเชื่อคำในนิยายไปทำห่าอะไรวะ โว้ย!

จูบกันไปสักพักเขาก็ขบริมฝีปากของผมเบาๆ จากนั้นก็ถอนปากของตัวเองออกเล็กน้อย ผมกำลังจะอาศัยจังหวะนั้นอ้าปากฮุบลมหายใจ แต่เขากลับเข้ามาพร้อม...แม่ง ลิ้น...แล้วทำไมผมต้องเขียนบันทึกอธิบายเรื่องพรรค์นี้ด้วยวะ

ลิ้น...ลิ้นคน ลิ้นอยู่ในปาก...ลิ้นมนุษย์ในปาก

ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้เขาชักนำไปเรื่อย รู้เพียงร่างกายเบาหวิวทรงตัวแทบไม่อยู่ ต้องเกาะแขนของเขาไว้แน่น ในขณะที่เขาเองก็โอบรัดเอวของผมเอาไว้ ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเสียงดังจนน่ารำคาญ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งร่างแนบสัมผัสกับผมอยู่นั้น...หัวใจของเขากลับสงบเยือกเย็น

ดวงตาของผมเบิกโพลง อันที่จริงอยากหลับตา แต่ร่างกายคล้ายไม่ฟังคำสั่ง เราสองคนได้แต่จ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น ดวงตาของเขาน่ากลัว มันว่างเปล่าเกินไป ใสกระจ่างเกินไป...เหมือนไม่มีอะไรบรรจุอยู่ในนั้น

ตอนที่เขาถอนริมฝีปากออก ในหัวของผมก็ขาวโพลน ทันทีที่สองมือปล่อยแขนของเขา ร่างก็ทรุดลงบนพื้นทันที หัวหน้าห้องแซ่จางหันไปหาเครื่องคอมพิวเตอร์ คลิกหาสักพักก็สั่งพิมพ์ใบสมัครเข้าชมรมออกมา เขาหยิบปากกาออกมาเขียนรายละเอียด ก่อนจะส่งให้ผม

"..." ผมรับใบสมัครมาด้วยดวงตาเลื่อนลอย...จางฉี่หลิง...อืม จางฉี่หลิง

"ต้องไปแล้ว" เขาเอ่ย ก่อนจะเดินไปทางประตู แต่ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องชมรม เขาก็หันกลับมาหาผม ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ "...โชคดี"

"..............................................................................."

ทันทีที่ประตูปิดลง ในสมองของผมปรากฏจุดไข่ปลาเป็นจำนวนมาก เมื่อกี้มันอะไร? เมื่อกี้คืออะไร? เมื่อกี้ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรทำไม?

ผมนั่งอยู่กับที่แบบนั้น นอกจากคำถามมากมายที่ไร้คำตอบ ผมก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่

ท้ายที่สุดหวังเหมิงต้องมาตามหาผมที่ไม่กลับไปที่หอพัก จากนั้นก็ช่วยแบกผมที่เอ๋อๆ เบลอๆ สติไม่เต็มเต็งกลับหอ มาคิดแล้วก็น่าเจ็บใจ ผมมัวแต่ตกใจกับเจ้าคนแซ่จางนั่นจนลืมคิดบัญชีกับเจ้าหกร้อยหยวนนี่!

+++

TBC
26/08/2014






Talk Time:

อุตส่าห์เขียน AU ทั้งที ไม่ออกนอกเรื่องทำอะไรสนุกๆ แบบนี้รู้สึกเสียของค่ะ แอ๊~♥

ฉากหวือหวาทั้งหลายนี่เขียนไปขำไป จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นบลอคทวงคืนความเป็นธรรมให้ลูกจ้างราคาหกร้อยหยวนอะน้า *ชี้ไปที่ข้างๆ* เพราะงั้นคนแต่งจริงๆ อาจจะเป็นหวังเหมิงที่มาแก้แค้นเจ้านายด้วยการจับเขียนฟิควายก็ได้ /ใช่ที่ไหนละว้อย!

อนึ่ง ภาพประกอบรอบนี้เป็นความบังเอิญลงล็อคเล็กน้อย (ขำ) ส่วนสีที่เห็นคือเป็นภาคบังคับจากพาเล็ตต์ เสี่ยวเกอเลยต้องใส่เสื้อเชิร์ตชมพูไป (ฮา) ว่าแต่...หวังเหมิงไปเอาภาพมาจากไหนน้า~ อิ

ปูลู สายวาดท่านไหนสนใจรีเควสฟิคกับหวังเหมิง♥ เชิญส่งภาพกันเข้ามาได้ที่ทวิตเตอร์นะค-------- /โดนท่านประธานอู๋ตบสลบด้วยพจนานุกรมก่อนจะพูดจบ

ฮา *โบกมือ* แซวเล่นค่ะ (แต่มาจริงก็ยินดีรับสินบน ←) อันที่จริงมีไอเดียอะไรอยากเสนอก็พูดคุยกันได้ในกล่องคอมเม้นต์นะคะ (หรือทางทวิตเตอร์ก็ย่อมได้ - ไม่สะดวกใจ DM มาก็โอเคค่ะ) เราอ่านทุกอันนั่นแหละค่ะ (เพราะมันมีน้อย ยังไงก็ได้อ่านครบ 5555+) มีอะไรอยากเห็นในชีวิตรักวัยรุ่นของนักเรียนมัธยมอีกก็บอกเล่าเจ็ดสิบกันได้นะคะ♥ อย่างที่บอก ไหนๆ ก็ AU ทั้งที อยากทำอะไรต้องทำให้คุ้มค่ะ ฮิ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Fan-fiction][AU Daomu-High] ชมรมของผม

 

"001. ชมรมของผม"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**



อู๋เสีย
วันที่ x เดือน O

วันนี้ที่ชมรมคัดอักษรของผมก็ยังไม่มีสมาชิกใหม่ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังอยู่รอดได้คือการที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นครูในโรงเรียนนี้หลายคน ที่จริงที่ปรึกษาชมรมของผมก็คืออาสามของผมเอง เห็นว่าชมรมนี้เขากับอาเซี่ยร่วมกันก่อตั้งสมัยยังเป็นนักเรียน ตอนนั้นปู่ผมก็เป็นที่ปรึกษาของชมรมแบบนี้ เรียกว่าเป็นชมรมตระกูลอู๋ก็ว่าได้

แว่วเสียงดังแกรกๆ มาจากด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นสมาชิกเพียงหนึ่งเดียวของชมรมของผมกำลังนั่งคลิกเม้าส์รัวๆ ดูท่าจะเล่นเกมคอมพิวเตอร์อีกแล้ว ไอ้หมอนี่โคตรขี้เกียจ เข้าชมรมมาไม่เล่นคอมก็นอน ไม่เคยทำอะไรเป็นสาระสักอย่าง

"หวังเหมิง นายเลิกเล่นคอมแล้วมาช่วยคิดหาวิธีเพิ่มสมาชิกชมรมหน่อย เป็นงี้ต่อไปชมรมเราถูกยุบแน่"

"ลูกพี่...ไม่มีคนสนใจจะคัดอักษรหรอกครับ" หวังเหมิงตอบกลับมาด้วยเสียงยานคาง "ขนาดผมยังไม่สนใจเลย"

...แล้วแกจะเข้าชมรมนี้มาทำไม ผมกัดฟันกรอดๆ จะด่าก็ไม่ได้อีก เกิดหมอนี่บ้าจี้ลาออกขึ้นมาคราวนี้ผมจะซวยกว่าเก่า อันที่จริงผมกับเขาเป็นรูมเมทกัน ตอนผมตั้งชมรมเลยออกปากชวนเล่นๆ ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะตกลงจริงๆ

หวังเหมิงกลับไปนั่งเล่นเกมต่อโดยไม่สนใจผมที่กำลังนั่งคิด...คิด แล้วก็คิด

ทำยังไงดีนะ ทำยังไงดี

ผมนั่งนึกถึงเพื่อนในห้อง แทบทุกคนผมเอ่ยชวนหมดแล้ว แถมทุกคนก็มีชมรมกันหมดแล้วด้วย พอไล่เพื่อนที่สนิทๆ กันดู...ผมเคยชวนนายอ้วนซึ่งจริงๆ แล้วเป็นรุ่นพี่ซ้ำชั้นมาเข้าชมรม แต่เจ้าหมอนั่นปฏิเสธ เขาบอกว่า "เสี่ยอ้วนคนนี้เป็นดาวของชมรมกีฬา แทบทุกชมรมต้องการตัวฉัน แค่นี้ก็จัดสรรเวลาแทบไม่ไหวแล้ว" ฟังแล้วอยากถุยใส่ ทุกชมรมยกเว้นยิมนาสติกกับว่ายน้ำน่ะสิ

คนต่อมาคือเสี่ยวฮัว หมอนั่นอยู่ชมรมการแสดง แต่ว่างๆ ก็ไปโผล่แถวชมรมชงชา จัดดอกไม้ จริงๆ จะถือว่าเขาเป็นสมาชิกผีของชมรมผมก็พอได้ เพราะนานๆ ทีเขาก็แวะมาเล่นที่ห้องชมรมผม มานั่งคัดอักษรเป็นเพื่อนผมอยู่เหมือนกัน

...ยังมีใครอีกนะ ผมนึก แบบอาหนิงคงชวนมาไม่ได้ แถมถ้ายอมมาจริงๆ ผมคงนั่งบิดตัวไปมาเพราะทนมองไม่ไหว...ไม่เอาๆ เพื่อสุขภาพหัวใจวัยรุ่นของผม อาหนิงไม่ดี อาหนิงไม่ดี

คิดไปคิดมารู้สึกเพื่อนผมจะจำกัดจำนวนเสียเหลือเกิน พูดแล้วก็หดหู่ สมัยมัธยมต้นผมมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย ตอนนี้นับด้วยนิ้วมือก็เหลือแหล่

นี่ถ้าพี่พานจื่อยังเรียนไม่จบก็ดีหรอก ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์สอนวิชาพละของผมไปแล้ว แต่วันๆ ถ้าว่างจากการสอนก็ไปเป็นทาสรองมือรองตีนอาสามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

คิดไปคิดมาผมก็พบว่าตัวเองเหลืออยู่แค่ตัวเลือกเดียวคือหัวหน้าห้องแซ่จาง...เขาเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่มีชมรม จริงๆ แล้วดูจากนิสัยเข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้างของเขาแล้วสักพักไม่มีโต๊ะให้นั่งก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย แถมคนในห้องก็ดูจะชินกับการที่เขาหายตัวไปแล้ว ถึงขั้นถ้ามีงานของหัวหน้าห้อง ก็เดินไปเรียกรองหัวหน้ากันโดยอัตโนมัติ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นหมอนั่นถึงเป็นหัวหน้าได้ วันเปิดเทอมวันแรกผมดันหลับจนลืมว่าเปิดเทอมแล้ว ดีที่ไม่มีใครสนใจมากนัก อาสามถามผมก็บอกไปว่าท้องเสีย

อันที่จริงผมไม่ค่อยชอบคนแซ่จางคนนี้เลย แต่ลองไปชวนเข้าชมรมสักหน่อยก็คงไม่เลว อย่างน้อยมีสมาชิกชมรมครบสามคนก็ขอเบิกค่าใช้จ่ายเพิ่มได้ไม่น้อย

ดีล่ะ...เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะลองชวนเขาดู

+++

TBC
25/08/2014






Talk Time:

คราวนี้มาเปิดเป็น AU (โลกสมมติที่อิงคนละเซตติ้งกับเนื้อเรื่องหลัก) ค่ะ ตั้งใจจะเขียนเล่นเป็นซีรี่ส์ การเรียงตอนไม่มี เวลาอาจกระโดดขึ้นๆ ลงๆ

เต้ามู่ไฮเป็นโรงเรียนอะไร ใครทำอะไรอย่างไรนั้น ก็โปรดติดตามกันยาวๆ ค่ะ เพราะคงลงยาวแหละน้า

สถานที่เป็นโลกสมมติสุดๆ โรงเรียนคงออกไปแนวๆ ญี่ปุ่นสักหน่อยละนะคะ *สารภาพ* แต่นี่กำลังคิดว่าไหนๆ ก็เป็นประเทศสมมติแล้วเลิกเรียนไปกินหมูกระทะกันสักหน่อยก็คงไม่เลว *เดี๋ยวก่อน*

ยังผิงเสียเหมือนเดิมค่ะ (อ่านฟิคในบล็อคกันมาขนาดนี้คิดว่าคงทราบกันแล้ว ฮา) ว่าแต่ผิงเสีย แล้วไหงตอนแรกถึงมีหวังเหมิงอีกแล้วล่ะ แง

ตอนหน้าไปดูลีลาการเชิญชวนสมาชิกชมรมของท่านประธานอู๋กันค่ะ...หรือไม่ก็อาจจะโดดไปตอนอื่นเลย *เป็นเรื่องฮารุฮิเรอะ*

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][吴邪] What dream may come

 

"What dream may come"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: -


**(a little bit) Spoiler Warning**




ผมน่าจะเชื่อคำเตือนของเหลาหย่าง

ไม่สิ ต่อให้เชื่อแล้วยังไง บนโลกนี้มีสักกี่คนที่ควบคุมความคิดตัวเองได้สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นเมินโหยวผิง คนที่วันๆ เอาแต่นั่งนิ่งเงียบเหมือนก้อนหินริมกำแพงวัดร้าง  และแน่นอนอีกเช่นกัน ในบรรดาคนทั้งหมดนั้น ไม่มีทางมีชื่อของผม

ตอนนั้นเหลาหย่างยังบ่นผมอุบอิบ ตบหน้าสลับโบกกบาลผมเป็นระยะ ประโยค 'ในหัวของนายมีแต่อะไรกันนะ' ยังคาใจผมถึงวันนี้ คนที่ตั้งชื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณด้วยคำชวนให้ฟ้าผ่ามีสิทธิ์พูดใส่ผมด้วยรึ!

