วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] The most romantic thing


"The most romantic thing"


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




สิ่งที่โรแมนติกที่สุดที่ฉันสามารถจินตนาการได้ คือการค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมๆ กับเธอ...





ช่วงหลังๆ ผมกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน อันที่จริงบางครั้งถ้าที่ร้านว่างๆ แม้แต่มื้อกลางวันก็กลับมาที่บ้าน

เนื่องจากเพื่อนร่วมโต๊ะของผมเป็นพวกไม่ช่างเจรจา บรรยากาศการกินข้าวจึงมักจะมีแค่ผมที่พยายามพล่ามอะไรของผมไปเรื่อย ส่วนเมินโหยวผิงก็แค่พยักหน้าทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อยู่เต็มปาก บางครั้งเขาก็จะตอบผมกลับมาสองสามคำ

แต่คุยไปได้สักพัก ผมก็เริ่มหมดเรื่องคุย ตอนหลังผมจึงเปิดโทรทัศน์ระหว่างกินข้าวเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาจนเกินไป หรืออย่างน้อยก็สามารถเอาหัวข้อในโทรทัศน์มาสนทนากับเขาได้ ว่าไปแล้วผมเคยปรึกษาเรื่องนี้กับนายอ้วน เขาแนะนำว่าให้ผมลองช่วยกันทำกับข้าวเพื่อสร้างบรรยากาศ...ฟังดูก็น่าสนใจอยู่ แต่พอคิดถึงฝีมือของตัวเองแล้ว ยังคงให้เจ้าลูกน้องจอมขี้เกียจซื้อข้าวมาให้เหมือนเดิมน่าจะดีกว่า

ผมชวนเมินโหยวผิงคุยเรื่องสัพเพเหระเหมือนทุกๆ วัน จนกระทั่งหมดเรื่องคุยก็หันไปดูข่าวในโทรทัศน์

ภาพข่าววันนี้เป็นเรื่องของคู่รักต่างวัยของหญิงชรากับเด็กหนุ่ม...ความคิดแรกของผมคือเรื่องของเด็กหนุ่มบำเรอกามยายเฒ่าแบบหน้าฉากดูรักกันดี แต่ที่จริงเด็กหนุ่มต้องตกเป็นเครื่องเล่นของหญิงชรา จากนั้นก็คิดได้ว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดอะไรเหลวไหลพรรค์นี้ขึ้นมาแล้ว

แต่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องของ...

ผมเผลอวางตะเกียบลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันไปมองคนข้างๆ ฝ่ายนั้นก็หยุดกินและจ้องมองมาที่ผม

...จะว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้ เมินโหยวผิงยังคงเหมือนเดิม เหมือนเด็กหนุ่มปิดหน้าปิดตาไม่พูดจาคนนั้น เป็นนายเรือพ่วงน่าเบื่อเหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน

ผมมองเข้าไปในดวงตาเขา ระยะหลังๆ ผมถึงค่อยมารู้สึกตัวว่าจริงๆ แล้วผมชอบมองดวงตาของเขามากกว่าที่คิด...ถึงขั้นที่มองภาพวาดยุ่งเหยิงก็ยังมองออกว่าเป็นเขา แถมทุกครั้งที่คิดถึงเขาก็จะคิดถึงดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเป็นอย่างแรก

จนถึงตอนนี้ ดวงตาของเมินโหยวผิงยังคงเหมือนเดิม...ไม่สิ ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมรู้สึกได้ถึงจุดหนึ่งที่แตกต่าง

ก่อนหน้านี้ดวงตาของเขาคล้ายตัดขาดจากโลกใบนี้ แต่มาตอนนี้ ผมคิดว่าผมมองเห็นจุดเล็กๆ ที่อยู่ในดวงตาคู่นั้น

จุดที่เรียกว่า ‘อู๋เสีย’

เขาเคยบอกผม...สิ่งที่อันตรายต่อโลกใบนี้ที่สุดก็คือผม

พอถามว่าทำไม เมินโหยวผิงก็นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยประโยคยาวยืดแบบที่ผมไม่ได้ยินเขาพูดเสียนาน เพราะคราวนี้ตกใจกับเนื้อหาจึงไม่ทันได้นับพยางค์ให้ชัดเจน เลยไม่รู้ว่าจะทำลายสถิติเก่าได้ไหม

