วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

[Daomu One-shot][瓶邪] Stone

 

"Stone"

 

Daomu Biji (Grave Robbers’ Chronicles) One-shot Fan-fiction
Pairing: 瓶邪 ผิงเสีย (เมินโหยวผิงxอู๋เสีย)


**Spoiler Warning**



ผมยังไม่คงเลิกล้มความตั้งใจในการทำความเข้าใจกับรสนิยมของเสี่ยวเกอ แม้การทดลองจะวืดมาหลายครั้ง แต่ผมก็ยังเพียรพยายามต่อไปในการทดสอบผู้ชายที่นิ่งเป็นหลับขยับเป็นหักคอบ๊ะจ่างคนนี้

หัวข้อวันนี้คือหนังที่ชอบ

เท่าที่รู้ เสี่ยวเกอให้ความสนใจกับรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับพวกความรู้ทั่วไปพอสมควร แต่พอเป็นหนังโรง ผมเคยลากเขาเข้าไปดูเป็นเพื่อน ผลคือกลายเป็นการเปลี่ยนที่นอนให้เขาไปเสียฉิบ

ผมเลยว่าจะลองดูว่าถ้าเป็นภาพยนตร์ตามล่ามหาสมบัติอะไรพวกนี้เขาอาจจะสนใจ จึงสั่งให้หวังเหมิงไปเช่าแผ่นมาให้ดูกัน

พอกลับมาถึงบ้าน เช็คแผ่นดู ปรากฏว่าในนั้นไม่ใช่หนังที่ผมสั่ง แต่เป็นการ์ตูนเรื่องพินอคคิโอ เห็นแล้วผมแทบจะแล่นไปถีบตูดหวังเหมิงถึงบ้าน

ครั้นจะหาหนังใหม่ก็ขี้เกียจ ไหนๆ ก็เตรียมใจว่าเป็นการนั่งดูหนังแบบผมตื่นเขาหลับป๊อกอยู่แล้ว ดูการ์ตูนก็ได้ สุดท้าย หลังกินข้าวเย็น อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย พวกเราสองคนจึงนั่งดูพินอคคิโอด้วยกัน

เดิมทีผมคิดว่าเสี่ยวเกอคงหลับคาที่แหงๆ แต่ผิดคาด เขากลับตั้งใจดูมาก กลายเป็นผมเสียเองที่โคลงหัวไปมา สงสัยจะติดโรคขี้เกียจจากลูกจ้าง ครู่ใหญ่ๆ ผมก็รู้สึกว่าโลกทั้งหมดตกอยู่ในความมืดและความเงียบสงัด...

ผมจมอยู่ในห้วงนิทราแสนสบาย จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก

"เสีย...อู๋เสีย"

ผมสะดุ้งโหยง หลายวันนี้กิจการของผมค่อนข้างยุ่ง ทำเอาไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวัน เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นเสี่ยวเกอจ้องผมเขม็ง ครั้นเหลือบไปดูที่หน้าจอโทรทัศน์เห็นเจ้าหุ่นไม้กลับเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ เป็นที่เรียบร้อย... ผมหาววอดออกมาอีกครั้งพลางเอ่ยชวน "จบแล้ว ไปนอนกันเถอะ"

ว่าแล้วก็ลุกไปจะเอาแผ่นออก ตั้งใจว่าจะจับไปฟาดกบาลหวังเหมิงสักที งานนี้ไม่แผ่นหักก็หัวแตกแหละวะ ทว่าในตอนที่ผมลุกขึ้น จู่ๆ คนข้างตัวกลับสวมกอดผมเอาไว้จากด้านหลัง แรงดึงซึ่งไม่น้อยทำเอาผมแทบหงายท้อง "เหวอออ ทำอะไรน่ะ เสี่ยวเกอ"

เขาไม่ได้พูดอะไร ซึ่งก็ไม่แปลก ที่แปลกคือเขากอดผมเอาไว้แน่น ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็อยู่เฉยๆ ให้เขากอดไว้แต่โดยดี แล้วจู่ๆ เขาก็ฝังใบหน้าลงที่ไหล่ของผม ปอยผมที่สะกิดถูกผิวทำเอาสะดุ้งโหยง ดีที่ไม่เปียกน้ำด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงหลุดร้องจ๊ากออกไปแหงๆ

เรื่องนั้นช่างมันก่อน ผิดปกติ...นี่มันผิดปกติจริงๆ

"เสี่ยวเกอ..."