ผมจับเครื่องบินไปหานายอ้วนที่ปักกิ่ง ระหว่างนี้ได้แต่นั่งรอเงียบๆ บนเครื่อง ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ สูบบุหรี่ไม่ได้ ผมร้อนใจแทบบ้า ได้แต่นึกทบทวนว่าตัวเองทำพลาดไปตอนไหน

เรื่องทั้งหมดอาจเริ่มจากที่เมื่อคืนนี้ เพื่อนคนหนึ่งโทรศัพท์มาชวนไปงานเลี้ยงรุ่น พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบสักพัก หมอนั่นก็เปรยขึ้นมาว่า เพื่อนรุ่นเราแต่งงานกันไปหลายคน แต่คุณชายน้อยอย่างผมไม่มีแม้แต่แฟนสาว แบบนี้จะเอาลูกที่ไหนมาสืบทอดตระกูล

หลังวางโทรศัพท์ ผมก็เริ่มวิตกขึ้นมาเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ พลันคิดถึงเหลาหย่างขึ้นมา หมอนั่นแม่งไม่น่าเดินทางผิด ริอาจไปคว่ำกรวยตักดินทั้งที่ไม่มีประสบการณ์

ผมได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะเรียกหมอนั่นว่ายังไง เซี่ยจื่อหยางในถ้ำนั่นคือเพื่อนของผมแน่นอน แต่ "เหลาหย่าง" ที่ส่งจดหมายนั่นมาถึงผมก็ไม่เชิงว่าไม่ใช่ แต่ยังไงก็บอกว่าใช่ไม่ได้อยู่ดี จากนั้นผมไพล่คิดไปถึงต้นไม้ทองสำริด เหลาหย่างบอกว่าพลังนี้จะติดตัวผมไปสักพัก แต่จะอ่อนจนไม่รู้สึกตัว แล้วถ้าผมเกิดอุตริอยากเสกเด็กขึ้นมา พรุ่งนี้เช้าจะมีตะกร้าใส่ทารกวางทิ้งไว้หน้าประตูบ้านรึเปล่า

คิดโน่นนี่ไปนานแค่ไหนก็จำไม่ได้ ผมหลับไปทั้งที่ยังคิดถึงต้นไม้สำริดอยู่ ซ้ำยังเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ ว่าเหลาหย่างส่งจดหมายมาอีกฉบับ เนื้อความมีแค่ประโยคเดียวสั้น ๆ

"ฉันท้อง ลูกของนาย"

ผมช๊อกจนตื่นขึ้นมากลางดึก หันไปมองนาฬิกาพบว่ายังเหลือเวลานอนอีกค่อนคืน ไม่ทันคิดมากอะไร นอนต่อทั้งแบบนั้น ใครจะไปรู้ได้ว่าความฝันสมัยนี้มีออโต้เซฟด้วย ผมเห็นนายอ้วนเดินเข้ามาหาถึงข้างเตียง จากนั้นดันทำทีท่าลับๆ ล่อๆ จนผมต้องยอมเอียงหูให้กระซิบ ซึ่งโคตรคิดผิด อยากด่าทอตัวเองอีกล้านรอบ จะฝันห่าอะไรก็ควรมีขอบเขตบ้าง!

'เสี่ยวอู๋ ฉิบหายแล้วว่ะ เสี่ยอ้วนท้อง' พอฟังถึงงองูจากคำว่าท้อง ผมก็สะดุ้งตื่นอีกรอบ เสื้อเต็มไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อน หันไปมองนาฬิกา เพิ่งผ่านไปสามสิบนาทีเท่านั้น คราวนี้ผมตัดสินใจโต้รุ่งแม่งแล้ว

เหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า ผมเปิดคอมเช็กอีเมล จากนั้นก็เข้าเว็บก๊อกแก๊กหาข้อมูลไปเรื่อย ในใจพลันคิดถึงเสี่ยวเกอ ไม่รู้เขาตามหาอดีตของตัวเองมายังไงบ้าง แต่ให้นึกภาพเสี่ยวเกอคนนั้นเดินท่อมๆ ตามถนนถามคนอื่นว่าเคยรู้จักเขาไหม ผมก็นึกไม่ออกจริงๆ ปกติวันหนึ่งเขาพูดกี่คำ ยังสามารถบันทึกลงกระดาษแผ่นเท่าฝ่ามือได้ ให้เขาเดินมุดเข้าสุสานทั่วแผ่นดินใหญ่เพื่อหาฮวงซุ้ยบรรพบุรุษยังง่ายกว่า

ไปๆ มาๆ ผมก็อยากเห็นหน้าครอบครัวเขาเหมือนกัน คนแบบเขาควรโตมาในบ้านแบบไหน ไม่แน่ว่าอาจมีพี่สาวหลายคนช่วยกันแย่งพูด น้องชายคนเดียวถึงได้สงบปากคำ เชื่อฟังดีชะมัด นึกแล้วก็อยากเห็นหน้าพี่สาวของเมินโหยวผิง ต้องเป็นสาวงามหุ่นดีที่เหมาะกับชุดกี่เพ้าแน่นอน

ยังไม่ใกล้เวลาฟ้าแจ้ง ถนนด้านนอกปราศจากเสียงรถรา ได้ยินเสียงแมลงกลางคืนร้องเป็นระยะ ผมยิ่งคิดยิ่งเพลิน สนุกกับการจินตนาการครอบครัวของเขา คนหน้านิ่งที่เห็นสาวงามตัวเป็นๆ สำคัญน้อยกว่าสาวงามในหลุมแบบเขาคงโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยสาวงามยั้วเยี้ย เหมือนหนอนบุ้งในสนาม อะไรที่มากเกินพอดีก็เป็นพิษ

ไอ๊หยา เขาคงไม่ได้หันมาชอบผู้ชายแทนมั้ง ที่น่าเป็นไปได้คือ น้องชายคนเล็กโดนเหล่าพี่สาวแสนสวยรังแกทั้งวันคืน เคราะห์ดีที่เขามีแรงใจกล้าแข็ง สามารถสร้างโลกขึ้นอีกแห่งในใจ ชีวิตเขาถึงได้พบความสงบเสียที

ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ผมรู้สึกสงสารเขาขึ้นหลายส่วน มิน่าล่ะ หมอนี่ถึงได้ชอบเปลี่ยนตัวเองเป็นหิน แต่หินเย็นๆ แข็งๆ นี่ก็ดันเป็นหินหยกเสียด้วย ไอ้หนุ่มหน้าหยกนี่ถึงได้มีสาวแลไม่เคยขาด

ผมตั้งใจว่าคราวหน้าที่ปลีกตัวไปเยี่ยมทางโน้นได้ จะสอนเขาใช้อินเตอร์เน็ตโหลดคลิปดู เขาจะได้เลิกนั่งเหม่อฟุ้งซ่านในโลกของตัวเอง เรื่องนี้ไม่กล้าไหว้วานนายอ้วน ขานั้นคงสอนแต่วิธีเข้าเว็บโป๊ เดี๋ยวเสี่ยวเกอเจอมหกรรมภาพเปลือยสาวสวยแล้วอาการทางสมองกำเริบกว่าเดิมคงน่าสงสารแย่ แค่นี้เขาก็ไม่สามารถแต่งงานกับสาวสวยที่ไหนได้แล้ว เพราะมองแล้วทำให้นึกถึงเหล่าพี่สาวใจโหด เมินโหยวผิงเอ๋ยเมินโหยวผิง เชื้อสายหนุ่มหน้าหยกของนายน่ากลัวว่าจะสิ้นสุดลงแค่นี้

พลันผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่กลางแสงสีทองแห่งความรู้แจ้ง ขนาดไอ้หนุ่มหน้าหยกแบบเขายังไม่อาจแต่งงานกับสาวที่ไหนได้ ผมที่เป็นแค่บัณฑิตไก่อ่อนจะไร้แฟนก็ไม่แปลกนี่นา ส่วนนายอ้วนน่ะช่างเถอะ ดูแล้วก็น่าจะอยู่เป็นหนุ่มโสดแบบผม ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอื่นภายในสิบยี่สิบหรือสามสิบปีแน่ เอาวะ คราวหน้าใครทักเรื่องนี้อีก ผมจะเอาเสี่ยวเกอมาเป็นเคสตัวอย่าง ว่าไม่ใช่ไม่มีแฟนเพราะไร้น้ำยา แค่หาคนที่ดีพอเหมาะกับตัวเองไม่ได้ต่างหาก

ผมรู้สึกเหมือนแก้ปัญหาตัวเองสำเร็จ โล่งใจเป็นบ้า ขนาดอารองยังไม่เคยคาดคั้นเรื่องนี้กับผมเลยแท้ๆ ทำไมเพื่อนพวกนั้นต้องมาเดือดร้อนแทนด้วยวะ ไม่มีทายาทแล้วทำไม คุณชายอย่างผม ต่อให้อายุสามสิบหรือสี่สิบก็มีปัญญาหาสาวแต่งงานได้หรอกน่ะ ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่เจอกี่ราย ถ้าไม่ใช่หลอกใช้ผม ก็คือผีสาวทั้งนั้น ช่วงนี้คงดวงตกไปหน่อย รอพ้นคราวเคราะห์ได้ ต่อให้เป็นพี่สาวในชุดกี่เพ้าของเมินโหยวผิงก็...

แล้วผมก็ตื่นอีกรอบเพราะเสียงนาฬิกาปลุก

ใช้เวลาสิบวินาทีเพื่อรู้ตัวว่าผมหลับอยู่แต่แรกแล้ว ใช้เวลาอีกสิบนาทีเพื่อรู้ตัวว่าผมอาจสร้างปัญหาขึ้นมาเหมือนแม่ของเหลาหย่าง ผมรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ ลืมแม้แต่ผ้าเช็ดตัว รีบเช็ดฟองบนมือใส่ผ้าแถวนั้นแล้วกดมือถือไปหานายอ้วน

เชี่ยแม่ง! ไม่รับสักที จะให้โทรเข้าโรงพยาบาลก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ให้พูดว่าเมื่อคืนผมฝันไม่ดี อยากให้พวกคุณวิ่งไปเช็กคนไข้ให้ผมสักคน อะไรแบบนั้นเรอะ

สุดท้ายผมตัดสินใจโทรไปบอกให้หวังเหมิงจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่ใกล้ออกที่สุด ไม่ลืมสำทับว่าให้คำนวนเวลาไปสนามบินด้วย ถ้าจองตั๋วลำที่ผมขึ้นไม่ทัน จะหักเงินเดือนแทนแน่ จากนั้นผมก็รีบเข้าห้องน้ำไปล้างตัวแล้วโยนของจำเป็นเข้ากระเป๋า ตอนแรกว่าเร็วๆ นี้จะไปเยี่ยมพอดี รวบยอดเลยแล้วกัน

ระหว่างเดินทางไปสนามบิน ผมโทรหานายอ้วนอีกหลายรอบ หมอนั่นมัวทำบ้าอะไรอยู่ถึงไม่รับสักที ถ้าไม่ใช่เรื่องดีก็คงแย่สุดๆ ซึ่งโดยสถิติของผมแล้วมักเป็นอย่างหลัง

อยู่บนเครื่องบิน ได้แต่นั่งรอ ผมพยายามคิดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น ดีที่สุดคือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ร้ายที่สุดคือเสี่ยวเกออยู่ในชุดกี่เพ้ากำลังนั่งเลี้ยงลูกของนายอ้วน เดี๋ยวสิ นั่นไม่นับว่าร้าย นายอ้วนมีทายาทถือเป็นเรื่องดี เสี่ยวเกอในชุดกี่เพ้าก็นับว่าน่าสนใจ ผมลองคิดใหม่ แล้วอะไรคือร้ายที่สุด อาจเป็นนายอ้วนในชุดกี่เพ้ากำลังนั่งให้นมเด็กทารกที่เป็นลูกของเสี่ยวเกอกับผม

แค่ลองนึกภาพดูก็แย่แล้ว ผมส่ายหน้ารับไม่ได้กับจินตนาการของตัวเอง

พอพนักงานประกาศให้ปลดเข็มขัดได้ ผมรีบดึงกระเป๋าจากช่องเก็บด้านบน เดินไปต่อคิวเตรียมลงเป็นคนแรก พยายามคุมสีหน้าให้เรียบเฉย ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มไปหมด เมื่อครู่พอได้อยู่ท่ามกลางคนปกติสักพักถึงนึกได้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เกิดจากความผิดของผมล้วนๆ จะเป็นเสี่ยวเกอคลอดหรือนายอ้วนคลอด ผมคงต้องรับผิดชอบเป็นพ่อเด็กแน่แล้ว หนึ่งคือแม้แต่ตัวเองเสี่ยวเกอก็ยังไม่ค่อยสนใจดูแลด้วยซ้ำ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะเลี้ยงดูทารกได้ยังไง สองคือกับนายอ้วนแล้ว ผมฝากฝังชีวิตตัวเองได้แต่ฝากเขาดูแลชีวิตอื่นตลอดไปไม่ได้ ขนาดเสี่ยวเกอที่เลี้ยงดูง่ายขนาดนี้ นายอ้วนยังบ่นว่าไม่สะดวก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้เขาเลี้ยงเด็กทารกสักคน

ความจริงมันอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างแค่ผมเพ้อเจ้อแล้ววิตกไปเอง แต่ผมอยากเตรียมใจไว้ก่อน พอเจอปัญหาจริงจะได้รับมือทัน ดังนั้นจึงปล่อยตัวเองให้วิตกเรื่องนั้นเรื่องนี้จนครบทุกแง่มุม

ผมเดินทางถึงโรงพยาบาลด้วยเวลาที่สั้นเป็นสถิติใหม่ เดินจ้ำจนแทบเป็นวิ่งไปห้องผู้ป่วยของนายเมินโหยวผิง เปิดประตูผ่างกะไม่ให้พวกนั้นมีเวลาหลบซ่อนตัวได้ ...ฉิบหาย! ทำไมไม่อยู่ในห้องกันวะ ผมหลุดสบถเสียงดังตอนที่เมินโหยวผิงเปิดประตูห้องน้ำพอดี

เราสองคนชะงักด้วยความไม่คาดคิด ยืนห่างกันแค่คืบ ผมเห็นนัยน์ตาเขาไหววูบเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ ก่อนที่เขาจะหลุดปากถามขึ้นมาลอยๆ เสียงเบาหวิว

"นายมาทำอะไรที่นี่"

ผมแทบกระอักเลือดแล้วกัดลิ้นตัวเอง นายจะให้ฉันตอบยังไงวะ บอกว่ามาต่อคิวเข้าห้องน้ำรึไงมิทราบ! ทุกทีที่เจอหน้า นายก็เอาแต่นั่งเหม่อ ตอนที่ฉันมีสาเหตุน่ากระอักกระอ่วนใจนายดันมาถามซะได้!

