วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Bind

 

"Bind"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**




สมัยผมยังเด็ก ร่างกายไม่แข็งแรงนัก ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าคงเพราะบรรพบุรุษที่เป็นโจรสุสานโดนไอหยินทำร้ายร่างกายจนถ่ายทอดถึงลูกหลานรึเปล่า แต่ทั้งพ่อและอาอีกสองคนต่างสุขภาพแข็งแรงดี จึงต้องยอมรับอย่างเสียมิได้ว่าเป็นเพราะตัวผมเอง บางครั้งพ่อกับแม่ก็มึนตึงใส่กันด้วยเรื่องนี้ ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าวัยประถม ย่อมไม่มีทางเข้าใจถึงเรื่องซับซ้อนประเภทนั้น

เวลาพ่อไม่อยู่ อารองกับอาสามจะช่วยกันดูแลผม เรียกให้ถูกคืออารองดูแลผม ส่วนอาสามเล่นกับผม ดังนั้นเวลาอารองไม่อยู่อีกคน อาสามจึงมักโดนพูดย้ำถึงวิธีดูแลหลานแบบคนทั่วไปสมควรทำกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพี่รองรู้ดีว่า น้องสามของตนเป็นคนหุนหันพลันแล่น ไม่รอบคอบลึกซึ้ง ชีวิตตัวเองยังใช้จนแทบไม่พอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับผิดชอบชีวิตเด็กอีกคนให้ปลอดภัย

"วันนี้ฉันมีธุระ ต้องกลับค่ำมาก นายดูแลอู๋เสียให้ดีๆ อย่าลืมว่าเขายังเด็ก กินได้น้อย หิวง่าย คอยดูอย่าให้เขาหิวไม่งั้นอาจซุ่มซ่ามเอาของไม่ดีเข้าปากอีก"

"รู้แล้วๆ พูดย้ำจนนอนละเมอทั้งคืนแล้วมั้ง จะไปไหนก็รีบไปไป๊"

วันนั้นกว่าอารองจะมั่นใจว่าย้ำจนอาสามไม่มีทางลืมแล้ว ก็กินเวลาเกือบยี่สิบนาที ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ก็เข้าใจว่าทำไมอารองถึงทำเหมือนอาสามเป็นเด็กอีกคน ทุกครั้งหลังอารองเดินพ้นสายตาและระยะได้ยินเสียง อาสามจะทำเหมือนลืมคำพูดอารองทันที

เขาพาผมไปนอกบ้าน ปิดประตูบ้านลงกลอนเรียบร้อย พวกเรานั่งรถโดยสารเพื่อเดินทางต่อไปที่วัดแห่งหนึ่ง พอไปถึงที่ เขาซื้อมันปิ้งให้ผมหนึ่งถุง สั่งให้ผมนั่งกินระหว่างรอ

ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร นั่งพิงกำแพงวัด กินมันปิ้งตามที่เขาบอก อาสามเดินเข้าวัดไปสักพักก็กลับออกมาพร้อมถุงผ้าสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ ผมไม่รู้ว่าเป็นของใหม่หรือเก่า เพราะมืออาสามมีแต่ฝุ่นกับขี้ดิน ถุงในมือจึงเลอะเทอะเป็นรอยนิ้ว กระดำกระด่างแทบทั้งใบ

"แกนี่โชคดีชะมัดไอ้หลานชาย ตะกี้มีพระให้ไอ้นี่ฉันมา เขาว่าของดี ป้องกันสิ่งสกปรกได้ ให้ฉันใส่คงเสียของเปล่าๆ แกป่วยบ่อย ใส่ไว้คงดีกว่าฉัน"

อาสามล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าในมือ มันคือสร้อยลูกปัดสีดำๆ คล้ายลูกประคำ แต่ละเม็ดมีการแกะเป็นลวดลายประหลาดที่ผมในตอนนั้นไม่สามารถระบุรายละเอียดใดได้ กว่าจะโตพอรู้เรื่องลายแกะสลัก ผมก็ลืมลายพวกนั้นไปเสียแล้ว

เขาจับข้อมือขวาผมขึ้นมาดูแล้วเปลี่ยนใจ แก้ปมที่ปลายเชือกแล้วมัดใหม่จนกลายเป็นบ่วง นำมาสวมคล้องคอผมเป็นสองทบ

