"The most romantic thing"
Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)
**Spoiler Warning**
สิ่งที่โรแมนติกที่สุดที่ฉันสามารถจินตนาการได้ คือการค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมๆ กับเธอ...
ช่วงหลังๆ ผมกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน อันที่จริงบางครั้งถ้าที่ร้านว่างๆ แม้แต่มื้อกลางวันก็กลับมาที่บ้าน
เนื่องจากเพื่อนร่วมโต๊ะของผมเป็นพวกไม่ช่างเจรจา บรรยากาศการกินข้าวจึงมักจะมีแค่ผมที่พยายามพล่ามอะไรของผมไปเรื่อย ส่วนเมินโหยวผิงก็แค่พยักหน้าทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อยู่เต็มปาก บางครั้งเขาก็จะตอบผมกลับมาสองสามคำ
แต่คุยไปได้สักพัก ผมก็เริ่มหมดเรื่องคุย ตอนหลังผมจึงเปิดโทรทัศน์ระหว่างกินข้าวเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป หรืออย่างน้อยก็สามารถเอาหัวข้อในโทรทัศน์มาสนทนากับเขาได้ ว่าไปแล้วผมเคยปรึกษาเรื่องนี้กับนายอ้วน เขาแนะนำว่าให้ผมลองช่วยกันทำกับข้าวเพื่อสร้างบรรยากาศ...ฟังดูก็น่าสนใจอยู่ แต่พอคิดถึงฝีมือของตัวเองแล้ว ยังคงให้เจ้าลูกน้องจอมขี้เกียจซื้อข้าวมาให้เหมือนเดิมน่าจะดีกว่า
ผมชวนเมินโหยวผิงคุยเรื่องสัพเพเหระเหมือนทุกๆ วัน จนกระทั่งหมดเรื่องคุยก็หันไปดูข่าวในโทรทัศน์
ภาพข่าววันนี้เป็นเรื่องของคู่รักต่างวัยของหญิงชรากับเด็กหนุ่ม...ความคิดแรกของผมคือเรื่องของเด็กหนุ่มบำเรอกามยายเฒ่าแบบหน้าฉากดูรักกันดี แต่ที่จริงเด็กหนุ่มต้องตกเป็นเครื่องเล่นของหญิงชรา จากนั้นก็คิดได้ว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดอะไรเหลวไหลพรรค์นี้ขึ้นมาแล้ว
แต่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของ...
ผมเผลอวางตะเกียบลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันไปมองคนข้างๆ ฝ่ายนั้นก็หยุดกินและจ้องมองมาที่ผม
...จะว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้ เมินโหยวผิงยังคงเหมือนเดิม เหมือนเด็กหนุ่มปิดหน้าปิดตาไม่พูดจาคนนั้น เป็นนายเรือพ่วงน่าเบื่อเหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน
ผมมองเข้าไปในดวงตาเขา ระยะหลังๆ ผมถึงค่อยมารู้สึกตัวว่าจริงๆ แล้วผมชอบมองดวงตาของเขามากกว่าที่คิด...ถึงขั้นที่มองภาพวาดยุ่งเหยิงก็ยังมองออกว่าเป็นเขา แถมทุกครั้งที่คิดถึงเขาก็จะคิดถึงดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเป็นอย่างแรก
จนถึงตอนนี้ ดวงตาของเมินโหยวผิงยังคงเหมือนเดิม...ไม่สิ ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมรู้สึกได้ถึงจุดหนึ่งที่แตกต่าง
ก่อนหน้านี้ดวงตาของเขาคล้ายตัดขาดจากโลกใบนี้ แต่มาตอนนี้ ผมคิดว่าผมมองเห็นจุดเล็กๆ ที่อยู่ในดวงตาคู่นั้น
จุดที่เรียกว่า ‘อู๋เสีย’
เขาเคยบอกผม...สิ่งที่อันตรายต่อโลกใบนี้ที่สุดก็คือผม
พอถามว่าทำไม เมินโหยวผิงก็นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยประโยคยาวยืดแบบที่ผมไม่ได้ยินเขาพูดเสียนาน เพราะคราวนี้ตกใจกับเนื้อหาจึงไม่ทันได้นับพยางค์ให้ชัดเจน เลยไม่รู้ว่าจะทำลายสถิติเก่าได้ไหม
เขาตอบผมว่า...เพราะไม่มีสิ่งใดให้ผูกพัน ก่อนหน้านี้เขาจึงสามารถทำหน้าที่ของ ‘จางฉี่หลิง’ ได้โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์มารบกวน การตามหาความเชื่อมโยงของเขากับโลกใบนี้ของเขาควรเป็นการเดินทางที่ปราศจากความหมาย เป็นแค่แรงผลักดันที่ขับเคลื่อนตัวจางฉี่หลิงเท่านั้น
เขาไม่ควรพบผม...ไม่ควรพบสิ่งที่เชื่อมโยงเขากับโลกใบนี้
