วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] โทนเนอร์

 

"โทนเนอร์" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




ขณะเดินในป่าด้วยกันท่ามกลางอากาศร้อนชื้นของมณฑลกว่างซี จุดมุ่งหมายของเราสามคนคือทะเลสาบกลางขุนเขา

หลังจากได้เห็นรอยสักของเมินโหยวผิงเทียบกับแผนที่หมู่บ้านปาหน่าย นายอ้วนฟันธงว่าเมินโหยวผิงต้องมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ พวกเราจึงตั้งใจจะไปงมหาเบาะแสกันอีกครั้ง

ขณะเดิน ผมจ้องมองใบหน้าของเมินโหยวผิงจากมุมข้างๆ ปกติแล้วผมไม่ได้เดินในตำแหน่งนี้บ่อยนัก ที่ประจำของผมในคณะเดินทางคือตรงกลาง ช่องทางเดินในสุสานมักจะคับแคบ ไม่อาจเดินได้อย่างสบายนัก จะมีกี่คนก็ไม่สามารถเดินไปพร้อมกันเป็นหน้ากระดานได้

การจัดกระบวนทัพที่คุ้นชินจึงมักเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เมินโหยวผิงจะเป็นคนเดินนำหน้าสุด ผมอยู่ตรงกลาง ประกบด้วยนายอ้วนคอยช่วยระวังหลัง หรืออีกทีคือเมื่อเกิดการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งในช่วงเวลาวิกฤติ ผมจะกลายเป็นอยู่รั้งท้ายในกลุ่มเพราะวิ่งช้าสุด ส่วนเมินโหยวผิงก็ยังนำหน้าสุดอยู่ดี

นานๆ ครั้งเราจะได้เดินทางกันสบายๆ บนเส้นทางที่คุ้นเคยเพราะไปกลับมาแล้วหลายรอบอย่างทางเดินขึ้นเขาไปทะเลสาบครั้งนี้ ผมเดินข้างๆ เมินโหยวผิงผู้ปิดปากเงียบกริบ อีกฝั่งเป็นนายอ้วนที่ชี้ชวนคุยโน่นนี่ไปตลอดทางสลับกับร่ายบทชื่นชมความงามสดใสของสาวเย้าวนไปวนมาไม่รู้จักเบื่อ

เทียบกับตอนเดินในสุสานแล้ว บรรยากาศทางเดินภูเขาพรรณไม้ครึ้มของที่นี่ชวนให้รู้สึกดั่งเรามาเดินเที่ยวพักผ่อนในสวนหลังบ้าน เสียแต่ว่าแดดที่นี่ร้อนไปหน่อยนึง

ระหว่างทางผมตั้งอกตั้งใจมองเมินโหยวผิงมาก นึกสงสัยว่าผิวพรรณพ่อเทพบุตรหน้าหยกแบบเขา ไฉนจึงสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีเศษสิวแม้สักเสี้ยว ลงกรวยก็ลงมาด้วยกันแท้ๆ ทุกคนเปรอะเปื้อนไปหมด ทำไมจึงมีแต่หมอนี่ที่หน้าหล่อเนียนใสไร้ที่ติ เหมือนนักแสดงที่มีช่างแต่งหน้าคอยซับเหงื่อเติมแป้งให้อย่างไรอย่างนั้น

ถ้ามีคนบอกว่าที่เมินโหยวผิงหายแวบไปบ่อยๆ ระหว่างลงสุสานด้วยกันนั่นเขาไปเช็กหน้าเติมแป้งมา ผมก็คงเชื่อหมดใจ

ผมจ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเผลอมองไปนานเท่าไหร่ อาจมัวแต่คิดอะไรเหม่อลอยจนผิดสังเกตไปนิด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาหันมาจ้องมองผมกลับ ทำเอาผมสะดุ้งไปวูบหนึ่ง ต้องแสร้งทำเป็นมองนกมองไม้ เอามือเช็ดขากางเกง ทำทีเป็นปาดเหงื่อ โบกคอเสื้อเยิ้มๆ ไปมาเงียบๆ