"ของที่ฉันอุตส่าห์ยกให้ อย่าทำหายซะล่ะ ฉันตีแกตายแน่" เขาพูดจบก็ขยี้หัวผม สั่งให้ผมรอจนกว่าเขาจะมา แล้วค่อยวิ่งเหยาะๆ เข้าประตูวัดไปอีกครั้ง

จากนั้นก็คือช่วงเวลานานแสนนานอันน่าเบื่อ ผมกินมันปิ้งที่เขาซื้อไว้ให้จนหมด กินน้ำขวดที่เขาทิ้งไว้ให้จนหมด นั่งมองท้องฟ้า มองก้อนเมฆ มองซากผีเสื้อบนพื้น มองมดบนพื้น มองสร้อยลูกปัดหน้าตาประหลาดบนคอ ทำทุกสิ่งที่ทำได้ภายใต้ข้อแม้ห้ามลุกออกจากตรงนั้น

น่าเบื่อเสียจนผมจำไม่ได้ว่าผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ หรือเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อรู้สึกตัวอีกที ไม่ไกลนักตรงหน้าผมก็มีพี่ชายคนหนึ่งยืนอยู่

พี่ชายคนนั้นเหมือนเป็นนักศึกษาจากในเมือง คงเดินหลงทางมาจากไหนสักแห่ง เพราะวัดแห่งนี้ตั้งในป่าค่อนข้างลึก ไม่น่ามีสำนักการศึกษาหรือหอพักอยู่ใกล้ๆ

ขนาดผมกับอาสามเอง ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด อาสามต้องจูงผมขึ้นรถบัสไปบ้านเพื่อนเขา แล้วพากันขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงเชิงเขา พอถึงเนินหญ้าก็ไม่มีทางดินหรือถนนให้รถวิ่งได้ อาสามกับเพื่อนจึงต้องอ้อมรถพากันไปบ้านญาติของเพื่อนคนนั้นเพื่อยืมลาลากเกวียน

ลาบ้านลุงคนนั้นฉลาดแต่นิสัยดื้อมาก เจ้าของลาจึงต้องนั่งเกวียนมาด้วยเพื่อคุมลา แต่เจ้าของลาเพิ่งมีญาติจากต่างจังหวัดมาเยี่ยม ไม่อยากเสียมารยาทต่อแขก ทุกคนจึงยกโขยงมานั่งเกวียนเทียมลาขึ้นเขาด้วยกัน กว่าจะมาถึงวัดก็แดดตรงหัวแล้ว

นักศึกษาคนนั้นจ้องผมอยู่นาน ผมไม่มีอะไรทำจึงจ้องเขากลับ เขาไม่หลบ ผมก็ไม่หลบ ประสานตากันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเป็นผมที่ทนไม่ได้ก่อน อ้าปากหาวออกมาเพราะง่วงเต็มที เตรียมล้มตัวนอน ไม่คาดคิดว่านักศึกษาหลงทางคนนั้นกลับค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาผม

ขณะนั้นเป็นกลางวันแสกๆ ส่วนวัดด้านหลังกำแพงนี้ แม้จะเก่าจนเรียกได้ว่าร้าง แต่ก็ถือว่าเป็นวัด ไม่ใช่สุสานหรืออาคารเก็บศพ ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังเดินเข้ามาจัดอยู่ในหมวดมนุษย์แน่นอน ส่วนเป็นมนุษย์ประเภทไหนนั้นอีกเรื่อง

ผมโตมาในบ้านที่มีพี่น้องสามแบบสามสไตล์ แม้ตอนนั้นอายุไม่เท่าไรแต่ก็พอจะแยกแยะเป็นแล้วว่า อาสามจัดในประเภทนักเลงอันธพาล อารองจัดในประเภทบัณฑิตที่ซ่อนมีดไว้ใต้สมุดบัญชี ส่วนพ่อของผมก็เป็นแค่ผู้ชายวัยกลางคนน่าเบื่อที่หาได้ทั่วไป

ประสบการณ์อันน้อยนิดของผมในวัยเด็ก บอกให้ผมจัดคนตรงหน้าเป็นประเภท 'พูดน้อย มีความอดทนพอสมควร แต่ห้ามทำให้โมโหเด็ดขาด'

