วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][小花+吴邪] Pink

 

"Pink" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: - (小花+吴邪 เสี่ยวฮัว+อู๋เสีย)



วันหนึ่งผมเคยหลุดปากถามเสี่ยวฮัว

"นายชอบสีชมพูมากขนาดนั้นเลยหรือ?"

เขาชะงักมือที่เพิ่งยกถ้วยชาแตะปาก มองผมด้วยสายตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทำเอาดวงตากลมโตคู่นั้นดูบ้องแบ๊วยิ่งกว่าเดิม

พวกเราสบตากัน อากาศในห้องเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว ผมรู้สึกคล้ายตัวเองกับเสี่ยวฮัวเป็นภาพยนตร์ที่ถูกกดปุ่มพอสไว้ กลายเป็นภาพนิ่งบนจอโทรทัศน์

เสี่ยวฮัวกระแอมออกมาเบาๆ จิบชาแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะไม้หนานมู่

ห้องนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ของทุกชิ้นล้วนราคาสูง กระทั่งป้านชาบนโต๊ะก็ยังเป็นของไฮเกรด ตีราคาออกมามีเลขศูนย์ต่อท้ายหลายตัว อยู่ที่นี่ผมเหมือนโดนกดดันให้ต้องแสดงเป็นนายน้อยสามบ้านสกุลใหญ่ แตกต่างกับเสี่ยวฮัวที่ดูเป็นธรรมชาติทุกอิริยาบถ สมแล้วที่ใช้ชีวิตเป็นคุณชายเก้ามาหลายปี

คนอย่างคุณชายเก้า ทำอะไรต้องมีการวางแผน ผมเห็นเขาในเสื้อผ้าชุดเดิมอยู่บ่อยๆ รู้สึกค้างคาใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นแอบคิดว่าเขาคงป้องกันคนนอกจับผิดว่าใส่เสื้อผ้าซ้ำบ่อย จึงแก้ลำด้วยการใส่อยู่แบบเดียวสีเดียว ประหยัดเงินค่าตามแฟชั่นเข้าสังคมไปได้เยอะ

"แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะอาเฮีย" เขาถามกลับ ทำสีหน้าใสซื่อ ใช้รอยยิ้มหว่านเสน่ห์ปิดบังความจริงว่าเพิ่งเลี่ยงคำถามผมไปอย่างชาญฉลาด

"ฉันว่าเหมาะกับนายดี ถ้าฉันใส่คงไม่กล้าเดินออกจากบ้าน" ผมตอบตามจริง

"ได้ยินนายพูดชมแท้ๆ แต่ทำไมฉันดันรู้สึกเหมือนกำลังโดนด่าว่าเป็นคนหน้าไม่อายอยู่ล่ะเนี่ย ความจริงนายเกลียดฉันมากสินะ" เขายกมือกุมอก ทำสีหน้าปวดร้าวอย่างเกินจริง

"เพ้อเจ้อน่า นายก็รู้นิสัยฉัน หรือถ้าไม่อยากตอบก็พูดมาตรงๆ ฉันจะได้จินตนาการเองต่อ เห็นนายทำตัวแบบนี้แล้วจั๊กกะเดียมสายตาพิลึก" ผมโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเลิกแกล้งแอ๊บแบ๊วเสียที ความจริงมันก็ไม่ขัดตาถึงขนาดนั้น แต่พักนี้ผมเหนื่อยมาก ไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับเขา

"งั้นขอถามหน่อย นายคิดยังไงกับสีชมพู" เขามองผมยิ้มๆ เปลี่ยนท่าทางกลับมาเป็นคุณชายเก้าเจ้าเสน่ห์แบบยามปกติ นั่งพิงพนักหลังเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย

ดูแล้วถ้าผมไม่ตอบเขาก่อนก็คงไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงพูดไปว่า "นึกถึงเด็กผู้หญิง กระโปรงบานฟูฟ่อง ดอกไม้..." เสี่ยวฮัวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อถึงคำหลัง สีหน้ายียวนยิ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนดักด้วยคำตอบจากปากตัวเอง จึงพยายามหาคำอื่นพูดตามไป

"แมวคิตตี้ รูปหัวใจ ผู้หญิงมีความรัก เสื้อสีตก แม่บ้านซุ่มซ่าม ตุ่มเนื้อของอุ้งแมว..."

เสี่ยวฮัวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ผมหยุด

เขาทำท่าพยายามเม้มปากกลั้นหัวเราะสลับกับหลุดหัวเราะคิกคักอยู่หลายที ผมถลึงตาจ้องเขา ทำสีหน้าโมโห เขายิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม ถึงขั้นใช้สองแขนกอดท้องตัวเอง ก้มตัวหัวเราะจนแทบจะไหลหลุดจากเก้าอี้ลงพื้น

เห็นดังนั้นผมก็รู้สึกอายขึ้นมา แม่งนั่งเฉยๆ เก็กท่าหล่อเป็นนายน้อยสามอยู่ดีๆ ไม่ชอบ อยากรู้อยากเห็นจนหาเรื่องใส่ตัวเองอีกจนได้สิวะ

เสี่ยวฮัวเห็นผมท่าทางฉุนเฉียวก็กลั้นยิ้ม (ได้ซะที!) กระแอมปรับอารมณ์สองสามรอบ ก่อนพูดออกมา

"ขอบเขตจินตนาการของอาเฮียยังน่าเลื่อมใสเหมือนเคย ต้องขออภัยแล้ว เรื่องของฉันมันจืดชืดกว่านั้นหลายเท่า"

เขาเห็นผมเม้มปากหรี่ตามองก็รู้ว่าผมยังไม่หายโมโห จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนปลอบใจเด็กงอแง ทำเอาผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่งกว่าเดิม

"ก็แค่สีชมพูเข้าสีผิวฉัน...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น นายก็เห็นด้วยไปตั้งแต่แรกแล้วนี่"

"แค่นั้น?"

"แค่นั้น"

"ก็เลยใส่อยู่สีเดียวเนี่ยนะ?"

เขาได้ยินน้ำเสียงผมเหมือนประชดก็ยักไหล่ ทำท่าเหมือนพูดว่ามันช่วยไม่ได้

"แต่ไหนแต่ไรมา ฉันก็ใช้ภาพลักษณ์หากิน ทำอะไรต้องคำนึงถึงสายตาคนนอกเสมอ ต่อให้ตอนนี้มีอำนาจในมือเหลือเฟือ ไม่ต้องแคร์สายตาคนอื่นอีกต่อไป ฉันก็ปรับเปลี่ยนความเคยชินของผู้อื่นไม่ทันแล้ว"

เสี่ยวฮัวอมยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่ผมรู้ว่านี่อาจเป็นคำตอบที่แท้จริงยิ่งกว่าคำตอบแรกเสียอีก

"เอาเหอะ เหมาะกับเสื้อสีชมพูก็ดีแล้ว ขืนเหมาะกับสีเจ็บๆ พวกเหลืองแปร้ด แดงปรี้ด ฉันคงต้องถอดแว่นสายตาแล้วสวมแว่นดำตอนมาเจอนาย"

เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ใส่พฤติกรรมพยายามปลอบใจของผม

"อาเฮียก็เหมาะกับผิวแก้มสีชมพูเวลาทำอะไรน่าอายเหมือนกัน"

...ไอ้ห่านี่!

ผมขอถอนความเห็นใจคืน! หมอนี่แม่งไม่น่าสงสารเลยสักนิด!