เมินโหยวผิงยังคงไม่ตอบ เขาแค่กอดผมไว้แบบนั้น ผมที่ถูกกอดค้างไว้ได้แต่ดูหน้าจอโทรทัศน์ พินอคคิโอ หุ่นไม้ที่อยากเป็นมนุษย์...อันที่จริงเป็นมนุษย์มันดีจริงๆ น่ะหรือ

เห็นแล้วก็คิดถึงคนที่กอดผมอยู่ในเวลานี้ ผมเคยสงสัยว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ใส่ถ่านหรือเปล่า ถ้าใส่ต้องใช้ถ่านกี่ก้อน วันๆ เขาเอาแต่นั่งเหม่อ ลงสุสานก็เดินดุ่มๆ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ใช้ชีวิตราวกับทุกอย่างถูกตั้งโปรแกรมมา แทบนึกไม่ออกว่าคนแบบเขาจะสามารถใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้ไหม

นั่นคือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ต่างกันออกไป

เขาที่กอดผมเอาไว้ในตอนนี้มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ในความเป็นมนุษย์มากขึ้น บางครั้งผมก็สงสัย นั่นจะทำให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดมากขึ้นหรือเปล่า

บางครั้งการมีหัวใจก็แปลว่าง่ายต่อการทำให้ปวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม

เครดิตบนจอไล่มาจนถึงส่วนสุดท้าย ก่อนที่โทรทัศน์จะขึ้นเป็นจอสีๆ ในห้องมีเพียงความเงียบงัน เสียงลมหายใจของเราสองคนผะแผ่ว วันนี้อากาศร้อน เราทั้งคู่จึงสวมเพียงเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงขาสั้นทำให้ผิวกายแทบจะแนบสัมผัสกัน

ผมมองเพดานบ้านตัวเอง พยายามนึกถึงเรื่องราวทางสถาปัตยกรรม ถึงจะเรียนแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เอาไปใช้เป็นจริงเป็นจังนอกเหนือจากงานคว่ำกรวย แต่อย่างไรเสียผมก็จบมาทางด้านนี้ ดังนั้นจึงพยายามวิเคราะห์โครงสร้างคานรับน้ำหนักเพดานบ้านของตัวเองด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

แต่ท้ายสุดผมก็ตบะแตก จ้องเพดานบ้านแล้วไม่รู้สึกถึงอะไรมากไปกว่าผิวเนื้ออุ่นๆ ลมหายใจรดซอกคอ สัมผัสของริมฝีปากชวนจั๊กจี้ โว้ย! พอกันที! ผมกลอกตาไปมาขณะตัดสินใจหมุนตัวกลับไปหาเขา เสี่ยวเกอมองผม ดวงตาเบิกโพลงน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

ไม่อารัมภบทใดๆ ผมก็จูบเขาดื้อๆ งานนี้เขานั่งทนได้ทนไป แต่ผมไม่ทนแล้ว โชคดีที่เมินโหยวผิงแม้ภายนอกจะดูเป็นพวกตายด้าน สมควรไปออกบวชเผยแพร่พระศาสนาสร้างความเจริญให้สังคม แต่เวลาขึ้นเตียงด้วยกันเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ตอนนี้ก็เช่นกัน พอผมจูบเขาปุ๊บ อีกสามสิบวินาทีต่อมาผมก็โดนลอกคราบเรียบร้อยประหนึ่งไข่ต้มถูกปอกเปลือก

จากนั้น...จากนั้นจะอะไรได้อีก งานนี้ไม่ต้องสอนมวย พี่ใหญ่จางก็รู้หน้าที่ดี

เยี่ยมยอด...ดูการ์ตูนเด็กเสร็จแล้วต่อด้วยหนังผู้ใหญ่ ผมคิดอย่างเลื่อนลอยขณะที่มือเผลอปัดไปโดนกล่องใส่แผ่นการ์ตูนเมื่อครู่ เมื่อมองเจ้าพินอคคิโอบนหน้าปกแล้วก็อดให้นึกสงสัยไม่ได้ "เสี่ยวเกอ...ตกลงแล้วเมื่อกี้นายเห็นอะไรกันแน่"