ดังนั้นผมจึงอยู่เฉย ปล่อยให้เขานั่งยองๆ จ้องเขม็งมาที่สร้อยลูกปัดบนคอผม

"เอามาจากไหน" ในที่สุดพี่ชายท่านนี้ก็เอ่ยปากพูดเสียที! ผมตื่นเต้นในใจ เพราะเขานิ่งเงียบมาก มากจนผมเริ่มลังเลว่าหรือตนเองจะประมาท มอง 'คน' ผิดไป

"อาสามให้มา" แน่ล่ะ อาสามของผมก็คืออาสามของผม เด็กแบบเราไม่สนใจหรอกว่าอาสามของผมเป็นคนเดียวกับอาสามของเขาหรือไม่

"เขาเอามาจากไหน" ผมเห็นเขาไม่ถามกลับว่าอาสามเป็นใคร ดังนั้นจึงรู้สึกสนิทสนมกับเขาเพิ่มหนึ่งส่วน เหมือนมีคนรู้จักร่วมกัน

"มีพระในวัดให้มา" พูดถึงตรงนั้น ผมก็เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องที่อยากพูด ผมคิดว่าเขาสุขภาพไม่ดีเหมือนผม คงอยากได้บ้าง เลยแนะนำให้เขาไปลองขอกับพระข้างในวัด เผื่อได้อีกเส้น

เขาส่ายหน้า บอกว่าไม่มีแล้ว สร้อยแบบนี้มีแค่เส้นเดียว

ผมรู้ว่าเขามองผมเป็นแค่เด็กที่เชื่อคำโกหกได้ง่ายๆ ความจริงไม่มีสร้อยที่ไหนมีแค่เส้นเดียว สร้อยในกล่องของแม่ผมก็มีตั้งหลายเส้น หน้าตาเหมือนกันเกือบทั้งกอง แม้แต่อาสามก็ยังสะสมสร้อยหน้าตาเหมือนกันไว้ตั้งหลายเส้น ถ้าสร้อยมีแค่เส้นเดียวในโลก มันก็ต้องอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สิ อาสามจะยกให้ผมใส่ได้ยังไง

"พี่ชายป่วยเป็นอะไร" ดูจากโหงวเฮ้งที่ปู่ชอบพูด ผมตัดสินว่าเขาต้องป่วยสักโรคแน่นอน

"ฉันแข็งแรงดี" เขาโกหกอีกแล้ว

"ผมก็แข็งแรงนะ ผมยังป่วยเป็นโรคสามวันดีสี่วันไข้เลย" เขาจ้องกลับมาด้วยสีหน้าแปลกๆ

"นายอ่อนแอ" ไม่พูดเปล่าๆ เขายังจิ้มหน้าผากผมจนเซ แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงสัมผัสของกำแพง มันเย็นเฉียบตัดกับอากาศร้อน ตอนนั้นผมคิดว่าจะโมโห แต่พอเหลือบตาขึ้นไปเห็นนิ้วที่ยังจิ้มค้างบนหน้าผากก็เปลี่ยนใจ นิ้วของเขาแปลกมาก นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขายาวมากจริงๆ ผมนึกถึงสัตว์ประหลาดต่างดาวในหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง มัวแต่จ้องนิ้วเขาจนลืมแม้แต่ว่าตัวเองค้างอยู่สภาพไหน

ผมได้สติอีกทีตอนได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ผมจ้องหน้าเขา เขาจ้องหน้าผม เขาไม่หลบ ผมก็ไม่หลบ ประสานตากันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเขาก็ดึงนิ้วออก ผมจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่มีบางอย่างเกิดขึ้น

เขาใช้แค่สองนิ้วนั่นกับผม ผมก็ไร้ปัญญาต่อต้านโดยสิ้นเชิง ทำไม่ได้แม้แต่จะยันตัวขึ้นนั่ง

"รักษาตัวให้ดี" เขาตบบ่าผมเบาๆ ทำท่าจะลุก ผมรู้ว่าเขาตัดใจแน่แล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขาไว้

"ผมแบ่งให้ก็ได้นะ" ไหนๆ สร้อยก็ยาวจนต้องพันตั้งสองทบ ผมแบ่งครึ่งนึงให้เขา ตัวเองก็ยังมีสร้อยใส่ ตอนนั้นผมลืมสนิทว่าอาสามสั่งว่ายังไงบ้าง คิดแค่ว่าพี่ชายแปลกหน้าคนนี้นิสัยไม่เลว ผมแบ่งของดีให้เขาครึ่งนึงถือเป็นการทำบุญ สวรรค์น่าจะเพิ่มบารมีให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้นเหมือนกัน