เมินโหยวผิงจ้องมองมาที่ผมนิ่งๆ เหมือนจะถามว่ามีปัญหาอะไร ไม่บ่อยนักที่เขาจะมองหน้าผมตรงๆ เช่นนี้ เวลาอื่นมีเยอะแยะ ก็ดันเลือกมามองในสถานการณ์ที่อธิบายออกไปตรงๆ ไม่ได้อีก ผมไม่อยากโดนด่าว่าผมไปยุ่งกับธุระกงการ (บนใบหน้า) ของเขาอีกหน เลยตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินต่อไปเงียบๆ ไม่โต้ไม่ตอบอะไร

เดินต่อไปอีกหลายนาน แต่เมินโหยวผิงยังไม่ยอมหยุดจ้องผม สายตาของเขาเหมือนล็อกเป้าเอาไว้แล้ว เดินอึดอัดอยู่เช่นนั้นจนผมตัดสินใจหันไปชวนนายอ้วนคุยแก้เก้อ ไม่รู้จะคุยอะไรเลยคุยเรื่องสิวบนใบหน้าของเขาแทน เมินโหยวผิงถึงได้เลิกจ้องผมเสียที (มาคิดได้ทีหลังว่าเป็นหัวข้อคุยแก้เก้อที่ชั่วจริงๆ เมินโหยวผิงคงรับไม่ได้)

"หา? ไอ้นี่อะนะ?" นายอ้วนชี้ที่ตุ่มบวมบนหน้าตัวเอง "มันเรียกฝีต่างหาก โว้ย ไอ้คุณชายเทียนเจิน จะสำอางแล้วยังไม่รู้เรื่อง! ไอ้ที่อยู่บนหน้านายต่างหากนั่นแหละ อีกวันสองวันก็จะบวมกลายเป็นสิว เชิญนายไปเช็ดโทนเนอร์ของนายต่อไปไป๊"

นายอ้วนโบกมือไล่ ทำท่าทางรำคาญ พลางแสร้งเดินหนีห่างออกจากผม ปากก็บ่นว่าเหม็นกลิ่นคนเมืองเต็มทน ผมหัวเราะ ด่ากลับไปว่านายแม่งก็คนเมืองเหมือนกัน แค่ติดสาวบนดอย ถึงกับลืมถิ่นฐานตัวเองไปเสียแล้ว ผมส่ายหน้าทำทีว่าอนาถใจยิ่งนัก แล้วหยิบกระติกน้ำเดินป่าขึ้นมาดื่ม

ในจังหวะนั้นเอง นายอ้วนมองหน้าผมแล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ เขาหันไปมองเมินโหยวผิงสลับกัน

"จะว่าไป...น้องเสี่ยวเกอนี่ก็หน้าเนียนจังนะ เสี่ยอ้วนว่าหล่อเข้มแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เข้าออกป่าเขาลงกรวยหน้ามันก็ต้องมีเยินกันบ้าง แต่น้องเสี่ยวเกอนี่อิทธิฤทธิ์ชั้นเซียน หน้าก็ไม่แก่ สิวก็ไม่ขึ้น ไม่มีริ้วรอยเลยสักนิด"

ผมพ่นน้ำพรวด สำลักอย่างรุนแรง

นายอ้วนหันมาโวย "อะไรเทียนเจิน เสี่ยอ้วนชมตัวเองไม่เข้าหูถึงขั้นนั้นเชียวรึ? แค่พูดความจริงถึงกับรับฟังไม่ได้ มิน่าถึงไม่มีสาวไหนมาติดสักคน แค่จิตใจก็โอบอ้อมอารีสู้เสี่ยอ้วนคนนี้ไม่ได้แล้ว"

ผมอยากด่ากลับไปว่าหยุดค่อนแคะฉันเรื่องหยุนไฉ่ไม่สนใจได้แล้ว เขาไม่สนใจฉันก็ไม่สนใจนายเหมือนกันแหละ!