+++

END
26/04/2015



#dmbjdaily 114 days left : Pink



Talk Time:


สีชมพูก็ต้องเสี่ยวฮัวสิคะ!

ไทม์ไลน์ไม่รู้ค่ะ แต่งด้วยฟีลลิ่งเมากาวเต็มที่

แค่จู่ๆ พอทวิตบอกว่าเดี๋ยวหลังทำรวมเล่มใหม่เสร็จจะไปแต่งฮัว(+)เสีย แฟนเรือฮัวเสียก็วิ่งเข้ามานั่งรอปักธงเชียร์ แล้วทันใดนั้นเอง ในหัวก็มีคำว่า "นายชอบสีชมพูงั้นหรือ?" โผล่ขึ้นมา 55555 แง ทำไมเป็นคนบ้ายุขนาดนี้!!

ความสัมพันธ์ฮัว(+)เสียที่เราชอบ ก็เป็นประมาณในฟิคข้างบนล่ะค่ะ อธิบายไม่ถูก รู้แต่มันน่าหยิกแก้ม แอร๊


ด้วยรักและถังกาวสีชมพู
ด้วง L.


วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU SEAL] 02: ปลาอยู่ที่ฉัน

 

"02. ปลาอยู่ที่ฉัน" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
**เมากาวหนักมาก ควรใช้วิจารณญาณตลอดการรับชม**





"เสี่ยวเกอ ปลาอยู่ที่ฉัน"

ผมกล่าว สองมือแบกถังเหล็กบรรจุปลาจำนวนมาก เป็นอาหารหลักของโอร๋งฉี่หลิงหลังจากการออกเดินเล่นริมทะเลสาบซีหู



ตั้งแต่กลับมาจากฉางไป๋ซาน พวกเราแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิต ผมกลับมาอยู่ที่ร้านที่หังโจว พาเสี่ยวเกอกลับมาด้วย

ตั้งแต่มาถึงบ้าน เสี่ยวเกอก็นัวเนียผมไม่ยอมหยุด ทีแรกผมคิดว่าอากาศในเมืองคงร้อนเกินไปทำให้เขาไม่ชอบใจพื้นที่บริเวณบ้าน แต่หาสระน้ำพลาสติกมาตั้งให้เล่นน้ำก็แล้วก็ยังไม่ยอมเลิก จะเอาแต่กอดผมท่าเดียว ไม่ยอมให้ผมลุกเดินไปไหน

ผมจึงรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ปัญหาอาจอยู่ที่ตัวผมเอง

ผมจึงเจรจากับเขาอีกครั้ง

"โอร๋ง!" แมวน้ำร้องอย่างเคร่งขรึม

...ฟังไม่รู้เรื่อง ผมบอกให้เขาใช้ภาษากาย จากนั้นเสี่ยวเกอก็คลานเข้ามาเอาตีนครีบมาตบๆ พุงผม จากนั้นก็ตบๆ พุงไขมันตัวเอง

ผมคิดตีความสักพัก แล้วก็โวยวายออกมา

"นาย...นายก็ด้วยเหรอ! นายก็หาว่าฉันอวบด้วยเหรอ!" ผมมองเขาตาดุ หยาบคายมาก แม้แต่นายก็ยังหาว่าฉันอวบ จางฉี่หลิง! นายเองตอนนี้ก็อวบอ้วนไม่แพ้กันเลยแท้ๆ!

"โอร๋ง!" แมวน้ำสั่นหัวปฏิเสธ จากนั้นก็สื่อสารวิธีใหม่ เขาล้มตัวนอนลง กลิ้งตัวไปมาบนพื้น กลิ้งไปกลิ้งกลับ กลิ้งขึ้นลงซ้ายขวา กลิ้งไปรอบๆ ห้อง จากนั้นก็ใช้สองเท้าครีบชันตัวลุกขึ้น มองผมตาใสแป๋วเหมือนจะถามว่าผมเข้าใจไหม

...ไม่เข้าใจกว่าเดิมอีกโว้ย!

เขาทำท่าจะสาธิตท่าทางเมื่อกี้ให้ผมดูอีกรอบ ผมนั่งลงยองๆ เอามือจับตัวให้เขาหยุดกลิ้งที่พื้น สัมผัสนุ่มนิ่มในมือทำให้ผมเผลอลูบขนของโอร๋งฉี่หลิงไปด้วย "เสี่ยวเกอ คราวที่แล้วนายก็บอกใบ้ได้เฮงซวยมาก ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายบอกใบ้อะไรฉัน คราวนี้เป็นเรื่องจริงจัง นายโปรดเมตตาสมองน้อยๆ ของฉันหน่อย"

แมวน้ำยื่นหน้ามาดมๆ ที่มือผม จากนั้นก็แลบลิ้นเลียเบาๆ หนึ่งที สัมผัสสากของลิ้นให้ความรู้สึกจักจี้จนผมเผลอชักมือกลับ โอร๋งฉี่หลิงชะเง้อหน้าตามมือผมมาอีก ก่อนจะเลียอีกครั้ง คราวนี้แถมงับที่นิ้วเบาๆ

ผมผวาจนเกือบจะดึงมือหนีอีกรอบ แต่นิ้วที่โดนงับค้างเอาไว้ข้างในปากคล้ายถูกเขาเอาลิ้นแตะรัวๆ ราวกับพยายามสื่อสารอะไรบางอย่าง ผมจึงหยุดดิ้นหนี จากนั้นก็เอียงคอมอง ค่อยๆ คิดพิจารณา

"นาย...หิวข้าวเหรอ?"

"อุ๋ง♥"

จริงด้วย แย่แล้ว ปลาทูคลุกข้าวให้แมวเมื่อเช้าคงไม่พอยาไส้แมวน้ำตัวเท่าเกวียนแน่ๆ อู๋เสียเอ๋ยอู๋เสีย ทำไมถึงโง่เง่าแบบนี้

ผมเปิดอินเทอร์เน็ตค้นหาว่าอาหารของแมวน้ำคืออะไร อ่านคร่าวๆ แล้วก็ตัดสินใจบึ่งไปตลาดที่ใกล้ที่สุด เพื่อซื้อปลาชั้นดีที่สุดกลับมาหลายถัง



ขณะนี้ผมจึงกลับมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พร้อมปลาสดสองถัง มองเห็นโอร๋งฉี่หลิงกำลังยืดตัวมองแผ่นลอกลายบนชั้นวางสินค้าค้างสต็อกที่ตอนนี้ขนกลับมาเก็บในบ้านผมส่วนหนึ่งแล้ว

"ฉันกลับมาแล้ว ปลาอยู่ที่ฉัน" ผมกล่าวอีกครั้ง เจ้าแมวน้ำหันมามองแล้วคลานดุ๊กดิ๊กตามผมไปยังสระน้ำพลาสติกที่ซื้อมาตั้งไว้ในสวน

ผมหาเก้าอี้นั่ง แล้วโยนปลาเข้าปากแมวน้ำทีละตัวสองตัว โอร๋งฉี่หลิงตอนอยู่เฉยๆ กลิ้งไปกลิ้งมา ดูน่ารักก็จริง แต่ภาพตอนเคี้ยวปลาสดกรุบๆ เลือดสาดก็บาดตาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ผมให้อาหารจนหมดที่มีแล้ว กำลังจะลุกออกไป ในตอนนั้นเองก็โดนเจ้าแมวน้ำตวัดหางพุ่งเข้าชน ลากผมลงสระน้ำไม่ทันได้ตั้งตัว

"เสี่ยวเกอ!" ผมร้องตกใจ ขณะที่แผ่นหลังชนเข้ากับขอบพลาสติกยางอ่อนยวบ ส่งผลให้น้ำในสระไหลรั่วออกมาข้างนอกเสียหลายส่วน

ผมโดนแมวน้ำยักษ์กดทับ จากนั้นก็ไต่ขึ้นมาบนตัวของผม ทั้งชุ่มโชกและเปียกปอน ถึงตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าพลาดท่าเข้าจนได้

"เสี่ยวเกอ ปล่อย!"