ผมพยายามเรียกหาสติ ขุดคำพูดมาตอบเขาจนได้ในที่สุด  "ช่วงนี้งานไม่ยุ่ง ฉันเลยมาเยี่ยม นาย...นายเป็นยังไงบ้าง แล้วทำไมถึงอยู่คนเดียว หมอนั่นไปไหน"

เมินโหยวผิงกลับไปจ้องผมด้วยดวงตาใสกระจ่างปราศจากความรู้สึกเช่นเดิม  "ไปข้างนอก"  พูดจบเขาก็เดินไปนั่งเก้าอี้พิงหน้าต่างเหมือนที่ทำบ่อยๆ เป็นอันว่าบทสนทนาสิ้นสุดลงเท่านี้ ทุกอย่างคงเป็นปกติแน่แล้ว

ผมถอนหายใจ เดินไปลากเก้าอี้มานั่งเหม่อเป็นเพื่อนเขาระหว่างรอนายอ้วน ไม่มีปัญหานับเป็นเรื่องดีที่สุด ความจริงแล้วในหัวใจแอบเสียดายนิดๆ ที่อดเห็นพี่สาวแสนสวยในชุดกี่เพ้า แต่ไม่เสียดายสักนิดที่ไม่เห็นนายอ้วนในชุดชั้นใน...ฟุ้งซ่าน! ผมตบหน้าตัวเอง เมินโหยวผิงหันมาจ้องผม ตาเบิกตากว้างขึ้นนิดหน่อย แต่ผมรู้ว่าเขาตกใจมากทีเดียว

เห็นเขาสีหน้าไม่ปกติ ผมรู้สึกกังวลอย่างร้ายกาจ ร่างกายจดจำไว้แล้วว่าถ้าเมินโหยวผิงมีสีหน้าผิดปกติ ผมต้องเตรียมวิ่งหนีหรือเตรียมสู้แลกชีวิต แต่อยู่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ คงไม่ต้องกังวลเรื่องด้วงศพ หรือผีแม่ย่า กระนั้นผมก็ยังรู้สึกเสียวหลังวูบๆ

โชคดีที่นายอ้วนกลับมาตอนนั้น บรรยากาศจึงเริ่มผ่อนคลายขึ้นในไม่นาน ผมหยุดคุยทักทายพวกเขาอยู่ค่อนวัน จากนั้นขอตัวกลับร้าน นายอ้วนบ่นอุบว่าผมจะมาทำไมถ้าอยู่คุยแค่นี้ ผมแม่งก็อยากบ่นเหมือนกันว่าผมคงไม่ต้องถ่อมาถ้าเขารับโทรศัพท์แต่แรก

ผมนั่งรอเครื่องเที่ยวกลับประกาศเรียก คิดถึงเหลาหย่างอีกหน มีพลังเหลืออยู่บ้าอะไรวะ เพ้อเจ้อโคตร เมื่อคืนคิดไปตั้งหลายอย่างไม่เห็นเป็นจริงซักอย่าง ที่บ่นนี่ไม่ใช่ว่าเสียดายหรอกนะ

กลับถึงร้าน เห็นหวังเหมิงยังนั่งขี้เกียจอยู่ท่าเดิมก็นึกหมั่นไส้ นายนี่ชักจะขี้เกียจแบบหลุมไร้ก้น พอด่าไป เจ้าลูกน้องตัวดีก็พูดเนือยๆ กลับมาว่าร้านไม่มีคน จะเก๊กขยันให้ใครดู ขนาดเจ้านายยังไม่อยู่ดู

ผมอยากเตะหวังเหมิงให้กลิ้งไปถึงทะเลสาบซีหู ติดขัดที่กลัวว่าหมอนี่จะขี้เกียจว่ายน้ำจนยอมจมอยู่ข้างใต้ วันนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์จะงมลูกน้องเสียด้วย

หวังเหมิงเดาสีหน้าผมออก รีบพูดเปลี่ยนเรื่องทันที "วันนี้มีจดหมายส่งมาถึงเจ้านายหนึ่งฉบับ" หมอนั่นพูดพร้อมยื่นซองจดหมายหน้าตาธรรมดามาให้ ผมเห็นชื่อผู้ส่งแล้วหนังตากระตุกยิบๆ ทันทีอย่างไร้สาเหตุ

จดหมายจากเหลาหย่าง

ในซองจดหมายสีขาวธรรมดา มีโปสการ์ดหนึ่งใบ เป็นภาพเหลาหย่างยืนอยู่ในร้านเช่าแผ่นอย่างว่า กำลังประคองอุปกรณ์อย่างว่าชิ้นหนึ่งขึ้นมาพิจารณา ด้านหลังโปสการ์ดเขียนไว้สั้นๆ ว่า

"ดุ้นนี้ที่ฉันรัก"

ไอ้หอกหักหัวกรวย! ส่งภาพเชี่ยอะไรมาวะ! เสนียดตา!

ผมรีบเก็บโปสการ์ดเข้าซอง ในใจก็ด่าบริภาษไอ้เพื่อนเหี้ยอย่างยืดยาวไม่จบสิ้น หวังเหมิงที่ยืนใกล้ๆ ทำหน้าอ้าปากเหมือนกำลังจะพูดบางอย่าง ผมชิงตบกบาลแทนก่อน พร้อมกับคาดโทษว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้ากล้าทำหลุดออกจากปากเมื่อไหร่จะหักเงินเดือนนาย หวังเหมิงหุบปากแล้วกลับไปนั่งเขี่ยเกมคอมพิวเตอร์ต่อทันที

เชี่ยแม่ง!! เหลาหย่าง!!

หลอกคนอื่นไปใช้งานแล้วไม่รู้จักสอนวิธีใช้มาด้วยวะ!! จินตนาการพ่องเลือกออกมาเฉพาะเรื่องเฮงซวยที่สุดได้ด้วย!!

ผมได้แต่ส่งคำด่าทอกราดเกรี้ยวในใจ หวังว่าจะถึงไอ้อดีตเพื่อนคนนั้น ที่ผมตัดสินใจแล้วว่าสมควรเลิกนับมันเป็นมนุษย์ร่วมโลกนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป



+++

END
24/08/2014







Talk Time:

...เอ๊ะ...นี่มันฟิคอะไรกัน นี่มันแพร์ริ่งไหนนนนน แงงงงงงง *ร้องไห้*

ตอนแรกว่าอยากเขียนฟิคลวนลามเสี่ยวเกอน่ะค่ะ.... เริ่มที่ความอยากลวนลามร่างกายของเสี่ยวเกอน่ะค่ะ.... ก็เลยเป็นแทคผิงเสีย........... แล้วเหลาหย่างนี่มาจากไหน ทำไมยิ่งเขียนยิ่งเยอะ สรุปแล้วมันควรจัดประเภทเป็นแพร์ริ่งอะไรรรรรรร!!! *กรีดร้องอยู่คนเดียว*

ก็ตั้งใจแต่งผิงเสีย เลยใส่แทคผิงเสียไปแล้วค่ะ แต่อ่านๆ ไปแล้วก็สงสัยว่าจะเป็นเสียผ--- *โดนตบตี*

ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแต่งฟิคที่ลวนลามเสี่ยวเกอด้วยต้นไม้ทองสำริดน่ะค่ะ ตั้งใจว่าจะจับเสี่ยวเกอที่ไร้พิษสง (?) มาคอสเพลย์แล้วโดนกระทำย่ำยีไปเรื่อยๆ ด้วยแท่งไม้วิเศษ! วะฮ่า! ...ไหงออกมาเป็นฟิคแบบนี้ได้... *ร้องไห้* คำหยาบก็หลุดออกมาเต็มไปหมด *หลบตา*

ประโยคพูดในเรื่อง ทั้งของเหลาหย่างและเสี่ยวเกอ เป็นประโยคออริจินอลจากคุณหนานไพ่ซานซูจริงๆ นะคะ (ฮา) ใครจำของเสี่ยวเกอได้นี่ไม่แปลก อีเวนท์สุดโมเอะที่สาวส่วนมากจะตกหลุมกับดัก อ่านวนๆ ไม่ยอมพลิกหน้าถัดไปเสียที

แต่ใครจำของเหลาหย่างได้นี่....คุณเป็นติ่งเหลาหย่างค่ะ ยอมรับเถอะ!

ปล. ไทม์ไลน์คิดไว้ว่าประมาณรอยต่อของภาค ในช่วงเล่ม 6 ไทย ไทม์ไลน์ยอดฮิตค่ะ (ฮา)

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Turn back

 

"Turn back"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




การแยกจากกันไม่เจ็บปวดเท่าการที่ผมกลับมาย้อนถามตัวเองซ้ำๆ ว่าการที่เราพบกันเป็นความผิดหรือเปล่า

...ถ้าหมุนทวนเวลากลับไปได้ ผมจะเดินตามเส้นทางเดิมไหม




"หวังเหมิง" ผมเอ่ยขึ้นมาในวันที่ด้านนอกเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ปกติฝนถือเป็นตัวทำลายการค้าชั้นเยี่ยม แต่คราวนี้ฝนตกหนัก  อย่าว่าแต่ลูกค้าเลย ขนาดร้านค้าเองยังต้องปิดประตูเพราะเกรงฝนจะสาดเข้ามาทำให้สินค้าเสียหาย ร้านของผมเองก็เช่นกัน

"คร้า-บ วันนี้จะเล่นถามตอบอะไรอีก" หวังเหมิงละสายตาจากเกมคอมพิวเตอร์ที่เล่นอยู่

ผมนึกคันเท้าอยากเตะคนที่สุด น่าเสียดายที่หมอนั่นนั่งอยู่ไกลเกินไป และผมก็ขี้เกียจจะลุก จดหนี้ไว้ทีเดียวก็แล้วกัน ที่ผ่านมาเวลามีเรื่องติดอยู่ในใจ ผมมักจะเอ่ยถามลอยๆ ไป ไม่นึกว่าเจ้าสมองกลวงนี่จะคิดว่าเป็นการเล่นถามตอบไปแล้ว มันน่านัก

"เจ้านาย?"

ผมกระแอมไอ ก่อนจะถาม "สมมติถ้าเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นายอยากกลับไปแก้ไขเรื่องไหน"

เจ้านั่นกะพริบตา ทำหน้าโง่ๆ (จริงๆ ปกติก็หน้าตานี้อยู่แล้ว) ก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ย "ไม่มีอะไรที่นายอยากแก้ไขเลยเหรอ"

"ต่อให้วันนั้นผมต่อขอค่าจ้างมากกว่าหกร้อย เจ้านายก็ไม่ยอมอยู่แล้ว"

"..." ผมแทบร่วงจากเก้าอี้ ผ่านมาจากตอนนั้นหลายปี นี่อุตส่าห์ขึ้นเงินเดือนให้แล้ว ยังจะเอาเรื่องนี้กลับมาย้อนกันอีก

"ในเมื่อผมเป็นคนเดียวที่ย้อนเวลากลับไปได้ ถึงอยากเปลี่ยน แต่ฝ่ายตรงข้ามยังเป็นเหมือนเดิม ก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมละครับ"

ผมนิ่งไป...ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังเป็นเหมือนเดิมงั้นหรือ

"อย่างน้อยนายก็ไปสมัครร้านอื่นได้นี่นา"

"ถ้าร้านอื่นเขารับผมก่อนหน้านี้ ผมคงไม่ตกลงกับหกร้อยหรอก"

"..." ผมเกือบจะร่วงจากเก้าอี้เป็นรอบที่สอง

"ถ้าเรากลับไปยืนที่จุดเดิม ต่อให้รู้ทุกอย่าง ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนอะไรได้นี่นา"

ผมครางรับในลำคอ ตอนแรกคิดว่าการเล่นถามตอบ...บ้าอะไร ผมเรียกเล่นถามตอบตามหวังเหมิงไปทำไม เอาเป็นว่าบทสนทนาควรจะจบแค่ตรงนี้ แต่จู่ๆ หวังเหมิงกลับเอ่ยถามกลับมา "แล้วเจ้านายล่ะ"

"หืม"

"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะกลับไปแก้เรื่องไหน"

ในหัวของผมผุดภาพมากมายนับไม่ถ้วน เรื่องที่ผมรู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดและอยากกลับไปแก้ไขมีมากมาย ก่อนที่ทุกเรื่องจะถูกปัดทิ้งไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ถึงนึกแล้วเสียใจ...แต่ส่วนหนึ่งในใจของผมก็ค้านว่าเสียใจอย่างไรผมก็ไม่มีพลังที่จะย้อนเวลากลับไปได้ นี่เป็นแค่คำถามที่หวังเหมิงถามกลับเท่านั้น

พอมีความคิดนี้แทรกเข้ามา ผมก็มักจะคิดว่า 'ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว' เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลับไปแก้ไข ในเมื่ออย่างไรก็กลับไปแก้ไขไม่ได้

แต่อีกความคิดก็จะเข้ามาแย้งว่า นี่เป็นแค่สถานการณ์สมมติเท่านั้น

ความคิดของผมตีกันไปมายุ่งเหยิงไปหมด ท้ายที่สุด ภาพติดค้างในใจของผมมีเพียงเรื่องเดียว

'เขา'

ที่ผ่านมา เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมทั้งหลายล้วนผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ผมพบผู้คน รู้จักผู้คน แยกจากพวกเขา ซึ่งผมปราศจากความรู้สึกติดค้างใดๆ...ยกเว้นเขา

เขาทำให้ผมต้องถามตัวเองหลายครั้ง

การที่เราพบกัน มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ หรือ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมไม่รู้จักเขาดีกว่าไหม ปล่อยเขาเป็นแค่ลูกจ้างของอาสาม เป็นคนที่บังเอิญพบกันตามที่ต่างๆ เขาหายไปในอุกกาบาตนั่นก็ปล่อยเขาไป

...แบบนั้นดีกว่าไหม

พอคิดแบบนั้น ผมก็จะเริ่มเถียงตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องของบุคคล แต่เป็นมนุษยธรรม เพื่อนมนุษย์ที่รู้จักกันเดือดร้อนก็ย่อมต้องช่วยเหลือ...

