วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[Daomu One-shot][瓶邪] White Trace & Red Sign

 

"White Trace & Red Sign" (#DMBJdaily)

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)



**Spoiler Warning มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 10 ** 




- White Trace -



การที่คนเราเขียนบันทึกขึ้นมาสักบท ควรมีจุดประสงค์เช่นไร สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ แต่บันทึกของผม คือเพื่อนผู้เงียบงัน เพื่อนผู้รับฟังและเป็นพยานให้กับทุกสิ่งที่ผมได้ประสบมา เพื่อที่วันหนึ่ง หากผมหลงลืมหรือสูญเสียสิ่งใด อย่างน้อยตัวผมในอดีตก็ยังคงอยู่ในนั้นเสมอ

ดังนั้นแล้ว การเขียนบันทึกของผม จึงควรเป็นไปอย่างซื่อตรงที่สุด ถ่ายทอดและบันทึกทุกสิ่งลงไปโดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อตัวผมในอนาคตที่อาจหลงลืมบางอย่าง จนจำเป็นต้องใช้ข้อมูลในบันทึกดังกล่าว

ทว่าเหตุการณ์บางเรื่อง ผมทำได้เพียงแค่จดจำ ไม่อาจเขียนลงบนหน้ากระดาษได้ หรืออย่างน้อย ก็ควรบันทึกลงในที่ที่คนอื่นไม่อาจรู้เห็น

ความลับนั้นคือ ความจริงแล้ว เหตุการณ์บนถ้ำน้ำพุร้อนหนนั้น มีเรื่องเกิดขึ้นมากเกินกว่าที่ผมเขียนบันทึกเอาไว้

ตอนที่ผมถามเขาว่า คนที่ควรไปรออยู่หลังประตูสำริดนั่นสิบปีคือผมงั้นหรือ เมินโหยวผิงพยักหน้า แล้วจ้องผมอย่างเงียบงันเช่นนั้นเป็นนาน ราวกับรอคอยให้ผมพูดบางอย่าง

"ความจริงแล้ว นายมาตามหาฉันถึงร้านในหังโจว ก็เพื่อพาฉันมาที่นี่ แต่เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน?" ผมพูดโพล่งข้อสันนิษฐานเดียวที่พอจะคิดได้ออกมา

เมินโหยวผิงส่ายหน้า ตอบผมว่า "ฉันเคยพูดไว้ หากวันหนึ่งฉันรู้คำตอบที่ตัวเองตามหาแล้ว ฉันจะบอกนาย"

ผมรู้ว่าเมินโหยวผิงไม่โกหกในเรื่องแบบนี้ แต่ขณะนั้นผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าบทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาคงมองสีหน้าผมออก จึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ท่าทางเหมือนอยากพูดว่า 'นึกไว้แล้วเชียวว่านายคงจำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก'

ผมเห็นแบบนั้น จากที่ตกใจอยู่ก็กลายเป็นรู้สึกฉุนนิดๆ ขึ้นมาแทน "แล้วทำไมเพิ่งบอกฉัน นายเห็นฉันเป็นคนไร้น้ำใจขนาดนั้นเลยหรือ"

"นายเป็นความเกี่ยวโยงเดียวของฉันต่อโลกใบนี้"

"นายเพิ่งพูดที่โหลวว่ายโหลว ฉันไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้น"

"ถ้าไม่มีนายอยู่บนโลกด้านนอกนี้ ชีวิตของฉันก็ไม่ต่างจากภาพลวงตา ไร้ความหมาย ได้แต่นั่งคอยนายที่หน้าประตูอยู่ดี ดังนั้นฉันควรเข้าไปเสียเอง"

"..." ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนโดนระเบิดซีโฟร์ซัดสมองจนกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าควรคิดอะไร ทุกซอกมุมในหัวล้วนว่างเปล่าปราศจากคำพูด ดังนั้นแล้ว เหตุการณ์ต่อมาจึงถูกจดจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ถูกความคิดอื่นใดของผมรบกวน

เมินโหยวผิงเอื้อมมือข้างนั้นของเขาออกมา ใช้ปลายนิ้วทั้งสองลากไล้ไปตามโครงหน้าของผม ทำสายตาเคร่งเครียดจริงจัง แบบเดียวกับตอนเขาสำรวจผนังสุสาน

"อู๋เสีย สิบปีข้างหน้า จะมีสักวันที่ในหัวฉันลืมเรื่องของนาย ฉันไม่อยากทิ้งนายไว้ข้างใน เอาแต่วิ่งหาความทรงจำของตัวเอง ค้นหาความเกี่ยวโยงต่อโลก แล้วสุดท้ายพบว่าตัวฉันเองเป็นคนลืมมันไว้หลังประตูบานนั้น มันอาจสายเกินไป"