เขาชะงัก ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองผม "ฉันเห็นนาย...ไม่ลืมตา"

ผมพ่นหัวเราะก๊ากออกมา คิดว่าตัวเองคงหลับลึก เขาปลุกแล้วไม่ตื่น แต่ปากกลับตอบอีกอย่าง "แหงสิ ถ้าหลับทั้งยังลืมตาก็น่ากลัวไปแล้ว"

"ไม่" เขาไล้ปลายนิ้วที่ยาวกว่าคนปกติบนใบหน้าของผม "นายไม่ยอมลืมตาตื่น"

ผมมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมมองเห็นความหวั่นไหวเล็กๆ ในดวงตาของเขา ปกติแล้วต่อให้เห็นคนตายตรงหน้า เสี่ยวเกอก็ไม่รู้สึกอะไร ดังนั้นจะตีความว่าเขากลัวความตายก็คงไม่ใช่ แต่ทำไมต้องกลัวว่าผมจะไม่ลืมตาตื่นด้วย? ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงอาการแบบนี้ให้เห็นมาก่อน

เพราะสงสัย จึงถามออกไป "ทำไม?"

ครั้งนี้เสี่ยวเกอไม่ยอมตอบ แต่เบี่ยงประเด็นด้วยการเลื่อนมือของเขาจากใบหน้าของผมลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกขนลุกซู่ไปตามแรงกดของปลายนิ้ว ถึงกระนั้นก็ยังกัดฟันต้านทานคลื่นตัณหาของตัวเอง ผมเกลียดที่สุดคือเวลาที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเขาแม้แต่น้อย

เขามันไอ้พวกชอบอมพะนำ มีอะไรก็เก็บไว้กับตัวเองหมด!

ผมพยามกลั้นเสียงครางในลำคอ จากนั้นก็ออกแรงยกสองมือขึ้นคว้าจับใบหน้าของเขาซึ่งชะงักกิจกรรมในจุดหมิ่นเหม่ ทำเอาผมนึกอยากคำรามออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ฝืนกัดฟันพูดไป "เสี่ยวเกอ จางฉี่หลิง! ฉันไม่รู้ว่านายคิดมากอะไร แต่ตราบใดที่นายเป็นคนเรียก ไม่ว่ายังไงฉันก็จะลืมตาขึ้นมามองนาย เข้าใจนะ"

พูดจบผมก็หมดแรง แต่เขากลับหยุดชะงักค้างราวกับมีใครมากดปุ่มเอาไว้ หน็อยยย อย่าหยุดกลางคันแบบนี้สิ ผมอ้าปากพะงาบๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะกะพริบตาคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว จากนั้นก็โถมแรงทั้งหมดเข้าหาผม คราวนี้ผมหลุดเสียงร้องออกมาแบบไม่คิดห้ามตัวเอง อย่างไรเสียนี่ก็บ้านผม คนที่คร่อมผมอยู่ก็ เอ่อ...ก็ของผม ทำไมต้องมานั่งกระมิดกระเมี้ยนสงวนท่าทีแบบคบชู้ด้วย เอาไว้ผมแอบยึกยักกับนายอ้วนนั่นค่อยน่าคิด

ในระหว่างที่ผมเผลอคิดอะไรวุ่นวายนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เคลื่อนริมฝีปากมากระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างหูผม

"นาน...มาแล้ว" เขาเล่าด้วยเสียงเนิบนาบ "มีหินก้อนหนึ่ง มันไม่รู้จักความรัก ไม่เข้าใจว่าความต้องการคืออะไร แรงบันดาลใจคืออะไร...ชีวิตควรขับเคลื่อนไปอย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนสอนให้มันเข้าใจ"

ผมนึกถึงพินอคคิโอ...มิน่าเล่า เขาถึงได้ตั้งใจดูนัก

แต่ในการ์ตูนมีนางฟ้าที่ทำให้หุ่นไม้กลับกลายเป็นมนุษย์ ผมนึกสงสัย

...แล้วสำหรับเสี่ยวเกอ นางฟ้าของเขาเป็นใครกัน?