แต่ภาพที่ปรากฏในสมองของผมกลับเป็นภาพรอยยิ้มจางๆ ของเขา

"เจ้านาย?"

เสียงเรียกของหวังเหมิงดึงสติของผมกลับมา ผมกะพริบตา ก่อนจะโบกมือ "ย้อนเวลากลับไปไล่นายออกน่าจะดี"

"..." หวังเหมิงหันกลับไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ต่อในทันที

ผมคลี่ยิ้มจางๆ ก่อนล้วงหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุด

อย่างไรเสียผมก็ย้อนเวลาไม่ได้ คิดไปก็เท่านั้น

หรือต่อให้ทำได้...ผมคงไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ถูกดึงดูดความสนใจด้วยดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นของเขา ไม่อาจไม่จดจำความสามารถเกินมนุษย์ของเขา ไม่อาจไม่นึกขอบคุณที่เขาช่วยผมจากอันตรายหลายครั้ง ไม่อาจลืมวันเวลาที่ผม เขา และนายอ้วนใช้ร่วมกัน

และยิ่งไม่อาจลืมคำพูดของเขา...เขาที่ไม่คาดหวังให้ผมจดจำ เขาที่พูดราวกับว่าตัวเองไม่ใช่เรื่องราวสลักสำคัญ ถึงผมจะลืมเขาไปก็ไม่เป็นไร เขาทำเหมือนผมไม่เห็นว่าเขาเป็นสิ่งสำคัญ คิดแล้วยังฉุน ถ้าเจออีกครั้งนึกอยากต่อยหน้าสักที...คิดได้ยังไงว่าผมจะลืม ผมจะไม่ยอมลืมหรอก ต่อให้มีโอกาสแก้ตัวอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังคงจะเลือกเส้นทางเดิมแบบไม่นึกกลับไปเสียใจ

ปากพูดแบบนั้น แต่ลึกๆ ในใจของผมกลับเจ็บปวดจนต้องคิดเรื่องนี้วนเวียนซ้ำๆ ถามตัวเองด้วยคำถามเดิมๆ ไม่รู้จบ

ส่วนหนึ่งในใจของผมบอกให้ตัวเองปล่อยมือ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับนึกอยากไขว่คว้าไว้สุดกำลัง

...แต่ไม่

ไม่ ไม่ ไม่ และไม่

เขาทำเพื่อผมถึงขนาดนี้แล้วจะให้ผมย้อนเวลากลับไป ทำเป็นว่าไม่มีเขาอยู่ได้อย่างไร 

หรือต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้จริง ผมอาจสามารถปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้

...ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว

ก่อนนี้ผมทำไม่ได้ ตอนนี้ผมทำไม่ได้ ให้มีโอกาสแก้ตัวซ้ำกี่ครั้ง ผมก็ไม่มีวันทำได้

ผมหลับตาลงช้าๆ พลางแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ

ความรักของเขา...ผมทิ้งมันไม่ลงจริงๆ

+++

END
23/08/2014







Talk Time:

เขียนด้วยความง่วงเป็นอย่างยิ่ง (ฮา) อารมณ์เลยอึนๆ ไปไม่สุดทาง (ง่วงมาก อีกนิดจะปลุกตัวเองด้วยการปล่อยอู๋เสียเดินไปตบจูบหวังเหมิงแล้ว *เดี๋ยว*) สงสัยจะได้มีแก้ดีเทลเพิ่มแหงๆ /___\ ...จบด้วยการจูบหวั--------พอแล้ว!

เรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงคำคมท่านโกวเล้งที่ชอบมาก "ชั่วชีวิตมนุษย์...สิ่งที่บันดาลให้หดหู่ รันทด มิใช่การจำพราก...หากเป็นการอยู่ร่วม เพราะหากไม่เคยอยู่ร่วม ไหนเลยมีการจำพรากได้"

ที่น่ากลัวกว่าการแยกจาก คือวันเวลาที่อยู่ร่วมกัน

ไอเดียมาจากเพลงเทียนเจินของคุณ Walker -- แต่ยังไม่แปะลิ้งค์แล้วกันค่ะ มันมีสปอยล์ข้ามเล่มไทยอยู่ (ถึงหลายคนจะดูจะฟังกันไปหมดแล้วก็ตาม ฮา)

ในเพลงสงสัยแบบนี้เช่นกัน ไม่พบกันดีกว่าไหม

...นั่นสิน้า (แต่ไม่ได้เจอกันอู๋เสียคงตายตั้งแต่ดันเจี้ยนแรก ปิดบันทึก สวัสดี)

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Preview: Pre-wedding


"วันที่เรากลับไปลุยดันเจี้ยนทั้งหมดตั้งแต่ภาคแรกเพื่อถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง"


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




เช้าวันหนึ่ง ขณะผมกำลังกินโจ๊ก วินาทีที่ส่งช้อนเข้าปาก นายอ้วนก็ถีบประตูเข้ามาพร้อมประกาศว่า "เราไปตระเวนถ่ายรูปบ่าวสาวให้พวกนายกันเถอะ"

ผมหันไปมองหน้าเขา...ช้อนยังคาในปาก ส่วนเมินโหยวผิงซดโจ๊กต่อแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย ผมค่อยๆ กลืนโจ๊กร้อนลวกคำนั้นลงคออย่างช้าๆ ก่อนจะดึงช้อนออก พลางเอ่ย "อะไรนะ"

"ก็ไอ้นั่น" นายอ้วนทำท่าชี้มือชี้ไม้ ผมยังคงทำหน้าสงสัย เขาส่งเสียงจิ๊ปาก ก่อนจะลากคอผมเข้าไปใกล้ ผมได้แต่มองโจ๊กในชามตาละห้อย ส่วนเมินโหยวผิงยังคงกินอย่างสงบ

"นายไม่คิดจะแต่งน้องเสี่ยวเกอเข้าบ้านเลยเหรอวะ...คุณชายอู๋ นี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ"

"..." ผมพูดไม่ออก คือ แม่งพูดไม่ออกจริงๆ เกิดมาเป็นตัวเป็นตนเพิ่งเคยได้ยินคนบอกให้แต่งผู้ชายเข้าบ้าน ถ้าคนพูดไม่ใช่นายอ้วน ผมคงนึกอยากเอาปืนเฉาะกะโหลกหมอนั่นสักรูสองรูให้มีช่องไว้ให้สมองหายใจบ้าง

"ฉันจะแต่งเขาเข้าบ้านได้ยังไงกันวะ" ผมทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกใส่เขา

"ใครให้นายแต่งตามกฎหมายกัน แค่จัดงานเล็กๆ เชิญแค่คนรู้จักมาก็พอ นายคิดดูนะ ถึงน้องเสี่ยวเกอชีวิตนี้ไม่มีสมบัติติดตัว ไม่มีบ้านช่องให้กลับ แทบไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย แต่นายจะทำเขาเหมือนเป็นสามีเก็บไม่ได้นะ จัดงานให้มันเป็นชิ้นเป็นอันหน่อย ไม่ต้องถึงขั้นพิธีเป๊ะทุกอย่างก็ได้น่า"

"สามีเก็บพ่อง!" ผมหลุดด่านายอ้วนออกมา สมองหยุดทำงานถึงแค่ตรงนั้น กว่านี้เขาพูดอะไรผมไม่รับฟังแล้ว

"อะไร อย่าบอกนะว่าเป็นเมีย? ดูจากทรงแล้ว นายไม่มีทางอยู่รอดครบสามสิบสองมาถึงทุกวันนี้หรอก" เขาทำท่าจุ๊ปาก สีหน้ายียวนกวนเบื้องล่างเป็นอย่างยิ่ง

ผมถีบนายอ้วนเต็มแรงพลางด่าทอไปถึงบรรพบุรุษรุ่นที่สิบแปดของตระกูลหวังของเขา ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ สงสัยจะแดงก่ำแหงๆ

นายอ้วนกระแอมไอ ก่อนจะทำหน้าจริงจัง "ก่อนนี้เรามีแต่ออกไปคว่ำกรวย แทบไม่เคยทำอย่างอื่นเลย นายไม่คิดว่าควรจะสร้างความทรงจำดีๆ กับน้องเสี่ยวเกอไว้บ้างหรือยังไง"

"..." ผมเกาหัวขณะเหลือบมองเมินโหยวผิง เขากินโจ๊กหมดแล้ว กำลังนั่งเหม่อลอยเหมือนเดิม ผมหันกลับไปหานายอ้วนพลางเอ่ย "...มันจะดีเหรอ"

"งานมงคลมีอะไรไม่ดี เอาไว้เช้าจัดแบบจีน กลางคืนจัดแบบสากล...เดี๋ยวเสี่ยอ้วนคนนี้รับเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้นายเอง"

ผมอยากอ้าปากด่าว่าเจ้าสาวแม่นายสิ นี่ไม่รู้เขาเกิดไปฝึกกำลังภายในอะไรมาจนธาตุไฟเข้าแทรกลมปราณแตกซ่านหรือเปล่าถึงได้จู่ๆ มาบีบคอให้ผมแต่งงาน แต่เพราะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะมีอารมณ์ด่าเขา จึงได้แต่ถอนหายใจแบบยอมแพ้

นายอ้วนหัวเราะร่าขณะตบบ่าผม "ไม่ต้องเขินไป เอาเป็นว่าเรามาจัดงานแต่งให้พวกนายกันดีกว่า ต้องคิดเรื่องแขกที่จะเชิญด้วย ญาติฝ่ายเจ้าบ่าว...ข้าม ของนายก็ไปจัดการเอา แต่อาสามนายนี่จะส่งบัตรเชิญยังไงดี...เอาเถอะ ไว้ค่อยคิด นอกนั้นก็พวกเพื่อนๆ"

ผมฟังนายอ้วนพล่ามแผนการแล้วอดยกมือนวดหัวคิ้วไม่ได้ ไอ้อ้วนนี่ต้องไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ ฟังเขาพล่ามด้วยความหน่ายใจไปได้สักพัก เขาก็ทำท่าตบมือและสรุปออกมา "ก็ตามนี้ ไว้มาคิดกันอีกที ก่อนหน้านั้น เราไปเก็บภาพกันเถอะ"

"ภาพ? ภาพอะไร?" ผมขมวดคิ้ว

"ก็ถ่ายภาพบ่าวสาว ไอ้แบบที่ถ่ายกันก่อนงานแต่งสมัยนี้น่ะ" เขาเดาะลิ้น "เขาเรียกอะไรนะ ภาษาอังกฤษน่ะ"

"พรีเวดดิ้ง?" ผมเลิกคิ้ว นายอ้วนเออออห่อหมกกับผม "เออๆ นั่นแหละ...ไปถ่ายไอ้นั่นกันเถอะ"

ผมคิดเสียว่าไหนๆ ก็ตอบตกลงมาขนาดนี้แล้ว ถ่ายสักรูปสองรูปก็ไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียผมกับเมินโหยวผิงก็มีรูปถ่ายร่วมกันไม่มากอยู่แล้ว พอตกลงใจได้ดังนั้นจึงถามว่า "ที่ไหน"

ทันทีที่หลุดคำถามนั้นออกไป นายอ้วนก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาปึกหนึ่ง แผ่นหน้าสุดเขียนว่า

"บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน"

...ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย




เรื่องราวหลังจากนั้น...

"เกิดเป็นเสี่ยอ้วนนี่ลำบากแท้ เป็นตากล้องแล้วยังต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวอีก"

ห่าเอ๊ย! นายยังจะมีหน้ามาบ่นอีก ผมสบถออกมาแบบห้ามไม่อยู่ขณะวิ่งสู้ฟัดหนีฝูงบ๊ะจ่าง ส่วนเมินโหยวผิงแม่งเหมือนกลับมาบ้านเก่า ลงสุสานได้ปุ๊บ แหงะดูอีกทีก็หายไปแล้ว นายอ้วนบ่นอยู่นั่นว่าเจ้าบ่าวหายไปแล้วจะทำยังไงดี...ส่วนผมไม่รู้จะบ่นกร่นด่าอะไรยังไงดีแล้ว

"ฮึ่ม มุมสวยๆ นี่มันหายากจริง...แต่ก่อนอื่นต้องหาเจ้าบ่าวให้เจอก่อน"

ฟังนายอ้วนแล้วละเหี่ยใจ ผมพยายามส่งกระแสจิตออกไปถึงเมินโหยวผิง...เสี่ยวเกอ ถ้านายชอบฉันจริง ช่วยหายตัวไปสักระยะแล้วค่อยกลับมานะ รอให้ไอ้อ้วนนี่หายบ้าก่อน

แต่น่าเสียดายที่เขาดันกลับมา ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมรับหรอกว่าเขาไม่ชอบผมจริงน่ะ!