น้ำเสียงของเขาราบเรียบธรรมดาเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทว่าเนื้อหาของมัน สั่นคลอนได้แม้แต่จุดที่หยาบกระด้างที่สุดในหัวใจผม ไอ้คนที่วันๆ เอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ในหัว พอพูดออกมาแต่ละทีกลับสร้างความเสียหายต่อจิตใจของผู้อื่นได้ขนาดนี้เชียว

"บะ...บัดซบ นี่นายหมายความว่าที่นัดให้มารับอีกสิบปีข้างหน้า นายจะโผล่ออกมาทักฉันคำแรกว่า 'นายเป็นใคร' อีกแล้วงั้นเรอะ!? เห็นหัวใจสุดแสนละเอียดอ่อนบอบบางของฉันเป็นอะไร มันไม่ได้โบกปูนหุ้มเหล็กไว้นะโว้ย!"

อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ถึงจุดประสงค์จะใกล้เคียงกัน แต่ความหมายอ้อมโลกไปไกลมาก! ที่น่าโมโหคือ เมินโหยวผิงดันพูดตอบมาว่า ถ้าผมรับไม่ได้ก็ให้ลืมเขาไปเสีย พ้นรอบเวลาของผมแล้ว ต่างคนต่างลืม ไม่ถือว่าติดค้างกัน

ตอนได้ยินเขาพูดว่าจะลืมผม ก็ว่าน่าโมโหแล้ว แต่พอเมินโหยวผิงพูดว่าให้ผมลืมเขา ต่างคนต่างหันหลังเดินจากไป นั่นทำให้ผมโมโหปรี๊ดยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับนายอ้วนในกับดักเต่าแม่เหล็กเสียอีก ไม่แน่ว่าบางทีถ้ำแห่งนี้ก็อาจมีกับดักแบบเดียวกันอยู่ ทว่าตอนนั้นผมอารมณ์ขึ้นจนขาดสติแล้ว ไม่สามารถคุมอาการตัวเองไว้ได้ จึงเผลอลงไม้ลงมือกับเขาไปยกหนึ่ง

"พอเถอะ นายไม่อยากทำแบบนี้จริงๆ หรอก" น้ำเสียงเขาเจือความจนใจอยู่หลายส่วน ตรงข้ามกับผมที่พูดไปหอบหายใจไปด้วย กลับบ้านงวดนี้คงต้องจัดตารางออกกำลังกายแล้วจริงๆ

"คนที่คิดจะลืมน่ะหุบปากไปเลย นายอยากลืมฉันก็ต้องถามฉันก่อนว่าจะปล่อยให้นายลืมมั้ย!" ผมกระชากคอเสื้อเมินโหยวผิง กำไว้แน่น ทางเขาคงสงสารผมอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย จึงยังไม่หักนิ้วมือผมทิ้งแล้วสะบัดตัวหลุดหนีไป ยอมให้ผมกระทำย่ำยีร่างกายเขาต่อ

"อู๋เสีย"

"อะไรอีก!"

"ถ้านายจูบไม่เป็น ก็ปล่อยให้ฉันทำแทน"

"นายว่าใค---------!!!"

ผมมีสิทธิ์พูดได้ถึงแค่นั้น เพราะลิ้นโดนตวัดพัวพันไม่หยุด ปลายจรดโคนถูกรัดพันคลุกเคล้าแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จั๊กจี้เพดานปากเป็นบ้า ไอ้หมอนี่แม่ง... ผมถึงกับเกือบหลุดถามออกไปเลยว่าสกุลจางบังคับฝึกวิทยายุทธ์ให้ลิ้นด้วยหรือ รู้สึกดีใจที่ลิ้นคนเราไม่ได้ยาวมาก ไม่งั้นภาพผู้ชายสองคนยืนจูบกันจนลิ้นพันเป็นปมคงเป็นเหตุการณ์น่าอายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในถ้ำแห่งนี้

เหตุการณ์ต่อจากนั้น ผมไม่มีสติไปจำสักเท่าไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีก็กำลังนอนเปลือยอยู่บนพื้น ใช้อวัยวะบางส่วนแถวสะโพกบดเบียดกันอย่างเมามันมาก ชิบหายที่สุด มือผู้หญิงผมยังไม่เคยจับเลยแท้ๆ แล้วนี่กูมานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้กับผู้ชายอีกคนวะเนี่ย! ทว่าความคิดดังกล่าวก็จบอยู่แค่ในสมองเท่านั้น ร่างกายผมแม่งแยกประเทศออกไปปกครองตนเองเรียบร้อยแล้ว ก่อกบฏอย่างจริงจังมาก

