วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Restart] Forget 05: คุณอา


"Forget - ลืมเลือน-"

05: คุณอา 

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย) & 二环 เอ้อร์หวน (อู๋เอ้อร์ไป๋xเซี่ยเหลียนหวน)

ตอนก่อนหน้า: ตอนที่ 1 || ตอนที่ 2 || ตอนที่ 3 || ตอนที่ 4


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมปวดหัวหนึบไปหมด เมื่อคืนดูเหมือนจะฝันร้าย แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นฝันแบบไหน

ตอนที่หวังเหมิงมาถึงแล้วเห็นสภาพผม เขาทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับกลืนคำพูดลงไป ก็แหงล่ะ โดนผมเอาปืนจ่อกบาลอยู่ กล้าพูดม้าๆ อะไรออกมาล่ะพ่อเป่าขมองเป็นรูแน่

สุดท้ายเขาไปหาหมอปากหนักมาได้คนหนึ่ง จัดการดูอาการเสี่ยวเกอให้เรียบร้อย เรื่องการดูแลเจ้าหนูนั่นผมฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาขณะกินโจ๊กอย่างใจเย็น ที่เหลือปล่อยให้หวังเหมิงฟังไป

"เจ้านาย คนของคุณ ไม่คิดจะฟังหน่อยเลยหรือครับ" เจ้าลูกน้องบ่นหงุงหงิง

"คนของฉัน? ผิดแล้ว 'ของ' ของฉันต่างหาก" ผมตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนโบกไม้โบกมือเป็นเชิงตัดบทสนทนา

หลังสั่งงานกับหวังเหมิงเรียบร้อย ผมก็ไปหาอาเซี่ยตามที่ขอนัดไว้กับอารองเมื่อวานนี้ โดยไม่ลืมหิ้วเจ้าหนูตัวปัญหาไปด้วย พ่อบรรพบุรุษน้อยของผมรายนี้ เมื่อลืมตาตื่นยังคงมีท่าทางเหมือนเมื่อวาน ครั้นถามหมอ หมอก็ส่ายหัวดิก พูดเป็นเชิงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่บาดแผลทางกาย

ไม่ใช่ทางกาย เช่นนั้นก็เป็นทางใจ?

ผมปรือตามองเสี่ยวเกอ บางทีผมก็รู้สึกว่าตรงหน้าไม่ใช่เด็กผู้ชาย เป็นเพียงสัตว์เล็กที่บาดเจ็บเท่านั้น

แต่อย่างน้อยสภาพของเสี่ยวเกอยามนี้ต้องเรียกว่าดูเข้าท่ากว่าก่อนนี้มาก ก่อนออกจากบ้านหวังเหมิงหาเครื่องแต่งตัวให้เขา ผมยาวๆ ก็จัดแจงถักเป็นเปียเรียบร้อย ดูแล้วคล้ายคุณชายน้อยมีสกุลผู้หนึ่ง

"ระวังจะโดนนินทาเอานะครับ" ไอ้เจ้าลูกน้องสมควรตายเอ่ยขณะยืนส่งผมที่หน้าบ้าน เลยโดนมะเหงกไปหนึ่งที

ระหว่างนั่งในรถ ผมพยายามสงบจิตสงบใจเพื่อเตรียมตัวสำหรับเผชิญหน้ากับอาเซี่ย มีหลายครั้งที่หากให้เลือกระหว่างกองผมเปียกๆ กับพบเจออาเซี่ย ผมถึงขั้นคิดว่ายอมช็อกตายคาเส้นผมเสียยังจะดีกว่า

ระหว่างนึกถึงเรื่องเก่าๆ คนขับรถก็ร้องบอกว่าถึงแล้ว ผมสูดลมหายใจ ก่อนหอบเอาร่างกายอันหนักอึ้งและเด็กผู้ชายหนึ่งคนเข้าไปในตัวบ้าน

xxx

เซี่ยเหลียนหวนหรืออาเซี่ยของผมคนนี้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอาสามของผมมาก ต่างกันเพียงรายละเอียดเล็กน้อย เช่นเส้นผมของเขาไม่ขาวโพลนแบบอาสามที่ผ่านความทุกข์ตรม เครื่องหน้าปราศจากหนวดเครา หนำซ้ำดวงตาคู่นั้นยังให้ความรู้สึกลุ่มลึกกว่ามาก

เมื่อเจอหน้าอาเซี่ย ผมคุยเล่นทักทายกับเขาเล็กน้อย ก่อนเข้าเรื่อง หลังฟังเรื่องทั้งหมดของผมจบ อาเซี่ยก็ใช้สายตาสำรวจเสี่ยวเกอที่นั่งข้างๆ ผม ก่อนเอ่ยเสียงเนิบ "อู๋เสีย แกว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดคือแบบไหน?"