"ไม่ต้อง นายเก็บไว้" ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธกลับมาอย่างเฉยชา! พระโพธิสัตว์ยังมีมารมากวนตอนสร้างบารมี แค่คำปฏิเสธหยุดการสร้างบารมีของผมไม่ได้หรอก

ผมถอดสร้อยออกมาแล้วแกะปมแบบที่อาสามทำ แต่เพราะมือผมเหนียวเหนอะจากมันปิ้ง รู้สึกแย่ที่จะเอากลิ่นมันปิ้งไปถูไถเชือกศักดิ์สิทธิ์ แกะได้ครึ่งทางก็เอามือไปเช็ดที่ชายเสื้อสักรอบ

ตอนนั้นเองที่มืออีกข้างเผลอทำสร้อยหล่นพื้น

ไม่นึกว่าพี่ชายแปลกหน้าจะมือเท้าว่องไว แค่ผมเผลอปล่อยมือทำสร้อยหล่น เขากลับก้มตัวมาคว้าไว้ได้ ปัญหามีอยู่แค่ตอนที่เขาคว้า มือผมยังไม่หลุดจากบ่วงของสร้อย กลายเป็นแรงกระตุก ลงเอยที่สร้อยเก่าๆ เส้นนั้นขาดกระจุย เม็ดลูกปัดหลายสิบเม็ดกลิ้งลงไปตามเนินท่ามกลางสายตามึนงงของผม บางเม็ดกลิ้งเข้าพงหญ้า บางเม็ดกลิ้งลงไปตามทางดินจนลับสายตา เหลืออยู่ในบ่วงเชือกไม่ถึงครึ่งของตอนแรก

"...ขอโทษด้วย" พี่ชายคนนั้นบอกให้ผมนั่งที่เดิม เขาจะช่วยเก็บให้ ซึ่งความจริงผมก็อยากไปช่วยเขา แต่เดี๋ยวอาสามกลับมาไม่เห็นผมแล้วจะโมโห เลยปล่อยให้เขาก้มๆ เงยๆ ไปคนเดียว

นั่งมองเขาก้มๆ เงยๆ ก้มๆ เงยๆ ก้มๆ เงยๆ ตั้งนานไม่มีหยุด ผมเหมือนโดนสะกดจิต ล้มตัวนอนแบบไม่รู้ตัว มาตื่นเอาตอนเขามาก้มๆ เงยๆ อยู่บนตัวผม ไม่รู้เขาไปหาเชือกที่ไหนมาร้อยลูกปัด สีแดงสดยังกับเลือด แต่ดูใหม่และแข็งแรงกว่าเชือกในตอนแรกเยอะ

นิ้วเขาที่กำลังผูกปมเชือกรอบคอผมนี่สิน่าสงสาร เหมือนเขาไปล้างมือมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ซอกเล็บยังมีคราบดินเหลืออยู่ ไม่รู้ตามเก็บเม็ดลูกปัดถึงหลุมดินที่ไหนมา

"ขอบคุณฮะพี่ชาย" เขาไม่พยักหน้ารับ แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

"ที่เหลือนี่นายเก็บไว้ ทำมายาวเกินไปหน่อย" ผมลุกขึ้นมานั่ง ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ของในมือเขา ตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว แสงเหลือน้อยลงทุกทีแต่ก็ยังเห็นของได้ชัด มันคือเชือกป่านสีแดงขดเล็กๆ คงเป็นเชือกที่เขาหามาร้อยสร้อยใช้ผม

เพราะผมยังไม่ตื่นดี เลยยื่นมือออกไปด้วยความเคยชิน เหมือนเวลาแม่หาของปลุกเสกจากวัดมาให้ใส่เป็นสร้อยมือ ผมก็จะยื่นข้อมือให้แม่เป็นคนสวม ลืมคิดไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ผม ไม่ใช่อาสาม แต่เป็นพี่ชายแปลกหน้าที่บังเอิญเดินผ่านมา

เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็สวมเชือกแดงนั่นรอบข้อมือผม ตอนแรกนึกว่าเป็นเชือกเส้นสั้นๆ แต่ข้อมือผมคงเล็กไป เขาต้องวนเชือกอยู่สามสี่รอบกว่าจะได้ความยาวที่พอดีสำหรับผูกปม