"ไม่ได้ผลหรอก ฉันจะลืมนาย"

"ช่างแม่ง ให้ร่างกายนายจำได้ก็โอเค"

เมื่อย้อนคิดถึงบทสนทนานี้ในภายหลัง ผมรู้สึกว่าน่าอายมาก คนเราเวลาขาดสติสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงว่าทำไมตามหน้าหนังสือพิมพ์จึงได้มีข่าวแปลกๆ ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้น สองนิ้วมือที่แคล่วคล่องของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นที่อุ่นร้อนเป็นพิเศษ สัมผัสแปลกปลอมทำให้ผมเผลอบีบรัดเกร็ง ตลอดเวลาระหว่างนั้น เขาพูดปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติหลายหน่วย ผมแอบดีใจนิดหน่อยที่ก่อนจากกันยังมีบุญได้สัมผัสอารมณ์ด้านนี้ของเขาด้วย ถึงกับเผลออมยิ้มออกมา พอเขาเห็นเข้าก็ทำสีหน้าประหลาด แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้มบางๆ กลับมาเช่นกัน

เมินโหยวผิงสัมผัสใบหน้าผมอีกครั้ง ราวกับจะให้นิ้วมือแสนสำคัญของเขาจดจำใบหน้าผมแทนดวงตาให้ได้จริงๆ "นายอาจเสียใจในตอนหลัง" ...ถ้าคิดจะพูดแบบนี้ก็อย่าดันไอ้นั่นเข้ามาด้วยสิวะ!

"หลายปีนี้ฉันเจอเรื่องเสียใจเยอะแล้ว เพิ่มมาอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป" ที่สำคัญคือถอยหลังกลับไม่ทันแล้วโว้ย!

"อู๋เสีย"

"ถ้านายยังไม่หยุดพูดแล้วรีบทำให้จบ ฉันจะเริ่มเสียใจให้ดูตอนนี้เลย"

"อย่าลืมฉัน" เขากระซิบคำพูดสุดท้ายผ่านริมฝีปากผม หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีบทสนทนาใดอีก เหลือแค่การเสียดสีกายและเสียงหอบหายใจของคนสองคน

หนึ่งคำร่ำลาสำหรับสิบปี

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อผมรู้สึกตัวตื่น เมินโหยวผิงก็จากไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับความฝันไม่ก็ภาพลวงตาของถ้ำหินโบราณ สิ่งที่ยืนยันว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง มีเพียงลัญจกรที่เขาทิ้งไว้ และคราบเปื้อนสีขาวขุ่นบนลำตัวผมเท่านั้น

ไอ้ห่านี่แม่งทำผมเปื้อนแล้วยังไม่มีน้ำใจช่วยเช็ดตัวให้ผมสักหน่อยเลย! บ่อน้ำก็อยู่ห่างไปนิดเดียวแท้ๆ นายไม่มีเวลาแล้วถึงขนาดนั้นเลยหรือ!






- Red Sign -




สถานที่ลึกลับแห่งนั้น ล้อมรอบด้วยผนังหินที่ถูกแต่งแต้มจากฝีมือมนุษย์ ภาพสีบนผนังหลุดร่อนไปมากเพราะความชื้นจากไอน้ำของบ่อน้ำพุร้อน ทั้งยังก่อกำเนิดหมอกควันเบาบาง สร้างบรรยากาศราวภาพฝันให้แก่มนุษย์ทั้งสองร่างที่กอดก่ายกันอยู่บนพื้น

จางฉี่หลิงออกแรงขยับเป็นจังหวะเนิบช้า จงใจเสียดสีแก่นกายตนให้บดเบียดซ้ำๆ ลงบนจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย เสียงสะอื้นฮึกดังแผ่วมาจากร่างในอ้อมกอด

หากการอุทิศตนของเขาสามารถแลกความปรารถนาได้สักข้อ จ่างฉี่หลิงก็อยากให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป ไม่มีที่สิ้นสุด

"เ...ส...เ...กอ..."

เสียงเอื้อนครางกระท่อนกระแท่นดังขาดช่วงตามจังหวะขยับร่างกายท่อนล่าง คนคนนี้ไม่ค่อยเรียกชื่อเขาบ่อยนัก การจะได้ฟังแต่ละครั้ง ไม่ง่ายเลย

เขาอดไม่ได้ ต้องไล้นิ้วมือไปตามโครงหน้าและร่างกายของคนในอ้อมกอด นิ้วมือของเขาถูกฝึกมาเป็นพิเศษ พวกมันไวสัมผัสนัก สามารถรับรู้ได้ถึงกลไกทุกประเภทเบื้องหลังกำแพงกระเบื้องหรือผนังอิฐ แต่ไม่ว่าจะกด บีบ คลึงเคล้าสัมผัสไปมากแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกเข้าถึงข้างในคนคนนี้ไม่มากพอเสียที

บางทีนี่ก็อาจเป็นกับดักประเภทหนึ่ง กับดักที่ร้ายกาจที่สุด

"ฮะ...ฮึก..."