"นายหายไปไหนมา!" ...แล้วกลับมาทำบ้าอะไร หนีไปเร็ว! ประโยคที่เหลือผมได้แต่ตะโกนในใจ

"ไปจัดการข้างใน" เขาตอบเสียงทื่อ

"หือ โหย น้องเสี่ยวเกอเคลียร์ฝูงด้วงเรียบร้อย เยี่ยมมาก ไป เสี่ยวอู๋...ลงไปถ่ายข้างล่างกัน"

ผมแทบหงายเก๋ง ขณะกำลังจะอ้าปากด่าเมินโหยวผิง เขากลับจับมือผมและคลี่ยิ้มให้บางๆ "ไปกันเถอะ"

บัดซบ! หมดกัน เจอแบบนี้ผมจะไปปฏิเสธได้ยังไง

"เสี่ยวอู๋ อย่าทำท่าหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนั้น เรายังต้องไปถ่ายอีกหลายที่นะ"

ผมแทบจะทำตาเหลือกใส่เขา อีก-หลาย-ที่ "จะบ้าเหรอ!"

แล้วหลังจากนั้นเขาก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ เริ่มจากตำหนักของหลู่ซังหวัง ดำน้ำต่อไปที่ซีซา...ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสุดท้ายแห่งการผจญภัยในอดีตของทั้งผมและเมินโหยวผิง

สองปีแห่งการผจญภัยทั้งขึ้นเขาลงทะเลโดนนายอ้วนย่อทริปเหลือเพียงไม่กี่เดือน...ว่าแต่ ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งบ้านแม่นายสิวะถ่ายกันเป็นเดือน บอกว่าถ่ายทำสารคดีเนชันแนลจีโอกราฟฟิกยังจะน่าเชื่อซะกว่า!

รู้งี้แม่งไม่น่าเชื่อไอ้อ้วนนี่เลย โว้ย! จะแต่งผู้ชายสักคนเข้าบ้าน ทำไมแม่งยุ่งยากลำบากขนาดนี้วะ!




+++

TBC
20/08/2014







Talk Time:

เรื่องนี้เป็นส่วนของเรื่องยาวที่เราตั้งใจจะไม่ลงในเน็ตค่ะ ตั้งใจจะเก็บเป็น Extra content ลงในรวมเล่มฟิคเท่านั้น (ถ้าได้ฤกษ์รวม) ฉะนั้นตรงนี้แค่พรีวิวไว้คร่าวๆ เน้ว่าจะมีอะไรบ้าง

ได้ไอเดียเรื่องนี้มาจากกระทู้ภาพพรีเวดดิ้งที่เกาหลี เห็นแล้วอยากทำพรีเวดดิ้งสุสานโบราณบ้าง

จริงๆ แค่อยากแซวเฉยๆ ไอ้ที่เหลือก็อย่าไปสนใจเรื่องความเป็นไปได้เลยนะคะ ฮา สติดีๆ ใครมันจะกลับไปลงดันเก่าๆ ที่เคยลงมาแล้วกัน พาตัวเองไปตายชัดๆ

...จริงๆ พรีเสร็จกระโดดไปเข้าหอเลยน่าจะดี *เอ๊ะ* มีพรีเวดดิ้งแล้วโพสต์เวดดิ้งเลย ไม่ทำรีเซิร์ชพิธีแต่งงานแล้ว *งอแง*

[Daomu Drabble][瓶邪] 18

 

"18"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**


ตอนก่อนหน้า: 364




วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่เขาก็ไม่รู้...

กาลเวลาของเขาหยุดลงในวันที่แยกจากกับเด็กคนนั้น และไม่เคยเคลื่อนไปไหนอีกเลย

สิ่งที่คั่นกลางระหว่างเขาสองคนไม่ใช่ระยะทาง หากแต่เป็นห้วงเวลาอันเย็นเยียบ ที่ตัวเขาเองก็สูญเสียความสามารถในการนับมันไปแล้ว

วันเวลาของเขาหยุดลงหลังจากวันนั้น

ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต

กาลเวลาของเขาหยุดลงในวันที่ได้เห็นใบหน้าไร้เดียงสาที่เขาแอบมองเป็นครั้งสุดท้าย



...คิดถึงเหลือเกิน...



บางทีวันพรุ่งนี้คงมาถึง ในสักวินาทีในอนาคตที่เขาจะได้เห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง อาจเกิดขึ้นจริง อาจไม่เกิดขึ้นจริง

หากเด็กคนนั้นกลับมา

หากเด็กคนนั้นยังจำได้

หากอย่างน้อย...เด็กคนนั้นยังรู้

ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากเป็นคนที่อยู่เคียงข้าง เฝ้ามองเด็กคนนั้นข้ามผ่านห้วงเวลาที่ไม่อาจนับนี้ไปด้วยกัน...แม้จากที่ไกลๆ ก็ยังดี



+++

END
20/08/2014






Talk Time:

แอบๆ ต่อกับ ฟิคเมื่อวาน "364" แต่อ่านแยกกันก็ได้ค่ะ

เรื่องนี้เขียนไปร้องไห้ไปค่ะ ร้องไห้เป็นเผาเต่าตั้งแต่เช้าตรู่เลย (คนข้างๆ ตกใจ!) ฟังเพลงนี้วนไปวนมา: ฉันคิดถึงเธอ www.youtube.com/watch?v=5rTSrXFApNU แงงง ฮือออ

คือจากที่เห็น เราแทบไม่เคยเขียนถึงมุมมองฝั่งเสี่ยวเกอเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนความรู้สึกของเสี่ยวเกอออกมาตรงๆ ในฟิคค่ะ แต่ละคำที่ใช้เราเลยตั้งใจเลือกคำมาประกอบกันเป็นพิเศษ คำว่า "คิดถึงเหลือเกิน" ก็เป็นอะไรที่อยากได้ยินมาตลอด (คุณหนานไพ่ไม่เขียน เราก็จับยัดใส่ฟิคเองเลย ฮึ่ม)

ใครอ่านไม่เข้าใจก็ปล่อยเบลอไปนะคะ เป็นแดรบเบิ้ลที่พิมพ์ด้วยความอีโมมโนเพ้อเจ้อไปงั้นเอง คิดซะว่าเป็นรูท (route = เส้นทาง/เส้นเรื่อง) สมมุตินะคะ เป็นเนื้อเรื่องแฟนเกิร์ลมโนแบบเดียวกับ "2015" ไม่มีเรื่องแบบนี้ในนิยายออฟฟิเชียลบันทึกจอมโจรแห่งสุสานแต่อย่างใด อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจัง คนที่มาล่าสปอล์ยในนี้ก็ระวังโดนฟีลเตอร์ด้วงพาออกนอกมิตินะคะ ฮา (คุณหนานไพ่ฯ คงอยากเอาติ่งสามขาทุ่มใส่ ผมไม่เคยเขียนแบบนี้! - ล้อเล่นนะคะ ติ่งสามขาไม่ใช่อะไรที่ทุ่มได้ แต่ถ้าติ่งนายน้อย ติ่งเสี่ยวเกอนี่ก็ไม่แน่ จับทุ่มลงพื้นได้แหง อ่อกซ์)

มีโควตที่รับส่งกันอยู่กับตอนที่แล้ว แอบงงๆ เหมือนกันว่า "อยู่ข้างๆ จากที่ไกลๆ" นี่มันยังไง แต่เอาเถอะ เสี่ยอ้วนยังคุยโทรศัพท์กับนายน้อยได้เลย เสี่ยวเกอผู้ชายบ้างานแต่โลวเทคก็ส่งกระแสจิตไปแล้วกันนะ (ฮา)

โอยตาย เป็นทอล์คที่ยาวกว่า Fic อีก น่าอายจัง ///v///

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] 364

 

"364"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




เครื่องยนต์ลั่นสั่นเป็นจังหวะ รถจี๊ปแล่นไปบนเส้นทางขรุขระส่งเสียงดังกระหึ่ม ผมที่ผล็อยหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงแจ้งเตือนสั้นๆ จากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อโค้ต

ผมขยับนั่งตัวตรง ขยี้ตาแล้วเลื่อนนิ้วแตะหน้าจอดู สิ่งที่เห็นบนหน้าจอมือถือคือปฏิทินที่ผมตั้งเวลาทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ใหม่ๆ

หน้าจอบอกเวลาและวันที่ของวันนี้ บอกการแจ้งเตือนรายปีที่ผมเว้นช่องระบุชื่อเหตุการณ์เอาไว้ ไม่ได้ใส่ข้อความอะไร แต่ก็ตั้งให้ระบบแจ้งเตือนทุกๆ ปีที่วันนี้เวียนมาถึง

ผมถือค้างไว้เช่นนั้น จ้องมองหน้าจอปฏิทินเดือนแปดว่างเปล่า เวลาเช่นนี้ผมไม่รู้จะคิดอะไร ช่วงนี้มีภาระหน้าที่วุ่นวายให้คิดเยอะแยะเกินไปจนแทบจะหลงลืมเรื่องของตัวเอง แต่ครั้นจะเปิดดูแล้วกดปิดไปโดยไม่สละเวลาใส่ใจเลยสักนิด ผมคงรู้สึกแย่กับตัวเองยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำได้แค่ถือไว้และมองมันนิ่งๆ

เห็นปฏิทินว่างๆ แล้วความคิดก็เริ่มเข้ามา นึกถึงตัวเองเมื่อปีก่อน ปีก่อนหน้า และปีก่อนหน้านั้นไปอีก เวลาที่เผลอผมมักชอบหันไปมองปฏิทิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าเดือนนี้ ผมจะเผลอมองถี่ยิ่งขึ้น มองตารางตัวเลข มองขีดกากบาทที่ตัวเองทำด้วยปากกาหัวเคมีต่อเรียงแถวเพิ่มขึ้นทีละนิด บางครั้งก็ขีดพลาดจนมีรอยดำติดนิ้วมือให้มองแทนอยู่เหมือนกัน ช่วงไหนที่ผมออกข้างนอก เมื่อผมกลับมา ผมจะมานั่งกาปฏิทินย้อนหลังจนเป็นวันที่ปัจจุบัน เมื่อครบปีผมก็โยนปฏิทินนั้นทิ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไปทำไม แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่ทำให้ผมลดความฟุ้งซ่านลงได้บ้าง

นายอ้วนบอกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของผมเหมือนเด็กสาวมอปลายนั่งกาปฏิทิน ผมไม่เถียง แต่นายอ้วนเองก็ทำตัวเป็นเพื่อนสาวมอปลายด้วยเช่นกัน

ทุกๆ ปีเขาจะโทร.มาหาผม ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระจิปาถะเป็นเพื่อนทั้งวัน แม้บางปีที่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องให้คุยเท่าไหร่ เขาก็ยังอุตส่าห์สรรหาเรื่องโน่นนี่นั่นมาคุยจนได้ เล่าเรื่องการผจญภัยของตัวเองบ้าง เล่าเรื่องผู้คนในวงการบ้าง พร้อมบอกว่ามีคนไหนบ้างที่ผมควรเฝ้าระวัง บางปีเขาอยู่บนเขาบนดอย ก็ยังจะเสียเงินโทร.มาหาผมถึงที่ ผมล่ะนับถือในสกิลพ่อค้าเจ้าสำราญภาคสาวมอปลายของเขาจริงๆ

มีครั้งหนึ่ง เขาถึงกับบอกว่าถ้าผมอยากคุยเรื่องน้องเสี่ยวเกอเขาก็จะคุย แต่ถ้าผมไม่อยากพูดถึงเสี่ยวเกอ เขาก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไร ผมเข้มแข็งกว่าที่เขาคิด หัวข้อของปีนั้นจึงกลายเป็นการเม้าธ์เสี่ยวเกอลับหลังร่วมกันจนข้ามวันข้ามคืนแทน...ใครว่าผู้ชายไม่ขี้เม้าธ์กันวะ

เมื่อวางสาย ผมจึงมานั่งคิด นายอ้วนมองผมเป็นอย่างไร สภาพจิตใจผมต้องผุพังถึงเพียงไหน ถึงจะทำให้คนที่ไม่ได้ตัวติดกันเป็นตังเมสามหนุ่มสามมุมเช่นเมื่อก่อนแล้วอย่างนายอ้วน รับรู้ว่าผมกำลังอ่อนแอภายในการพูดคุยไม่กี่ครั้ง? ผมไม่อยากยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผมต้องการใครสักคนที่เข้าใจสถานการณ์มาอยู่เป็นเพื่อน อย่างน้อยก็ช่วยเฝ้ามองผมข้ามผ่านวันนี้ไปด้วยกันจากที่ไกลๆ ก็ยังดี

ในเรื่องนี้ผมต้องขอบคุณนายอ้วนด้วยซ้ำ ที่เลือกมองว่าผมเป็นสาวมอปลาย แทนที่จะมองว่าผมเป็นชายหนุ่มซึมเศร้าวิกลจริตไปเสียก่อน

แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว พอนานปีเข้า จิตใจก็เริ่มเข้มแข็ง หรือพูดให้ถูกคือด้านชา มันคือการรอคอยจนลืมไปแล้วว่ากำลังรอคอย ห้วงเวลาที่ต้องรอมีมากเกินไป จนผมเริ่มจะปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ในมวลอากาศอึมครึมเช่นนั้นได้เป็นปกติ

ผมคิดในบางครั้ง ว่าหากเมื่อตอนนั้นที่ผมต้องรอคอยหมอนั่นกับเหวินจิ่นที่หน้ารูอุกกาบาตในถ่ามู่ถัว หากผมต้องคอยเป็นระยะเวลายาวนานเช่นนี้ ผมอาจปรับตัวและยอมรับผลลัพธ์ที่ออกมาได้โดยง่าย ผมคงไม่ดิ้นรน คงไม่สะเทือนใจกับอะไรทั้งนั้น เสี่ยวเกอก็เสี่ยวเกอ...ช่างแม่งเหอะ แต่พอคิดอีกที ถ้าต้องรอนานขนาดนั้น ผมกับนายอ้วนคงแห้งตายก่อน นายอ้วนนี่ถ้าจับมากินคงท้องเสีย ไม่ก็ได้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดแถมมาด้วย เขาว่าคนกินลำดับสุดท้ายในห่วงโซ่อาหารจะได้รับพิษสะสมในร่างกายมากที่สุด กินหมอนี่แล้วคงตายทันที ...ไม่เอาโว้ย แค่ให้ขู่ว่าจะจับกินผมยังไม่มีอารมณ์จะเอามาพูดเล่นเลย สรุปว่าถ้าต้องรอมากกว่านั้น ผมก็คงแห้งตายอยู่ในนั้นนั่นล่ะ

แต่สภาพของผมตอนนี้ก็แทบไม่ต่างกับคนแห้งตายอยู่แล้ว แห้งไร้ชีวิต ใช้ชีวิตแห้งผาก คิดคำนวน วางแผน แล้วก็สูญเสีย ทำร้ายคนมากมาย รวมทั้งตัวเองด้วย ที่ถ่ามู่ถัวคราวนั้นเสี่ยวเกอได้กลับออกมา แต่คราวนี้กลับเป็นผมเองที่แห้งตายทั้งเป็นอยู่ข้างนอกนี่

...ที่เหลือไว้ก็มีแค่ปฏิทินในมือถือ ที่ผมตั้งคาไว้เพราะขี้เกียจลบไปเท่านั้น...

ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ ขณะที่ล้วงหาไฟแช็กพลันรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวด้านหลัง ทีแรกคิดว่าคงเป็นลูกน้องสักคนที่นั่งอัดกันอยู่ตรงเบาะหลังตื่นขึ้นมา แต่ถ้าไม่เช็กให้ปลอดภัยจะไม่สุขใจ ผมจึงขยับหันไปดูตามความเคยชิน กลับเป็นนายอ้วนที่รอจังหวะอยู่ เอื้อมมือจากเบาะหลังมาคว้าบุหรี่ไปในตอนที่ผมเอี้ยวตัวไปนั้นเอง

"ทำอะไรอยู่หือ? เทียนเจินบอสอู๋ แอบดูภาพหวิวไม่แบ่งเลยนะ" เขาพูดเสียงดัง

"ภาพหวิวเชี่ยอะไรล่ะ!" ผมด่า ทำเอาพวกลูกน้องด้านหลังรวมทั้งคนขับสะดุ้งโหยงขึ้นมาพร้อมกัน

นายอ้วนบ่นหงุงหงิงว่าผมไม่รับมุกเอาซะเลย ก็จะให้รับมุกยังไงได้บ้างวะ เปิดรูปโป๊ให้ดูรึไง ผมด่ากลับไป ระหว่างนั้นมือข้างที่ถือโทรศัพท์ผมก็ดึงออกห่างจากสายตานายอ้วนโดยอัตโนมัติ

นายอ้วนเลิกคิ้วมองโทรศัพท์ในมือผม สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังทำอะไร สักพักเขาก็มุดหัวกลับไปที่นั่งตัวเอง บ่นอะไรสองสามคำแล้วโยนของสิ่งหนึ่งกลับมาทางผม

สิ่งนั้นเป็นแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่านามบัตร ร่วงหล่นบนตักผม เชี่ย! ภาพโป๊จริงๆ ด้วย แถมเป็นชุดกี่เพ้าโคตรหวิวอีกต่างหาก นายอ้วนนี่แม่งดันมารู้รสนิยมผมอีก ว่าแต่ส่งรูปโป๊ให้ผมตอนนี้มันหมายความว่าไงวะ แถมเป็นกระดาษการ์ดอีก สมัยนี้แล้วโคตรเชยสะบัด

ผมหันไปมองเขา ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ นายอ้วนหันกลับมาทำมือบอกให้ผมพลิกดูด้านหลัง ผมจึงพลิกดู

ด้านหลังกระดาษแผ่นนั้นคือปฏิทินปีปัจจุบัน ที่แท้ไอ้รูปแผ่นนี้มันคือปฏิทินพกนั่นเอง เดี๋ยวนี้ยังพอมีพิมพ์แจกตามนิตยสารบางอย่างจริงๆ นั่นละ ไอ้เชี่ยนี่ก็ล่อซะใจหายหมด

บนปฏิทินมีรอยปากกามากมายกาทับวันที่ที่ผ่านมา แว่บแรกที่คิดผมนึกว่าเป็นปฏิทินของนายอ้วน นึกแปลกใจที่เขาก็มีอารมณ์มานั่งกาปฏิทินเยี่ยงสาวมอปลายเหมือนกัน แต่ลายมือที่ใช้กาบนช่องวันที่ดูแล้วไม่ใช่ลายมือเดียวกัน แม้จะเป็นแค่กากบาทสีดำเรียงต่อกันแต่ผมแยกแยะลายมือออก เห็นน้ำหนักมือทั้งเบาทั้งหนักแตกต่างกัน บางลายเส้นยึกยือ บางลายเส้นก็กาไว้เป็นระเบียบ ท่าทางจะมีหลายคนช่วยกันเขียน แต่ทุกลายเส้นล้วนมาจากปากกาแท่งเดียวกัน

"นี่คืออะไร?" ผมขมวดคิ้วถาม

"ฉันรู้ว่าตอนเดินทางนายต้องไม่ได้เอาปฏิทินมา เสี่ยอ้วนกลัวนายจะเหงาใจ เลยให้น้องๆ ช่วยกันกาปฏิทินรอไว้ ตอนบอสอู๋เหงาใจนั่งจ้องปฏิทินจะได้มีไว้กาต่อ" เขาตอบเสียงเริงรื่น ทำเอาผมอยากขยำแล้วปาใส่ทันที ...แต่ยั้งมือไว้ก่อน เสียดายภาพยังไม่ยับเลย

ที่ผมทำจึงมีแค่ด่านายอ้วนด้วยถ้อยคำรุนแรง หยิบบุหรี่มวนใหม่อย่างหงุดหงิดใจ ช่วงหลังๆ ผมเลิกกาปฏิทินไปแล้ว สาเหตุง่ายๆ คือเบื่อ อีกข้อคือไม่มีเวลา สาเหตุโคตรยอดนิยมของผู้ชายวัยกลางคนเบื่อเมียเลย นายอ้วนไม่รู้เรื่องนี้ พอโดนเอามาพูดต่อหน้าลูกน้องบนรถผมจึงรู้สึกเหมือนโดนล้อ อ้อ ใช่ แถมยังเอาไปเวียนให้ลูกน้องช่วยกันกาให้ผมอีก รสนิยมบอสอู๋ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น แม่ง ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยจริงๆ แต่ผมก็ทำได้แค่นิ่งไว้

ผมล้วงหาไฟแช็กอีกครั้ง หาไม่มี นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ตั้งใจจะเลิกบุหรี่ ตอนเดินออกจากสุสานเลยตัดใจวางทิ้งไว้ที่หน้าหินโน่น

"เอ้า บอสอู๋" ทันใดนั้นนายอ้วนก็ยื่นสิ่งหนึ่งมา ผมนึกว่าคราวนี้เขาจะส่งไฟแช็กให้เหมือนทุกครั้ง แต่เปล่า สิ่งที่นายอ้วนยื่นมาคือปากกาเคมีแท่งหนึ่ง พร้อมรอยยิ้มลึกลับน่าเตะ

"เสี่ยกลัวนายจะเหงาใจ คิดถึงน้อ..."

เชี่ยนี่มึงจะรีพีททำไมสองรอบวะ! ผมรีบคว้าปากกามา พร้อมร้องบอก "เออๆๆ จะให้กาให้ได้ใช่มั้ย แม่งเกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมา กลับไปบ้าพิธีกรรมแบบสำนักเหนือตั้งแต่เมื่อไหร่ มือยังถือระเบิดอยู่แท้ๆ ยังจะทำปากถือศีล ยังกับว่ากาไปจะช่วยอะไรได้ขึ้นมา" ผมก็พูดไปบ่นไปขีดกาไป กาอย่างเบามือ กลัวภาพนวลนางอีกฝั่งจะทะลุ "กาเสร็จแล้ว พอใจรึยัง นายแม่ง..."

ผมสะดุดกึก...ไอ้เชี่ย!!

เชี่ย

ไอ้ลูกน้องตัวไหนที่เสี่ยอ้วนใช้ให้มันกาช่องสุดท้ายให้วะ ผมจะไปเขี่ยมันออกจากกองมรดก!

ก็มันเล่นกาทับวันที่ 17 ไปแล้ว กาทับวันนี้ไปแล้ว!! จะเหลืออะไรให้ผมกาอีกวะ! เมื่อกี้ผมก็มึนๆ ด่านายอ้วนไปกาไปเลยไม่ทันได้ดู ไปกาทับวันที่ 18 ต่อท้ายช่องที่เห็นเสียอย่างนั้น พิธีกรรมอัญเชิญสาวมอปลายมาประทับทรงของนายอ้วนเลยกลายเป็นพิธีกรรมล้มเหลว ไอ้คนกานี่ถ้าขืนปล่อยไว้ในทีม สติปัญญามันต้องเป็นตัวถ่วงให้คณะขุดสุสานผมล่มสลายแน่ๆ

นายอ้วนเห็นสีหน้านิ่งงันของผม รีบไต่เบาะหลังชะเง้อมาดู เห็นแล้วเขาก็ร้องออกมา แล้วก็ขำก๊ากไม่รู้เรื่องรู้ราว

ผมนั่งอึ้งอยู่อย่างนั้น แล้วก็ขำตาม เริ่มจากขำเบาๆ แล้วก็กลายเป็นหัวเราะไม่หยุด หัวเราะเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยได้หัวเราะ หัวเราะเหมือนจากนี้ไปจะไม่ได้หัวเราะ ไม่รู้ว่าขำอะไรนักหนา นี่เรากำลังอยู่ในละครตลกที่ไม่ตลกอยู่หรือเปล่า?

ผมนั่งหัวเราะจนสุดปอด ถือปฏิทินปี 2014 ที่กาวันที่ผิดเอาไว้ ผมกาปฏิทินผิดเองกับมือ เสี่ยวเกอรู้เข้าคงดีใจตายชัก

ลูกน้องอีกสองสามคนที่นั่งอัดในรถคันเดียวกันมีสีหน้าเหรอหรา พวกเขาพลันกระซิบกระซาบกันถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน "บอสอู๋หัวเราะ?"

ผมปาดน้ำตาที่ปลายหางตา หัวเราะจนเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว ขำกับเรื่องที่ไม่น่าขำ แต่เมื่อได้หัวเราะครั้งแรกแล้วกลับหยุดไม่ได้เลย

เอาละ... เรื่องบ้าบอเรื่องนี้ผมจะเอาไปเล่าให้เมินโหยวผิงฟังยังไงดีนะ



+++

END
19/07/2014







Talk Time:

แอ๊บเสิร์ดแท้... อย่าถามนะคะว่าทำไมจบแบบนี้ คนเขียนเองก็งงเหมือนกันค่ะ แอร๊ /__\

จริงๆ แล้วนี่คือฟิควันชาติเต้ามู่ ขยุกขยุยทิ้งไว้ได้สักพักแล้ว ตั้งใจจะลงวันที่ 17 ส.ค. หรืออย่างน้อยก็ลง 18 ส.ค. ให้ได้ก็ยังดี แต่ว่าวันจริงดันเม้าธ์มอยใน ทวิตเตอร์ เล่นเพลินจนหมดสภาพ ไม่มีแรงจะมาจัดหน้าเคาะวรรคลงในบลอคดีๆ _:(´ཀ`」 ∠):_ กลายเป็นว่าเลทมาสองวันตามที่เห็นนี่แหละค่ะ โฮฮฮ

แต่ไม่เป็นไรเนอะ เอาเป็นว่ารู้กันว่าตั้งใจจะเขียนให้ไทม์ไลน์เป็นวันที่ 17.08.2014 นั่นล่ะ เป็นเหตุการณ์บนรถที่นายน้อยคงกำลังจะไปไหนสักที่ เพื่อทำอะไรสักอย่าง ใจจริงอยากให้เป็นเนื้อเรื่องต่อจากไทม์ไลน์ล่าสุดของคุณหนานไพ่ที่ปล่อยออกมาในตอนพิเศษเมื่อปลายเดือนที่แล้วค่ะ (อันเดียวกับที่เคยเตือนให้หลบสปอล์ยร้ายแรงให้ดีในทวีตนั่นล่ะ) แต่ว่าถ้านับแบบนั้น ว่ากันตามเวลาจริงแล้ว...นายน้อยจะเดินทางกัน 17 วัน ยังนั่งแช่ในรถยันวันนี้เลยเรอะ...ไม่มั้ง 5555 ฟิคเรื่องนี้เลยกลายเป็นช่วงเวลาปริศนาไปซะ!