เขาตอบผมว่า...เพราะไม่มีสิ่งใดให้ผูกพัน ก่อนหน้านี้เขาจึงสามารถทำหน้าที่ของ ‘จางฉี่หลิง’ ได้โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์มารบกวน การตามหาความเชื่อมโยงของเขากับโลกใบนี้ของเขาควรเป็นการเดินทางที่ปราศจากความหมาย เป็นแค่แรงผลักดันที่ขับเคลื่อนตัวจางฉี่หลิงเท่านั้น 

เขาไม่ควรพบผม...ไม่ควรพบสิ่งที่เชื่อมโยงเขากับโลกใบนี้

การคงอยู่ของ ‘อู๋เสีย’ ทำให้ความเป็น ‘จางฉี่หลิง’ สั่นคลอน






ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เลือกที่จะหยิบตะเกียบกลับขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจชวนคุยเรื่องอื่นแทน จากนั้นผมก็นึกถึงเกมไพ่ที่เคยหัดเล่นกันบนรถไฟเมื่อนานมาแล้ว จึงบอกเขาว่าน่าจะชวนนายอ้วนมาเล่นด้วยกันอีก เขาฟังผมไปพลางพยักหน้าไปทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ

มื้ออาหารจบลงอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม เมินโหยวผิงเก็บชามไปล้าง เรื่องนี้ผมไม่เคยขอความช่วยเหลือจากเขา ช่วงแรกๆ ที่อยู่ด้วยกันผมก็เป็นคนล้างเอง ถึงจะแอบบ่นเขาอยู่ในใจบ้างแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากออกไป จนตอนหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาถึงเป็นฝ่ายเก็บจานไปล้างเอง

ที่จริง นอกจากเรื่องเก็บจานแล้ว หลังๆ เขาก็ช่วยเรื่องเก็บบ้านช่องห้องหับ ถึงขั้นเอาผ้าไปซักให้โดยไม่ต้องถาม ทำเอาผมนึกว่าเขาผีเข้าไปแป๊บหนึ่ง

เรื่องน่ากลัวกว่านั้นคือตอนที่เขาตามผมไปที่ร้าน ช่วงนั้นหวังเหมิงอาหารเป็นพิษต้องเข้าไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาล ผมจึงชวนให้เขามาทำหน้าที่แทน ผลคือผมแทบอยากไล่ไอ้เจ้าลูกจ้างจอมขี้เกียจของผมออกแล้วชวนเขาเข้ามาทำงานแทน

ผมไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่ที่ปกติจะทำหน้านิ่งๆ ไร้ทักษะการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิงจะสามารถกลายเป็นยอดนักขายฝีปากกล้าภายในพริบตาเดียว แถมยังสามารถเล่นมุกตลกจนลูกค้าหัวเราะร่าไม่หยุด

ตอนแรกผมคิดว่านายนี่เป็นใครสักคนที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ปลอมเป็นเมินโหยวผิงมาหลอกผม แต่หลังจากยืนอึ้งไปสักพักผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า...หากพูดถึงหน้ากากหนังมนุษย์ เมื่อนานมาแล้วเขาก็เคยใช้มันปลอมตัวเป็นนายเหม่งจาง คราวนั้นเขาเล่นละครได้เนี้ยบเฉียบเสียจนอยากยกรางวัลนักแสดงดีเด่นให้

สรุปแล้วอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ ร้านผมคึกคักเสียจนนึกว่าฝันไป ทำเอาอยากจะโทรไปบอกหวังเหมิงว่าไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว...ชั่วชีวิตเลย

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทักษะการเข้าสังคมของเขาก็เริ่มปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นจนตอนนี้น่าจะเลื่อนขั้นปรับเป็นนายง่อยระดับสิบแทนเสียแล้ว อย่างเวลาไปกินข้าวด้วยกัน เขาก็จะควักเงินขึ้นมาเป็นฝ่ายเลี้ยงผมบ้าง อันที่จริงเงินนี้ก็เป็นเงินที่ผมไว้ให้เขาใช้จ่ายส่วนตัว แต่พอกลับมาจ่ายให้ผมแบบนี้ ผมกลับรู้สึกเป็นฝ่ายเกรงอกเกรงใจที่ต้องให้เขาเลี้ยงเสียอย่างนั้น

กลายเป็นว่าพฤติกรรมจำพวกกินเสร็จแล้วรีบชิ่งไปก่อนเหมือนเมื่อก่อนยังจะทำให้ผมรู้สึกสะดวกใจเสียมากกว่า

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกได้จากกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ของเขาที่พยายามปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผม

...แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ

นั่นไม่อาจเรียกว่าดีใจ แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าเสียใจ ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกสองอย่างนั้น พลางทอดถอนใจอย่างเงียบงัน







ระหว่างเขาล้างจาน ผมก็ไปอาบน้ำ กลับออกมาก็เห็นเขานั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ แม้จะนั่งมองหน้าจอที่ฉายภาพวูบวาบ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเหม่อลอยไปในที่ไกลๆ

ก่อนนี้ผมเคยสงสัยว่าตัวเองจะทำอย่างไรถ้าจะกักตัวเขาไว้เฉยๆ อันที่จริงนึกอะไรไม่ออกมากไปกว่าจับใส่กรงแล้วล็อคกุญแจ นายจอมหายตัวระดับมืออาชีพแบบเขา ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรจะสามารถหยุดเขาไว้กับที่ได้

แต่ตอนนี้ไม่ต้องขัง ไม่ต้องล็อคกุญแจ เขาก็ไม่ไปไหน

ไม่รู้ทำไม เห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกปวดใจขึ้นมาชอบกล ก่อนหน้านี้บ่นเรื่องที่เขาชอบหายตัวไป แต่ตอนนี้เขาไม่หายตัวไปแล้วกลับรู้สึกประหลาด อาจเป็นเพราะได้เห็นนายง่อยระดับเก้าแบบเขาที่ปกติแล้วไม่แยแสสังคม กลับพยายามปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผม

เรื่องราวเมื่อครู่ที่ผมสลัดทิ้งไปจากสมองกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง...พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดในอกของผม หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายผมก็เลือกที่จะคลี่ยิ้มและก้าวไปหาเขาที่ผงกศีรษะขึ้นมา

"...เราไปตามหากันเถอะ" ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"?" เขามองผม

ผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เมินโหยวผิงแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาขยับ คล้ายจะเรียกชื่อผมแต่ก็เปลี่ยนใจ

ใบหน้าของผมยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม หลายปีมานี้ผมสูญเสียอะไรไปมากมาย รวมถึงความไร้เดียงสาที่เคยมี...แต่อย่างน้อย แค่รอยยิ้มนี้เท่านั้นที่ผมเก็บไว้เพื่อเขา...เขาที่ยอมแลกทั้งชีวิตเพื่อความไร้เดียงสาของผม

ก่อนนี้เขาทำเพื่อผม ตอนนี้เขาก็ทำเพื่อผม

ถึงเวลาที่ผมควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง...ไม่สิ เรียกว่าเป็นการลงมือร่วมกัน

“คราวก่อนฉันตามหานาย แต่คราวนี้เราสองคนไปตามหาด้วยกันเถอะ...”

โลกนี้อาจต้องการจางฉี่หลิง แต่สำหรับผม...อู๋เสียที่ปราศจากความไร้เดียงสา สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงนายเมินโหยวผิงคนน่าเบื่อคนนั้น

คนที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งยามได้เห็น...

"ไปหาวิธีที่เราสองคนจะได้แก่และตายไปด้วยกันเถอะ  เสี่ยวเกอ"



+++

END
14/08/2014







Talk Time:

ตัวนี้เป็นฉบับแก้ไขเนื้อเรื่องให้ยาวขึ้น ก่อนนี้เขียนตั้งแต่ช่วงอ่านเล่ม 6 จบ ยังงมสปอยล์ไปไม่ถึงไหน ตอนนั้นจำชื่อหวังเหมิงยังไม่ได้เลยค่ะ อาศัยเนียนๆ เรียกนายลูกจ้างจอมขี้เกียจเอา (ฮา) ได้โอกาสมาเติมเนื้อเรื่องขยายความเพิ่ม

ชื่อเรื่องได้ไอเดียมาจาก weibo ของแฟนจีนค่ะ เธอโพสต์เพลงที่มีชื่อว่า 最浪漫的事 หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The most romantic thing (สิ่งที่โรแมนติกมากที่สุด) ถ้าสนใจก็ลองฟังกันได้ค่ะ: https://www.youtube.com/watch?v=VmeM46a3IDc 

คำแปลภาษาอังกฤษ: http://yasminachina.blogspot.co.uk/2011/11/most-romantic-thing.html

ในเพลงมีท่อนหนึ่งร้องว่า (ขอยกภาษาอังกฤษนะคะ)

the most romantic thing that I can imagine
is to grow old with you

เลยเป็นที่มาของท่อนโปรย   

สิ่งที่โรแมนติกที่สุดที่ฉันสามารถจินตนาการได้ คือการค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมๆ กับเธอ...