นับตั้งแต่นายอ้วนติดอกติดใจหยุนไฉ่ ก็ดูจะหมั่นเปรียบเทียบเรื่องความเป็นชาย อันประกอบไปด้วย "ความใจหล่อ" และ "ความหล่อเหลา" ของเราสองสามคนเหลือเกิน (นายอ้วนบัญญัติเองทั้งนั้น) แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผมจ้องเมินโหยวผิงอยู่เมื่อครู่ ก็กำลังสงสัยเรื่องเดียวกับนายอ้วนอยู่เช่นกัน

ที่นี่อากาศร้อน ทั้งผมทั้งนายอ้วนล้วนหน้ามันเยิ้ม จนไม่แปลกหากจะมีสิวขึ้นทีละสิบสองเม็ดพร้อมเพรียงกัน ในช่วงเวลาที่ผมกับนายอ้วนตัวเหนียวเหนอะหนะแทบเป็นเมือก เมินโหยวผิงอย่างมากก็เหงื่อออกกับหน้ามันนิดหน่อย ในช่วงเวลาที่ผมกับนายอ้วนหน้าโทรมราวกับกรรมกรที่ทำงานแบกหามติดต่อกันสามสิบชั่วโมง ก็จะมีแต่เมินโหยวผิงที่หน้ายังใสเหมือนเดิม ประหนึ่งว่าอากาศร้อนและสิ่งสกปรกทำอะไรเขาไม่ได้

แม้กระทั่งตอนนี้ ผมขยับคอเสื้อกระพือรับลมใกล้หอบเป็นหมา ไอ้หมอนี่ก็ยังเดินหน้าตาย มีเหงื่อซึมเล็กๆ แต่พองาม ชวนให้รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรม ดูน่าหมั่นไส้อะไรเช่นนี้ ที่ผมสำลักพรวดเพราะเรื่องนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายอ้วนหล่อหรือไม่หล่อตั้งแต่แรก

แต่ผมขี้เกียจเถียง และไม่รู้จะตอบอะไร เลยบอกนายอ้วน "เอาเลยลูกพี่ อยากรู้เคล็ดลับหน้าเนียนพันปีก็ไปถามเจ้าตัว เชิญเสี่ยอ้วนขึ้นนำก่อนเลย"

ผมหันไปมองเมินโหยวผิง เขาไม่ได้สนใจพวกเราแล้ว มุ่งหน้าเดินต่อไปเหมือนไม่ได้ยินที่เราคุยกัน มีแค่ผมกับนายอ้วนสองคนที่มัวแต่คุยเล่นอยู่รั้งท้าย

นายอ้วนที่บัดนี้เดินอยู่ข้างๆ ผม เอานิ้วถูคางอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า "ฉันว่าเพราะน้องเสี่ยวเกอมีเลือดพิเศษ เลือดของเขากันแมลงร้ายได้ เชื้อโรคก็น่าจะฆ่าได้ เอาไว้ต้องลองขอเลือดน้องเสี่ยวเกอมาแตะรักษาฝีดู" ว่าแล้วก็รื้อค้นกระเป๋าตัวเอง หยิบทิชชูขึ้นมา ตั้งท่าจะเดินตามไปขอเลือดเมินโหยวผิงจริงๆ

"โคตรทุเรศ!" ผมทนไม่ได้ รีบดึงมือนายอ้วนไว้

"เอ้า หรือนายจะลอง? จริงสิ ถ้านายไปขอ น้องเสี่ยวเกอน่าจะใจดีกับนายกว่านะเทียนเจิน"

"ใจดีพ่อง!" ผมด่ากลับไป

ถึงตรงนี้ เมินโหยวผิงที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดิน เขาหันมามองพวกเราเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแปลว่าเขาได้ยินพวกเราคุยกันทั้งหมด หรือแค่หันมาเร่งให้เดินเร็วๆ

ในจังหวะนั้นเอง นายอ้วนก็เอากระดาษทิชชูยัดมือผมแล้วผลักผมออกไป ผมโดนผลักปลิวหวือไปยืนตรงหน้าเมินโหยวผิง ผมมองเขา เขาก็มองผม