"โอร๋ง?"

โอร๋งฉี่หลิงเข้ามานัวเนียใบหน้าผม รู้ได้ถึงคาวปลาและคราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ไม่ขำ นี่มันชักจะไม่ขำแล้วนะ

แล้วจากนั้น เขาก็ทำในสิ่งที่ทำให้ผมขนลุกซู่

"ฉันชอบกิน ปลาอู๋เสียมากกว่า"

เสียงกระซิบแหบพร่าของเมินโหยวผิงดังที่ข้างหู เป็นเสียงที่คุ้นเคย ทำให้ขนคอของผมตั้งชัน

ไอ้แมวน้ำเชี่ยนี่!!

...นายพูดได้ทำไมไม่บอกกันแต่แรกเล่าวะะะะะะะ!!!!!



+++

END
13/04/2015



#dmbjdaily 126 days left : น้ำ (Water)



Talk Time:

ค่ะ...ฟิคพรรค์มันยังอุตส่าห์จะมีตอนต่ออีกค่ะ แง อยากส่งเสี่ยอ้วนไปตบมุก "ตกลงนายกังวลเรื่องนี้หรอกเรอะเทียนเจิน!"

ส่วนฉากหลังจากนี้ ก็...เบลอๆ มันทิ้งไปเถอะนะคะ เถ้าแก่อู๋ยังไม่กังวลเลย เราก็จะไม่ข้ามเส้นนั้นไปค่ะ *เบรกตัวเองอยู่ ณ จุดปลอดภัยสุดท้ายของสติ โอร๋ง♥*

เป็นครั้งแรกเลยที่ฟิตส่ง #DMBJdaily ตรงวันแถมส่งตั้งสองตอนแน่ะค่ะ ////7//// ต้องขอบคุณสต๊าฟงาน DMBJonly ที่จัดกิจกรรมมอบพื้นที่แก่ถังกาวด้วยนะคะ วางสติลงแล้วตั้งถุงกาวดกมากค่ะ ฮา *โดนโห่ไล่ลงจากเวที*

คิดว่าต่อจากนี้คงไม่มีตอนต่อแล้วค่ะ ฮือ AU พรรค์นี้ ปล่อยมันจบแบบนี้ไปเถอะค่ะ

อันนี้ของแถมค่ะ

 

 
ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. Seal แปลว่าตราประทับ (ลัญจกร) ได้ด้วย แปลว่าแมวน้ำได้ด้วย, ส่วนปลาอู๋เสีย = อู่เสียเกิดราศีมีนน่ะค่ะ

[Daomu Fan-fiction][AU SEAL] 01: โอร๋งฉี่หลิง

 

"01. โอร๋งฉี่หลิง" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**
**เมากาวหนักมาก ควรใช้วิจารณญาณตลอดการรับชม**





"กษัตริย์ของพวกมันไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่คลานออกมาจากประตูนรกบานนั้น มันเป็นปีศาจ"


...
...


ผมมาช้าไป... เงื่อนเวลาสิบปีถูกผิดสัญญา "สิ่งแลกเปลี่ยน" ที่ถูกกักขังในประตูจึงถูกสาป

"โอร๋ง?"

แมวน้ำจางฉี่หลิงตัวเบ้อเริ่มคลานออกมาจากประตูสำริดบานนั้น




-1-

อู๋เสียที่มัวแต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก โดนกองทัพนกหน้าคนโจมตี

แมวน้ำยักษ์สีดำสนิทตรงหน้ามีประสาทว่องไวกว่านัก เอาตัวเข้าปกป้องคณะเดินทาง มันกระโดดท่าแมวน้ำเหิน แท็กเกิ้ลบรรดานกหน้าคนแล้วเอาหางตบ

"กย๊าาาา"




-2-

แต่ด้วยความแตกต่างของร่างกายก่อนหน้านี้และร่างปัจจุบัน ทำให้ต่อสู้ได้ไม่ถนัด แม้จะขับไล่ไปได้ แต่การดวลครั้งนี้เขาไม่ได้กำไรเท่าไหร่นัก

เจ้าแมวน้ำโอร๋งฉี่หลิงมีลายสักกิเลนขึ้นทั่วตัว เป็นลายกิเลนย่ำไฟ ใต้เท้านั้นเป็นลวดลายละเอียดของลูกไฟสีดำ แผ่ลามไปทั่วตัว มันทรุดล้มลงพังพาบกับพื้น

เมื่อนั้นเถ้าแก่อู๋ถึงเพิ่งรู้ตัว รีบสั่งการให้ลูกน้องตรึงกำลังคอยระวังหลัง ส่วนเขาวิ่งเข้าไปหาแมวน้ำสีดำพิสุทธิ์ตัวนั้น

"เสี่ยวเกอ!" เขาร้องเรียก บัดนี้รู้แล้วว่าแมวน้ำตัวนี้คือจางฉี่หลิง คนรักของเขาจริงๆ นึกโทษตัวเองที่ช่างไร้เดียงสาเสียจนไม่อาจเข้าใจเรื่องง่ายๆ เช่นนี้




-3-

แมวน้ำดำฝืนกายผงกหัวขึ้นเพื่อมองใบหน้าเจ้าของเสียง ใบหน้าของคนที่เขาเองก็เฝ้ารอคอย

"โอร๋งโอร๋งโอร๋งโอร๋ง"

"ไม่เป็นไร นายไม่ได้ทำให้ฉันตาย" อู๋เสียตอบ




-4-

"โอร๋งโอร๋งโอร๋งโอร๋ง"

"ใช่ ฉันมาพานายกลับบ้าน" เถ้าแก่อู๋กระซิบ ใส่ซับแบบคิดเองเออเอง เขาพยายามกำตีนครีบของโอร๋งฉี่หลิงเอาไว้ จากนั้นก็หันไปตะโกน "ขอสัตวแพทย์ด่วน!"

"เราไม่มีสัตวแพทย์ ถึงเรามี ก็ไม่มีเครื่องมือรักษาแมวน้ำ" หยาเจ่ตอบ "ในบรรดาพวกเรา คนที่รู้เรื่องสัตว์ดีที่สุดก็มีแต่หลานของหมาห้าแบบคุณ"

กูรู้แต่เก่ากลมใหม่เหลี่ยม! ถัง ซ่ง หยวน หมิง ชิง! อู๋เสียคิดในใจ สุดท้ายก็เรียกให้พยาบาลคนมาดูแลแทนไปก่อน




-5-

ระหว่างที่เหตุการณ์ชุลมุน เถ้าแก่อู๋จุดบุหรี่สูบด้วยความกระวนกระวาย สักพักนายอ้วนก็เดินมาตบบ่าเขา

"ไม่เป็นไรน่าเทียนเจิน เรื่องนี้มันต้องมีทางแก้" มิตรสหายเก่าพยายามให้กำลังใจ แต่อู๋เสียส่ายหน้า

"ไม่ ฉันไม่ได้ฝึกฝนมาสิบปีเพื่อเจอเรื่องแบบนี้"

นายอ้วนไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาสลด

"ทำไมนายแว่นดำถึงไม่สอนวิธีปฐมพยาบาลแมวน้ำมาให้ฉันด้วย!"

