วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Daomu Fan-fiction][AU Bride] 01: คุณชายแซ่อู๋

 

"001. คุณชายแซ่อู๋"

 


Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) AU Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Warning: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นนิยาย AU (โลกสมมติ) นะคะ**

 

หากพูดถึงคนดังในเมืองหลินอัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชื่อบุรุษบ้านสกุลอู๋โผล่ขึ้นในบทสนทนา อันดับทั้งด้านดีและร้ายล้วนถูกคนบ้านนี้ยึดครองตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น

เริ่มจากอู๋เหลาโก่ว เจ้าบ้านคนปัจจุบันที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญด้านสัตว์ ว่ากันว่าสุนัขที่ผ่านมือผู้เฒ่าอู๋ล้วนแต่เฉลียวฉลาด ดุร้ายและแข็งแกร่งเท่าทหารหาญห้าสิบคน หากผู้ใดอยากครอบครองสุนัขชั้นเลิศสักตัวย่อมต้องนึกถึงสุนัขของผู้เฒ่าอู๋ ถึงขั้นเดินทางข้ามแคว้นเพื่อมาซื้อลูกสุนัขจากบ้านท่านผู้เฒ่าก็เคยมีมาแล้ว

คนถัดมาคืออู๋อีฉยง คุณชายใหญ่ผู้สนใจแต่เรื่องธุรกิจค้าขายและสิ่งปลูกสร้าง ผู้คนต่างกล่าวว่า ที่สมบัติพัสถานสกุลอู๋เพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าในเวลาไม่กี่สิบปี ก็เพราะความสามารถของเขา

ตามด้วยคุณชายรองอู๋เอ้อร์ไป๋ บัณฑิตหนุ่มมากความสามารถผู้รับหน้าที่ดูแลสกุลอู๋แทนบิดาตั้งแต่อายุเพิ่งย่างเข้าวัยรุ่น หากไม่เพราะเหล่าแม่สื่อต่างพ่ายแพ้ต่อฝีมือปฏิเสธของคุณชายรองหมดทั้งเมืองไปนานแล้ว คาดว่าป่านนี้บันไดหินหน้าบ้านสกุลอู๋คงสึกหายไปหลายหุน [1]

ยังมีคุณชายสามอู๋ซานเสิ่งผู้เกเรผิดกับพี่ชาย เขาทำหมดทุกอย่างตั้งแต่แย่งขนมเด็ก เตะหมา ท้าผู้หญิงต่อย สอยคนแก่ รังแกคนท้อง เป็นคุณชายผู้มีชื่อเสีย(ง)ที่สุดในหลินอัน อาจพูดได้ว่าถ้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงคุณชายสามสกุลอู๋ ก็ไม่นับว่าถึงหลินอันแล้วจริงๆ

และคุณชายสามผู้นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...



- ห้าสิบวันหลังจากคุณชายสามกลับบ้านหนสุดท้าย -


"...เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ท่านอาสามหายตัวไป?" บุรุษผู้นั้นทวนคำรายงานของลูกน้องอีกรอบ ในใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้สิบร้อยพันประการ

"ขอรับ คุณชายรองฝากจดหมายมาถึงคุณชายน้อยหนึ่งฉบับ กำชับว่าต้องมอบให้ถึงมือเท่านั้น"

พอเขาเอื้อมมือไปรับจดหมาย เด็กรับใช้ของเรือนหลักก็ขอตัวกลับทันที ...น่าสงสัยอย่างยิ่ง! เขาถึงกับเกิดลางสังหรณ์บางอย่างในใจ ไม่อยากเปิดอ่าน เสียแต่ว่าจดหมายหรือถ้อยคำของท่านอารอง เขาผู้เป็นหลานชายอาจเกรงกลัวได้แต่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

‘ท่านอาสามหายตัวไปแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย!’