สายตาของเมินโหยวผิงเลื่อนลงมาจับจ้องของในมือผมนิ่งๆ จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน

เมินโหยวผิงหยิบมีดปลายปืนที่เขายึดจากผมไปใช้ตั้งแต่ตอนอยู่ในถ้ำหยกขึ้นมา ตั้งท่าจะกรีดเลือดให้ผมจริงๆ

"เฮ้ย หยุด หยุด หยุด! นายจะทำอะไร เสี่ยวเกอ!" ผมร้องลั่น เกือบจะพุ่งเข้าไปคว้ามือเขา แต่เมินโหยวผิงหยุดมีดในมือตัวเองก่อน จากนั้นก็มองผม

เขายังคงไม่พูดไม่จา แต่มองกระดาษทิชชูในมือของผมด้วยสายตาจริงจังมาก

ผมรีบโยนทิชชูทิ้งไป แล้วอธิบายให้เขาฟัง "นายใจเย็นๆ ก่อน มันเป็นแค่การคุยเล่นกัน แค่เรื่องเพ้อเจ้อของนายอ้วน คำพูดแม่งเหมือนผายลม นายไม่ต้องบ้าจี้ไปจริงจังตามหมอนั่นก็ได้"

"แต่นายมีสิว"

ผมอึ้งไป ไม่รู้จะตอบโต้อะไร เอานิ้วนวดรอยบวมแดงที่หน้าผากตัวเอง เป็นรอยนูนจุดเดียวกับที่นายอ้วนบอกว่าอีกไม่นานจะกลายเป็นเม็ดสิวขึ้นบนหน้า กดแล้วเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่ถึงกับทนไม่ได้

"เออ...มี แต่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดให้นายต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อพวกฉัน" ผมตอบ ไม่คิดว่าเขาจะบ้าบอไปกับนายอ้วนด้วย ตอนนี้เริ่มเข้าใจเสี่ยวเกอขึ้นมานิดๆ แล้ว ณ จุดนี้ผมเป็นฝ่ายอยากบอกว่า "พวกนายจะมายุ่งอะไรกับธุระกงการบนใบหน้าของฉันวะ!"

แล้วนี่มันอะไร หลอกให้คนความจำเสื่อมกรีดเลือดเนื้อมาให้รักษาสิว (ฝี) ให้ฟรี ไอ้อ้วนนี่ชักจะลากผมไปในทางบาปไม่บันยะบันยังเกินไปแล้ว คบคนพาลพาลพาไปหาผิดจริงๆ

เมินโหยวผิงพยักหน้าเข้าใจแล้วเก็บมีด ผมนึกว่าจะจบแล้ว แต่ไม่ ถอนหายใจโล่งอกได้ไม่ถึงครึ่งคำดี พลันก็ถูกเมินโหยวผิงดึงข้อมือไป เขารั้งผมเอาไว้กับตัว ส่วนตัวผมก็เซไปตามแรงดึง

รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังกดไหล่ให้ผมย่อตัวลง มองจากมุมนี้เมินโหยวผิงจะดูสูงกว่าผมนิดหน่อย มองเห็นใต้คางกับซอกคอที่ปราศจากเม็ดสิวกับปัญหาผิวหนัง ไร้ซึ่งร่องรอยของการเติมแป้งแต่งหน้าจริงๆ ด้วย แม่งจะอวดคอเยาะเย้ยให้ดูหรือเปล่าก็ไม่รู้

ผมเห็นคอขาวนั่นแล้วรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก พลันก็นึกไปถึงเลือดกิเลนอ่อนด้อยของตัวเอง ชีวิตก็ต้องให้เขามาปกป้อง ยังจะแพ้เมินโหยวผิงกิเลนตัวพ่อแม้กระทั่งปัญหาเรื่องสิว รู้สึกว่าตัวเองน่าอับอายจริงๆ

ระหว่างที่มอง ใจประหวัดคิดไปถึงปริศนาเลือดกิเลน ทันใดนั้น เมินโหยวผิงก็ก้มลงแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากผมไม่ทันให้ตั้งตัว