คิดแล้วบางครั้งผมก็รู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ เขามีอายุมากกว่าผมมาก ผ่านวันเวลาที่ไม่มีผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมานับไม่ถ้วน จนบางครั้งก็อดรู้สึกเจ็บใจนิดๆ ไม่ได้

"แต่ความรู้สึกแรกที่มันได้เรียนรู้คือความเจ็บปวด" เขาสอดประสานนิ้วเข้ากับมือของผม ก่อนจะดึงไปแตะที่อกข้างซ้าย ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นตุบๆ

"นั่นเป็นของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายจากมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาอีก หลังจากนั้น มันก็ค่อยๆ เรียนรู้ แต่ยิ่งเรียนรู้ มันกลับยิ่งสงสัย เพราะอะไรสิ่งที่มีมักเป็นความเจ็บปวด...ถ้ากลับไปไร้ความรู้สึกแบบเดิมจะดีกว่าไหม"

ร่างของผมสั่นระริกขณะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมค่อยๆ เอื้อมไปแตะที่หางตาซึ่งมีหยดน้ำไหลริน ผมเคยเห็นภาพนี้ครั้งหนึ่ง...แต่นั่นไม่ใช่ตัวเขาโดยตรง ถึงกระนั้นก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดในอก ผมเกลี่ยปลายนิ้วเชื่องช้า ขณะยิ้มให้เขา

"ดีแล้ว...แบบนี้แหละดีแล้ว ก้อนหินทั้งเย็นทั้งแข็ง ฉันชอบมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออบอุ่นมากกว่า"

ผมค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่หลังคอของเขา ก่อนจะโน้มลงมาเพื่อจูบ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่าง 'จางฉี่หลิง' ที่เก่งกาจราวกับเทพเจ้า ไร้เทียมทาน ไร้ความเจ็บปวด ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่สำคัญ กับ 'เมินโหยวผิง' คนน่าเบื่อที่วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อบ้าง หลับบ้าง ทำตัวแปลกๆ ให้ผมตามไม่ทันบ้าง ผมชอบที่เขาเป็นแบบหลังมากกว่า

ฮื่อ ใช่แล้ว...ชอบ

ใบหน้าของเราสองคนค่อยๆ ผละออกจากกันโดยที่ดวงตายังคงสอดประสาน ผมส่งยิ้มให้เขา "ฉันชอบนายที่เป็นแบบนี้นะ เสี่ยวเกอ"

ร่างของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา เมินโหยวผิงยิ้มไม่บ่อยนัก จำนวนครั้งที่ได้เห็นใช้แค่สองมือนับก็เกินพอ และในบรรดารอยยิ้มของเขาที่ผ่านมาทั้งหมด ครั้งนี้นับว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความปิติที่แท้จริงที่สุด

อันที่จริงแล้วเขาจะเป็นก้อนหิน ท่อนไม้ กระดาษ หรืออะไรก็ช่างมันปะไร จะเป็นอะไรเขาก็คือเสี่ยวเกออยู่ดี

และผมก็ชอบเขาที่เป็นแบบนี้ไปแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ





+++

END
31/08/2014







Talk Time:

เขียนด้วยความเบลอ (ฮา) ทำไมพอเขียนฉากหนุบหนับของคู่ผิงเสียแล้วก็เริ่มหนุบหนับบ่อยขึ้นซะงั้นนะ (เฮือก) พยายามเซอร์วิสตัวเองจากความแห้งแล้งในชีวิตอยู่ค่ะ ตอนแรกว่าจะเขียนฉากเมาเหล้าเมายา แต่คิดไปคิดมาเอาไปตบลงในเล่ม fic ดีกว่า เป็นเซอร์วิสซีนล้วนๆ จะได้เฉลยด้วยว่าที่แท้แล้วเสี่ยวฮัวคิดอะไรยังไงกันแน่