"เอ" ผมงุนงงกับคำถาม แต่ก็ตอบไป "แข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้านในใต้หล้า? มีวิชาฝีมือยอดเยี่ยม?"

"กำลังกายฝึกได้ ขอแค่แกมีพื้นฐานร่างกายที่ดีกับเวลาที่มากพอ" อาเซี่ยทำท่ายกนิ้ว ก่อนเลื่อนมือมาแตะที่อกผม "แต่ที่ฝึกไม่ได้คือตรงนี้"

...ต้องไม่ใช่กล้ามอกแน่ๆ ผมกลืนความคิดนี้ลงท้องไป

"ร่างกายฝึกได้ แต่ใจคนฝึกยากที่สุด...นักรบที่แข็งแกร่ง หัวใจต้องแข็งแกร่ง"

ผมมองเจ้าหนูตัวเล็กที่ตัวเองล้มทับทีเดียวก็คงแบนแต๊ดแต๋ด้วยความรู้สึกซับซ้อน นักรบ?

"แกว่าคนหนึ่งคน ต้องทำอย่างไรถึงจะตัดรักชอบเกลียดชังได้หมด"

"...ฝึกตน แบบพระทิเบต? ไม่ก็กินยาไร้รัก" ผมพูดไปเรื่อย อาเซี่ยหัวเราะออกมา แต่ไม่เอ่ยคำตอบของคำถามที่ถามผม

เขาเพียงกล่าว "นักรบที่แข็งแกร่งมีเพียงกำลังฝีมือไม่พอ สิ่งสำคัญคือเป้าหมายหรือปณิธาน และต้องเป็นปณิธานอันแน่วแน่...ดังนั้นเรื่องราวไม่จำเป็นจึงต้องถูกลบทิ้งไปจนหมด"

อาเซี่ยยกชาขึ้นจิบ ดวงตาทอดมองออกไปด้านนอกคล้ายรำลึกถึงบางสิ่ง ก่อนค่อยๆ เลื่อนสายตากลับมาจ้องเสี่ยวเกออีกครั้ง "ชีวิตของพวกเขามีเพียงภารกิจ ลมหายใจเฮือกแรกยันเฮือกสุดท้ายมีเพื่อเป้าหมายที่ถูกตั้งไว้ เป็นเพียงศิลาแข็งแกร่งที่ไร้ความปรารถนาเป็นของตนเอง"

"ผม...ไม่เข้าใจ"

"แน่นอน แกย่อมไม่เข้าใจ และตอนนี้แกก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจ"

ผมกะพริบตา อาเซี่ยเอื้อมมือไปดึงมือขวาของเสี่ยวเกอขึ้นมา ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามือของเขา นิ้วชี้กับนิ้วกลางยาวผิดปกติกว่านิ้วอื่นๆ เกือบครึ่งข้อ อาเซี่ยยิ้มเนือยๆ ขณะลูบคลำสองนิ้วดังกล่าว

"เด็กคนนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา อาสามของแกไม่เล่าให้แกฟังเพราะมีเหตุผลอยู่" อาเซี่ยเอ่ยเสียงเรียบ "แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเทพเจ้าปัญญาอ่อนอะไรนั่น...ไอ้หมอนั่นแต่งเรื่องไม่เอาอ่าวตามเคย"

ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนนี้อาสามเคยเล่าวีรกรรมผจญภัยของเขากับอาเซี่ยเป็นคุ้งเป็นแคว พอผมเอามาถามอาเซี่ย เขาถึงกับทำหน้าทะมึน จากนั้นสองวันต่อมาผมก็เจออาสามที่หัวล้านเลี่ยนไม่เหลือเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว เห็นว่าเป็นการ 'ทำโทษ' ซึ่งอาสามก็ต่อให้อีกห้าพยางค์ว่า 'จากพี่สะใภ้รอง' ...หลังจากนั้นก็เลยโดนโกนคิ้วและหนวดไปด้วย