"นายกังวลเรื่องนี้หรอกเรอะเทียนเจิน!"




-6-

หลังจากนั้น โชคดีที่ โอร๋งฉี่หลิงไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก พักฟื้นเพียงไม่นานก็ใช้ตีนครีบไถตัวเดินได้ เขายังคงเป็นแมวน้ำหล่อผู้เงียบขรึมและพูดน้อยเช่นเดิม

เดินทางขากลับ หลังออกจากตำหนักทิพย์พิมานเมฆ คืนนั้นพวกเขาตั้งแคมป์ด้วยผ้าใบกันหิมะใต้ซอกหินระหว่างทาง

ระหว่างที่เถ้าแก่อู๋กำลังไม่แน่ใจว่าอาหารบีบอัดที่มีจะเอาให้แมวน้ำกินได้หรือเปล่า เขากำลังคิดถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตลอดการเดินทางต่อจากนี้ พอคิดว่าอะไรๆ คงไม่เป็นไปตามแผน ก็เกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา

ในตอนนั้นเองโอร๋งฉี่หลิงก็ตะกายพาร่างอุ้ยอ้ายหนาเตอะมาตรงหน้าเถ้าแก่อู๋ จากนั้นก็ซบหน้า นอนลงบนตัก

อู๋เสียจ้องมองกลับไป แมวน้ำเงยหน้ามองตอบ นัยน์ตาสีดำสนิทของโอร๋งฉี่หลิงไม่ฉายอารมณ์หรือความคิดใด เขาไม่รู้ว่าเหตุใดทำไมจึงรู้สึกว่าใบหน้านี้น่าเอ็นดูอย่างประหลาด พอเป็นแมวน้ำแล้วเมินโหยวผิงดูไร้พิษภัยสิ้นดี

มองๆ ไปก็เกิดนึกสนุก อยากฉวยโอกาสนี้ทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำดูสักครั้ง

เริ่มจากเอามือลูบศีรษะนั้น

ขนเรียบลื่นให้สัมผัสพิลึกพิลั่น ลูบไปสักพักแมวน้ำก็ทำตาปรือ รู้สึกน่ารักจนต้องรีบหันรีหันขวาง เก็บซ่อนสีหน้าอาการตัวเองเอาไว้ ด้วยเกรงว่าหากลูกน้องมาเห็นเข้าจะทำให้เสียมาดเถ้าแก่อู๋

เอนหลังมองสำรวจจนรอบ ไม่มีใครผิดสังเกต เมื่อหันมาอีกที ก็พบว่าโอร๋งฉี่หลิงไต่ขึ้นมานอนทับบนตัวเขาแล้ว




-7-

เผลอไม่ทันไร โอร๋งฉี่หลิงตะกายพาร่างอุ้ยอ้ายหนาเตอะทับลงบนตัวของเขา ไขมันและหนังหนาของแมวน้ำยักษ์สีดำสนิทปกป้องชายหนุ่มจากลมหนาวฉางไป๋ซาน

"เสี่ยวเกอ...หนัก"

"โอร๋ง"

"โอร๋งเชี่ยไร พูดไม่รู้เรื่อง!" อู๋เสียเอามือตบๆ ข้างลำตัวเขา แต่เจ้าแมวน้ำยักษ์ก็ยังคงนอนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ สุดท้ายก็จนใจ ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

อยากทับก็ทับไป ตามใจ จะได้นอนหลับสนิทเสียที เขาคิด พลางเอื้อมมือกอดแมวน้ำโหยวผิง คืนนี้คงเป็นคืนที่หลับฝันดีที่สุดในรอบสิบปี



+++

END
13/04/2015



#dmbjdaily 126 days left : น้ำ (Water)



Talk Time:

น้ำยังไงเหรอคะ... (แมว) น้ำ ไงคะ...

*วิ่งหลบเท้าคนอ่านด้วยความเร็วสูงมาก*

เป็น #DMBJdaily ประจำวันสงกรานต์ที่สนุกจริงๆ เลยล่ะจอร์จ ไม่คิดเลยว่าจะกาวล้นท่วมท้นได้ถึงเพียงนี้ สติปลิวไปกับขันที่หลุดมือไปโน่นแล้วแน่ๆ เลย อ๊าง ///∇///

(ขอสติคืนให้ด้วงโกะตัวนี้ด้วยค่ะ)

ด้วยรัก จากด้วง M.


×××


โซนเครดิต: โอร๋งฉี่หลิงมีต้นฉบับอยู่ในทวีตส่วนตัวของเราเมื่อคืนตอนเช้ามืด ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากทวีตที่คุณ @kame_kazuha ทักมาค่ะ ประมาณว่าตาเบลอ อ่านข้อความของเราผิด จาก "แมวเกลียดน้ำ" กลายเป็น "เกลียดแมวน้ำ" แล้วคำพูดนั้นดันสะกิดถังกาวด้วงเสียสติแบบเราเข้า เลยงอกออกมาเป็นฟิคแมวน้ำเลย *พราก*

นอกจากนี้ อีกต้นตอหนึ่ง คือฟิค [OS] ผมกับแมวอีกหนึ่งตัว [ฮัวเสีย] ของคุณ @KoumeHanako และผู้ร่วมขบวนการกาวและ zoo อีกมากมาย ที่เราไปนั่งอ่านเรื่องของ "แมว" แล้วมโนต่อให้เข้ากับเดลี่หัวข้อ "น้ำ" จาก "แมว" → "แมวน้ำ" ออกมากลายเป็นโอร๋งฉี่หลิงฉบับของตัวเองด้วยประการฉะนี้ /คนเขียนต้นฉบับร้องไห้หนักมาก

ยังค่ะ ยังไม่หมด ที่เวิ่นในทวีตเปล่าๆ ไป ตอนที่ยังไม่เอามาเรียบเรียงเป็นเรื่องแบบในบลอคนี้ นอนข้ามคืนไป ตื่นมามีแฟนอาร์ตด้วยค่ะ!


โอร๋งฉี่หลิง by @Ig_Ignotus ค่ะ

ต้นฉบับภาพ: https://twitter.com/Ig_Ignotus/status/587472454131417088

แง น่ารักมากเลยค่ะะะะ โอร๋งงงง♥ ขอบคุณคุณอิกนอทัสมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


×××



โซนแถม:

"เสี่ยวอู๋ชอบผู้ชายหุ่นหมีๆ จับเต็มไม้เต็มมือก็ไม่บอกแต่แรก เสี่ยอ้วนจะได้จีบ"

นายอ้วนเกาหัวมองเพื่อนคู่รักอันดับแปดผู้อยู่ร่วมเต็นท์เดียวกัน ที่ไม่ว่าจะ AU ไหนก็สวีทได้ไม่หวั่นอย่างปลงๆ

"เอาเถอะ ไม่เป็นไร เสี่ยอ้วนชินแล้ว"

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 09: โฉมตรูซ่อนเร้น


 "009. โฉมตรูซ่อนเร้น"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


 
อู๋เสียตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกตะลึงซ้ำซ้อน

อาจเพราะเพิ่งตื่น สายตาจึงพร่ามัว เขารู้สึกเหมือนภาพนั้นยังติดตาชัดเจน ประหนึ่งแค่หลับตาลงก็สามารถเห็นมันฉายทาบเบื้องหลังเปลือกตา ทว่าพอดวงตาปรับสภาพจนมองเห็นได้ปกติเขาก็ต้องตกใจอีกหน เพดานเตียงที่คุ้นเคยกลายเป็นใบไม้จำนวนมากที่ยังติดอยู่กับกิ่งก้านลำต้น อู๋เสียสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าทำไมตนมานอนตากยุงตรงนี้