บุรุษหนุ่มฮึดฮัดโวยวายอยู่ในใจเมื่อคิดถึงน้องสามของบิดาตน สังหรณ์ร้ายในใจพยายามสั่งให้เขาเผาของอัปมงคลในมือทิ้ง แต่เพราะไม่ใช่เด็กแล้วเขาจึงรู้ดีกว่านั้น กระดาษเผาได้ คำสั่งยังอยู่ ชะตากรรมนี้จะอย่างไรก็ต้องทนรับ

จนเมื่อเขาแกะครั่งผนึกออกแล้วกางกระดาษอ่านข้อความนั่นล่ะ อาการร้อนรนจึงหายสิ้น สีหน้าเยียบเย็นขึ้นสิบหน่วยในฉับพลัน

“อู๋เสีย ข้าฝากกระดูกหลังมังกรไว้กับเจ้า ดูแลให้ดี ลงชื่อ อาสามผู้หล่อเหลาของเจ้าเอง…กับผีน่ะสิ!” เขาสบถเสียงดัง เผลอกำกระดาษจดหมายแน่นจนยับย่นคามือ

ตาเฒ่านั่น! เขารู้ว่าข้าจะไม่เปิดอ่านจดหมายของเขาแน่ๆ คราวนี้ถึงกับใช้เล่ห์กลอ้างชื่ออารอง เพราะรู้ว่ายังไงข้าก็ไม่กล้าไม่เปิด ชั่วช้าสิ้นดี!

ทันใดนั้นอู๋เสียจึงนึกได้ถึงเรื่องที่ทำให้ตนหนังตากระตุกยิบมาตั้งแต่เมื่อครู่ ...เจ้าเด็กส่งจดหมายนั่นกลายเป็นพยานเสียแล้ว! คราวนี้ต่อให้เผาจดหมายทิ้งก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด อู๋เสียได้แต่สบถว่าตัวเองพลาดท่าครั้งใหญ่จนได้

สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะระบายความคับข้องใจนี้ที่ไหน คุณชายน้อยสกุลอู๋จึงขยุมกระดาษในมือแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นหน่อย ใจก็คิดว่าของในมือเป็นตาแก่มากเล่ห์ผู้มักเอาเรื่องปวดกบาลมาให้เขาอยู่เนืองนิจ

กระดูกหลังมังกรกับผี! ตั้งแต่เขาสืบทอดร้านคัดอักษรเล็กๆ ที่เป็นงานอดิเรกของท่านปู่ ท่านอาสามก็มักชวนเขาเที่ยวเตร่ ทว่าแปดในสิบมักทิ้งให้เขาจ่าย หนี้ทุกชั่งทุกตำลึงอู๋เสียยังจดลงม้วนกระดาษไว้ รอวันไถ่ถอน หากคลี่ออกตอนนี้ก็อาจยาวจนพันรอบกำแพงเมืองได้แล้ว ‘กระดูกหลังมังกร’ ดังกล่าวก็คงไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนของเขาอีกประการ

ยิ่งครุ่นคิดยิ่งรู้สึกไม่ถูกต้อง หลังเผาเศษกระดาษจนกลายสภาพเป็นขี้เถ้าเรียบร้อย อู๋เสียรีบเดินจ้ำไปคอกม้า ระหว่างทางเห็นเด็กรับใช้กำลังกวาดพื้นอยู่ จึงฝากคำสั่งไปยังพ่อบ้านว่าเขาจะไปบ้านท่านอาสามเสียหน่อย ใครมาหาให้บอกปัดทั้งสิ้น

ประตูบ้านของอู๋ซานเสิ่งยังคงปิดตายเงียบกริบ ขื่อคานถูกทิ้งร้างนานจนหยากไย่ขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเล่ห์กลของคุณชายสามสกุลอู๋ ท่านอาสามของเขา

อู๋เสียควบม้าไปกำแพงด้านหลัง ผูกเชือกล่ามม้าไว้กับต้นกุ้ยที่ดูแข็งแรง จากนั้นก็มองหาประตูลับที่เจ้าของบ้านเคยชี้บอกในวันหนึ่งกลางฤดูร้อนหลายปีก่อน

ก่อนหน้านี้หลายปี อู๋ซานเสิ่งทำตัวเป็นอันธพาลหัวไม้เสียจนทางบ้านยื่นคำขาดกับเขา คุณชายสามสกุลอู๋จึงประกาศแยกตัวออกจากเรือนใหญ่ จากนั้นก็หายสาบสูญไปหลายปีก่อนกลับมายังหลินอันพร้อมลูกน้องกลุ่มหนึ่ง เกวียนสัมภาระของพวกเขาบรรทุกหีบกลับมาหลายใบ ทุกใบล้วนปิดกุญแจล่ามโซ่แน่นหนา จากนั้นเขาก็กว้านซื้อที่ดินราคาถูกท้ายเมืองซึ่งเป็นย่านชุมชนของคนยากจน สร้างคฤหาสถ์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นมาหลังหนึ่ง