ผมพลิกมือไปมา คิดในใจว่าเท่ชะมัด เหลาหย่างต้องอิจฉาแน่ๆ เงยหน้ามาอีกทีพี่ชายคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่ถ้าไม่มีหลักฐานอยู่ที่ข้อมือ ผมคิดว่าเขาอาจไม่ใช่คนจริงๆ ก็ได้

ผมนั่งรออยู่พักใหญ่กว่าอาสามจะออกมา หิวข้าวจนแสบท้อง แต่อาสามท่าทางหัวเสียจนผมไม่กล้าโวยวายอะไร โชคดีที่ตอนนี้มืด เขาไม่ทันสังเกตว่าทำไมอยู่ๆ ข้อมือผมก็มีเชือกสีแดงเพิ่มขึ้นเส้นหนึ่ง

ตอนที่กลับถึงบ้าน อารองก็กลับมาแล้ว แน่นอนว่าอาสามเปลี่ยนท่าทีทันตา หลังจากนั้นอารองจะดุอาสามยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของผม ตอนนี้ผมสนใจอย่างเดียวคือในครัวมีอะไรให้กินบ้าง

หลังจากเติมข้าวชามที่สอง ผมถึงนึกออกว่า ตัวเองลืมถามชื่อพี่ชายแปลกหน้าคนนั้นไปสนิท



+++

END
05/10/2014







Talk Time:

ตอนแรกว่าจะไปกินหมึกปิ้งต่อบนเตี--- *แค่ก* แต่เพราะแวบไปแวบมา งานหลวงเข้าแทรกเป็นระยะ เลยได้แต่รอบันทึกโจรฯ เล่ม 9 ออกแบบห่อเหี่ยวแทน....

วันก่อนได้หนังสือใหม่ของค่ายนานมีมา ชื่อเรื่อง คนล่าผี ค่ะ เขาพูดถึงเชือกแดงป้องกันผี *กระแอมไอ* ...ใช่ค่ะ แบบว่าอ่านแล้วโมเอะจัง แง เลยเอามาแต่งฟิค 55555555555+ เอาอุปกรณ์ล่าผีเขามาเขียนฟิคคค!! ฮืออออ ก็โรแมนติกออกอะ เอาเชือกแดงกันผีมาทำเป็นเชือกแดงคล้องรัก วั้ยยย ( /w\ )

/กรุณาทำเป็นไม่สนใจแฟนผิงเสียไร้สติคนนี้นะคะ

แต่ไม่รู้ทำไมค่ะ แต่งๆ ผิงเสียแล้วถึงมีอารองกับอาสามโผล่มาในฟิคตลอดเลย แง จิตใต้สำนึกกำลังไล่เราไปแต่งฟิควายอารองอาสามสินะ!!

ส่วนเมินโหยวผิงที่เป็นพระเอกตอนนี้ดันไม่ได้โผล่มาแม้แต่ชื่อ โถ... เอานิ้วยาวๆ ของนายมาโชว์แทนก่อนนะเสี่ยวเกอ ฮือ จริงๆ ตั้งใจว่าจะให้เป็นตอนของ "นักศึกษาจาง" แท้ๆ ค่ะ  แต่กลายเป็นแม้แต่คำว่า "เสี่ยวจาง" ก็ไม่มี ชื่อจางฉี่หลิงก็ไม่ได้โผล่ เศร้า นายแพ้เหม่งจางซะแล้ว คราวหน้าพยายามใหม่นะ! *พูดเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเอง*

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 ตุลาคม 2557 เวลา 14:27

    บะ..บ้าจริมค่ะ อ่านแล้วเผลอจิ้นคู่เสี่ยวเกอกับอาสามแทนซะอย่างนั้น /w\

    อาสามไปทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อ่ะ อยากรู้อ่ะ!! /me โดนคนเขียนเตะลงเนินไป

    นักศึกษาจางน่ารักจังเบยค่าาาา *//////* เขาผูกด้ายแดงกันมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ฮุฮุ น่ารักจังงง

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ5 ตุลาคม 2557 เวลา 14:40

    ไอ้ย๊ะ ///// ช่างน่ารักนัก!

    อ่านแล้วนึกภาพตามตอนเสี่ยวเสียตัวน้อยที่มองบัณฑิตจางตาไม่กระพริบค่ะ ต่อให้หน้านิ่งก็ต้องมีเอ๋นดูกันบ้างล่ะ!