เขายันตัวขึ้นนั่ง ความทรงจำล่าสุดของเขาคือการนอนมองเมฆบนฟ้าพลางจินตนาการว่าแท้จริงแล้วกิเลนตัวเป็นๆ เหาะได้หรือไม่ เมื่อวัดจากแสงอาทิตย์ที่กำลังย้อมทุกอย่างเป็นสีแดง อู๋เสียรู้ทันทีว่าตนหลับไปนานพอดู ส่วนกิเลนตัวเป็นๆ ที่ว่าก็กำลังนั่งเหม่อจ้องก้อนเมฆอยู่เหมือนเดิม...ซะที่ไหน

ลำตัวมันยังอยู่ท่าเดียวกับที่เขาเห็นก่อนหลับ แต่ไม่รู้เอี้ยวคอมาจ้องเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาไร้อารมณ์ถูกเคลือบด้วยแสงอัสดงจนกลายเป็นสีแดงก่ำ เกล็ดทั่วตัวคล้ายสะท้อนประกายสีเลือด

โดนตัวอะไรแบบนี้มองตาไม่กระพริบกลางแสงโพล้เพล้ ทำเอาคุณชายน้อยตระหนกจนเผลอกลั้นลมหายใจไปเฮือกใหญ่

"จะ...จ้องทำไม" เจ้ากิเลนไม่ตอบ หันหน้าไปทางเดิม อู๋เสียรู้สึกได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความตกใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะพลางลุกขึ้นยืนบิดนวดเนื้อตัว

พอพ้นวัยเด็ก คุณชายเช่นเขาก็ไม่ได้ออกไปเล่นซนที่ไหนอีก เรื่องนอนบนดินกลิ้งบนหญ้าไม่ต้องพูดถึง ร่างกายสูงค่ากว่าทองคำของเขาย่อมปูรองด้วยฟูกนุ่มนิ่มทุกคืน การผล็อยหลับเมื่อครู่สร้างความปวดเมื่อยให้เขามิใช่น้อย

"ขออภัยที่ข้าเผลอหลับจนเวลาล่วงไปมาก รบกวนเจ้าช่วยนำทางไปถนนเส้นหลักหน่อย ไม่งั้นเกรงว่าพอฟ้ามืดกว่านี้แล้วจะลำบาก ข้าไม่ได้ติดคบไฟมา" พูดจบเขาก็เดินไปแก้เชือกม้าแล้วขึ้นขี่ ไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับคำ

คุณชายน้อยอู๋เสียถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวใหญ่ แต่ละคนรอบตัวนิสัยแตกต่างกันมาก เรื่องโต้แย้งกลางโต๊ะอาหารเกิดขึ้นไม่เคยขาด แม้ทุกคนจะเอ็นดูเด็กชายตัวน้อย ทว่าอู๋เสียก็ไม่ใช่เด็กช่างพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าจึงมักใช้ไปกับการดูงิ้วนอกโรง (นำแสดงโดยท่านอารองและท่านอาสาม)

ศึกษาเสือร้ายสองตัวออกกระบวนท่าแลกเล็บกันทุกวัน อู๋เสียได้ความสามารถมีประโยชน์ติดตัวมาไม่น้อย แม้ไม่อาจเดาใจคนได้แม่นยำเท่าเสือเฒ่าสองตัวนั้น การสังเกตคนกลับถนัดอยู่บ้าง

หากมองกิเลนตัวนี้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก็นับว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่เลว ตัดข้อเสียเรื่องชอบอมพะนำเหมือนเป็นใบ้ออกไป 'ว่าที่เจ้าสาว' ของเขาก็นับว่าคุยง่าย อู๋เสียจึงตั้งใจจะทำตัวหลับตาข้างหนึ่งเรื่องนิสัยอีกฝ่าย

เจ้าไม่พูดก็เรื่องของเจ้า ทำตามคำพูดข้าก็ถือว่าใช้ได้แล้ว!

เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่ออู๋เสียขึ้นม้า กิเลนดำก็ควบเท้านำเขาลัดเลาะตรอกซอยกลับไปทางเดิม ภายในเวลาไม่นานเขาก็มาอยู่กลางถนนตำแหน่งเดียวกับเมื่อกลางวัน


"อืมม... ตอนนี้ก็นับว่ามืดแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่ำพอ เจ้าไม่มีวิธีพรางตัวเลยหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าใช้วิธีใดถึงไม่มีใครเคยพบเห็น"

"......"

"เจ้าปีนกำแพงได้รึไม่? กระโดดสูงแค่ไหน? เดินบนอากาศได้รึเปล่า? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสามารถเท่าม้าธรรมดาตัวหนึ่ง"

"......"

กร็อบ กร็อบ กร็อบ กร็อบ---------

"หยุดๆๆ ข้าผิดเอง เจ้าเลิกบิดกระดูกได้แล้ว! ข้าไม่อยากเห็นภาพกวางมีเกล็ดยืนสองขาเอากีบเท้าคู่หน้าปีนกำแพงหลังบ้านตัวเอง"

"......"

"เฮ้อ... ช่างเถอะ อย่างมากข้าก็ลองเอาโคลนโปะเกล็ดเจ้าให้ทั่วแล้วหลอกคนที่บ้านว่าข้าเก็บลูกกวางกำพร้าได้ตัวหนึ่ง ท่านปู่ยังเก็บลูกสุนัขหน้าตาแปลกๆ มาบ่อยจนผู้อื่นคร้านจะสนใจแล้วเลย"

"......"

"มองข้าแบบนั้นทำไม ข้าไม่ได้ด่าเจ้าเป็นสุนัข อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวเล็กกว่านี้สักนิดก็ยังเอาเสื้อห่อแล้วอุ้มเข้าบ้านได้ ใครใช้ให้เจ้าตัวสูงใหญ่แถมหน้าตายังผิดแปลกจากสัตว์ปกติในป่า นี่ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแค่เอาโคลนโปะจะพอหรือไม่ กวางที่ไหนแผงคอยาวเรี่ยพื้นอย่างเจ้าบ้าง" อู๋เสียบ่นพึมพำยาวยืด ขมวดคิ้วถลึงตาจ้องกิเลนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างม้าที่เขาขี่

ตั้งแต่เล็กจนโตอู๋เสียเคยมีความเชื่อว่าสัตว์ในตำนานอย่างมังกรหรือกิเลนจะต้องดุร้ายน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ การพบเจอว่าที่เจ้าสาวพันธุ์กิเลนตัวนี้ได้ทำลายภาพลักษณ์ของกิเลนในใจเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ที่เขาพูดให้อีกฝ่ายเป็นกวางพันธุ์แปลกก็ถือเป็นการปลอบใจตัวเองแบบหนึ่ง

คาดไม่ถึงว่าคำบ่นระบายเรื่อยเปื่อยจะถูกอีกฝ่ายเก็บไปคิดจริงจัง

"ได้"

ได้? ได้อะไร? ให้โปะโคลนได้? โกนแผงคอให้สั้นเกรียนได้? อู๋เสียยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น กิเลนดำก็เริ่มสะบัดแผงคอและลำตัว ทุกการขยับจะเห็นประกายวิบวับลอยฟุ้งในอากาศ แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งเหนือโลกีย์ ราวกับกวางสวรรค์กำลังสะบัดละอองเมฆสีทองออกจากตัว แผงคอที่วับวาวราวเส้นไหมขยับเป็นระลอกคลื่นสีดำทั้งยังส่องแสงระยิบระยับ ที่แท้ขนแต่ละเส้นถูกแทรกปะปนด้วยผงฝุ่นสีทองจนทั่วแล้ว

คุณชายน้อยขมวดคิ้ว เหตุใดเจ้ากิเลนถึงมาแสดงกลแสงสีเอาตอนนี้ หรือเป็นห่วงที่ฟ้ามืดแล้ว ชานเมืองร้างปราศจากโคมตะเกียง มีเพียงแสงสลัวจากจันทร์เสี้ยวบางด้านบนซึ่งถูกบดบังด้วยแพเมฆสีคล้ำ นางกลัวเขามองทางไม่เห็นจนควบม้าชนกำแพงอย่างนั้นหรือ?