เห็นคำแปลเพลงแล้วรู้สึกประทับใจ คิดถึงคู่ผิงเสียขึ้นมาทันที เมินโหยวผิงที่ไม่แก่ตัว กับอู๋เสียที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเพราะภาคหลังๆ ก็ไม่ได้บอกว่าดูแก่มากแก่น้อย ฮือ (แต่ก็น่าจะแก่ตัวบ้างแหละค่ะ) หรือถึงไม่แก่ เราก็ออกไปตามหาหนทางที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกัน

เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายและน่าประทับใจดีค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรมาก ขอแค่เราสองคนอยู่ร่วมกัน ค่อยๆ แก่ตัวไปพร้อมกัน...

เสี่ยวเกอที่ปรับตัวใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาแบบอู๋เสีย อู๋เสียที่ชักชวนออกเดินทางไปผจญภัยด้วยกันเหมือนสมัยก่อนที่เป็นทีมสามประสาน...สำหรับเราแล้วเป็นวิธีการปรับตัวเข้าหากันของทั้งสองคน...แต่ยังไงก็ต้องเรียกเสี่ยอ้วนนะพวกนาย ไปโรแมนติกกันสองคนไม่ได้นะ (ฮา)

จริงๆ ตอนหลังอู๋เสียมีกิจการที่ดีขึ้น หวังเหมิงเองก็เป็นผู้เป็นคน เอาการเอางานขึ้น ฉากร้านไม่มีคนนี่ก็เป็นแค่จินตนาการละนะคะ *หัวเราะ*



4 ความคิดเห็น:

  1. โลกนี้อาจต้องการจางฉี่หลิง แต่สำหรับผม...อู๋เสียที่ปราศจากความไร้เดียงสา สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงนายเมินโหยวผิงคนน่าเบื่อคนนั้น << ปย.นี้อ่านแล้วจี๊ดมากจริงๆค่ะ เลอค่ามากแงงง
    สองคนนี้เนี่ยขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้จริงๆนะคะ เราชอบที่คู่ผิงเสียต่างเป็นเสาหลักให้กันและกันยึดนี่ละค่ะ เสี่ยวเกอคอยดูแลร่างกายของอู๋เสีย ส่วนฝ่ายอู๋เสียก็คอยดูจิตใจให้ เป็นเหมือนหยินหยางที่ตรงกันข้ามกันแต่คอยค้ำจุนกันจริงๆค่ะ T T

    ตอบลบ
  2. แมลงด้วยสเปนในขนรักแร้ของเสี่ยวเกอ18 กันยายน 2557 เวลา 09:18

    ฮือออออออออ มาสารภาพว่าจนตอนนี้ก็ยังอ่านเรื่องนี้วนไปวนมาอยู่เลยค่ะ เป็นฟิคผิงเสียที่เราวนอ่านบ่อยที่สุดในแฟนด้อมบันทึกโจรแล้ว ; ; ชอบบรรยากาศแบบนี้มาก เหม่งจางโมเอะ (หยุด...)

    อ่านถึงท่อนท้ายๆ ทีไรก็น้ำตารื้นทุกที อยากให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ นะ เมินโหยวผิงที่ทำเพื่ออู๋เสีย กับอู๋เสียที่(พยายาม)ตอบแทน(แล้วนะ)

    บ้าจริง ตาเฒ่าที่เลี้ยงเด็กบำเรอกามนั่นมันนายชัดๆ! อู๋เสีย!

    ตอบลบ
  3. ด้วงชนบทในไหเส้นผมพันปี10 ตุลาคม 2557 เวลา 01:41

    ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน♪
    ฮือ.. จากจินตนาการสู่ความจริง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
    สุดท้ายก็กลายเป็นตาเฒ่าเสียเองสินะคะนายน้อย--
    แม้จริงๆแล้วอาจจะกลับกันก็เถอะ U w U #เดี๋ยว

    ตอบลบ
  4. ชอบประโยคสุดท้ายของนายน้อยมากเลยค่ะ ไปหาวิธีที่เราจะแก่เฒ่าไปด้วยกันเถอะนะ
    ที่นายน้อยบอกว่าจะเสียใจก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้ดีใจ อาจจะเพราะกังวลเรื่องอายุตัวเองที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายหยุดนิ่ง สินะ
    เสี่ยวเกอก็พยายามในแบบเสี่ยวเกอ
    สู้ๆนะ ทั้งสองคน เราอยากให้พวกนายมีความสุขนะ

    ตอบลบ