การคงอยู่ของ ‘อู๋เสีย’ ทำให้ความเป็น ‘จางฉี่หลิง’ สั่นคลอน
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เลือกที่จะหยิบตะเกียบกลับขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจชวนคุยเรื่องอื่นแทน จากนั้นผมก็นึกถึงเกมไพ่ที่เคยหัดเล่นกันบนรถไฟเมื่อนานมาแล้ว จึงบอกเขาว่าน่าจะชวนนายอ้วนมาเล่นด้วยกันอีก เขาฟังผมไปพลางพยักหน้าไปทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ
มื้ออาหารจบลงอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม เมินโหยวผิงเก็บชามไปล้าง เรื่องนี้ผมไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเขา ช่วงแรกๆ ที่อยู่ด้วยกันผมก็เป็นคนล้างเอง ถึงจะแอบบ่นเขาอยู่ในใจบ้างแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากออกไป จนตอนหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาถึงเป็นฝ่ายเก็บจานไปล้างเอง
ที่จริง นอกจากเรื่องเก็บจานแล้ว หลังๆ เขาก็ช่วยเรื่องเก็บบ้านช่องห้องหับ ถึงขั้นเอาผ้าไปซักให้โดยไม่ต้องถาม ทำเอาผมนึกว่าเขาผีเข้าไปแป๊บหนึ่ง
เรื่องน่ากลัวกว่านั้นคือตอนที่เขาตามผมไปที่ร้าน ช่วงนั้นหวังเหมิงอาหารเป็นพิษต้องเข้าไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาล ผมจึงชวนให้เขามาทำหน้าที่แทน ผลคือผมแทบอยากไล่ไอ้เจ้าลูกจ้างจอมขี้เกียจของผมออกแล้วชวนเขาเข้ามาทำงานแทน
ผมไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่ที่ปกติจะทำหน้านิ่งๆ ไร้ทักษะการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิงจะสามารถกลายเป็นยอดนักขายฝีปากกล้าภายในพริบตาเดียว แถมยังสามารถเล่นมุกตลกจนลูกค้าหัวเราะร่าไม่หยุด
ตอนแรกผมคิดว่านายนี่เป็นใครสักคนที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ปลอมเป็นเมินโหยวผิงมาหลอกผม แต่หลังจากยืนอึ้งไปสักพักผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า...หากพูดถึงหน้ากากหนังมนุษย์ เมื่อนานมาแล้วเขาก็เคยใช้มันปลอมตัวเป็นนายเหม่งจาง คราวนั้นเขาเล่นละครได้เนี้ยบเฉียบเสียจนอยากยกรางวัลนักแสดงดีเด่นให้
สรุปแล้วอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ ร้านผมคึกคักเสียจนนึกว่าฝันไป ทำเอาอยากจะโทรไปบอกหวังเหมิงว่าไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว...ชั่วชีวิตเลย
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทักษะการเข้าสังคมของเขาก็เริ่มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นจนตอนนี้น่าจะเลื่อนขั้นปรับเป็นนายง่อยระดับสิบแทนเสียแล้ว อย่างเวลาไปกินข้าวด้วยกัน เขาก็จะควักเงินขึ้นมาเป็นฝ่ายเลี้ยงผมบ้าง อันที่จริงเงินนี้ก็เป็นเงินที่ผมไว้ให้เขาใช้จ่ายส่วนตัว แต่พอกลับมาจ่ายให้ผมแบบนี้ ผมกลับรู้สึกเป็นฝ่ายเกรงอกเกรงใจที่ต้องให้เขาเลี้ยงเสียอย่างนั้น
กลายเป็นว่าพฤติกรรมจำพวกกินเสร็จแล้วรีบชิ่งไปก่อนเหมือนเมื่อก่อนยังจะทำให้ผมรู้สึกสะดวกใจเสียมากกว่า
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกได้จากกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ของเขาที่พยายามปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผม
...แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ
นั่นไม่อาจเรียกว่าดีใจ แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าเสียใจ ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกสองอย่างนั้น พลางทอดถอนใจอย่างเงียบงัน