เขาทำอย่างรวดเร็ว สัมผัสเพียงวูบเดียว

ว่องไวเหมือนงูฉก

จบลงในเสี้ยววินาที

ผมร้อง "ห๊ะ?" ขึ้นมาเบาๆ ระหว่างนั้นผมรู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าผาก เหมือนเมื่อครู่เขาสอดลิ้นลอดริมฝีปากออกมาแตะที่หน้าผากของผมด้วย

จากนั้นก็ถูกทิ้งให้เกือบล้มทั้งยืนอยู่ตรงนั้น

ลำพังก็โดนกดให้ยืนย่อเข่าซึ่งเป็นท่าฝืนธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว อยู่ดีๆ เมินโหยวผิงก็ปล่อยมือออก ผมต้องใช้กล้ามเนื้อแทบทั้งร่างเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มลงก้นจ้ำเบ้าในวินาทีอันสับสน

เมินโหยวผิงเดินผ่านตัวผมไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายจากด้านหลัง ผมต้องใช้กล้ามเนื้ออีกเกินครึ่งตัวในการหันไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น

นายเมินโหยวผิงเดินตรงไปทางนายอ้วนด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่รู้สึกได้ถึงไอทะมึนน่ากลัวอย่างประหลาด

"นาย...นายจะทำอะไรของนายวะเสี่ยวเกอ!" นายอ้วนร้องโวยวายเหมือนหนีตาย พลางยกกระเป๋าขึ้นบังใบหน้าตัวเอง เมินโหยวผิงก้าวไปหาสามก้าว เขาก็ถอยหนีหกก้าว

"โทนเนอร์ก็ใช้แทนกันได้" เมินโหยวผิงตอบเสียงเรียบ ยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากขณะเดินดุ่มเข้าไปหาเป้าหมายที่สอง

นายอ้วนหน้าเหวอ "โทนเนอร์อะไรของนายวะ!" เขาร้องเสียงดังเหมือนหมูถูกเชือด วิ่งหนีเมินโหยวผิงไปรอบๆ

ผมยืนมองเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น เข่ายังแข็งไม่หาย ไม่มีปัญญาจะช่วยอธิบายหรือช่วยเหลือใครทั้งสิ้น ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ มองสิ่งที่เกิดตรงหน้าเหมือนภาพเบลอๆ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ จากนั้นก็เลื่อนมือลงมาจับที่ข้างแก้มตัวเอง

รู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าผาก

รู้สึกอุ่นๆ ที่แก้ม

รู้สึกใจสั่นขึ้นมา

...รู้สึกว่าวันนี้อากาศที่ปาหน่ายจะร้อนขึ้นมาแบบแปลกๆ



+++

END
19/02/2015



#dmbjdaily 179 days left : Travel



Talk Time:

อริ๊แอร๊ นี่มัน #เสี่ยวเกอคนหลายใจ! กาววว กาวล้วนๆ ไม่มีสติเจือปนค่ะ ฟืดดด พอส่งหนังสือครบหมดปุ๊บก็ออกมาร่าเริงแล้วค่ะ เย้ เย้ *บินอย่างด้วงไปรอบๆ ถังกาว*

เป็น #DMBJdaily ที่แถสด แถไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมาก พอดีตั้งใจเขียนเรื่องนี้แต่แรกแล้ว แต่เขียนนานจนเกือบเที่ยงคืน เลยรอหัวข้อเดลี่ เผื่อใส่แถได้ ...ก็พบว่าแถได้จริงๆ *ไถลตัวมาส่งเดลี่อย่างหน้าไม่อาย* เขาไปเที่ยวกันนะคะ เห็นไหม ไปเที่ยวจริงๆ นะเออ ไปเที่ยวทะเลสาบที่ปาหน่ายกันไง! (ถึงจะแค่เปรียบเปรยก็เถอะ)

