วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 09: โฉมตรูซ่อนเร้น


 "009. โฉมตรูซ่อนเร้น"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


 
อู๋เสียตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกตะลึงซ้ำซ้อน

อาจเพราะเพิ่งตื่น สายตาจึงพร่ามัว เขารู้สึกเหมือนภาพนั้นยังติดตาชัดเจน ประหนึ่งแค่หลับตาลงก็สามารถเห็นมันฉายทาบเบื้องหลังเปลือกตา ทว่าพอดวงตาปรับสภาพจนมองเห็นได้ปกติเขาก็ต้องตกใจอีกหน เพดานเตียงที่คุ้นเคยกลายเป็นใบไม้จำนวนมากที่ยังติดอยู่กับกิ่งก้านลำต้น อู๋เสียสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าทำไมตนมานอนตากยุงตรงนี้

เขายันตัวขึ้นนั่ง ความทรงจำล่าสุดของเขาคือการนอนมองเมฆบนฟ้าพลางจินตนาการว่าแท้จริงแล้วกิเลนตัวเป็นๆ เหาะได้หรือไม่ เมื่อวัดจากแสงอาทิตย์ที่กำลังย้อมทุกอย่างเป็นสีแดง อู๋เสียรู้ทันทีว่าตนหลับไปนานพอดู ส่วนกิเลนตัวเป็นๆ ที่ว่าก็กำลังนั่งเหม่อจ้องก้อนเมฆอยู่เหมือนเดิม...ซะที่ไหน

ลำตัวมันยังอยู่ท่าเดียวกับที่เขาเห็นก่อนหลับ แต่ไม่รู้เอี้ยวคอมาจ้องเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาไร้อารมณ์ถูกเคลือบด้วยแสงอัสดงจนกลายเป็นสีแดงก่ำ เกล็ดทั่วตัวคล้ายสะท้อนประกายสีเลือด

โดนตัวอะไรแบบนี้มองตาไม่กระพริบกลางแสงโพล้เพล้ ทำเอาคุณชายน้อยตระหนกจนเผลอกลั้นลมหายใจไปเฮือกใหญ่

"จะ...จ้องทำไม" เจ้ากิเลนไม่ตอบ หันหน้าไปทางเดิม อู๋เสียรู้สึกได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความตกใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะพลางลุกขึ้นยืนบิดนวดเนื้อตัว

พอพ้นวัยเด็ก คุณชายเช่นเขาก็ไม่ได้ออกไปเล่นซนที่ไหนอีก เรื่องนอนบนดินกลิ้งบนหญ้าไม่ต้องพูดถึง ร่างกายสูงค่ากว่าทองคำของเขาย่อมปูรองด้วยฟูกนุ่มนิ่มทุกคืน การผล็อยหลับเมื่อครู่สร้างความปวดเมื่อยให้เขามิใช่น้อย

"ขออภัยที่ข้าเผลอหลับจนเวลาล่วงไปมาก รบกวนเจ้าช่วยนำทางไปถนนเส้นหลักหน่อย ไม่งั้นเกรงว่าพอฟ้ามืดกว่านี้แล้วจะลำบาก ข้าไม่ได้ติดคบไฟมา" พูดจบเขาก็เดินไปแก้เชือกม้าแล้วขึ้นขี่ ไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับคำ

คุณชายน้อยอู๋เสียถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวใหญ่ แต่ละคนรอบตัวนิสัยแตกต่างกันมาก เรื่องโต้แย้งกลางโต๊ะอาหารเกิดขึ้นไม่เคยขาด แม้ทุกคนจะเอ็นดูเด็กชายตัวน้อย ทว่าอู๋เสียก็ไม่ใช่เด็กช่างพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าจึงมักใช้ไปกับการดูงิ้วนอกโรง (นำแสดงโดยท่านอารองและท่านอาสาม)