ระหว่างทาง 2005-2014 สภาพจิตใจของนายน้อยคงขึ้นบ้างลงบ้าง (บางปียังตลกตึ่งโป๊ะอยู่เลยแท้ๆ) แต่ในฟิคนี้เขียนให้นายน้อยพังค่ะ (มโนไปเองว่า) ต่อให้ไม่ได้พังตลอดเวลาแต่ก็คงมีบางช่วงที่อ่อนแอ อะไรทำนองนั้น พอนานวันเข้าก็กลายเป็นท่านบอสอู๋ที่เย็นชาต่อการรอคอยไปซะแล้ว แหม บอสอู๋ไม่คิดถึงเสี่ยวเกอเล้ย ไม่คิดถึงเลย ไม่คิดถึงเลยสักนิด เชื่อจ้ะเชื่อ *เสียงเอ็นดู*

ถ้าให้พูด ความรู้สึกตอนเขียนฟิคเรื่องนี้ เหมือนกินชานมค่ะ ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆ ...เอ๊ะ อะไรนะ? เป็นผิงเสียที่เสี่ยวเกอไม่มีบทเลยเหรอ? อะไรนะ? มีแต่เสี่ยอ้วนอีกแล้ว!? ก็ค่าตัวน้องเสี่ยวเกอเขาแพงอะค่ะ ว้ายยย อย่าตีด้วงงง *วิ่งหนีไป*

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] ชอบที่สุด


"ชอบที่สุด"


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




วันหนึ่งผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเมินโหยวผิงชอบอะไร

คำว่า 'ชอบ' ในที่นี้ความหมายกว้างมาก และสำหรับคนแบบหมอนี่ ความหมายของคำนี้กว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง...เรียกว่าคำว่าชอบสำหรับเขาเป็นสิ่งไม่มีความหมายอาจจะถูกต้องกว่า

ส่วนสาเหตุที่สงสัย ผมก็ยังสงสัยตัวเองอยู่ ครั้นพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ได้เหตุผลมาประมาณว่าถ้ารู้ของที่เขาชอบ วันเกิดก็จะได้หาของขวัญให้เขาได้ แล้วความคิดนั้นก็ถูกปัดตกไปด้วยเหตุที่ว่าผมไม่รู้วันเกิดของเขา เขาเองก็ไม่น่าจะจำวันเกิดของตัวเองได้...บางทีควรทำแบบที่นายอ้วนเคยแนะนำ หามาสักวันแล้วก็ตั้งให้ไปเลย

ฟังดูไม่เลว ไหนๆ ชื่อเล่นเขาผมก็เป็นคน (แอบ) ตั้งให้อยู่แล้ว คิดวันเกิดให้ด้วยสักหน่อยคงไม่เป็นไร แต่เอาไว้ค่อยปรึกษานายอ้วนอีกที ถึงจะบอกว่าตั้งให้ก็เถอะ แต่ไม่ดูฤกษ์ผานาทีสักหน่อยก็คงไม่ดี

เอาเป็นว่าขอรู้ของที่เขาชอบก่อน วันเกิดตั้งทีหลังก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย!

หลังจากนั้นผมพยายามสังเกตเขา เริ่มจากอาหารการกิน เดิมทีแค่อยากรู้ว่าเขาชอบอาหารแบบไหน แต่กลายเป็นว่านึกอยากพาเขาไปโรงพยาบาลตรวจว่าประสาทรับรสที่ลิ้นยังใช้การได้อยู่ไหมแทน

เมื่ออาหารไม่ได้เรื่อง ผมก็ลองทดสอบเรื่องง่ายๆ อย่างให้เลือกสีที่ชอบ เริ่มจากซื้อแก้วน้ำสองใบมาให้เขาเลือก เขาหยิบใบหนึ่งไปในทันทีแบบแทบไม่ต้องคิด พอถามว่าชอบเหรอ ก็ได้คำตอบกลับมาว่า "ใบนั้นเหมาะกับนายมากกว่า" ...ทำเอารู้สึกห่อเหี่ยวชอบกล

ต่อมาผมลองพาเขาไปเลือกซื้อเสื้อผ้า ให้ใส่แบบไหนเขาก็อือออไปหมด ก่อนผมจะนึกได้ว่ากางเกงในลายลูกเจี๊ยบเขายังใส่แบบหน้าตาเฉยมาแล้ว คราวนี้เลยลองพาไปซื้อเสื้อยืดพิมพ์ลายแบบพวกเด็กวัยรุ่น พอให้เขาเลือก เขาก็หันมาถามว่า "กี่ตัว"

"แล้วแต่นายเลย"

เขาส่ายหัวขณะชูถุงเสื้อผ้าที่ผมช่วยเลือกให้เมื่อครู่ "งั้นยังไม่ต้อง แค่นี้ก็พอแล้ว"

สุดท้ายผมได้แต่ยอมแพ้ พลางปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยเขาก็มีเสื้อผ้าใหม่ๆ ดูสมวัย ไม่ถูก ถ้าสมวัยนี่ผมไม่รู้จะต้องไปขุดเสื้อผ้าแบบไหนมาให้เขาใส่ เอาเป็นว่าสมกับหน้าตาก็แล้วกัน

...พูดก็พูด น่าเสียดายที่ยังให้ลองชุดกี่เพ้าไม่ได้...น่าเสียดายจริงๆ




ของกินไม่สนใจ ข้าวของก็ไม่สนใจ เสื้อผ้าไม่สนใจ นั่นไม่สนใจ นี่ไม่สนใจ สรุปแล้วเจ้าหมอนั่นไม่สนใจอะไรเลย

ถ้าให้พูด สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคงเป็นการนั่งเหม่อเฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อน

ในหนึ่งวัน เขานั่งเหม่อวันละสี่ห้าชั่วโมงติดต่อกันได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ ทำเอาผมอยากจะส่งเขาไปแข่งนั่งเหม่อมาราธอนมาก นี่ชักรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่ตอนนั้นเรียกเขาเป็นนายเมินโหยวผิงจริงๆ 

ท้ายที่สุดผมยกธงขาวยอมแพ้ ในเมื่อหาคำตอบเองไม่ได้ก็มิสู้ถามเจ้าตัวไปเลยก็หมดเรื่อง

"เสี่ยวเกอ คำถามนี้อาจจะประหลาด แต่ฉันอยากรู้ว่า ยังไงดี เอ่อ นายมีของที่ชอบ แบบว่าถูกใจอะไรอย่างนี้บ้างไหม"

โพล่งออกไปแล้วผมก็เตรียมใจจะได้ยินคำตอบว่า 'ไม่มี' แต่เสี่ยวเกอกลับค่อยๆ หันมามองผม ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ

"นาย" เขาตอบแค่นี้ แล้วก็กลับไปเหม่อต่อ

ผมประเมินคำพูดนั้นอยู่ห้านาที มองหน้าเขา ก่อนจะเสี่ยงตายกระโจนเข้าใส่ แต่ลืมไปว่าเขามีฝีมือกว่าผม การลอบจู่โจมของผมเลยคว้าน้ำเหลว กลายเป็นโดนเขาคว้าจับเอาไว้แทน "นายจะทำอะไร"

"ถอดเสื้อนาย..." ผมตอบขณะมองเขา เมินโหยวผิงปล่อยมือที่จับผมเอาไว้ ผมเห็นเขานั่งเฉย ถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แต่ดูจากท่านั่งไร้การป้องกันตัวของเขาแล้ว ดูท่าคงจะเป็นการอนุญาตผม...ละมั้ง

ผมเป่าลมใส่กำปั้น ดึงชายเสื้อขึ้นประหนึ่งจะไปต่อยตีคน จากนั้นก็ค่อยๆ เอื้อมนิ้วไปปลดกระดุมเสื้อของเขาช้าๆ...เกิดมานี่ก็เพิ่งเคยปลดกระดุมเสื้อคนอื่นในบ้านตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ นิ้วของผมค่อยๆ ปลดกระดุมไปทีละเม็ด...ทีละเม็ด

บอกตามตรงว่าเป็นการเปลื้องผ้าที่นานมากสำหรับผม ไม่รู้ทำไมแค่กระดุมไม่กี่เม็ดผมถึงเชื่องช้าได้ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องการเคลื่อนไหวของผมอยู่ก็เป็นได้ หลังๆ ผมเริ่มรู้สึกว่ามือชักสั่น กระดุมเม็ดหนึ่งใช้เวลาปลดไปเกือบสองนาที

พอปลดหมดผมก็ถอยหลังหนีอย่างรวดเร็วพลางเงยหน้ามองหน้าเขา เมินโหยวผิงกำลังจ้องผมอยู่ด้วยดวงตาชวนให้รู้สึกถึงความว่างเปล่า ผมนิ่งไป ขณะกำลังคิดว่าจะถอดเสื้อเขาแบบไหนดี เขาก็เอ่ยว่า "...แค่นี้เหรอ"

เจอคำถามที่ฟังดูไม่มีอะไร แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนถูกหยามชอบกล ผมสูดลมหายใจ เอื้อมมือไปถลกเสื้อของเขาออกในทันที คราวนี้นึกอยากจุดพลุเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่ง

บนผิวกายของเขา ร่องรอยส่วนหนึ่งปรากฏขึ้นมาให้เห็น แม้จะจางมาก แต่ก็ยังเห็นเป็นลวดลายรางๆ

ผมนึกขอบคุณคนที่สักให้เขา คนแบบเมินโหยวผิงหน้านิ่งหน้าตาย แสดงอารมณ์มากที่สุดแค่เวลาคว่ำกรวย (ซึ่งมักจะมาพร้อมบ๊ะจ่างและสารพัดเรื่องอันตราย) อย่างน้อยรอยสักก็ยังทำให้ผมรู้ว่าหมอนี่ไม่ได้ทำมาจากก้อนหิน แต่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อและความรู้สึก

ใบหน้าของเขาที่มองผมยังคงนิ่งสงบประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมหัวเราะก๊ากออกมาแบบห้ามไม่อยู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า "เสี่ยวเกอ...จางฉี่หลิง ฉันอยากจูบนาย"

เขานั่งนิ่งๆ มองผม ลำคอผงกขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะบอกว่า 'งั้นก็มาสิ' ผมเดินเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะคลี่ยิ้ม และย้ำอีกรอบ "จางฉี่หลิง ฉันอยากจูบนาย"

ที่ผ่านมาผมบอกเขาหันซ้ายก็หันซ้าย หันขวาก็หันขวา อีกนิดผมจะคิดว่าเขามีเซนเซอร์จับคำสั่งฝังอยู่ในสมองแล้ว

ฉะนั้นผมจะไม่มีวันพูดว่า 'จูบฉันซะ' ถ้าเขาจะจูบผม เขาควรเป็นฝ่ายทำเองโดยที่ผมไม่ต้องบอก

เขามองผมนิ่งๆ คล้ายไม่เข้าใจสิ่งที่ผมสื่อ ผมชักหงุดหงิดจึงเอ่ย "เวลาฉันเป็นเงินเป็นทองนะ หนึ่ง..."

ยังนับไม่ถึงสาม ร่างของผมก็ถูกรวบให้เข้าใกล้ ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ผมคว้าไหล่ของเขาไว้ รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเราทั้งคู่ที่ค่อยๆ ไต่ระดับ จากมุมที่ผมอยู่มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ผมคิดว่าตอนนี้คงเห็นโครงร่างของกิเลนได้ชัดเจนขึ้น

เราจูบกันแบบนั้นอยู่เนิ่นนาน ระหว่างนั้นผมเกิดสงสัย ตกลงแล้วสิ่งที่เขาชอบคือผม แล้ววันเกิดเขา (ที่ยังไม่ว่างตั้งให้) ผมควรจะให้อะไร ตัวเองใส่กล่องของขวัญงั้นเรอะ!

เอาไว้ปากว่างแล้วผมค่อยถามว่าเขามีของที่ชอบเป็นอันดับสองไหมก็แล้วกัน

ถ้ามีก็ดีไป ถ้าไม่มี...ไว้จะลองถามนายอ้วนดูว่ามีกล่องขนาดพอดีตัวคนไหม

และถ้าจะให้ดีกว่านั้น ผมว่าจับเขานั่นแหละใส่กล่องให้เป็นของขวัญ อย่างไรเสียเมินโหยวผิงก็ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ เขาคงไม่รังเกียจนายอ้วนหรอกน่า




+++

END
18/08/2014







Talk Time:

"ขายฟิครอบนี้ต้องตรวจบัตรประชาชนไหม" ← คำถามกลางวงสนทนารอบค่ำ

ฉบับนี้คือตัดฉับอย่างนุ่มนวล ในนี้เราขอกรุบกริบพอประมาณนะคะ กว่านี้ขออนุญาตเก็บไว้ให้ขายของตอนรวมเล่มบ้างอะไรบ้าง (/โดนคนอ่านฟาดด้วยประตูสำริด)

คือตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ความตั้งใจประการเดียวมีอยู่ว่าจะเปลื้องผ้าค่ะ! *เป็นด้วงที่ชัดเจนในจุดยืน*

ก็เห็นคนอื่นเขาเปลื้องผ้าเสี่ยวเกอกัน เราก็อยากจับเสี่ยวเกอเปลื้องบ้างนี่นา (เหตุผลไร้สาระที่สุด)

รอบนี้เราก็ไม่ตีเสี่ยเพราะเสี่ยวเสียจับเสี่ยลงกล่องไปแล้ว (ยังเว้ย!)

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu Drabble][瓶邪] Ash

 

"Ash"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) Drabble
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
Note: ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ฟิควางเพลิง (เหอ) รบกวนอ่านก่อนนะคะ





...เมื่อถูกไฟเผาผลาญ ท้ายสุดก็เหลือเพียงเถ้าถ่าน


เขานั่งเหม่อท่ามกลางสายฝนที่บางเบาจนเหลือเป็นแค่ละอองเล็กๆ

...หนีออกมาเสียแล้ว

เมื่อมองในมือก็พบว่าถือบุหรี่ติดมาด้วย เปลวไฟยังคงลามเลีย เขามองเหม่ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่งเข้าปาก บางทีอาจคิดไปเอง...แต่รสชาติบุหรี่ในวันนี้คล้ายริมฝีปากที่สัมผัสเมื่อครู่

หากใครมองมาตอนนี้คงได้เห็นชายหนุ่มที่สวมฮู้ดคลุมศีรษะนั่งสูบบุหรี่อยู่กลางสายฝนปรอยๆ ดวงตาเหม่อลอยออกไปยังที่ไกลๆ คล้ายกำลังรำลึกถึงอะไรบางอย่าง

หลังสูบจนใกล้หมดมวนเขาก็ลุกขึ้น

...ไม่กลับไปกินข้าวเย็นคงไม่ดี

ปกติแล้วเขาไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน รสชาติไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอแค่มีกินอิ่มท้องเป็นใช้ได้ แต่ระยะหลัง เขาเริ่มเห็นความสำคัญของมื้ออาหารมากกว่าปกติขึ้นมาเล็กน้อย

บางทีที่สำคัญไม่ใช่กินอะไร แต่เป็นกินกับใคร

เขาดีดก้นบุหรี่ลงถังขยะที่อยู่ห่างออกไปอย่างแม่นยำ ฝนหยุดตกแล้ว เมื่อครู่นั่งตากฝนจนตัวเย็นเฉียบ คราวนี้ถึงโดนบังคับให้ถอดเสื้อก็คงไม่มีอะไรน่ากังวล

เอาละ...กลับ "บ้าน" ดีกว่า



+++

END
17/08/2014






Talk Time:

วันนี้มาสั้นๆ แต่เข้าใจได้ (แหละ) เนาะ

กิเลนไหม้เหลือแต่เถ้าแล้วค่ะ ไฟแห่งรักช่างร้อนแรง

จริงๆ ไม่ได้คิดถึงตอนต่อ อีตอนนี้ควรจะจั่วหัวเสี่ยวเกอเดี่ยวๆ ด้วยแหละน้า แต่โมเมถือว่าต่อกันก็แล้วกัน (หน้าตาเฉยมาก) มาเขียนฉากนี้เพราะดูคลิป COS ที่คุณหนานไพ่ปล่อยมาแท้ๆ เลย (ท่านใดสนใจเชิญที่ ทวิตเตอร์ นะคะ ลงรายละเอียดให้แล้ว - แต่มันสปอยล์ เลือกเอานะคะว่าจะลุยหรือถอย)

อนึ่ง เห็นแก่เสี่ยที่ถูกเราและคนอ่านตีจนช้ำ วันนี้เราจะไม่ตีเสี่ยนะคะ ถึงอยากตีก็เถอะ (เสี่ยบอกแกควรคิดได้แต่แรกแล้วว้อย!)