เขาตวัดขาลงจากม้า ก้าวเข้าไปยืนกอดอกจ้องภาพอัศจรรย์ตรงหน้าในระยะประชิด สายตาเขาไม่ดีนัก ในบรรยากาศค่ำมืดเช่นนี้จึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะพบเรื่องผิดปกติบางประการ

เจ้ากิเลนดำ...สีตก?

เขาหรี่ตายื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม สังเกตแต่ละเกล็ดที่แผ่ปกคลุมศรีษะจรดข้อเท้า พวกมันดูคล้ายจะบางลง เขาสามารถเห็นทะลุปรุโปร่งถึงแต่ละจุดที่เกล็ดซ้อนกัน พอคิดถึงตรงนี้ อู๋เสียจึงกระจ่างแจ้ง ละอองสีทองที่ลอยฟุ้งอยู่คงเป็นเกล็ดของเจ้ากิเลนนั่นเอง

เพราะขณะนี้เป็นเวลากลางคืนเขาจึงเห็นเฉพาะตอนมันสะท้อนแสงจันทร์สลัว ส่องแสงวิบวับสีทองสวยงามอย่างยิ่ง ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ภาพตรงหน้าคงไม่ต่างกับฝูงยุงสีดำขนาดจิ๋วกำลังบินตอมถุงเลือด เป็นกิเลนที่ขี้อายนัก นางคงไม่กล้าแสดงวิธีหายตัวให้เขาเห็นชัดเจนกลางแสงสว่าง

จากนั้นไม่นานคุณชายน้อยบ้านสกุลอู๋ก็ต้องขมวดคิ้ว เหตุใดใต้เกล็ดสีดำจึงเป็นผิวสีขาวเล่า? เขาจำคำที่ท่านปู่เคยกล่าวได้แม่นยำ สัตว์แต่ละตัวย่อมมีผิวหนังสีเดียวกับขนด้านบน หรือเพราะสัตว์มีเกล็ดไม่อยู่ใต้กฏเดียวกับสัตว์มีขน?

เช่นนั้นแล้วกิเลนก็คงถือเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับงูไม่ใช่สัตว์เท้ากีบ อู๋เสียอดประทับใจตนเองไม่ได้ เขาอาจเป็นคนแรกบนแผ่นดินที่ค้นพบความลับข้อนี้

ชั่วเวลาสั้นๆ ที่คุณชายน้อยใช้ชื่นชมตัวเอง ความสนใจของเขาหลุดออกจากร่างซึ่งถูกฝุ่นผงดำเหลือบสีทองลอยฟุ้งล้อมรอบ เมื่อเขาเรียกสติกลับมาอีกทีจึงพลาดสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น ฝุ่นเกล็ดเหล่านั้นหายไปเมื่อไร หายได้อย่างไร ไฉนพื้นถนนตรงนั้นถึงมีแค่กองเส้นแผงคอที่ปกคลุมอะไรบางอย่าง เขาใช้เวลาครุ่นคิดมากไปจนแม่นางกิเลนตัวหดเหลือแค่ท่อนคอเลยหรือ ...น่าสะเทือนใจเกินไปแล้ว!

อู๋เสียหันรีหันขวาง เห็นข้างทางมีไม้เล็กยืนต้นแห้งตายก็วิ่งไปหักกิ่งขนาดเหมาะมือมาหนึ่งท่อน มือกำกิ่งไม้ยื่นเข้าไปเขี่ยดูใต้กองเส้นขนยาวสลวย ไม่มีผงฝุ่นสีทองแทรกปนในนั้นแม้แต่จุดเดียวเช่นกัน เขาค่อยๆ เขี่ยเส้นไหมสีดำออกไปด้านข้าง เปิดเผยสิ่งที่มันแอบซ่อนไว้ข้างใต้ จากนั้นก็จ้องมันด้วยอาการตกตะลึง ปลายไม้ที่ยกเปิดแผงเส้นขนกลุ่มสุดท้ายสั่นเทา พวกมันร่วงลงไปปิดวัตถุสีขาวตรงหน้าอีกรอบ

ลมหนาวยะเยือกพัดกระทบข้างแก้มทั้งยังหอบเอากลุ่มเมฆด้านบนให้เคลื่อนไป จันทร์เสี้ยวบางจึงมีโอกาสส่งแสงเย็นเยียบเคลือบโลกเบื้องล่างอีกหน เผยให้เห็นใบหน้าสีขาวซีดไม่ต่างจากกระดาษของชายหนุ่มที่ยืนโดดเดี่ยวกลางเมืองร้าง

"อู๋เสีย" วัตถุใต้กองเส้นขนสีดำส่งเสียงแผ่วเรียกชื่อเขา "อุ้มข้า"



+++

TBC
10/04/2015






Talk Time:

*เขี่ยพื้น* บอกแล้วว่าไม่ซู... ไม่ซูจริงๆ นะ เชื่อสิ เชื่อ!!! *จ้องตา*

หลังจากตอนนี้จะลาพักเก็บข้อมูลที่ชายแดนทิเบต 7 วันค่ะ *ไอหนักมาก* เจอกันอีกทีหลังสงกรานต์เน้อ ไม่ต้องตามหา 55555 ถ้าข้าม VPN ได้จะไปโผล่แถวทวิตเป็นระยะค่ะ


กรุงเทพ (วันนี้) หนาวมาก
ด้วง L.

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 08: ใต้ผ้าคลุมสีแดง


 "008. ใต้ผ้าคลุมสีแดง"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

เขากำลังฝันอยู่

ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้ตัว ทว่านานๆ ทีเขาก็จะฝันแบบเดียวกันนี้ เรื่องราวในความฝันเริ่มต้นเหมือนเดิมเสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน

เขากำลังวิ่งหนี

ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องหนี ทั้งยังไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน มีเพียงความรู้สึกหวาดกลัวอยู่เต็มอก เขาวิ่งเข้าไปแอบใต้โต๊ะ ผ้าคลุมโต๊ะสีแดงมีชายยาวเรี่ยพื้นทั้งสี่ด้านทำให้เขารู้สึกปลอดภัย เหมือนถูกปกป้องจากโลกภายนอกที่น่าหวาดกลัว 

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเดินของรองเท้าหลายคู่ คนเหล่านั้นเดินวนเวียนรอบโต๊ะ ส่วนเขาที่นั่งกอดเข่าอยู่ใต้โต๊ะก็รู้สึกเหมือนโดนกับดัก ม่านสีแดงรอบตัวคือกรงขัง เขาออกไปข้างนอกไม่ได้ หายใจเสียงดังไม่ได้ ส่งเสียงร้องสักแอะก็ไม่ได้