ระหว่างเขาล้างจาน ผมก็ไปอาบน้ำ กลับออกมาก็เห็นเขานั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ แม้จะนั่งมองหน้าจอที่ฉายภาพวูบวาบ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเหม่อลอยไปในที่ไกลๆ
ก่อนนี้ผมเคยสงสัยว่าตัวเองจะทำอย่างไรถ้าจะกักตัวเขาไว้เฉยๆ อันที่จริงนึกอะไรไม่ออกมากไปกว่าจับใส่กรงแล้วล็อคกุญแจ นายจอมหายตัวระดับมืออาชีพแบบเขา ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรจะสามารถหยุดเขาไว้กับที่ได้
แต่ตอนนี้ไม่ต้องขัง ไม่ต้องล็อคกุญแจ เขาก็ไม่ไปไหน
ไม่รู้ทำไม เห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกปวดใจขึ้นมาชอบกล ก่อนหน้านี้บ่นเรื่องที่เขาชอบหายตัวไป แต่ตอนนี้เขาไม่หายตัวไปแล้วกลับรู้สึกประหลาด อาจเป็นเพราะได้เห็นนายง่อยระดับเก้าแบบเขาที่ปกติแล้วไม่แยแสสังคม กลับพยายามปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผม
เรื่องราวเมื่อครู่ที่ผมสลัดทิ้งไปจากสมองกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง...พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดในอกของผม หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายผมก็เลือกที่จะคลี่ยิ้มและก้าวไปหาเขาที่ผงกศีรษะขึ้นมา
"...เราไปตามหากันเถอะ" ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"?" เขามองผม
ผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เมินโหยวผิงแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาขยับ คล้ายจะเรียกชื่อผมแต่ก็เปลี่ยนใจ
ใบหน้าของผมยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม หลายปีมานี้ผมสูญเสียอะไรไปมากมาย รวมถึงความไร้เดียงสาที่เคยมี...แต่อย่างน้อย แค่รอยยิ้มนี้เท่านั้นที่ผมเก็บไว้เพื่อเขา...เขาที่ยอมแลกทั้งชีวิตเพื่อความไร้เดียงสาของผม
ก่อนนี้เขาทำเพื่อผม ตอนนี้เขาก็ทำเพื่อผม
ถึงเวลาที่ผมควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง...ไม่สิ เรียกว่าเป็นการลงมือร่วมกัน
“คราวก่อนฉันตามหานาย แต่คราวนี้เราสองคนไปตามหาด้วยกันเถอะ...”
โลกนี้อาจต้องการจางฉี่หลิง แต่สำหรับผม...อู๋เสียที่ปราศจากความไร้เดียงสา สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงนายเมินโหยวผิงคนน่าเบื่อคนนั้น
คนที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งยามได้เห็น...
"ไปหาวิธีที่เราสองคนจะได้แก่และตายไปด้วยกันเถอะ เสี่ยวเกอ"
+++
END
14/08/2014
ตัวนี้เป็นฉบับแก้ไขเนื้อเรื่องให้ยาวขึ้น ก่อนนี้เขียนตั้งแต่ช่วงอ่านเล่ม 6 จบ ยังงมสปอยล์ไปไม่ถึงไหน ตอนนั้นจำชื่อหวังเหมิงยังไม่ได้เลยค่ะ อาศัยเนียนๆ เรียกนายลูกจ้างจอมขี้เกียจเอา (ฮา) ได้โอกาสมาเติมเนื้อเรื่องขยายความเพิ่ม
ชื่อเรื่องได้ไอเดียมาจาก weibo ของแฟนจีนค่ะ เธอโพสต์เพลงที่มีชื่อว่า 最浪漫的事 หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The most romantic thing (สิ่งที่โรแมนติกมากที่สุด) ถ้าสนใจก็ลองฟังกันได้ค่ะ: https://www.youtube.com/watch?v=VmeM46a3IDc
คำแปลภาษาอังกฤษ: http://yasminachina.blogspot.co.uk/2011/11/most-romantic-thing.html
ในเพลงมีท่อนหนึ่งร้องว่า (ขอยกภาษาอังกฤษนะคะ)
the most romantic thing that I can imagine
is to grow old with you
เลยเป็นที่มาของท่อนโปรย
สิ่งที่โรแมนติกที่สุดที่ฉันสามารถจินตนาการได้ คือการค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมๆ กับเธอ...