เขารู้สึกถึงแรงตอดรัดจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงครางและแรงกระตุกที่ฉีดความอุ่นร้อนออกมาเปรอะหน้าท้องเขา ตอนนี้ช่องทางที่เชื่อมต่อกันเต็มไปด้วยความชื้นแฉะ พอขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถสักทีก็ทำให้บางส่วนไหลเยิ้มออกมาจนถึงต้นขาเขา

จางฉี่หลิงมองใบหน้าอีกฝ่าย ดูเหมือนคนคนนี้จะใช้แรงกายเยอะจนเหนื่อยมากแล้ว ผิวแก้มขาวเนียนแบบคนไม่ค่อยออกแดดกลายเป็นสีอมเลือดฝาด แดงไปหมดหัวจรดเท้าทั้งที่ยังไม่ได้ลงไปแช่น้ำพุร้อนสักนิด

เขาเรียกชื่อคนตรงหน้า อีกฝ่ายเอาแต่นอนหอบหายใจ ตาหรี่ปรือคล้ายเข้าสู่โลกความฝันไปแล้วครึ่งตัว ไม่แม้แต่จะกระพริบตารับรู้ แต่พอเขาลูบไล้กลีบปากแดงช้ำนั่นแล้วสอดนิ้วเข้าไป เจ้าตัวก็ไล้เลียตอบรับอย่างดี ราวกับเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องที่ผ่านการฝึกมาแล้ว

เขาปรารถนาเหลือเกิน ให้ทุกสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ให้ช่วงเวลานี้ทอดยาวออกไป

น่าเสียดาย...เขาไม่มีเวลาแล้ว

น่าเสียดาย...คนคนนี้ไม่ค่อยพูดชื่อของเขา

น่าเสียดาย...อู๋เสียไม่เคยเอะใจว่าฉี่หลิงในชื่อนี้ มีอีกความหมายหนึ่งคือการปลุกดวงวิญญาณ

น่าเสียดาย...ที่ในหนึ่งปี ประตูผีจะถูกเปิดออกเพียงหนเดียว





...เพื่อให้เขากลับเข้าไป...






+++

END
23/06/2015 



#dmbjdaily 59 days left : Left
#dmbjdaily 58 days left : Right




Talk Time:

ก็ว่าจะลองแต่งฟิควิชาการแบบ 20+ ดูมั่งอะค่ะ แต่เหมือนจะยังได้แค่ 18+ เอง 55555555555 ฮึ่มมม เดี๋ยวไปลองใหม่←

เป็นซีนที่คิดไว้นานแล้วว่าอยากแต่งตั้งกะตอนรวมเล่ม แต่ตอนนั้นบิ๊วอารมณ์ (หื่น) ไม่ถึงจริงๆ ฮือ ไอ้ครึ่งแรก (White Trace) ก็พยายามจะ 18+ แต่โดนอู๋เสียตบมุกทุกบรรทัดเลย 5555555... ก็เลยกลายเป็นบทแถมในครึ่งหลัง (Red Sign) อย่างที่เห็นน่ะค่ะ *กระแอม*

มัน Left กะ Right ยังไง ต้องลองใช้จินตนากาวค่ะ /โดนตี

ส่วนที่ว่าประตูผีอะไรนั่น เป็นกึ่งๆ กาวปนวิชาการค่ะ ส่วนไหนกาว ส่วนไหนวิชาการ... ไม่บอก แอร๊ /โดนตีอีกรอบ ด้วงๆ สายวิชาการน่าจะขุดรู้กันได้ง่ายๆ ฮา แต่คิดว่าน่าจะเป็นเนต้าใกล้ๆ ฟิคผิงเบี----แค่ก น่ะค่ะ *ไอหนักมาก*


ด้วง L. โหมดแจกพอร์น

2 ความคิดเห็น:

  1. แง เอาลงด้วงโกะก็ยังไม่วาย /เหล่ทอล์ค

    ตอบลบ
  2. ลองบ่อยๆชอบค่ะะะะ ถถถถถ
    คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าในถ้ำมันต้องมีอะไรมากกว่าน้านนนน
    มโนหนักมากกกก

    ตอบลบ