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Arson


"Arson"


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




ผมในเวลานี้พยายามเลิกบุหรี่

อันที่จริงไอ้คำว่าพยายามนี่ก็ปามาเป็นปีแล้ว อาจเป็นเพราะช่วงหนึ่งสูบมากเกินไป มาตอนนี้ให้เลิกก็ยากอยู่ไม่น้อย วันก่อนเพิ่งโดนนายอ้วนไล่ให้ไปตรวจสุขภาพเสียบ้างเพราะผมเล่นผอมลงผอมลงเรื่อยๆ เหอ ผมเลยด่ากลับไปว่าเขานั่นแหละสมควรไปตรวจสุขภาพมากกว่าผม ถ้าผมผอมลง นายนี่ก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นทุกปี สรุปเถียงกันไปมา เลยนัดว่าจะไปด้วยกันทั้งคู่ สรุปแล้วเขาก็แค่ป๊อด อยากหาเพื่อนไปด้วยนี่หว่า

ข้างนอกฝนตก ผมคาบบุหรี่ไว้ในปากขณะมองสายฝน สักพักก็รู้สึกคันคอจนหลุดไอออกมาชุดใหญ่ ครั้นจะอ้าปากให้เด็กยกน้ำมาให้ ผมก็เห็นเมินโหยวผิงเดินก้าวฉับๆ มาหาผม เนื้อตัวของเขาเปียกปอน เส้นผมเรียบลู่ไปกับศีรษะ

เมื่อเช้าเขาออกไปข้างนอก คราวนี้ยังดีที่เขียนโน้ตบอกว่า 'ไปข้างนอก' คราวก่อนผมร้อนใจมากที่จู่ๆ เขาก็หายไป ส่งคนไปตามหาอยู่ครึ่งค่อนวันเขาก็กลับมา พอถามว่าไปไหนก็บอกว่าไปซื้อของ ผมจึงได้แต่ต่อว่าด้วยน้ำเสียงเอือมระอาว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะบอกกันบ้าง

เช้านี้เขาก็บอกจริงๆ แต่ไอ้การบอกว่า 'ไปข้างนอก' นี่มันต่างอะไรกับไม่บอกวะ ยังดีที่เขียนภาษาจีน ไม่ใช่รหัสลับให้ต้องมานั่งตีความ ไม่อย่างนั้นผมคงอยากพาตัวเองไปเสี่ยงตายด้วยการตบกะโหลกเขาสักที ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งท่าเตรียมบ่นเขาว่าอย่างน้อยระบุที่หมายบ้างว่าไอ้ข้างนอกน่ะมันหมายความว่าอะไร

ขณะกำลังจะอ้าปาก ผมเห็นคิ้วของเขาขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ทำเอาเรื่องที่อยากพูดกระเด็นหายไปจนหมด

ใครใช้ให้ปกติเจ้าหมอนี่แทบไม่เคยแสดงสีหน้า ทำเอาเดาไม่เคยถูกว่าคิดอะไรอยู่ หรือเวลาแสดงสีหน้าทีไรถ้าไม่เกิดเรื่องซวยก็มักจะเกิดเรื่องซวยมากแทบทุกครั้งไป จนใบหน้าเขาเป็นเหมือนเครื่องตรวจวัดความอันตรายรอบตัวไปแล้ว "มีอะไร เกิดอะไรขึ้นเหรอ เสี่ยวเก..."

เขาโน้มตัวลงมา ผมยังไม่ทันตั้งตัวบุหรี่ในปากก็ถูกดึงออก พอกำลังจะส่งเสียง ริมฝีปากกลับถูกปิดเอาไว้

แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้นี่มันเรียกจูบใช่ไหม...

ถึงชีวิตนี้ผมจะไม่เคยมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตน แต่อย่างน้อยแค่จูบก็...ก็เคยกับผีทั้งนั้นเลยนี่หว่า บัดซบ! ยังดีที่อย่างน้อยก็เป็นผีสาว แล้วก็ยัง...น่าจะยัง (ชักไม่แน่ใจ) ...คิดว่ายังไม่เคยมีประวัติจูบกับผีดิบ ไม่งั้นคงจากไก่อ่อนอู๋คงกลายเป็นอู๋จูบบ๊ะจ่าง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่อย่างน้อยให้จูบกับศพโลหิตก็ยังดีกว่าวานรสมุทรก็แล้วกัน ไอ้ตัวนั้นน่าเกลียดเกินจะรับได้จริงๆ

ไม่สิ บ๊ะ ถ้าเลือกได้ขอจูบคนเป็นๆ ดีกว่า แต่เออ ตอนนี้ก็จูบคนเป็นๆ อยู่นี่หว่า

เขาอยู่ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเป่ารดใบหน้า ประสาทสัมผัสส่วนใหญ่ของผมไปกองอยู่ที่ริมฝีปากที่แตะกัน...รู้สึกว่าปากตัวเองแตก ช่วงนี้กินน้ำน้อยไปจริงๆ ผมเอื้อมมือไปคว้าเสื้อด้านหลังของเขาไว้เพื่อเป็นหลักยึดขณะริมฝีปากของเราค่อยๆ เปลี่ยนมุมในการสัมผัสกัน ผมแทบจะเรียกว่ากอดเขาไว้แน่น ในขณะที่มือของเขายันกรอบหน้าต่างเอาไว้ ไม่สัมผัสถูกร่างกายของผม

แต่ที่น่าตลกคือปกติคนจูบกันควรหลับตา ทำท่าซาบซึ้ง ผมกับเขากลับเล่นจ้องหน้ากัน

ดวงตาของเราสบกันนิ่งๆ ผมเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในดวงตาเขา รู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจริงๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมว่าตัวเองน่าจะหลุดสีหน้าประหลาดออกไป หรือไม่ก็พยายามดิ้นรน ไม่สิ ผมรู้ตัวดีว่าสู้เขาไปก็แพ้ อันที่จริงคงจะอยู่นิ่งๆ แบบนี้ แต่มีสีหน้าตื่นๆ มากกว่า

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก เนื่องจากใบหน้าของเขายังคงนิ่งสนิท ผมเลยไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาอะไรดี บางทีถ้าลองบังคับให้ถอดเสื้อดูน่าจะดี...เผื่อจะเห็นกิเลนกับเขาบ้าง ก็ใครใช้ให้เขาขี้โกงตีหน้าตาย ขณะที่หน้าเน่อหูเหอผมแดงเถือกไปหมดแล้วกันล่ะ โลกแม่งไม่ยุติธรรม!

แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง เขากลับพุ่งตัวผ่านผม เล่นกายกรรมกระโดดออกนอกหน้าต่างไปเสียอย่างนั้น ทำเอาผมได้แต่มองตาค้าง อ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี แถมบุหรี่ในมือหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ด้านนอกฝนยังคงตก ผมนั่งเหม่อมองเม็ดฝนด้วยดวงตาเลื่อนลอย...อีแบบนี้เขาจะกลับมากินข้าวเย็นไหมเนี่ย



หลังจากนั้นพอจะจุดบุหรี่ทีไรก็จะนึกถึงเหตุการณ์นี้ พอนึกถึงเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกว่าบุหรี่น่ะสมควรเลิกๆ ไปได้แล้ว จริงๆ คือใจก็คิดแบบนี้...แต่เวลาสั่งเด็กไปซื้อของก็อดสั่งบุหรี่มาไม่ได้ แต่หลังๆ ไม่ได้เอาไว้สูบ เหมือนเอาไว้จุดเล่นมากกว่า

...พอจุดไฟเอาไว้ แมลงเม่าก็บินมาติดกับ

เพียงแต่บางครั้งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาหรือตัวเองกันแน่ที่เป็นแมลงเม่า

ผมเป็นฝ่ายเรียกหาเขา หรือเขาที่กำลังล่อให้ผมเข้าไปใกล้ ...ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจเป็นเพียงแมลงเม่าโง่เขลาด้วยกันทั้งคู่

โบยบินเข้าสู่กองไฟ ถึงจะรู้ตัวว่าต้องถูกไฟคลอกจนตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะเล่นกับไฟ

พอพูดล้อๆ ออกไปแบบนี้ เขาก็มองผม ก่อนจะตอบ "ที่กองไฟวันนั้น คนจุดคือนาย"

ผมนิ่งไป...นึกไม่ออกว่ากองไฟวันนั้นคือกองไฟวันไหน ผมกับเขาออกเดินทางร่วมกันจากใต้ขึ้นเหนือ จากเหนือลงใต้ ก่อกองไฟกันมากี่ครั้งก็นึกไม่ออก พอโทรไปถามนายอ้วนก็โดนด่าว่าใครมันจะไปนั่งจำ

สุดท้ายผมกับนายอ้วนพากันไปจบบทสนทนาด้วยการนัดแนะไปตีแบตวันหยุด คราวนี้ต้องไม่ลืมเอาไม้ไปขึงเอ็นใหม่ให้เรียบร้อย คราวก่อนเมินโหยวผิงกับเสี่ยวฮัวตีกันดุเดือดมากประหนึ่งจะไปแข่งระดับโลก ทำเอาผมกับนายอ้วนที่เล่นกันอยู่คอร์ตข้างๆ ดูกลายเป็นลุงแก่ๆ กันไปเลย

พูดถึงเมินโหยวผิง วันนี้เขาหายไปอีกแล้ว ผมได้แต่กลอกตาไปมา หลังจากจัดการงานในส่วนของวันนี้เสร็จเรียบร้อย เขาก็กลับมาก่อนเวลาอาหารเย็นเล็กน้อย เนื้อตัวเปียกปอนเพราะน้ำฝน ผมกัดฟันกรอดๆ ขณะตรงเข้าไปหาเขา "เสี่ยวเกอ! คราวหน้าจะหายตัวไปก็บอกกันสักหน่อยสิ"

"ไม่ว่ายังไง...นายก็จะรู้นี่" เขาเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะบอกว่าจะไปอาบน้ำ ทิ้งให้ผมยืนกะพริบตาปริบๆ ในสมองกำลังดึงเอาความทรงจำออกมา คราวนี้นึกออกเด่นชัดแล้วว่าไฟกองไหน

ไอ้หยา คราวนั้นพูดจาไม่คิดออกไป ดันตกได้กิเลนตัวใหญ่ซะอย่างนั้น

ผมนั่งกุมขมับสำนึกผิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจโยนปัญหานี้ทิ้ง

...อย่างไรเสียไฟก็จุดขึ้นมาแล้ว ให้ใจร้ายเอาน้ำไปดับก็ใช่ที่ เอาเป็นว่าผมยอมลงไปในกองไฟกับเขา อยู่ก็อยู่ด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกันแบบนกยวนยางก็แล้วกัน


+++

END
16/08/2014







Talk Time:

อัดอั้นตันใจอยากเขียนฉากจูบค่ะ *จบ* ง่ายๆ แค่นี้เลย ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่านอกจากกิจกรรมบังคับแบบอัดกันในอุโมงค์แคบๆ อะไรเทือกๆ นี้ สองคนนี้จะไม่ค่อยแตะเนื้อต้องตัวกันเท่าไหร่ (มีทีด้วงก็โบยบินที) สารภาพตามตรงว่าคิดไม่ค่อยออกว่าสองคนนี้จู่ๆ จะสปาร์ควิ่งไปจูบกันดูดดื่มได้อีท่าไหน

คราวนี้คิดชื่อเรื่องนานมาก ตอนแรกว่าจะจบแค่บุหรี่ ไหงบุหรี่มันติดไฟก็ไม่รู้ งั้นก็เลยแซวคนวางเพลิงเสียเลยก็แล้วกัน เป็นฟิคที่แซวเยอะมาก

ก็แหม "ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้" นี่นา...

ขอแถมนิดหนึ่ง ช่วงภาคทราย อู๋เสียเรียกว่าติดบุหรี่น่าดูเลยค่ะ ออกฉากไหนสูบฉากนั้น พอกลับมาอ่านในบันทึกโจรเล่มหลักเจอที่เจ้าตัวบอกว่าจะสูบเวลาทุกข์ใจ พาลให้รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ ชอบกล (จริงๆ ก็แอบรู้สึกว่าเริ่มสูบหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ภาคทิเบตแล้วค่ะ)

แต่ก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ อยากล้อมุก "ติดฉันแทนบุหรี่เถอะ" มานานแล้ว *ตีเสี่ยอ้วนแก้เขิน* (เสี่ยบอกตูเกี่ยวอะไรวะ!) ฮือ ว่าแล้วก็อยากเปลื้องผ้าสำรวจกิเลนนัก *ขยับมือยุกยิก*

รู้สึกยิ่งเขียนยิ่งแสดงความสติเสื่อมออกมา ขอตัดจบเพียงเท่านี้ กราบสวัสดี