ทีแรกชาวบ้านต่างพากันซุบซิบถึงของในหีบที่พวกเขาบรรทุกไว้บนเกวียน ลากอวดไปทั่วเมือง บ้างว่าเป็นเงินทองจากการปล้นชิง บ้างว่าเป็นอัญมณีและผ้าไหมที่เขาค้าขายได้มา ทว่าเมื่ออู๋ซานเสิ่งเริ่มปลูกเรือนของตนไปสักระยะ ชาวเมืองก็พบกับปริศนาชวนให้ว้าวุ่นใจยิ่งกว่าเรื่องของวัตถุในหีบ

คฤหาสถ์ของคุณชายสามสกุลอู๋มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตั้งอยู่ส่วนท้ายของที่ดินซึ่งไกลจากตัวเมืองที่สุด ทั้งที่มีเงินกว้านซื้อที่จนอาณาบริเวณกว้างกว่าเรือนหลักสกุลอู๋หลายเท่าตัว แต่รอบด้านกลับปล่อยทิ้งเป็นพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ ส่วนใดเคยเป็นที่นาก็ปล่อยไว้ ส่วนใดเป็นเรือนเจ้าของที่เดิมก็ปล่อยไว้ ไม่แตะต้องอะไรทั้งสิ้น มีเพียงบางส่วนที่ถางหญ้าปูแผ่นหินเพื่อทำทางเดินจากประตูรั้วสู่ตัวเรือน

ถ้าเพียงแค่นั้นผู้คนอาจพอคิดได้ว่าคุณชายสามคงหมดทุนรอน ไม่เหลือค่าจ้างให้ช่างแล้ว ไม่ก็วางแผนปลูกพืชหรือเผื่อพื้นที่ไว้สร้างเรือนอื่นภายหลัง ทว่าสิ่งที่สร้างความค้างคาใจให้เพื่อนบ้านร่วมอาณาเขตท้ายเมืองอย่างแท้จริงคือการสร้างกำแพงหินที่สูงกว่าผู้ชายตัวโตๆ ถึงสองเท่าไว้รอบพื้นที่รกร้างทั้งหมดที่เขากว้านซื้อไว้ ราวกับต้องการปิดบังความลับบางอย่าง

อยู่ใกล้เพื่อนบ้านซึ่งดูมีลับลมคมในอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครก็ต้องกังวล แถมเจ้าของบ้านดังกล่าวยังเป็นอันธพาลคนดังของเมืองซึ่งอยู่ๆ ก็ร่ำรวยกะทันหัน ทั้งยังพากลุ่มคนหน้าตาราวกับโจรป่าติดสอยห้อยตามมาด้วย ทุกอย่างช่างชัดเจนเสียจนไม่ต้องพิจารณาให้นาน คนโง่ที่สุดในเมืองยังรู้ว่าขาดแค่แขวนป้าย ‘ซ่องโจร’ ไว้เหนือประตูเท่านั้น

สุดท้ายชาวบ้านยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้กำแพงหินของอู๋ซานเสิ่งก็ทยอยย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันหมด ย่านท้ายเมืองจึงเต็มไปด้วยเรือนร้างสภาพซ่อมซ่อ

พื้นที่ส่วนกำแพงหลังบ้านอู๋ซานเสิ่งติดกับตีนเขา สุดสายตาซ้ายขวาคือพื้นราบเล็กๆ ก่อนกลายเป็นเนินลาดขึ้นเขา

แม้อู๋เสียจะเคยนอนค้างที่เรือนของท่านอาสามหลายหน แต่เขาเคยมาบริเวณนี้แค่สองหนเท่านั้น ครั้งแรกคือวันที่ท่านอาสามพาเขามาดูประตูลับด้านหลัง ส่วนอีกครั้ง เขาเป็นฝ่ายแอบมาเองคนเดียว

อู๋เสียยังจำวันนั้นได้ดี รอบตัวเขามีแต่หญ้าป่างอกสูงราวกับท้องทะเลสีเขียว แต้มประกายด้วยสีม่วงสดของดอกหญ้า เป็นวันที่ทำให้คุณชายน้อยสกุลอู๋ได้ความรู้ใหม่ แท้จริงแล้วต้นหญ้าใต้ฝ่าเท่าก็สามารถเติบใหญ่จนสูงเลยหัวตนได้ อีกทั้งยัง...