ผมนิ่งไป อาเซี่ยยังคงเอ่ยต่อด้วยเสียงเนิบนาบ จุดนี้เขาคล้ายคลึงกับอารองมากกว่าอาสาม การอธิบายส่วนใหญ่รวบรัด ไม่ฟุ้งฝอยออกนอกลู่นอกทาง "ฉันเองก็เล่าไม่ได้ นี่เป็นเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน เกี่ยวพันถึงเก้าสกุลใหญ่ ที่พอบอกแกได้คือเด็กคนนี้เป็นผลผลิตของความชั่วร้ายของเก้าสกุล"

"แล้วผมควรทำยังไง อย่าบอกให้ผมแต่งเขาเข้าบ้านเป็นเจ้าบ่าวแบบที่อาสามพูดนะ" ผมเอ่ยพลางหัวเราะ แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปเมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนา ในบรรดาผู้ใหญ่ในบ้าน ผมเคยคิดว่าตัวเองกลัวอารองที่สุด เพราะวิธีการแก้ปัญหาของอารองเด็ดขาดเสียจนผมไม่คิดเป็นศัตรูด้วย แต่เมื่อเทียบกันแล้วบางทีผมอาจกลัวอาเซี่ยมากกว่าอารองอยู่ราวๆ สองส่วน

อาเซี่ยยิ้มเนือยๆ ให้ผม "ถูกต้อง แกควรต้องรับเขาเป็นเจ้าบ่าวของแกจริงๆ"

ผมแทบพ่นน้ำชาออกจากปากในทันที ครั้นมองใบหน้าของอาเซี่ย เขามีรอยยิ้มจางๆ ที่ดูไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริงประดับอยู่ "สิ่งที่แกควรทำคือสอนเด็กคนนี้"

"สอน?"

"ใช่ สอน...สิ่งที่เขาขาดไปคือหัวใจ แกต้องสอนเขาในเรื่องนี้"

ผมงุนงง อาเซี่ยขยับตัวเข้าไปใกล้เสี่ยวเกอพลันกระซิบบางอย่าง ผมฟังไม่ถนัด แต่เดาว่าน่าจะเป็นชื่อของคน ชั่วขณะหนึ่งเจ้าหนูสะดุ้งเฮือกขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนกลับไปเป็นเสี่ยวเกอผู้เฉยชาเหมือนเก่า ผมมองอาเซี่ยด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่คิดอธิบายผม

"อู๋เสีย ทั้งสกุลอู๋และเซี่ยติดค้างเขาไว้มาก หนี้นี้ต้องให้แกเป็นผู้จ่ายแล้ว" ว่าแล้วอาเซี่ยก็หลับตาลงคล้ายไม่อยากพูดอีก

ไม่ว่าผมเพียรพยายามถามอะไรเพิ่ม อาเซี่ยก็ไม่ยอมตอบ สุดท้ายผมจนใจได้แต่เอ่ยขอตัว

"ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ฉันกับอารองของแกไม่มีปัญญาไปตามเช็ดล้างปัญหาของแกหรอกนะ" อาเซี่ยโบกมือไปมา

ผมได้แต่กลอกตาไปมา หลายปีมานี้พวกอาสองสามีภรร...แฮ่ม สองคนใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เข้าสู่วงจรขุดดินคว่ำกรวย เรียกว่าเดินในเส้นทางตรงกันข้ามกับอาสามอู๋ซันเสิ่งของผมโดยสิ้นเชิงก็จริง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเส้นสาย บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองกับอาสามใช้ชีวิตเหมือนหนูถีบจักรให้พวกเขาสองสามีภรร...แฮ่ม สองคนนั่งจิบชาชมดูเล่นชอบกล

ว่าแล้วก็เลื่อนสายตากลับไปมองเสี่ยวเกออีกครั้ง อย่างที่บอก อาสามพูดนั่นก็เรื่องหนึ่ง อาเซี่ยพูดอย่างไรก็ต้องเชื่อ

เจ้าบ่าวก็เจ้าบ่าววะ!

ขณะตัดสินใจได้และกำลังจะก้าวออกจากห้องก็ได้ยินเสียงเรียกผม เมื่อหันไปมองก็เห็นอาเซี่ยถือลูกเต๋าไว้ในมือ เขายิ้มน้อยๆ ให้ผม "อู๋เสีย แกว่าโยนลูกเต๋าสักสิบครั้ง เป็นไปได้ไหมที่จะออกแต้มห้าทุกครั้ง"

"ผมโยนเรื่องความน่าจะเป็นทิ้งคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว" ผมตอบอาเซี่ยด้วยเสียงดังฟังชัด ก่อนเอ่ยเสริมจากความรู้สึก "ก็...ถ้าดวงดีพอก็เป็นไปได้มั้งครับ"