ไทม์ไลน์อยู่ในช่วงไปเที่ยวทะเลสาบปาหน่ายหลังจากเหตุการณ์ในถ้ำหยกค่ะ ก่อนจะเจอฉิวเต๋อเข่าที่ริมทะเลสาบ (ตรงที่มีซีนนายเมินหลบหลังนายน้อย ^q^) ดูเหมือนจะมีช่วงเวลาที่สามหน่อไปลั้นลากันอยู่บ้างเหมือนกันเลยหยิบตรงนี้มาเขียนค่ะ

แต่ที่มาจริงๆ ของเรื่องนี้ มาจากเมื่อตอนกลางวัน (ของเมื่อวาน) ดูคลิปหยางหยางไอคอนคลุง ผู้รับบทเสี่ยวเกอของชาวด้วง ออกมาอวยพรวันตรุษจีน → อันนี้ค่ะ

นั่ลลั๊กอ่ะว์!! ดูแล้วเผลอจ้องแต่สิวหยางหยางคลุงค่ะ แง แล้วก็สงสัยขึ้นมาว่าถ้าเป็นเสี่ยวเกอจะมีสิวไหมนะ พึมพำงึมงำกับตัวเองจนได้ข้อสรุปว่าคงไม่มีหรอกมั้งสิวน่ะ เพราะมีเลือดพิเศษในตัว (นี่ก็แถไปเรื่อย 555) ก็...ออกมาเป็นโทนเนอร์เรื่องนี้แหละค่ะ ซกมกเนอะ ...แต่ยังซกมกสู้ออฟิเชียลไม่ได้หรอก *บิดตัวอย่างเขินอาย* *โดนซานซูเอาประตูสำริดทุ่มใส่*

สำหรับรวมเล่มฟิค 一生 十年 "หนึ่งชีวิต สิบปี" ตอนนี้จัดส่งไปเรียบร้อยหมดแล้วนะคะ หากใครยังไม่ได้ของและต้องการเลข tracking พัสดุ สามารถติดต่อมาได้ที่อีเมล ironytriangle[@]gmail.com นะคะ แจ้งชื่อจริงพร้อมสกรีนเนมที่ใช้ตอนกรอกมา แล้วเราจะส่งรหัส tracking พัสดุกลับไปให้ค่ะ > v <)/ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนมากเลยค่ะ รักทุกคนเลยนะ♥

ด้วยรัก จากด้วง M.

ปล. อะไรนะ? ทอล์กยาวจนลืมไปแล้วว่าจะคอมเม้นต์อะไรอีกแล้วเรอะ!? มุกเดิมค่ะ เชิญอ่านอีกรอบได้ ไม่ว่ากันค่ะ เลิฟ~ ,,U w U,,)๗ *วิ่งหนีไป*

4 ความคิดเห็น:

  1. คิโม่ยจางฉี่หลิงงงงงงงง จริงๆนายก็แค่อยากเนียนโม่ยอู๋เสี่ยใช่ม๊ายยยยยยย แง๊งงงงง

    เสี่ยวเกออย่าไปจำอะไรโม่ยๆแบบนั้นมาใช้จริงสิ บ้าที่สุดแงงงงง55555555555555

    /me มาป้ายโทนเนอร์ฉันมั่งสิพี่ชาย(...)

    ตอบลบ
  2. ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟจางฉี่หลิง นายมันนน นายมันนนนนนนนน5555555 จำอะไรได้ไม่จำ ดันมาจำฉากโทนเนอร์ในตำนาน(?)ได้ซะงั้น

    ตอนที่กดไหล่ลงจ้องไปจ้องมา ไอเราก็นึกว่าเสี่ยวเกอจะใช้วิชาสองนิ้วตรวจตรารักษาสิวซะอีกค่ะถถถถถ //เสื่อมกว่าเดิม

    แหม่ นายน้อยคะ ทำเป็นงู้นงี้ จ้องคาง จ้องคอเขา รู้นะว่าอยากลองกัดดูสิน---สัญญาณหาย

    ตอบลบ
  3. ฮว่ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ตอบลบ
  4. ร้อนจริงๆด้วยค่ะะะะ

    คุคุคุ

    ตอบลบ