อู๋เสียสะบัดหน้า รู้สึกเหมือนครุ่นคิดฟุ้งซ่านไม่เข้าเรื่อง เขาแหวกกอหญ้าริมกำแพงครู่หนึ่งถึงเจอ ‘ประตูลับ’ ที่กำลังตามหา

เมื่อเขาตั้งใจพิจารณาประตูลับตรงหน้าก็เผลอตัวขมวดคิ้ว ความรู้สึกเมื่อตนโตขึ้นแล้วมาเห็นอีกทีช่างต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง หากจะให้อธิบายถึงลักษณะของสิ่งนี้ พูดให้สวยหรูคือทางเข้าอันเกิดจากการกร่อนของดินหินตามธรรมชาติ แต่หากพูดแบบชาวบ้าน...

สิ่งนี้ก็คือ ‘รูหมาลอด’ ดีๆ นี่เอง

ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้หางตากระตุก สุดท้ายอู๋เสียก็ได้แต่บ่นงึมงำในใจคนเดียวระหว่างย้ายกองหินออกจากร่องแตกของกำแพง

ความจริงแล้วสิ่งนี้ไม่ควรผ่านมาตรฐานประตูลับไม่ว่าของสำนักไหน แต่เพราะสภาพแวดล้อมซึ่งด้านหนึ่งคือลานดินที่เต็มไปด้วยหญ้าสูงท่วมเอวเขา งอกปกคลุมทุกพื้นที่แทบทุกฤดูกาลราวกับใส่ปุ๋ยบำรุงชั้นดีไว้ อีกด้านคือกำแพงหินสูงล้ำ ไร้ร่องรูหน้าต่างหรือช่องวางคบไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนกำแพงคุกก็มิปาน มิหนำซ้ำเจ้าของสถานที่ยังโดนชาวบ้านหวาดระแวงขนาดย้ายบ้านหนีมาแล้ว ช่องว่างโง่เขลาตรงหน้าจึงไม่เคยถูกค้นพบกระทั่งปัจจุบัน

"ทำไมไม่ปีนข้ามไป" เขาโดนถามระหว่างย้ายกองหินออกมาได้ครึ่งทาง
"พูดเป็นเล่น แต่ไรมาสุดด้อยค่าคือบัณฑิต คุณชายหนอนหนังสือเช่นข้ามีวรยุทธ์ซะที่ไหนกัน" อู๋เสียตอบตามจริง

เขาเป็นทายาทสายตรงคนเดียวของบ้านหลักสกุลอู๋ สมัยเด็กร่างกายอ่อนแอจึงโดนครอบครัวทะนุถนอมไม่ต่างจากไข่ในหิน โชคดีที่พอผ่านไปเกือบสิบปี สุขภาพก็แข็งแรงขึ้น ไม่สามวันดีสี่วันจับไข้เหมือนเคย ผู้ใหญ่ในบ้านจึงค่อยหย่อนการจับตาลงไป

ทว่าแม้แต่ขณะนี้ที่เขาอายุเลยเบญจเพสมาแล้วหมาดๆ ของหนักสุดที่คุณชายน้อยแซ่อู๋เคยถือ...ก็คือแท่นฝนหมึกบนโต๊ะเรียน

งานออกแรงเยี่ยงกรรมกรเช่นนี้ทำให้เขาเหนื่อยมากจนสมองหยุดทำงานชั่วคราว กว่าอู๋เสียจะเอะใจว่าคำถามเมื่อครู่มาจากไหน หูก็ได้ยินเสียงหญ้าโดนแหวกดังสวบสาบจากทางด้านหลังแล้ว ราวกับเจ้าของคำถามกำลังรุกคืบเข้ามาใกล้