เขาโดนขังไว้ในความมืดใต้โต๊ะตัวนั้น

แต่เขาก็ไม่ได้เป็นนักโทษอย่างโดดเดี่ยว ในกรงขังเล็กๆ นี้ยังมีบางสิ่งอยู่ร่วมกับเขา สิ่งนั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่มืดสนิทจนกระทั่งเขามุดชายผ้าสีแดงเข้ามา เขาไม่กล้าหันไปมองสิ่งนั้น ทั้งยังไม่กล้าร้องไห้ คนน่ากลัวข้างนอกจะได้ยิน เขาพยายามปิดตาให้สนิทที่สุด 

ถ้าไม่เห็นสิ่งนั้นก็จะไม่น่ากลัว

เขาคิดถึงเสี่ยวฮัว ถ้าเสี่ยวฮํวอยู่ตรงนี้ก็คงดี เสี่ยวฮัวฉลาดกว่าเขา เสี่ยวฮัวคอยช่วยเขาเสมอ แต่เจ้าของเสียงรองเท้าข้างนอกม่านสีแดงเป็นผู้ใหญ่ที่น่ากลัว ตอนนี้เสี่ยวฮัวไม่อยู่ก็ดีแล้ว

เขาอยากให้ใครสักคนอยู่ตรงนี้กับเขา ข้างตัวกลับมีเพียงสิ่งนั้นที่เขาพยายามไม่มอง พื้นที่ใต้โต๊ะแห่งนี้มืดสนิท เขารู้ว่าผ้าม่านเป็นสีแดงเพราะเห็นจากด้านนอก พอมุดเข้ามาข้างใน ดวงตาก็เหมือนบอดกระทันหัน เขาไม่เห็นอะไร เขาเพียงรู้ว่าในนี้มีอะไร 

เขาปิดเปลือกตาให้แน่นกว่าเดิม 

สิ่งนั้นอยู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ ร่างกายซีกหนึ่งราวกับสัมผัสหิมะกลางฤดูหนาว ทั้งบางเบาและเย็นยะเยือก เขาไม่กล้าร้องไห้แต่ก็หยุดน้ำตาไม่ได้

สิ่งนั้นเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้าเขา รอให้เขามอง

พริบตานั้นม่านสีแดงก็ถูกเลิกขึ้น แสงสว่างสาดเข้ามากะทันหัน คนน่ากลัวพวกนั้นเจอเขาแล้ว เขาตกใจจนเผลอเบิกตากว้าง น้ำตายังไหลไม่หยุด

เขาเห็นสิ่งนั้นเข้าจนได้ 

...จากนั้นเขาก็จะสะดุ้งตื่นจากฝัน ทุกครั้งมันจบลงเช่นนี้ ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เขาถึงกับมีเวลาพิจารณารูปร่างหน้าตาของสิ่งนั้น

มันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง







+++

TBC
01/04/2015






Talk Time:

ตอนแรกว่าจะให้เป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ ไม่รู้ทำไมกลายเป็นฟิคสยองไปแล้วค่ะ........... *หลบตา*


ด้วง L.

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 07: บ้านหลังน้อยของเจ้า


 "007. บ้านหลังน้อยของเจ้า"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

"เจ้าบอกว่ามีศาลของตัวเองอยู่สินะ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเมืองนี้มีศาลกิเลนด้วย" อู๋เสียเอ่ยคล้ายต้องการชวนสนทนาเรื่อยเปื่อย "ยังไงก็กลับบ้านก่อนฟ้ามืดไม่ได้ ระหว่างนี้รบกวนพาข้าไปเยี่ยมชมศาลหน่อยแล้วกัน"

อู๋เสียลอบสังเกตสีหน้าเจ้ากิเลน มันลงมายืนนิ่งสี่เท้าแบบปกติแล้วดูรื่นตาขึ้นเยอะ อีกทั้งไม่มีสีหน้าปฏิเสธอันใด เขาจึงเหมารวบว่านั่นคืออาการยินยอมของเจ้าสัตว์หน้านิ่งปากหนักตัวนี้

เจ้ากิเลนเดินนำไปตามถนนคดเคี้ยวเส้นเล็ก ทุกย่างก้าวที่คุณชายน้อยบังคับม้าให้ควบตามสัตว์เกล็ดสีเข้มตรงหน้า เขาก็ยิ่งออกห่างถนนสายหลักยิ่งขึ้น อู๋เสียไม่เคยออกนอกเส้นทางมาไกลขนาดนี้

พวกเขาลัดเลาะถนนอยู่พักใหญ่ เส้นทางวกวนจนเลยขีดความสามารถด้านการจำของเขาไปโข มีอยู่วูบหนึ่งที่อู๋เสียคิดว่าตนเองกำลังโดนหลอกไปเชือดกิน แต่ก็ต้องรีบสะบัดหน้าปัดความคิดนั้นออกจากสมองทันที ด้วยเกรงว่าความกล้าที่เหลืออยู่น้อยนิดจะหายไปเสียหมด

'ถ้าโดนฝ่ายตรงข้ามรู้ถึงความกลัวก็เท่ากับจบเห่ทันที' ท่านอาสามเคยสอนเขาเช่นนั้น ดังนั้นถ้าเขายังทำใจเย็นแล้วถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ได้ ผลลัพท์ก็สามารถพลิกผันได้เสมอ

สุดท้ายผู้นำทางก็หยุดเท้าลงหน้าซุ้มประตูเล็กๆ รออยู่ค่อนวันก็ไม่ยักเดินหน้าต่อเสียที อู๋เสียที่เอาแต่นั่งเหม่อครุ่นคิดถึงวิธีเอาตัวรอดจึงเพิ่งรู้สึกตัว

ถึงแล้ว

เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งสติกับการจำทาง พื้นที่ส่วนนี้ของเมืองอยู่นอกเส้นทางปกติของเขาโดยสิ้นเชิง หากต้องกลับบ้านเองโดยไม่มีคน (กิเลน) นำหน้า เขาเสี่ยงดวงให้เจ้าม้าตัวโปรดช่วยพากลับบ้านตามสัญชาตญานสัตว์ยังมีหวังได้ถึงบ้านเร็วกว่าคลำกำแพงกลับเอง

อู๋เสียลงจากม้าแล้วจูงเดินเข้าไป ด้านในเป็นที่ดินแปลงเล็ก พื้นที่ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยวัชพืช ตรงกลางคืออาคารไม้หลังหนึ่ง ทั้งที่ดูเรียบสมถะทั้งเก่าคร่ำคร่าแต่กลับแผ่ความรู้สึกน่ายำเกรงออกมาทุกตารางนิ้ว

ไม้ที่ใช้ทำหน้าต่างบานเล็กคงจะเป็นของคุณภาพต่ำ พอผ่านลมฝนอันอุดมสมบูรณ์ของแถบเจียงหนานหลายปีเข้า เนื้อไม้ก็บวมจนไม่สามารถงับปิดได้สนิท ประตูไม้ด้านหน้าเปิดกว้างทิ้งไว้ อู๋เสียหรี่ตา เขาเห็นสภาพด้านในได้ชัดพอสมควร