เห็นคำแปลเพลงแล้วรู้สึกประทับใจ คิดถึงคู่ผิงเสียขึ้นมาทันที เมินโหยวผิงที่ไม่แก่ตัว กับอู๋เสียที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเพราะภาคหลังๆ ก็ไม่ได้บอกว่าดูแก่มากแก่น้อย ฮือ (แต่ก็น่าจะแก่ตัวบ้างแหละค่ะ) หรือถึงไม่แก่ เราก็ออกไปตามหาหนทางที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกัน
เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายและน่าประทับใจดีค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรมาก ขอแค่เราสองคนอยู่ร่วมกัน ค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมกัน...
เสี่ยวเกอที่ปรับตัวใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาแบบอู๋เสีย อู๋เสียที่ชักชวนออกเดินทางไปผจญภัยด้วยกันเหมือนสมัยก่อนที่เป็นทีมสามประสาน...สำหรับเราแล้วเป็นวิธีการปรับตัวเข้าหากันของทั้งสองคน...แต่ยังไงก็ต้องเรียกเสี่ยอ้วนนะพวกนาย ไปโรแมนติกกันสองคนไม่ได้นะ (ฮา)
จริงๆ ตอนหลังอู๋เสียมีกิจการที่ดีขึ้น หวังเหมิงเองก็เป็นผู้เป็นคน เอาการเอางานขึ้น ฉากร้านไม่มีคนนี่ก็เป็นแค่จินตนาการละนะคะ *หัวเราะ*
โลกนี้อาจต้องการจางฉี่หลิง แต่สำหรับผม...อู๋เสียที่ปราศจากความไร้เดียงสา สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงนายเมินโหยวผิงคนน่าเบื่อคนนั้น << ปย.นี้อ่านแล้วจี๊ดมากจริงๆค่ะ เลอค่ามากแงงง
ตอบลบสองคนนี้เนี่ยขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้จริงๆนะคะ เราชอบที่คู่ผิงเสียต่างเป็นเสาหลักให้กันและกันยึดนี่ละค่ะ เสี่ยวเกอคอยดูแลร่างกายของอู๋เสีย ส่วนฝ่ายอู๋เสียก็คอยดูจิตใจให้ เป็นเหมือนหยินหยางที่ตรงกันข้ามกันแต่คอยค้ำจุนกันจริงๆค่ะ T T
ฮือออออออออ มาสารภาพว่าจนตอนนี้ก็ยังอ่านเรื่องนี้วนไปวนมาอยู่เลยค่ะ เป็นฟิคผิงเสียที่เราวนอ่านบ่อยที่สุดในแฟนด้อมบันทึกโจรแล้ว ; ; ชอบบรรยากาศแบบนี้มาก เหม่งจางโมเอะ (หยุด...)
ตอบลบอ่านถึงท่อนท้ายๆ ทีไรก็น้ำตารื้นทุกที อยากให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ นะ เมินโหยวผิงที่ทำเพื่ออู๋เสีย กับอู๋เสียที่(พยายาม)ตอบแทน(แล้วนะ)
บ้าจริง ตาเฒ่าที่เลี้ยงเด็กบำเรอกามนั่นมันนายชัดๆ! อู๋เสีย!
ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน♪
ตอบลบฮือ.. จากจินตนาการสู่ความจริง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
สุดท้ายก็กลายเป็นตาเฒ่าเสียเองสินะคะนายน้อย--
แม้จริงๆแล้วอาจจะกลับกันก็เถอะ U w U #เดี๋ยว
ชอบประโยคสุดท้ายของนายน้อยมากเลยค่ะ ไปหาวิธีที่เราจะแก่เฒ่าไปด้วยกันเถอะนะ
ตอบลบที่นายน้อยบอกว่าจะเสียใจก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้ดีใจ อาจจะเพราะกังวลเรื่องอายุตัวเองที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายหยุดนิ่ง สินะ
เสี่ยวเกอก็พยายามในแบบเสี่ยวเกอ
สู้ๆนะ ทั้งสองคน เราอยากให้พวกนายมีความสุขนะ