คนตรงหน้าผมยิ้มน้อยๆ ขณะดีดลูกเต๋าขึ้นสูง "นานมาแล้ว มีเด็กคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ ต่อให้เริ่มต้นใหม่อีกกี่ครั้ง ก็จะคงความรู้สึก 'รัก' เอาไว้ทุกครั้ง...แกว่ามันจะเป็นไปได้ไหม"

ชั่วขณะนั้น ผมคล้ายมองเห็นเงารางเลือนของเด็กชายคนหนึ่ง ในหัวปวดจี๊ดไปหมด เหมือนมีเสียงของผู้คนนับไม่ถ้วนพูดคุยอยู่ในสมอง ทว่าเสียงหนึ่งแจ่มชัดนัก... ผมกะพริบตา ก่อนพบว่าเป็นเสียงของอาเซี่ยที่ยังคงแย้มยิ้มเช่นเดิมให้กับผม

"เฟิ่งหวง (นกฟินิกซ์) เผาร่างตนเองเพื่อถือกำเนิดใหม่ แต่มนุษย์ที่น่าสงสารกลับถูกไฟคลอก...โง่งมนัก"

xxx

(แถม)

"คราวนี้อะไรอีกล่ะ" เสียงของอีกฝ่ายทำให้เซี่ยเหลียนหวนหลุดจากภวังค์ เมื่อครู่หลานชายนำอดีตที่ไม่น่าจดจำกลับมาด้วย แม้ฝ่ายนั้นจะจากไปแล้ว ทว่าเขายังคงครุ่นคิด เขามองคนที่ก้าวเข้ามาในห้องพลางคลี่ยิ้มเนือยๆ ให้ "จางฉี่หลิง"

"!" ฝ่ายตรงข้ามมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนปรับเปลี่ยนกลับเป็นสีหน้าเฉกเช่นปกติขณะก้าวเข้ามานั่งข้างๆ เขา "หาเจอแล้วเหรอ"

"เป็นฝีมือของเหล่าซาน" เซี่ยเหลียนหวนตอบขณะรินน้ำชาและส่งให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางอันคุ้นชินเหมือนที่ทำมาตลอดยี่สิบปีมานี้ "ตอนนี้คงกำลังเตรียมการอยู่"

"แปลว่าตรุษจีนปีนี้หายไปหนึ่งคน" คนข้างกายเขาหยิบขนมขึ้นกัด "ก็ดี ลดตัวปัญหาไปได้อีกหนึ่ง"

เขาเผลอหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จึงถูกคู่สนทนามองแบบปรามๆ "อย่าหัวเราะให้มากนัก นายเองถ้าตอนนั้นยังอยู่กับเจ้านั่นก็เป็นตัวปัญหาจอมวายร้ายเหมือนกันนั่นแหละ"

"ไม่เอาน่า คนที่จับฉันมาล็อกกุญแจขังไว้ดื้อๆ ในบ้านเนี่ยไม่น่าใช่คนดีนักหรอกนะ"

"ก็ไม่ใช่น่ะสิ" ฝ่ายนั้นตอบรับอย่างง่ายดายก่อนเงียบเสียงไป ดวงตาหลังแว่นกรอบบางคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็พ่นลมหายใจ "...จางฉี่หลิง...จางฉี่หลิง ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้อีกเป็นครั้งที่สองเลยจริงๆ"

"คราวนี้คงเหนื่อยหน่อยล่ะนะพี่เอ้อร์ไป๋" เซี่ยเหลียนหวนคลี่ยิ้ม น้ำเสียงบ่งบอกว่าสัพหยอกอีกฝ่าย

"เรียกเหล่าเอ้อร์เถอะ" ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงเรียบ เซี่ยเหลียนหวนเพียงหัวเราะเบาๆ "ไหงกับเหล่าซานนายให้เรียกเอ้อร์เกอ (พี่รอง) ไม่ยอมให้เรียกเหล่าเอ้อร์กันนะ"

คราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา เพียงยกน้ำชาขึ้นจิบ "ชาดีนี่ หวนเอ๋อร์ (หนูหวน)"

"...นายเป็นเหล่าเอ้อร์ดีที่สุดแล้ว" เซี่ยเหลียนหวนสรุปเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มเยือกๆ


+++

TBC
04/01/2015




1 ความคิดเห็น:

  1. มาติดตามเจ้าค่ะ ชอบเสี่ยวเกอเวอร์ชั่นนี้จัง >///<

    ตอบลบ