อ๊ะ ไปๆ มาๆ พูดแต่ของเก่าเสียอย่างนั้น /แจวเรือกลับ

เรื่องนี้แรงบันดาลใจมาจากตอนพิเศษยิบย่อยของบันทึกโจรฯ ที่คุณหนานไพ่เคาะลงเน็ตค่ะ แต่โม้มากเดี๋ยวมันสปอยล์ เอาเป็นว่าได้แรงบันดาลใจมาจากทางนั้นก็แล้วกันค่ะ♥

ช่วงนี้ค่อนข้างชีวิตยุ่งเหยิงพอสมควร เอาไว้จะกลับไปลุยเต้ามู่ไฮต่อนะคะ ฮิ

/กลับไปใช้ชีวิตวัยรุ่นบ้าง อะไรบ้าง

8 ความคิดเห็น:

  1. กี๊ดดดดดดดดด พิน็อคคิโอคนนี้นิ้วยาวแทนจมูกสินะค----


    //นอนตายในหลุมรักที่ตั้งใจกระโดดลงมา

    ตอบลบ
  2. อั้ยย่ะ ทำเอาเราอยากรู้เรื่องตอนพิเศษเลยค่ะ

    อ่านแล้วเขินไปเขินมา หยุบหยับหนุบหนับ ////////
    ยิ่งตอนนายน้อยบอกว่าชอบนี่ยิ่ง... อ่ากกกกก ด้วงตายตาหลับแล้ว

    ตอบลบ
  3. หน้ากากด้วงใส่ไปนานๆก็ถอดไม่ได้แล้วโกะ1 กันยายน 2557 เวลา 20:47

    อ่านแล้วจู่ๆ ก็โมเอะ เสี่ยวเกอขี้อ้อน แง *เขย่าโต๊ะแบบฟรุ๊งฟริ๊ง*

    ตอบลบ
  4. อ่านไปยิ้มไปเลยค่ะ ตอนนี้ช่างโมเอสะกิดต่อมเอ็นดูเสี่ยวเกอขึ้นมาทันที
    บทจะอ้อนก็อ้อนได้น่ารักมากค่ะพ่อคนนี้ อยากให้ทั้งสองคนนี้แก่ไปด้วยกันจริงๆนะ : )

    ตอบลบ
  5. นึกอยากอ่านตอนพิเศาของคุณหนานไพ่ขึ้นมาเลยค่ะ
    ตอนนี้น่ารักจัง >< ฮือ อ่านแล้วอบอุ่น แต่ก็เริ่มร้อนแรงขึ้นก็ตอนหนุบหนับๆ ของสองคนนี่เเหละค่ะ
    นายน้อยรักเสี่ยเวกอจัง
    แต่เสี่ยเวกอก็รักนายน้อย
    ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
    ก้อนหินขี้อ้นจังเลย
    ไม่สิ เค้าเป็นคนเเล้วนี่เนอะ นายน้อย

    ขอบคุณสำหรับฟิคค่า
    รวมเล่มกำลังจะมาแล้วใช่มั้ยคะะะ รอซื้อเลยยย

    ตอบลบ
  6. *นั่งเขิน นอนเขิน ลงไปดิ้นปิดหน้าปิดตาม้วนๆอยู่บนพื้น*
    หนุบหนับๆบ่อยๆก็กระชุ่มกระชวยดีนะคะ แอร๊ยยยย

    เสี่ยวเกออ้อนน่ารักจังเลยค่ะ อยากได้สักคนมากอดบางลูบหัวบาง
    นายน้อยตอนนี้ก็น่าก(อ)ดจริงๆ ละมุนๆ น่ากินจัง เอ๊ย ไม่ใช่แล้ว 5555

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ18 กันยายน 2557 เวลา 23:34

    อยากจะกรี๊ดตรง "ของผม" จังเลยค่ะ นายน้อยล่ะก็ -//////-

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ22 ตุลาคม 2557 เวลา 15:58

    ตราบใดที่นายเป็นคนเรียก ไม่ว่ายังไงฉันก็จะลืมตาขึ้นมามองนาย เข้าใจนะ

    อ๊ายยย คู่นี้จะหวานไปไหน
    น่ารักเกินแล้ววว

    ตอบลบ