    พ่อหนุ่มนี่ก็มาดแมนตามหาลูกปัดที่กระเด็นให้ ทั้งที่มือตัวเองก็เลอะแถมยังมาร้อยใหม่ให้อีกด้วย จะอ่อนโยนผิดหน้าไปถึงไหนกันนะ

    อารองกับอาสามนี่ก็ไม้เบื่อไม้เมาจริงๆนะคะ ก็ดูนิสัยอาสามสิ! มันน่านักที่จะต้องย้ำ แต่สุดท้ายก็โดนดุอยู่ดี 5555555

    หลงรักเสี่ยวเสียตัวน้อยซะแล้วค่ะ❤️

    ตอบลบ
  3. เสี่ยวเสียน่ารักจัง ถ้าอยู่แถวนั้นด้วยป้าจะอุ้มกลับมาเลี้ยงที่บ้าน *คุกๆ*//เดี๋ยวๆ
    เชือกแดงๆคล้องรักเราเอาไว้สองคน แหมๆ ให้ของหมั้นไว้ตั้งแต่เด็กเลยนะนักศึกษาจาง 5555
    ว่าแต่อาสามหายไปทำอะไรคะ ถึงปล่อยให้เสี่ยวเสียอยู่คนเดียวทั้งวันแบบนั้น อาสามเลี้ยงเด็กได้สมเป็นอาสามจริงๆเลย เพราะงั้นก็เลยต้องโดนอารองดุอยู่เรื่อยๆ

    ถ้าไม่มีใครว่างเลี้ยงและดูแลเสี่ยวเสียก็ส่งมาให้เราได้นะคะ เต็มใจเลี้ยงดูเสี่ยวเสียตัวน้อยๆค่ะ แอร๊ยยย ><

    ตอบลบ
  4. เป็นพระเอกที่น่าสงสารนะเจ้าคะ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี กร๊ากกกกกกกก
    แต่แม้โผล่มาแค่สองนิ้ว(?)ก็ยังรู้ว่าเป็นใคร ฮิๆ
    ส่วนน้องเสี่ยอู๋น่ารักอะ เป็นเด็กแอบกวนนิดๆ อิจฉาอาสามที่ได้เลี้ยงคุณหนู >__<

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ17 ตุลาคม 2557 เวลา 15:47

    อ่านแล้วนึกภาพตามมินิอู๋เสียนั่งมองพี่นักศึกษาคนนั้น
    คงแบบแบ๊วเหนือสามโลก
    โอ๊ยยย น่ารักเกินให้อภัย

    ตอบลบ
  6. พยายามกระโดดข้ามสปอยล์มาอ่านเต็มที่

    ขอบคุณค่ะที่เขียนฟิคน่ารักๆ ออกมาให้อ่านตั้งหลายตอน ไว้อ่านตามทันเล่มปัจจุบันเมื่อไหร่จะมาตามอ่านให้หมดเลยค่ะ!!! /ขณะนี้อยู่เล่ม 8 กลางๆ

    อู๋เสียเบบี๋ (ก็ไม่ขนาดนั้น แต่อยากเรียก แง เด็กมันนั่ลลั้กกกกกกก) น่าอมน่าขย้ำเหลือเกิ้นนนนนนนนนนน ละความคิดน้องน้อยแต่ละอย่างนี้ไร้เดียงสาละเกิ้นนนนนนน แต่ความคิดเป็นเหตุเป็นผลแต่เด็ก น่าอมเข้าปากอะไรอย่างนี้คะลูก!!! โถหนู โดนอาสามเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ (ฮา) แต่ก็ดีค่ะ เปิดโอกาสให้บัณฑิตจางเขาได้มากะลิ้มกะเหลี่ย(?)จองตัวน้องหมั้นหมายไว้แต่เด็ก ฮิๆๆๆ น้องช่างใจดีมีเมตตาอะไรอย่างนี้ คิดว่าพี่ชายเขาป่วยด้วยสินะคะ เลยอยากให้พี่ชายแข็งแรง จ่ะ พี่ชายเค้าป่วยแต่พี่เค้าไม่รู้ตัว ป่วยเป็นไข้ใจค่ะ /ฮิ้วววววววว /เอาด้วงตัวนี้ไปเก็บ

    ตอบลบ