ศึกษาเสือร้ายสองตัวออกกระบวนท่าแลกเล็บกันทุกวัน อู๋เสียได้ความสามารถมีประโยชน์ติดตัวมาไม่น้อย แม้ไม่อาจเดาใจคนได้แม่นยำเท่าเสือเฒ่าสองตัวนั้น การสังเกตคนกลับถนัดอยู่บ้าง

หากมองกิเลนตัวนี้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ก็นับว่าอีกฝ่ายนิสัยไม่เลว ตัดข้อเสียเรื่องชอบอมพะนำเหมือนเป็นใบ้ออกไป 'ว่าที่เจ้าสาว' ของเขาก็นับว่าคุยง่าย อู๋เสียจึงตั้งใจจะทำตัวหลับตาข้างหนึ่งเรื่องนิสัยอีกฝ่าย

เจ้าไม่พูดก็เรื่องของเจ้า ทำตามคำพูดข้าก็ถือว่าใช้ได้แล้ว!

เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่ออู๋เสียขึ้นม้า กิเลนดำก็ควบเท้านำเขาลัดเลาะตรอกซอยกลับไปทางเดิม ภายในเวลาไม่นานเขาก็มาอยู่กลางถนนตำแหน่งเดียวกับเมื่อกลางวัน


"อืมม... ตอนนี้ก็นับว่ามืดแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่ำพอ เจ้าไม่มีวิธีพรางตัวเลยหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าใช้วิธีใดถึงไม่มีใครเคยพบเห็น"

"......"

"เจ้าปีนกำแพงได้รึไม่? กระโดดสูงแค่ไหน? เดินบนอากาศได้รึเปล่า? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสามารถเท่าม้าธรรมดาตัวหนึ่ง"

"......"

กร็อบ กร็อบ กร็อบ กร็อบ---------

"หยุดๆๆ ข้าผิดเอง เจ้าเลิกบิดกระดูกได้แล้ว! ข้าไม่อยากเห็นภาพกวางมีเกล็ดยืนสองขาเอากีบเท้าคู่หน้าปีนกำแพงหลังบ้านตัวเอง"

"......"

"เฮ้อ... ช่างเถอะ อย่างมากข้าก็ลองเอาโคลนโปะเกล็ดเจ้าให้ทั่วแล้วหลอกคนที่บ้านว่าข้าเก็บลูกกวางกำพร้าได้ตัวหนึ่ง ท่านปู่ยังเก็บลูกสุนัขหน้าตาแปลกๆ มาบ่อยจนผู้อื่นคร้านจะสนใจแล้วเลย"

"......"

"มองข้าแบบนั้นทำไม ข้าไม่ได้ด่าเจ้าเป็นสุนัข อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวเล็กกว่านี้สักนิดก็ยังเอาเสื้อห่อแล้วอุ้มเข้าบ้านได้ ใครใช้ให้เจ้าตัวสูงใหญ่แถมหน้าตายังผิดแปลกจากสัตว์ปกติในป่า นี่ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแค่เอาโคลนโปะจะพอหรือไม่ กวางที่ไหนแผงคอยาวเรี่ยพื้นอย่างเจ้าบ้าง" อู๋เสียบ่นพึมพำยาวยืด ขมวดคิ้วถลึงตาจ้องกิเลนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างม้าที่เขาขี่

ตั้งแต่เล็กจนโตอู๋เสียเคยมีความเชื่อว่าสัตว์ในตำนานอย่างมังกรหรือกิเลนจะต้องดุร้ายน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ การพบเจอว่าที่เจ้าสาวพันธุ์กิเลนตัวนี้ได้ทำลายภาพลักษณ์ของกิเลนในใจเขาจนไม่เหลือชิ้นดี ที่เขาพูดให้อีกฝ่ายเป็นกวางพันธุ์แปลกก็ถือเป็นการปลอบใจตัวเองแบบหนึ่ง

คาดไม่ถึงว่าคำบ่นระบายเรื่อยเปื่อยจะถูกอีกฝ่ายเก็บไปคิดจริงจัง

"ได้"