ในศาลเจ้าซึ่งถูกทิ้งร้าง มีรูปสลักสัตว์สี่เท้าตัวหนึ่งอยู่บนแท่นบูชา

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นว่าทุกสิ่งล้วนถูกปกคลุมด้วยฝุ่น ประตูไม้เหลือแต่โครงผุพัง มันผ่านวันคืนที่ไร้การดูแลรักษามานานเกินไปจนเนื้อไม้บิดโค้งผิดรูป ไม่ต้องพูดถึงการงับปิด ใช้เพียงการขยับเล็กน้อยก็อาจทำให้ประตูหลุดร่วงจากบานพับได้ ตัวศาลก็ไม่ได้มีสภาพดีกว่ากันเท่าใดนัก หากปล่อยทิ้งไว้ลำพัง สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้คงแข็งแรงยืนหยัดไปได้อีกหลายปี ทว่าหากมนุษย์คนหนึ่งเดินเข้าไปพร้อมม้าอีกตัว ไม่แน่ว่าศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้อาจพังถล่มลงในชั่วเวลาลมพัด

ลำพังดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าไม่มีใครมาเยือนสถานที่นี้นานแล้ว อาจเพราะในบรรดาชาวบ้านที่ย้ายออกไป ไม่มีใครศรัทธาแรงกล้าพอจะฝ่าดงอาคารร้างเพื่อกลับมาปัดกวาดดูแลศาลเจ้าเล็กๆ ที่เทพประจำศาลเป็นแค่สัตว์สี่เท้า แม้มีอำนาจเหนือมนุษย์แต่ก็ไม่ได้สูงส่งมีชื่อเสียงแบบเทพรูปร่างมนุษย์ของศาลเจ้าอื่น นานวันเข้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยได้รับการเทิดทูนบูชาจึงถูกลืมเลือนไป

หากเรื่องเป็นตามนั้นจริง อู๋เสียก็คิดว่าตนเองเข้าใจเหตุผลที่กิเลนตัวนี้ช่วยเขาแล้ว

เขาหยุดฝีเท้าแค่หน้าประตูศาลเจ้า ไม่เดินเข้าไปด้านในเพราะไม่วางใจผูกม้าไว้ห่างตัว มันเป็นทางรอดเดียวที่เขาสามารถใช้กลับบ้านได้ในกรณีฉุกเฉิน เมื่อหันไปมองเจ้ากิเลน มันก็ยืนนิ่งอยู่ข้างเขาเช่นกัน ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องเข้าไปในศาลเจ้า อู๋เสียไม่สามารถระบุได้ว่ามันกำลังมีอารมณ์เช่นไร อาจจะเศร้า อาจจะปลงสังเวช หรืออาจเพียงรำลึกถึงวันเวลาเก่าๆ แต่อู๋เสียไม่เชื่อว่ามันไม่รู้สึกสิ่งใดเลย

"ข้าว่าหากพวกเราเดินสำรวจเมืองฟากนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงฆ่าเวลาได้ดีกว่าเสี่ยงชีวิตเข้าไปปัดกวาดศาลของเจ้า เจ้าพอจะรู้จักทำเลดีๆ สำหรับนั่งพักชมวิวบ้างไหม"

เจ้ากิเลนเบือนหน้ามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ (หากนั่นสามารถนับเป็นสีหน้าของกิเลนได้) แล้วหันตัวเยื้องย่างออกไป อู๋เสียจูงม้าเดินตามไปตลอดทางเพราะอยากจดจำทิศให้แม่นยำด้วยวิธีเดินเท้า



ในอาณาจักรเล็กๆ ซึ่งปราศจากผู้คน ไม่จำเป็นต้องรีบ ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน กิเลนสีดำเดินผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อเขา ลัดเลาะตามถนนอิฐซึ่งมีหญ้าขึ้นแซมในร่องแยกเป็นระยะ เดินจนถึงทะเลสาบเล็กๆ อันแสนสุขสงบ ที่แห่งนี้คงเชื่อมต่อกับทะเลสาบประจำเมือง

"ท่านอาสามส่งข้อความมาหลอกข้าแต่เช้า ข้ากะว่าจะรีบมารีบกลับแท้ๆ เคราะห์ดีที่พกเสบียงติดมาด้วยไม่งั้นคงต้องทนหิวถึงตอนดึกเป็นแน่"

อู๋เสียเลือกบริเวณที่มีหญ้าอ่อนเพื่อผูกม้า หลังเจอต้นไม้ที่ดูปลอดภัยจากหนอนบุ้งที่สุดก็เข้าไปนั่งพิงหลบแดด ปากก็บ่นญาติผู้ใหญ่สุดที่รักไปด้วย กิเลนดำยืนมองซ้ายขวาอยู่สักพักก็พับขาลงนั่งใกล้กัน คุณชายน้อยเริ่มหมดเรื่องบ่นจึงย้ายเป้าหมายไปยังสิ่งมีชีวิตเดียวในบริเวณนั้นที่สามารถคุยโต้ตอบเขาได้

"ศาลนั่นโทรมน่าดู ข้าว่าหนูวิ่งแรงๆ บนขื่อก็คงทำให้มันพังได้แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน" เจ้ากิเลนเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนตอบว่า "ที่นั่น ที่นี่" ทำเอาคุณชายน้อยสบถจิ๊จ๊ะในใจ ความรู้สึกสงสารที่ก่อตัวขึ้นมาได้สองสามส่วนถึงกับสลายหายไปในพริบตาเดียว

อู๋เสียชวนคุยอยู่ครู่หนึ่งก็ยกธงยอมแพ้ แม่นางกิเลนท่านนี้นอกจากรูปร่างหน้าตาจะเหมือนรูปสลักหินที่จมดินโคลนก้นทะเลสาบจนตะไคร่ขึ้นทั่วตัวแล้ว นิสัยยิ่งเหมือนผลิตผลจากก้อนหินจริงๆ ให้เขาคุยกับลูกสุนัขในบ้านยังอาจสนุกสนานครื้นเครงเสียกว่า

คุณชายน้อยส่ายหน้าปลง ขยับตัวลงนอนที่พื้น เอาแขนหนุนคอแล้วนอนเหม่อคิดโน่นนี่ไปเรื่อยจนเผลอหลับทั้งแบบนั้น ไม่รู้ตัวสักนิดว่าหลังจากเขาหลับไป เจ้าสัตว์เกล็ดสีดำข้างตัวก็เอาแต่จับจ้องเขาตลอดเวลาด้วยแววตาอันไม่สามารถระบุความหมายได้





+++

TBC
01/04/2015






Talk Time:

ครั้งที่แล้วมาแปะป้ายลากิจไม่ทันค่ะ ว่าจะอัพฟิคให้เสร็จสักตอนก่อนงานหนังสือแล้วแปะป้ายลาพักเพื่อเก็บข้อมูล 1 อาทิตย์ *กระแอม* แต่จำวันผิด ตอนที่คิดได้ก็ดันกลายเป็นงานหนังสือวันแรกแล้ว... ที่หายไปคือกำลังเดินทางเก็บข้อมูลแบบเลยตามเลยอยู่น่ะค่ะ *หลบตา*


ตอนนี้เนือยไปหน่อย ก็เลยเอามาลงฉลองเอพริลฟูลเลย 5555

/ไม่ได้เกี่ยวกันซักนิด!!


ตอนนี้พระเอกก็ยังไม่ได้ออก โฮ เกือบแล้วนะ อีกนิดนึง กำลังเร่งแต่งอยู่ค่ะ (หลังจากอู้มาเกือบครบอาทิตย์ *กระแอม*)


ด้วง L.



ปล. แถมภาพกิเลนยืนให้เป็นขวัญเอยขวัญตา เอ้า! สามมมม สี่