อู๋เสียรีบหันกลับไปดู พบว่าไม่รู้โดนสิ่งนั้นยืนประชิดด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ โครงหน้าของมันยืดยาว กล้ามเนื้อสีคล้ำปูดโปนต่างจากมนุษย์ปกติโดยสิ้นเชิง ดวงตาดำสนิทไร้ตาขาวประสานตากับเขา ผิวหนังบอบบางของคุณชายน้อยรู้สึกได้ถึงไอลมจากจมูกยับย่นตรงหน้า ชั่วขณะนั้นบังเกิดความเย็นแล่นวูบจากปลายเท้าถึงหัวสมอง อู๋เสียถึงกับหยุดหายใจไม่รู้ตัว

สิ่งนั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าคน แต่ก็ไม่ใช่สัตว์ ส่วนที่ควรจะเป็นผิวหนังล้วนปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆ สีดำแกมเขียว ดวงตาซึ่งไร้พื้นที่ตาขาวจับจ้องมาที่เขาราวกับฉงน ส่วนสูงของมันเมื่อยืดตัวตรงน่าจะสูงกว่าเขาอยู่หลายศอก เส้นขนสีดำยาวกระเซิงปกคลุมลำตัวและใบหน้าที่ราวกับอสูรร้าย อีกทั้งบนหัวก็มีอวัยวะคล้ายกระดูกโผล่ยืดยาวออกมา

เขารู้จักสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตาของมัน เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเด็ก

มันคือ 'กิเลน'



+++

TBC
15/03/2015



[1] หุน - น. ชื่อมาตราวัดหรือชั่งของจีน ในมาตราวัด ๑ หุน หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕ ใน ๑๖ ของนิ้ว



Talk Time:

ตอนแรก... ก็ว่าจะเขียนเป็นวันช็อตเอยูค่ะ... *เงยหน้ามองคำว่า 01 ด้านบน* ค่ะ อยู่ๆ มันก็งอกกลายเป็นซีรีส์ค่ะ 5555555555555+

จริงๆ ช่วงนี้อ่านนิยายจีนเยอะมาก โดยเฉพาะโซน มากกว่ารัก ของแจ่มใส เลยอยากแต่งอะไรแนวท่านจอมยุทธ์มานานแล้ว แต่ไม่ได้โอกาสซะที ฮือ ไหงพอแต่งทีก็ดันกลายเป็นเรื่องยาวไปได้ orz

ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนจบมีแล้ว ....ถ้าแต่งระหว่างทางไปถึงตรงนั้นได้นะคะ 5555555 *โดนด้วง M. โบก*

เรื่องนี้ไม่เครียดค่ะ ตั้งแต่บรรทัดที่เขียนคำว่า กิเลน เป็นต้นไป เรื่องนี้จะมีแต่กาวค่ะ กาวล้วนๆ กาวจริงจัง กาวแบบรสนิยมคนแต่งมีอะไรก็ยัดลงไปหมด------แค่กๆๆ เอาเป็นว่า อย่าคาดหวังความจริงจังหรือเนต้าเลยค่ะ โฮ นานๆ ทีก็อยากแต่งอะไรที่ไม่ต้องเซิร์ชกูเกิ้ลบ้าง (แต่ถ้าทำแบบนั้น คำผิดจะผุดกระจายเป็นเห็ดราในห้องน้ำแน่ค่ะ กร๊าก)


ด้วยรักและก้อนขน
ด้วง L.

2 ความคิดเห็น:

  1. เดาไม่ยากหรอก15 มีนาคม 2558 เวลา 21:28

    ขอตะโกนทีนะคะ ซูววววววววววววววววววววววววววววว!!!!!!!!!!!!!

    โฮฮฮฮ เจ้าสาวกิเลนใช่มั้ยคะ ; q ; โอ้ยยย ตื่นเต้นจริงๆ รอตอนต่อไปค่ะ ต้องแต่งให้จบนะคะ สู้เค้าค่ะด้วง L. เราโบกปอมปอมเชียร์อยู่นะ

    ตอบลบ
  2. แงงงงงท้าผู้หญิงต่อย สอยคนแก่ รังแกคนท้อง 555555555 อาสามร้ายกาจจ

    ตอบลบ