ได้? ได้อะไร? ให้โปะโคลนได้? โกนแผงคอให้สั้นเกรียนได้? อู๋เสียยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น กิเลนดำก็เริ่มสะบัดแผงคอและลำตัว ทุกการขยับจะเห็นประกายวิบวับลอยฟุ้งในอากาศ แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ สูงส่งเหนือโลกีย์ ราวกับกวางสวรรค์กำลังสะบัดละอองเมฆสีทองออกจากตัว แผงคอที่วับวาวราวเส้นไหมขยับเป็นระลอกคลื่นสีดำทั้งยังส่องแสงระยิบระยับ ที่แท้ขนแต่ละเส้นถูกแทรกปะปนด้วยผงฝุ่นสีทองจนทั่วแล้ว

คุณชายน้อยขมวดคิ้ว เหตุใดเจ้ากิเลนถึงมาแสดงกลแสงสีเอาตอนนี้ หรือเป็นห่วงที่ฟ้ามืดแล้ว ชานเมืองร้างปราศจากโคมตะเกียง มีเพียงแสงสลัวจากจันทร์เสี้ยวบางด้านบนซึ่งถูกบดบังด้วยแพเมฆสีคล้ำ นางกลัวเขามองทางไม่เห็นจนควบม้าชนกำแพงอย่างนั้นหรือ?

เขาตวัดขาลงจากม้า ก้าวเข้าไปยืนกอดอกจ้องภาพอัศจรรย์ตรงหน้าในระยะประชิด สายตาเขาไม่ดีนัก ในบรรยากาศค่ำมืดเช่นนี้จึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะพบเรื่องผิดปกติบางประการ

เจ้ากิเลนดำ...สีตก?

เขาหรี่ตายื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม สังเกตแต่ละเกล็ดที่แผ่ปกคลุมศรีษะจรดข้อเท้า พวกมันดูคล้ายจะบางลง เขาสามารถเห็นทะลุปรุโปร่งถึงแต่ละจุดที่เกล็ดซ้อนกัน พอคิดถึงตรงนี้ อู๋เสียจึงกระจ่างแจ้ง ละอองสีทองที่ลอยฟุ้งอยู่คงเป็นเกล็ดของเจ้ากิเลนนั่นเอง

เพราะขณะนี้เป็นเวลากลางคืนเขาจึงเห็นเฉพาะตอนมันสะท้อนแสงจันทร์สลัว ส่องแสงวิบวับสีทองสวยงามอย่างยิ่ง ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ภาพตรงหน้าคงไม่ต่างกับฝูงยุงสีดำขนาดจิ๋วกำลังบินตอมถุงเลือด เป็นกิเลนที่ขี้อายนัก นางคงไม่กล้าแสดงวิธีหายตัวให้เขาเห็นชัดเจนกลางแสงสว่าง

จากนั้นไม่นานคุณชายน้อยบ้านสกุลอู๋ก็ต้องขมวดคิ้ว เหตุใดใต้เกล็ดสีดำจึงเป็นผิวสีขาวเล่า? เขาจำคำที่ท่านปู่เคยกล่าวได้แม่นยำ สัตว์แต่ละตัวย่อมมีผิวหนังสีเดียวกับขนด้านบน หรือเพราะสัตว์มีเกล็ดไม่อยู่ใต้กฏเดียวกับสัตว์มีขน?

เช่นนั้นแล้วกิเลนก็คงถือเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับงูไม่ใช่สัตว์เท้ากีบ อู๋เสียอดประทับใจตนเองไม่ได้ เขาอาจเป็นคนแรกบนแผ่นดินที่ค้นพบความลับข้อนี้

ชั่วเวลาสั้นๆ ที่คุณชายน้อยใช้ชื่นชมตัวเอง ความสนใจของเขาหลุดออกจากร่างซึ่งถูกฝุ่นผงดำเหลือบสีทองลอยฟุ้งล้อมรอบ เมื่อเขาเรียกสติกลับมาอีกทีจึงพลาดสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น ฝุ่นเกล็ดเหล่านั้นหายไปเมื่อไร หายได้อย่างไร ไฉนพื้นถนนตรงนั้นถึงมีแค่กองเส้นแผงคอที่ปกคลุมอะไรบางอย่าง เขาใช้เวลาครุ่นคิดมากไปจนแม่นางกิเลนตัวหดเหลือแค่ท่อนคอเลยหรือ ...น่าสะเทือนใจเกินไปแล้ว!

อู๋เสียหันรีหันขวาง เห็นข้างทางมีไม้เล็กยืนต้นแห้งตายก็วิ่งไปหักกิ่งขนาดเหมาะมือมาหนึ่งท่อน มือกำกิ่งไม้ยื่นเข้าไปเขี่ยดูใต้กองเส้นขนยาวสลวย ไม่มีผงฝุ่นสีทองแทรกปนในนั้นแม้แต่จุดเดียวเช่นกัน เขาค่อยๆ เขี่ยเส้นไหมสีดำออกไปด้านข้าง เปิดเผยสิ่งที่มันแอบซ่อนไว้ข้างใต้ จากนั้นก็จ้องมันด้วยอาการตกตะลึง ปลายไม้ที่ยกเปิดแผงเส้นขนกลุ่มสุดท้ายสั่นเทา พวกมันร่วงลงไปปิดวัตถุสีขาวตรงหน้าอีกรอบ

ลมหนาวยะเยือกพัดกระทบข้างแก้มทั้งยังหอบเอากลุ่มเมฆด้านบนให้เคลื่อนไป จันทร์เสี้ยวบางจึงมีโอกาสส่งแสงเย็นเยียบเคลือบโลกเบื้องล่างอีกหน เผยให้เห็นใบหน้าสีขาวซีดไม่ต่างจากกระดาษของชายหนุ่มที่ยืนโดดเดี่ยวกลางเมืองร้าง

"อู๋เสีย" วัตถุใต้กองเส้นขนสีดำส่งเสียงแผ่วเรียกชื่อเขา "อุ้มข้า"



+++

TBC
10/04/2015






Talk Time:

*เขี่ยพื้น* บอกแล้วว่าไม่ซู... ไม่ซูจริงๆ นะ เชื่อสิ เชื่อ!!! *จ้องตา*

หลังจากตอนนี้จะลาพักเก็บข้อมูลที่ชายแดนทิเบต 7 วันค่ะ *ไอหนักมาก* เจอกันอีกทีหลังสงกรานต์เน้อ ไม่ต้องตามหา 55555 ถ้าข้าม VPN ได้จะไปโผล่แถวทวิตเป็นระยะค่ะ


กรุงเทพ (วันนี้) หนาวมาก
ด้วง L.

3 ความคิดเห็น:

  1. อัพต่อภายในวันที่สิบนะคะ *เขย่าด้วง L.*

    ข้ามมาคอมเมนต์อันนี้เลย เปลี่ยนอารมณ์ทุกตอน55+ ขอสารภาพว่าชอบตอน 7 ที่สุดค่ะ ดูเหงาๆดี ; q ;

    แล้วผีสาวใต้โต๊ะนั่นคร๊ายย แลดูลึกลับจังค่ะ

    ทำไมเราถึงเกิดความรู้สึกว่าแม่นางอาจจะชอบบิดกระดูกตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วล่ะคะถถถถ+

    ว่าแต่ จะไม่ซูจริงๆเหรอคะ

    ตอบลบ
  2. เห็ดและเห็ด8 เมษายน 2558 เวลา 23:53

    แม่นาง............

    แม่นางเป็นตัวอะไรกันแน่คะ 555555555 นี่มันแนวสยองก็บอกกกก

    ไม่ซูจริงๆ ค่ะ แต่มอนสเตอร์เลย 5555

    ตอบลบ
  3. กิเลนกับเด็ก11 เมษายน 2558 เวลา 21:07

    กิเลนสีตก....แงงงงง /ร้องไห้หนักมาก
    นึกภาพกองเส้นผมตามแล้วหลอนมาก ฮือออ

    แต่พระเอกออกมาแล้วสินะคะ
    จะรออ่านนะคะ~6 v 6)

    ตอบลบ